** ทัศยุราชันย์ ( ศึกนาครินทนาคร) **

แก้วประเสริฐ


                                   บทที่ ๑๒
                             ศึกนาครินทนาคร
       ภายในท้องพระโรงเมืองกาฬคีรี   
 ท้าวนิลกาฬกำลังออกว่าราชการอยู่และได้รับรายงานว่าท้าวเธอต่างเมือง
ต่าง ก็พาเสด็จมายังพระนครแล้ว  พระองค์จึงมีรับสั่งว่า
    “อัครเสนาบดีฝ่ายพลเรือน และท่านสะหัสขันธ์ 
ให้ร่วมกันต้อนรับแขกบ้านเมืองให้ไปพักยังที่ควรก่อน 
โดยแจ้งว่าวันมะรืนนี้เราจะขอร่วมปรึกษาข้อราชการด้วย”
      เหล่าเสนาอำมาตย์ที่ทรงรับสั่งก็ทูลสนองรับพระราชบัญชา
 พร้อมทั้งถวายบังคมลารีบออกจากท้องพระโรง  มุ่งตรงไปยังประตูเมือง  
เพื่อไปทำการต้อนรับท้าวต่างนครให้ทรงพักผ่อนและหาความเกษมสำราญต่อไป
        ครั้นได้เวลาที่นัดหมายจะทรงปรึกษาข้อราชการท้าวต่างเมืองแล้ว
 ท่านท้าวนิลกาฬก็เสด็จไปยังโรงพระพิธีที่ทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อใช้ในการนี้ 
ซึ่งจัดทำไว้อย่างวิจิตรงดงามพิสดารยิ่งนัก พร้อมทั้งสิ่งบันเทิงนับประการ
ภายในที่ใช้รับเสด็จเจ้าต่างนครนั้น จัดวางรูปแบบด้วยโต๊ะทำด้วยแก้ว
ทรงกลมยาวรีเตี้ยๆวางด้วยเก้าอี้แก้วหลากสีตามเจ้าเมืองแคว้นต่างๆ
ตลอดจนเมืองบริวารที่เข้าร่วมศึกครั้งนี้  ซึ่งได้แยกไว้อีกต่างหาก
ภายในนั่งเต็มไปด้วยท้าวต่างเมืองต่างๆ    เว้นแต่โต๊ะหินหลากสีสีทองแวววับ
มุมปลายสุดของหน้าโต๊ะนั้นยังว่างเปล่า  ใช้เป็นที่ประทับของนิลกาฬราชันย์
  โต๊ะเก้าอี้ทั้งหมดนี้จัดวางไว้ตรงเบื้องหน้าของประรำพิธีซึ่งมีท่านท้าวนิลกาฬ
ทรงเป็นประธานในการร่วมปรึกษากับเหล่านครต่างๆทั้งหลาย
 เพื่อประชุมปรึกษาข้อราชการศึกที่จะมีขึ้นอีกไม่กี่วันเพลาข้างหน้า
 ถัดมาเรียงรายด้วยเก้าอี้วางเรียงรายเป็นชั้นๆเพื่อให้เหล่าเสนาอำมาตย์
ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนเข้าร่วมรับฟังการศึกครั้งนี้ด้วย 
เพื่อรับฟังแก้ไขปัญหาปฏิบัติถึงความพร้อมเพรียงกันของเหล่าทหารพลเรือน
        โต๊ะเตี้ยที่เป็นรูปทรงกลมยาวรีนั้น เบื้องกลางจัดเรียงราย
ประกอบด้วยผลไม้นานาชนิดและน้ำจันทร์ในเหยือกแก้วทึบพร้อมเสร็จสรรพ
เรียงรายล้อมไปด้วยสาวสนมนางกำนัลที่จะคอยปรนนิบัติ
และถวายงานพัดโบกด้วยขนนกงามอร่ามตา  แต่งกายสีสันต์งดงามยิ่งนัก  
เบื้องด้านซ้ายมีเหล่ามโหรีที่จะช่วยบรรเลงทำความคึกครื้นแก่งานโดยเฉพาะ
ถัดจากโต๊ะที่ใช้ในการประชุมเป็นบริเวณกว้างพอสมควร  วงกว้างยาวรีรายล้อม
ด้วยโต๊ะเก้าอี้ของเหล่ามุขอำมาตย์ข้าราชบริพาร และขุนทหารต่างเมือง
ใช้สำหรับในการฟ้อนรำของเหล่านางรำทั้งหลาย  ในงานนี้โดยเฉพาะ
         โต๊ะถัดจากบริเวณนางรำนั้น กระจายไปเบื้องหน้าตามเก้าอี้ที่วางไว้
สำหรับเหล่าอำมาตย์ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนสำคัญๆ
 มีเครื่องอุปโภคบริโภควางไว้บนโต๊ะหน้าเก้าอี้เหล่านั้น ซึ่งนั่งเต็มไปด้วย
เหล่าขุนทหารทั้งฝ่ายพลเรือนเข้านั่งไว้ตามโต๊ะเก้าอี้ที่จัดไว้เต็มไปหมด 
ทุกๆคนต่างแสดงอาการดูเป็นน่าเกรงขามถ้วนทั่ว เพื่ออวดแขกบ้านแขกเมือง
         หลังจากนั้นองค์ท้าวเธอนิลกาฬก็เสด็จมาถึงทรงนั่งลงยังพระเก้าอี้แล้ว
ทรงตรัสทักทายเหล่านครต่างๆกันทั่วๆหน้า  พลางเชื้อเชิญให้ทรงเสวยน้ำจันทร์
ตลอดจนพระกระยาหารต่างๆ  ที่ถูกจัดเสริมโดยเหล่าสนมกำนัลใบหน้าที่
ยิ้มแย้มแจ่มใส  ด้วยท่วงท่าหยดย้อยตระการตาต่อเหล่าแขกเมืองทั้งหลาย
        พอองค์ท้าวเธอประธานในที่ประชุมเสด็จนั่งยังที่ประทับเรียบร้อยแล้ว
 เหล่า มโหรีก็เริ่มบรรเลงเพลง  นางสนมกำนัลก็ค่อยๆรินน้ำจันทร์ถวายแก่เจ้าต่างนคร 
ส่วนพวกถวายงานพัดที่ทำด้วยหางนกก็เริ่มพัดวีคลายความร้อนให้แก่เจ้าเหนือหัว
และถวายงานให้แก่เหล่ากษัตริย์ทั้งหลายด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้มแจ่มใสไปทั่ว
        พวก นางรำก็ออกมาฟ้อนรำถวายแด่องค์เจ้าเหนือหัวและเจ้าต่างเมืองด้วย
อาภรณ์บางเบาด้วยเสื้อผ้านุ่งน้อยห่มน้อยพากันร่ายรำไปตามจังหวะเสียงดนตรี
ในลักษณะเสียงสูงๆต่ำๆ อ้อยอิ่งเร็วๆและช้าๆทอดสลับกันไปมา นางรำทั้งหลาย
ก็ต่างพากัน โยกย้ายส่ายสะโพก เย้ายั่วยวนในอาการต่างๆที่งดงามไปในอีกแบบหนึ่ง
จนเป็นที่ครึกครื้น ในท่วงท่าลีลาต่างๆสลับกันไปในดุจคล้ายผีเสื้อโบกบินไปมาให้
แก่ องค์ท่านท้าวนิลกาฬและจ้าวต่างเมืองทอดพระเนตร 
ทุกๆพระองค์ก็ ต่างพากันทรงพระสรวลเกษมสำราญ  
           บางพระองค์ก็จ้องทอดพระเนตรเหล่านางรำมิได้กระพริบ
 พลางกล่าวสนทนาวิจารณ์กันอย่างเพลิดเพลินพระราชหฤทัยยิ่งนัก
บ้างก็เที่ยวตรัสถามคนนี้คนนั้นถึงความสวยงามของหญิงนางรำเหล่านี้
บ้างก็ตรัสถามท่านท้าวเธอตลอดจนชมสรีระท่าทางของเหล่านางรำ
จนเป็นที่พระเกษมสำราญราชหฤทัยของท้าวเธอจนถึงกลับทรงพระสรวลสนั่นลั่น
 บ้างก็ตรัสทรงไต่ถามความทุกข์สุขซึ่งกันและกัน รวมทั้งความเข้มแข็งทางด้านทหาร
ด้วยอย่างสำราญพระหฤทัย  ตลอดจนอวดกันไปมาถึงอำนาจของพระองค์นั้นๆ
      ครั้นท้าวเธอนิลการหันมาตรัสถามเจ้าเมืองต่างๆ   ถึงความพร้อมเพรียง
  ต่างๆบ้างก็แสดงอำนาจโอ้อวดความเจริญรุ่งเรืองความเข็มแข็งทางทหารของตน
รายงานถวายแด่ท่านท้าวนิลกาฬ  จนทำให้ท้าวนิลกาฬเกิดความฮึกเหิม
ทรงพระสุระเสียงสนั่นลั่นเป็นยิ่งนัก  ในความสามารถของเหล่าทหารทั้งหลาย
     แล้วก็ทรงตรัสเรียกเหล่านางฟ้อนรำที่เสร็จงานถวายรำให้เข้ามานั่งปรนนิบัติ
รับใช้เคียงคู่กับเหล่ากษัตริย์ทุกๆพระองค์    ซึ่งก็มีกษัตริย์บางองค์ก็ทรงสำแดง
อาการหยาบช้าลามกกับเหล่านางรำ แต่ท่านท้าวนิลกาฬก็มิทรงตรัสประการใด 
กลับทรงพระสรวลสนั่นยิ่งๆขึ้น ส่วนพระองค์ก็ทรงหยอกล้อกับนางสนมคนโปรด
มิได้ทรงวางพระองค์แต่ประการใด สร้างความกระหยิ่มยิ้มย่องแก่กษัตริย์บางพระองค์  
      จนทรงหันมาตรัสต่อเหล่ากษัตริย์เหล่านั้น หากมีความต้องการหญิงคนใด
ภายในพระนครนี้ ก็จะทรงถวายให้ปรนนิบัติรับใช้ก่อนที่จะไปทำศึกครั้งนี้
        ท้าวเธอบางพระองค์ครั้นได้รับคำตรัสจากท้าวเธอก็ทรงสำแดงอาการหนักยิ่งขึ้น
จะมีก็เพียงยกเว้นท่านท้าวเธอสิงหะราชและองค์พระยุพราชโกเมศกุมาร
แห่งทันทะกะนครเท่านั้น    ที่ยังทรงพระอาการปกติมิได้แสดงสิ่งผิดปกติหรือแสดง
พระอาการนอกลู่นอกทางแต่ประการใด เพียงคอยรับแก้วที่ใส่น้ำจันทร์
ที่นางรำนำมาถวายและหยอกล้อเล่นเป็นบางครั้งบางคราวเป็นพิธี  สองพระองค์ 
หาได้สนใจใยดีกับหญิงนางรำที่หุ้มห่อด้วยเสื้อผ้าบางเบาแทบจะเปลือยเปล่าเหล่านั้น 
เพื่อมิให้เป็นที่สงสัยต่อองค์ท่านท้าวนิลกาฬและสหายต่างเมืองที่มักมีอาการสงสัย
มักจะชำเลืองมองถึงอาการของท่านท้าวสิงหะราชและยุพราชแห่งทันทะกะนคร
        ส่วนเจ้าเมืองบริวารของนครกาฬคีรีที่จะร่วมศึกนี้ก็แสดงอาการหนักหนาสาหัส
มากกว่าเจ้าเมืองนครใดๆทั้งสิ้น  แต่ก็ได้รับพึงพอพระราชหฤทัยแก่จอมอสูร 
จนบางครั้งก็ทรงเหลือบแลดูบ้างถึงอาการสำแดงต่อนางรำในพระองค์ที่ถูกเล้าโลมจน
ร่างกายเกือบอยู่ในสภาพที่เปล่าเปลือย  และความกักขฬะมึนเมาของเหล่าเมืองต่างๆ
       ตลอดจนชำเลืองท่านท้าวสิงหะราชกับยุพราชแห่งทันทะกะนคร ที่ทรงนิ่งเงียบสงบ
 แต่พระองค์ก็มิทรงตรัสแต่ประการใด  ยังทรงหันไปหยอกล้อต่อนางสนมคนโปรด
และเหล่านางรำทั้งหลายเพิ่มมากยิ่งขึ้น  จนชุลมุนวุ่นวายไปทั่วท้องพระโรงพิธี
          ครั้นได้เวลาเห็นสมควรแล้ว  ท่านท้าวนิลกาฬก็ทรงตรัสไล่ให้พวกนางรำ
และสนมที่คอยปรนนิบัติออกไปเสีย  ตลอดจนเหล่ามุขเสนาอำมาตย์ฝ่ายพลเรือน
ให้กลับไป คงเหลือไว้แต่ขุนทหารบางนายเท่านั้น และได้เชื้อเชิญเหล่ากษัตริย์
ให้ดำเนินไปยังด้านชั้นในอีก  เพื่อที่พระองค์จะทรงปรึกษาข้อราชการเกี่ยวกับ
ศึกสงครามในครั้งนี้      ภายในชั้นในที่ใช้เป็นที่ปรึกษาข้อราชการ 
 ถูกประดับประดาด้วยโต๊ะเก้าอีกนั่งสำหรับใช้ปรึกษากัน  ตลอดจนแบบผังเมือง
ของนาครินทนาครรวมถึงสิ่งก่อสร้างภายในเมืองถูกจำลองรูปแบบต่างๆไว้ด้วย
      เมื่อเหล่ากษัตริย์ทรงนั่งบนพระเก้าอีกเรียบร้อยแล้ว   ก็ทรงชี้แนะไปยังรูปแบบ
จำลอง ถึงกำแพงธรรมชาติ ประตูเมือง เพื่อจะให้นครต่างๆเข้าบุกทำลายตลอดจน
แนวทางป้องกันของเมืองนาครินทนาคร ไว้พอสังเขป  พร้อมวางกำลังทัพของแต่
ละเมืองให้เจ้าบุกรุก จุดอ่อนแข็งของเมือง วันเวลาดังกล่าวไว้ด้วย 
ก็ทรงถามไถ่ถึงกำลังพลของแต่ละนคร  จะพร้อมเพรียงประการใดหรือไม่
ซึ่งต่างก็ถวายรายงานให้ทราบทั้งสิ้น ถึงความพร้อมเพรียงเพื่อศึกครั้งนี้
 เมื่อทรงได้รับฟังแล้ว   ก็ทรงเอ่ยปากแจ้งต่อนครทั้งหลายว่า
       “ อันเมืองนาครินทนาครนี้ รายล้อมไปด้วยกำแพงแก้วเวทย์มนต์
ตลอดจนถึงกำแพงธรรมชาติที่มิพิษสงนานานัปการ ที่ได้รับพระประทานจาก
เทพแห่งสรวงสวรรค์ เพื่อปกปักรักษานครแห่งนี้ไว้  ฉะนั้นจึงอุดมไปด้วยพิษ
นานาประการ  ที่อาจจะเกิดขึ้นจากธรรมชาติเหล่านี้ได้
จึงเป็นที่ยากยิ่งนักที่จะเข้าไปได้ง่ายนักภายในประกอบด้วยแก้วมุกอันศักดิ์สิทธิ์
และฤทธาของมหาศาสตราอาวุธทั้ง ๕ ประการที่แผ่ครอบปกคลุมพระนครไว้
 ยากยิ่งจะสามารถที่เข้าไปในทางเหาะเหิรเดินอากาศและใต้พื้นดินเว้นไว้แต่ 
เสียจากทางบนพื้นดินเท่านั้นและภูเขากำแพงแก้วก็จะปิดสนิทเสมอมา 
 จะเปิดเข้าออกได้ต้องเป็นคนในนครนี้เท่านั้น  เพราะอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์รักษา
ตลอดจนผู้ที่ได้รับผลแห่ง ฤทธาของผลไม้วิเศษและน้ำอมฤตอุทก ที่ทุกๆคน
ดื่มกิน อำนาจของสิ่งดังกล่าวจึงทำให้สามารถผ่านเข้าออกไปมาได้” อีกประการหนึ่ง
ท่านท้าวเธอทรงหยุด และตรัสต่อว่า
         “ยกเว้นอำนาจที่ปกปักรักษาคุ้มครองนครนี้จะผ่อนคลายลงไป
ในวันแห่งทิวาราตรีของรัตติกาลเพ็ญศิวะราตรีเท่านั้น   ซึ่งกาลนี้จะเป็นที่เฉลิมฉลอง
ของเทพยาดาต่อพระจอมเทพแห่งเขาไกรลาส ฤทธาของมหาศาสตราอาวุธ เทพที่รักษา
ศาสตราอาวุธก็จะกลับไปยังเขาไกรลาสด้วย   ประตูเมืองก็จะคลายอำนาจลง ซึ่งทางเรา
ก็มีวิธีการที่จะเปิดประตูได้”  ท่านท้าวนิลกาฬทรงดำรัส
       “แล้วจะมิมีทางอื่นใดหรือที่นอกจากเพ็ญศิวะราตรีที่จะเข้าไปในนครนี้ได้”
ท่านท้าวแห่งนครปักษินกล่าวสงสัย
       “มีนะมีหรอกท่านวิหะคะราช ”  จอมอสูรกล่าว
       “นอกจากน้ำอมฤตที่เก็บซ่อนไว้ที่ทรงขมวดบนพระเกศาของท่านท้าวผกาพรหมนี้
นำมาใช้เปิดประตูกำแพงแก้วนี้เท่านั้น นอกนั้นยังมิเห็นมีสิ่งอื่นใดท่าน ”
        “แต่ทว่ายากนักที่จะได้ของสิ่งนี้ มิฉะนั้นเราก็ต้องไปทำศึกกับท่านท้าวนี้
ซึ่งยากกว่าจะทำศึกกับนาครินทนาครเสียอีก”  ท้าวนิลกาฬทรงตรัสรำพึง
         “หรือท่านทั้งหลายจะมีความคิดเห็นประการใดกว่านี้หรือไม่”
ทรงหันมาตรัสถามกลับเหล่าเจ้านครทั้งหลาย
         “หากว่าเราจะนำแว่นแก้วขององค์จอมมหาเทพแห่งเขาไกรลาสซึ่งเรา
ได้รับตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเราใช้ในการนี้ เราคิดว่าไม่น่ามีปัญหาหรอก”
   ท่านท้าวสุพพัตสุระแห่งอหิงสากะนครกล่าวขึ้น
         “อาจจะเป็นไปได้ในประการนี้ เพียงแต่เรารู้มาเท่านี้ อนึ่งอาจจะเป็นได้
ด้วยเป็นอาวุธวิเศษที่ได้รับพระราชทานมาเหมือนกันซึ่งอาจจะมีข้อแก้ไข
แตกต่างเข้าบรรเทาชะลอได้เป็นแน่”  ท่านท้าวจอมอสูรตรัสขึ้น
   “นั่นซิหากวันเวลายังมิถึงเราไปถึงนครนาครินทนาครก่อน น่าจะลองทำดู”
ท่านท้าวปักษินนครกล่าวเสริมขึ้น
      “ท่านท้าวกล่าวก็ถูกต้องแต่หากว่าการครั้งนี้ผิดพลาดไปจะเสียหายกว่านี้อีก
สู่มิคอยวันศิวะราตรี ซึ่งจะมีมาในไม่ช้านี้ มิดีกว่าหรือท่านท้าววิหะคะราช”
ท่านท้าวเธอนิลกาฬ ทรงปรารมภ์
         “แล้วทางท่านสิงหะราชกับทางเมืองทันทะกะเล่ามีความคิดเห็นประการใด”
ท้าวเธอหันมากล่าว
          “ทางเราคิดว่าน่าจะรอกำหนดกาลเพ็ญศิวะราตรีนี้ เพราะหากเราได้เข้าตีนคร
มาดแม้นมิเป็นดังที่คาดคิดไว้ก็จะเสียการทั้งปวง มิใช่ไม่เชื่อในฤทธาของท่านท้าว
สุพพัตสุระก็หาไม่  ขอพระองค์ทรงไตร่ตรองดูเถิด”  ท้าวสิงหะราชกล่าว
           “กระหม่อมก็เห็นด้วยตามท่านปิตุลาสิงหะราชตรัส พระเจ้าค่ะ” องค์ยุพราช
โกเมศกุมารแห่งนครทันทะกะกล่าวเสริมขึ้น
         กษัตริย์ทุกๆพระนครต่างก็ร่วมปรึกษาหารือกันและกัน เพราะทุกๆพระองค์
ต่างก็ทราบถึงฤทธาที่ใช้ในการปกปักรักษานครนาครินทนาครโดยถ้วนหน้า
เพราะนอกจากได้รับพรจากจอมมหาเทพแห่งขุนเขาไกรลาสแล้วยังได้รับพระพร
จากมหาเทพต่างๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ตกทอดกันมาเรื่อยๆ จึงมิกล้าที่จะแสดงอำนาจตน
หรือของวิเศษตนเข้าเปิดทางสู่นครแห่งนี้ได้  อีกทั้งยังมีทหารแห่งสรวงสวรรค์
ทั้งหลายที่คอยเฝ้ารายงานเหตุการณ์เสนอต่อจอมเทพทั้งหลายอีกด้วย
หากเป็นวันที่กล่าวมานี้ ทหารเหล่านี้ก็จะได้รับพระราชอนุญาตให้เข้าร่วม
ฉลองในวันศิวะราตรีนี้ด้วย   เมื่อต่างพากันคิดได้เช่นนี้ จึงพากันกราบทูลว่า
           “หากมีสิ่งยุ่งยากอันมิอาจคาดคำนวณได้  เห็นทีจะต้องคอยวันเพ็ญศิวะราตรีนี้”
“พระเจ้าค่ะ”   เหล่านครทั้งหลายกล่าว
            “นั่นซิ..เราก็คิดเหมือนกับท่านทั้งหลายอยู่    เพียงแต่ความสำเร็จนี้
ยากยิ่งนักคิดว่าท่านทั้งหลายคงจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ได้ จะได้ลดปัญหาทางด้านนี้ไป”
   ท่านท้าวเธอนิลกาฬกล่าวขึ้น  
 แล้วพระองค์ก็ทรงชี้พระหัตถ์นำเหล่าเจ้านครทั้งหลายให้มองมายังแบบแปลน
ที่ใช้จำลองเมืองของนคร นาครินทนาคร  แล้วทรงทรงปรารมภ์ขึ้นว่า
          “คืนฉลองวันเพ็ญศิวะราตรีมาถึง ซึ่งมีกำหนดภายใน ๗ ราตรีนี้เท่านั้น
ถึงจะเป็นโอกาสของพวกเราที่จะเข้ายึดเมืองได้ตามภูมิประเทศต่างๆ 
 ฉะนั้นควรที่จะจัดแบ่งกำลังตามลักษณะภูมิประเทศมอบหมายกำลังพลออกเป็น
4 ทัพใหญ่ของแต่ละเมืองรับผิดชอบกันไป  เพราะปราสาทราชวังของนาครินทนาคร
ที่แบ่งออกเป็นทางเข้า ๔ ประตูของเมืองดังนี้
            ทิศเหนือ  เป็นหน้าที่ของท่านท้าว แห่งปักษินนคร
             ทิศใต้      เป็นหน้าที่ขององค์ยุพราชแห่งทันทะกะนคร
             ทิศตะวันออก เป็นหน้าที่ของท่านท้าวแห่งสิงหะนคร
       ส่วนทิศตะวันตก เป็นหน้าที่ของท่านท้าวแห่งอหิงสากะนคร
ทางด้านเจ้าเมืองต่างๆเข้าเสริมทัพทางนครทั้ง ๔ นี้   ส่วนทางเรา
จะเป็นทัพหลวงสนับสนุนไปยังทัพของทั้ง ๔ ในยามเข้าตีเมืองทั้งสี่ด้าน
     โดยจัดกำลังคอยช่วยเหลือสมทบร่วมกันกับท่านทั้งหลายในครั้งนี้
ท่านจะเห็นเป็นประการใดหรือไม่”
  พระองค์ทรงตรัสถามไปยังเหล่าผู้ครองนครทั้งหลาย
           เจ้านครทั้งหลายครั้นเห็นต้องคล้องจองกันว่าเหมาะสมแล้วทุกประการ
จึงพากันกล่าวขึ้นว่า
        “หากเป็นพระประสงค์เช่นนั้นก็ไม่ขัดข้อง  พระเจ้าค่ะ”
        “ครั้งนี้เราต้องอาศัยความช่วยเหลือจากท่านเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน
เมื่อเสร็จการประชุมแล้วก็เชิญเสด็จกลับนครได้และให้เก็บเป็นความลับด้วยกัน
 หากวันเพ็ญศิวะราตรีที่จะมีขึ้นในเร็วๆวันนี้   ทางเราก็จะแจ้งไปยังนครของท่าน
เพื่อจัดการนำทัพต่อไป  โดยวันเวลาดังกล่าวให้ท่านรวบรวมทัพเข้าปฏิบัติได้เลย
หากแม้นผู้ใดต้องการจะเข้าร่วมกับทัพเราก็ไม่เป็นปัญหาประการใด  
เมื่อไปถึงยังเมืองนครนาครินทนาครแล้วเราก็จะจัดกำลังเข้าร่วมประสานกับ
ท่านทั้งหลายและปรึกษากันอีกครั้งทางด้านศึกครั้งนี้  ตอนนี้ขอเชิญท่านเสด็จ
เดินทางกลับนคร หากมาดแม้นผู้ใดประสงค์จะมิเสด็จกลับและพักผ่อนต่อ
ยังนครของเรา เราก็ยินดีต้อนรับเสมอๆ”  ท่านท้าวนิลกาฬตรัส แล้วหันไป
สั่งยังข้าราชบริพารของพระองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะด้วย
     เมื่อเป็นเช่นนี้ทางเหล่าเจ้านครต่างๆก็ทูลลากลับจะมีบ้างที่เข้าพักผ่อน
อยู่ต่อไม่กี่เพียงนครเท่านั้น
        ส่วนทางด้านท้าวเธอสิงหะราชกับพระยุพราชโกเมศกุมาร ก็เสด็จ
เดินทางกลับไปยังนครสิงหะนคร  พระยุพราชก็เข้าพักผ่อนภายในนคร
   ทรงร่วมปรึกษาหารือเกี่ยวแก่การศึกทั้งนี้ เมื่อได้รับการหว่านล้อมจาก
พระยุพราชโกเมศกุมารซึ่งจะมาเป็นพระชามาดาในพระองค์ ก็ให้ทรง
แปรปรวนเปลี่ยนอุปนิสัยมาทางว่าที่พระชามาดาไป  ด้วยพระองค์ทรงรักใน
พระราชธิดาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากจะละเว้นแต่พระองค์เป็นผู้มีสัจจะ
นักแน่นยิ่งนัก  การครั้งนี้จะร่วมศึกโดยมิยินยอมพร้อมใจเหมือนครั้งแรก
    เมื่อกาลเป็นดังนี้ต้องตามความพระประสงค์ของพระชนกนาถ 
พระยุพราชโกเมศกุมารก็ทูลลา เพื่อเสด็จขอเข้าพบพระราชธิดาในพระองค์
เพื่อหาทางพบเจ้าหญิงอรุณรัศมี เพิ่มสัมพันธ์ไมตรีตามประสาหนุ่มสาว
ซึ่งท่านท้าวเธอก็ทรงผ่อนปรนเพราะทราบความนัยจากท่านท้าวแห่ง
ทันทะกะนครแล้ว  ที่ทรงเกริ่นไว้ ถึงการจะสู่ขอเจ้าหญิงอรุณรัศมีไว้
 ซึ่งท้าวเธอกับพระมเหสีก็ทรงเห็นพร้องต้องกันทุกประการเมื่อการศึกเสร็จสิ้นลง
				
ภาพประกอบทั้งหมดนี้เป็นของ เจ้าหญิงเฌอมาลย์ ขอรับท่านที่รัก

                                  ***  แก้วประเสริฐ. ***				
comments powered by Disqus
  • เรนเอง..

    12 พฤศจิกายน 2549 11:38 น. - comment id 93547

    36.gif..
      17.gif..
            เรนแอบมานั่งอ่าน..เป็นนิทานเรื่องยาว
       ..
            ตอนนี้เรนขอไปเริ่มต้นอ่าน..
    หายไปนาน..อ่านแล้วไม่เข้าใจ..
      อยากรู้ท่านทัศยุราชันย์เป็นใคร..
    ศึกนาครินทนาครยิ่งใหญ่มีเวทย์มนต์..ดลใจเรน..
    
          ..
       คุณลุงแก้วฯ เก่งจังนะคะ..36.gif
      เป็นจินตนาการที่ใครๆก็ต้องยอมรับ..
    เรนเป็นกำลังใจ..ให้คุณลุงแก้วนะคะ..
         ..
  • แก้วประเสริฐ

    12 พฤศจิกายน 2549 13:01 น. - comment id 93556

    36.gif16.gif36.gif
    คุณหนู เรน
    
          ทัศยุราชันย์นั้นเป็นตอนต่อจากเธออยู่ไหน ซึ่ง
    ตอนนั้นองคืทัศยุราชันย์ไปกำเนิดเป็นชาวบ้านป่า
    ที่ศึกษาเล่าเรียนมาแต่ต้องกลับไปปรนนิบัติบิดา
    มารดาที่แก่ชราจนท่านทั้งสองเสียชีวิตไปจึงดำเนิน
    ชีวิตในป่า ในนาม ว่า ทัด ทัดบ้านป่า ด้วยอำนาจ
    ของสัจจะอธิษฐานจึงทำให้ลิขิตของฟ้าบันดาลเกิด
    อุทกทัยร้ายแรงนำพาเข้าสู่นาครินทนาครกลายเป็น
    องค์ทัศยุราชันย์สมบูรณ์แบบทำลายสังขารมนุษย์
    ไปเสียสิ้นกลายเป็นมนุษย์เทพ แล้วก็มาใช้ชื่อ
    เรืองเป็นทัศยุราชันย์สืบต่อมา จนถึงบทที่ 12
    จ๊ะ ลุงบอกแล้วว่าเวลาอ่านต้องติดตามมาตลอด
    ถึงจะเข้าใจได้เพราะงานนี้เน้นเป็นการเล่า
    จึงทำให้บางทีสับสนไปบ้างจ๊ะ ตอนนี้ลุงแต่งไป
    จนถึงบทที่ 15 แล้วกำลังเริ่มบทที่ 16  จะเต็มไป
    ด้วยสิ่งน่าสนใจทั้งสิ้น แล้วติดตามต่อนะจ๊ะ
    
                16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • ยายแม่มดค่ะ

    12 พฤศจิกายน 2549 20:14 น. - comment id 93562

    คุณชาย......มาแล้วตอนเช้า  อ่านได้
    
    นิดนิด ..รีบทำงาน กลับมาติดตามใหม่
    
     ....ขอบพระคุณที่โลกนี้มีเรื่องน่าติดตาม
    
    
    16.gif36.gif
  • แก้วประเสริฐ

    12 พฤศจิกายน 2549 21:53 น. - comment id 93564

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ ยายแม่มด
    
            ถึงบทนี้ยังเป็นการพรรณาเท่านั้น ผมแต่งไป
    แล้วถึง 15 บท เกรงว่าจะไม่ทันใจจึงนำบทต่อมา
    เสนอเลย  ขอบคุณที่ให้กำลังใจขอรับเจ้าหญิง
    
                     16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • nongeva

    14 พฤศจิกายน 2549 04:50 น. - comment id 93643

    i think they should take your story that u wrote and make to be movie i bet a lot people love it good job 64.gif
  • แก้วประเสริฐ

    14 พฤศจิกายน 2549 10:31 น. - comment id 93649

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ  nong eva
    
          ผมเองฝีมือยังเป็นแค่นักเขียนสมัครเล่นครับ
    ถึงแม้ว่าจะถูกใจคุณยิ่งนักแต่ทว่าอาจจะมีข้อบกพร่อง
    ได้มากมายนัก ฉะนั้นต้องรอแล้วแต่เพียงวาสนา
    ถึงจะได้เป็นหนังให้แก่ประชาชนทั้งหลายได้ชมกัน
    และคุณจะกล้าวางเดิมพันพนันก็ตาม ผมเองไม่รู้จัก
    ใครเลยเพราะชอบมีนิสัยอิสระ อยู่เงียบๆครับ
    ไม่รู้จักคนมากมายนัก ซึ่งคิดว่าอาจจะเป็นแค่
    เพียงลมๆแล้งๆที่พัดหายไปนิดๆหน่อยเท่านั้น
       แต่ก็รู้สึกยินดีและภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้รับ
    ความสนใจและให้เกียรติผมถึงผลงานนี้ไว้
         ฉะนั้นผมจึงขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งและอย่างสูง
    ไว้ ณ ที่นี้ครับ
    
                 16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน