** ทัศยุราชันย์(ศึกมหาเทพศาสตราอาวุธ) **

แก้วประเสริฐ


                                             บทที่  ๒๖
                                   ศึกมหาเทพศาสตราอาวุธ
เป็นทางการอีกครั้งหนึ่งด้วย    องค์พระยุพราชก็ทรงน้อมพระวรกายถวายความเคารพแล้ว
นำเหล่าทหารกลับสู่ยังฐานทัพแจ้งรายละเอียดให้เสด็จพ่อทราบทุกประการ ท่านท้าวเธอก็ทรง
พระสรวลบอกให้ทุกๆคนเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองปักษินนคร  เมื่อพร้อมเสร็จทุกๆสิ่งทุกอย่าง
องค์ท้าวเธอพร้อมพระยุพราชก็นำเหล่าทหารทั้งหมดออกเดินทางกลับสู่ยังปักษินนครทันที
          ทางฝ่ายท่านท้าวนิลกาฬเมื่อรับแจ้งว่าทหารว่ากองทัพที่ยกไปตีที่อาศัยของยุพราชทั้งสอง
ประสบความแตกพ่ายยับเยินก็ทรงพระพิโรธยิ่งนัก ที่เหตุการณ์ที่ทรงวางไว้ได้กลับตาลปัดโดยสิ้นเชิง
  ครั้นจะถอยทหารกลับก็ให้ละอายใจเป็นยิ่งนัก จึงได้จัดรวบรวมทหารและเมืองต่างๆที่หลงเหลืออยู่
วางกำลังทัพใหม่เพื่อเข้าโจมตีนครนาครินทนาครทันที   เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าทางกองทัพปักษินนคร
ยกกองทัพล่าถอยกลับเมืองแล้วมิได้เข้าช่วยรบพุ่งกันอีกก็ทรงพระพิโรธโกรธายิ่งขึ้น  และยิ่งได้รับทราบว่า
ทางเมืองอหิงสากะนครก็ถึงกาลพินาศในการศึกครั้งนี้แม้แต่องค์ท้าวสุพพัตสุระก็ถึงกาลตักษัยในสนามรบ
ทำให้เสียกำลังพระทัยเป็นยิ่งนัก  แต่ด้วยทิฐิมานะที่ไม่ยินยอมผู้ใดก็มิได้ถอยให้แก่การศึกในครั้งนี้
โดยเด็ดขาด   พระองค์ทรงสั่งให้ถอยทัพกลับไปที่มั่นก่อน  แล้วตรัสเรียก สหัสสะขันธ์แม่ทัพใหญ่
เข้าปรึกษาข้อราชการ วางกำหนดแผนการขึ้นใหม่ ด้วยขาดพันธมิตรที่จะทำการช่วยเหลืออีกต่อไป
พระองค์ทรงให้ตราพระราชสาสน์ไปยังเมืองอหิงสากะนครแจ้งข่าวการสิ้นพระชนม์ของท่านท้าว
สุพพัตสุระแก่ยุพราชอหิงสากุมารและพระมเหสีอชิรเทวีให้ทรงทราบพร้อมทั้งขอกำลังสนับสนุน 
 และพระองค์ให้แจ้งไปยังเมืองเมื่อทราบว่าองค์พระยุพราชเสด็จกลับมาแล้ว  พระองค์จึงมีรับสั่งให้
องค์พระยุพราชนิละกาสูรย์กรีฑาทัพมาช่วยเหลือโดยเร็วพระองค์จะรอทัพยังบนยอดเขาคิฎชคีรี 
 หากได้กองทัพครบเมื่อไหร่ก็จะเข้ายึดเมืองนาครินทนาคร     เมื่อสหัสสะขันธ์ทรงรับพระบัญชาแล้ว
ก็จัดส่งพระราชสาสน์ให้ม้าเร็วเหาะไปยังเมืองทั้งสองทันที  เพื่อแจ้งข่าวแก่ท่านพระยุพราชทั้งสองเมือง   
           ครั้นกาลเวลาผ่านไปสองวันบรรดาทัพของอหิงสากะนครซึ่งนำโดยพระยุพราชอหิงสากุมาร
และยุพราชนิละกาสูรย์ยกทัพมาถึงพระองค์ก็ทรงวางแผนศึกครั้งนี้  โดยให้สหัสสะขันธ์อสุรเป็นทัพหน้า
เข้าจู่โจมเป็นรูปสามเหลี่ยมพุ่งเข้าประตูเมืองนาครินทนาคร   ส่วนทางยุพราชอหิงสากุมารเป็นทัพปีกขวา
และทางด้านยุพราชนิละกาสูรย์เป็นทัพปีกซ้าย พระองค์เองเป็นทัพหลวงตรงกลางพุ่งทะลวงเข้าโจมตี
กำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือทันทีในลักษณะรูปปลายธนู   ครั้นได้เวลาเช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้นก็ยาตราทัพทันที
           ส่วนทางด้านยุพราชสิงหะฤทธา พระยุพราชโกเมศกุมารซึ่งนำโดยเจ้าหญิงเฌอมาลย์ก็นำทัพทั้งหมด
เข้าสู่ยังเมืองนาครินทนาครโดยมีท่านมหาราชครูเป็นผู้เปิดทางเข้า ให้แก่ทัพทั้งสาม  ครั้นเขาพัก
เป็นที่เรียบร้อยแล้ว    ท่านมหาราชครูก็ทรงวางแผนการรบครั้งนี้ พลางแจ้งแก่องค์ทัศยุราชันย์
และเหล่ายุพราชเจ้าหญิงทั้งหลายว่า
       “มหาราช เราได้ตรวจดูดวงดาวของทางฝ่ายท่านท้าวนิลกาฬแล้วดาวประจำองค์นิลกาฬนี้
ช่างมัวหมองเสียยิ่งนัก เห็นทีว่าการศึกครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเป็นแน่แท้พระเจ้าข้า”
        “ถึงแม้ว่าจะมีดาวเสริมพระราศีแต่ก็เปล่งประกายผ่องใสมิได้เข้าเสริมแก่ดวงชะตาของท้าวนิลกาฬ
แต่ประการใดไม่ เพียงแค่เปล่งประกายอยู่ห่างๆเท่านั้นเองพระเจ้าข้า”
ท่านมหาราชครูถวายรายงานเสริมต่อ
        “แล้วเราจะวางทัพในการต่อสู้ครั้งนี้อย่างไรล่ะท่านพ่อปู่ราชครู”
      องค์ราชันย์ทรงดำรัส  พลางหันไปทางองค์พระยุพราชทั้งสองเพื่อร่วมทรงปรึกษาในการรบครั้งนี้
        “ท่านพระยุพราชมีความเห็นประการใดบ้าง   ขอได้โปรดแจ้งให้แก่ข้าพเจ้าด้วย”
        “อนึ่งได้รับแจ้งจากเจ้าหญิงปทุมวดีว่าทางทหารสอดแนมที่ส่งออกไปนั้นกลับมารายงานว่า
 ท่านองค์ท้าวเธอระดมกำลังครั้งนี้อย่างสุดกำลังมาทั้งเมืองโดยท้าวเธอเองจะเป็นทัพกลางสหัสสะขันธ์เป็นทัพหน้า ส่วนองค์ยุพราชในพระองค์จะเป็นแม่ทัพทางปีกซ้าย ส่วนท่านยุพราชอหิงสากุมารจะเป็น
แม่ทัพคุมปีกขวาจะเข้าโจมตีเราในราตรีกาลพรุ่งนี้นะ” องค์ทัศยุราชันย์ทรงดำรัสขึ้นมา
       “หากเป็นดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะขอรับศึกทางปีกขวาพระเจ้าข้า”  ยุพราชสิงหะฤทธาทรงตรัส
        “ข้าพเจ้าก็ขอรับหน้าที่ทำศึกทางด้านปีกซ้ายพระเจ้าข้า”   ยุพราชโกเมศกุมารทรงตรัสขึ้นบ้าง
        “เมื่อท่านยุพราชทั้งสองเห็นชอบด้วยประการนี้ ข้าพเจ้ายินดียิ่งและจะขอทำศึกกับทัพหน้าเอง 
 ส่วนเจ้าหญิงทั้งสี่คงมีหน้าที่จัดการกับทัพหลวงของท่านท้าวเธอและเหล่าทหารของท่านท้าวเธอ
ซึ่งเป็นทัพกลางด้วยท่านท้าวเธอนั้นมิมีใครที่จะเข้าทำร้ายได้ นอกจากอิสตรีเท่านั้นจึงเหมาะแก่การนี้
ส่วนข้าพเจ้านั้นจะนำทัพเข้าสนับสนุนทางด้านพระองค์หญิงทั้งสี่ เพื่อมิให้เกิดการผิดพลาดขึ้นได้
การเข้าทำร้ายแก่องค์ท่านท้าวนิลกาฬขอให้เป็นหน้าที่ขององค์หญิงทั้งสี่และเหล่าทหารหญิงทั้งหมด
 ท่านพ่อปู่ราชครูและองค์ยุพราช เจ้าหญิงจะเห็นเป็นประการใดเล่า” 
       องค์ทัศยุราชันย์ทรงดำรัสพลางหันมาถาม
    “เหมาะด้วยประการทั้งปวงแล้ว พระเจ้าข้า” ท่านมหาราชครูเสริมขึ้น
    “ พระหม่อมก็เห็นชอบทุกประการด้วยพระเจ้าข้า เพค่ะ”  เจ้าชายและเจ้าหญิงทรงตรัสพร้อมเพรียงกัน
     “หากมิมีผู้ใดเห็นไปมากกว่านี้อีก เป็นอันว่าแผนการนี้พวกเราตกลงจะทำตาม ข้าพเจ้าขอเชิญทุกๆท่าน
จงตระเตรียมวางกำลังพลเพื่อจะเข้าสู้รบในวันพรุ่งนี้จะได้มิมีการติดขัดแต่ประการใดหรือว่าเรามา
หาความผ่อนคลายอารมณ์กันสักประเดี๋ยวหนึ่งก็จะเป็นการดี ทำให้สมองเราปลอดโปร่งคิดอะไร
จะได้แจ่มใสดีขึ้นกว่าการหมกมุ่นเกินไป”
         ทรงตรัสแล้วพระองค์ก็เข้าไปจูงพระหัตถ์เจ้าชายทั้งสองเดินเคียงคู่กันออกไปยังสวนอุทยาน
ภายในพระตำหนัก ทำให้เจ้าชายต่างเมืองทรงปลาบปลื้มพระหฤทัยแก่องค์พระยุพราชทั้งสองยิ่งนัก 
ซึ่งทรงมิได้ถือพระองค์แต่ประการใด
     ครั้นเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นต่างก็ทรงนำทัพของตนออกจากประตูเมืองเข้าสู่สมรภูมิทันที  ต่างพระองค์ทรง
แยกย้ายกันไปตั้งรับศึกตามที่ได้วางแผนกันไว้แต่แรกแล้วต่างแยกออกเข้ารับศึกทันที    
     ฝ่ายสหัสสะขันธ์ซึ่งนำทัพหน้าด้วยไพร่พลมหาศาลกรีฑาทัพมาถึงกำแพงเมือง  ฝ่ายเมืองนาครินทนาคร
ก็จัดทหารออกมายังนอกกำแพงเพื่อรับศึกในครั้งนี้แล้วด้วยเหมือนกัน  เมื่อทั้งสองทัพเผชิญหน้าต่อกันต่าง 
รีบสั่งแก่ทหารตนรีบเข้าโจมตีทันที   องค์ทัศยุราชันย์ที่ทรงประทับบนจักรเพชรที่หมุนลอยละล่อง
นำเข้าสู่ทางทัพหน้าเมืองกาฬคีรีนครทันทีท่ามกลางรายล้อมของเหล่าขุนทหารทั้งปวง  
พระองค์ก็ทรงสั่งให้เหล่าทหารของพระองค์เข้าต่อต้านรับศึกการโจมตีของเหล่าบรรดาทัพของ
แม่ทัพหน้าสหัสสะขันธ์ ซึ่งต่างดาหน้าพากันโห่ร้องชักอาวุธต่างๆพุ่งทะยานเข้ามาหารบพุ่งกับทหาร
ของพระองค์ที่กระจายเป็นแถวหน้ากระดาน   องค์ทัศยุราชันย์ พระหัตถ์ขวาทรงคันศร   
 พระหัตถ์ซ้ายทรงดาบวิเศษ กวัดแกว่งพระแสงดาบเข้าฟาดฟันเหล่าทหารอสูร   ส่วนพระคันศร
ก็ใช้ตีเหล่าทหารจนแตกพ่ายกระเจิงไปตามกัน จนลุล่วงเข้าไปยังเบื้องหน้าของแม่ทัพสหัสสะขันธ์   
ทั้งสองก็เข้าโรมรันพันตูกัน ทางฝ่ายด้านสหัสสะขันธ์ก็ใช้กระบองเพชรเข้ารับรุกต่อสู้กับดาบวิเศษ
จนเกิดประกายไฟแปลบปลาบไปทั่วบริเวณสนามรบที่ต่างรบพุ่งกันอย่างชุลมุนและห้าวหาญ
        ท่านแม่ทัพสหัสสะขันธ์ พลันถอยกายหลบไปด้านข้างล้วงหยิบเอาตุ๊กตาที่ปั้นเป็นรูปมังกรเจ็ดหัว
 สามตัว พร้อมร่ายพระเวทย์มนต์โยนรูปปั้นนั้นทั้งสามตัวไปยังเบื้องอากาศทันที  พลันรูปปั้นก็ได้
กลับกลายเป็นมังกรยักษ์พากันพ่นไฟและรุกไล่ทหารของนาครินทนาครจนแตกเป็นช่อง
 ส่วนกระบองเพชรก็กลับกลายเป็นกระบองจำนวนมากเข้ารุกไล่ทหารนาครินทนาครอยู่ตลอดเวลา 
 ต่างพากันล้มรุกคลุกคลานไปทั่วบริเวณบ้างก็ใช้อาวุธวิเศษของตนเข้าต่อต้านกันเสียงดังสนั่นไปทั่ว 
 บนฟากฟ้าก็เนื่องแน่นไปด้วยทหารต่างเข้าสับยุทธ์ทั้งทางอากาศและทางพื้นดิน   เหล่าทหารนอน
กระจายไปทั่วเต็มไปด้วยศพทหารและเลือดที่รินหลั่งไหลนอง ต่างก็ส่งเสียงร้องโหยหวนระงมไปสิ้น
     องค์ทัศยุราชันย์พระองค์ก็ทรงหยิบบ่วงนาคบาศขว้างเข้าใส่ยังมังกรยักษ์พร้อมทั้งตรีเพชร  
บ่วงนาคราชก็แยกกันเข้ามัดร่างมังกรยักษ์ที่กำลังโลดแล่นอยู่มิให้ทำการแต่ใดได้ ตรีเพชรก็ส่งประกาย
วูบวาบเป็นวิชชุสายฟ้าเข้าทำลายร่างของมังกรยักษ์ทั้งสามตัวจนถึงแก่แตกสลาย   กลายเป็นจุลไปเสียสิ้น
ทั้งบ่วงนาคราชก็กลายเป็นพญานาคพร้อมด้วยตรีเพชร พุ่งเข้าหากระบองเพชรทั้งหลายที่กำลังไล่ตี
เหล่าทหารนาครินทนาครอยู่พร้อมกัน   ช่วยเข้าต่อสู้กันเป็นพัลวัน กระบองเพชรมิอาจต้าน
มหาศาสตราอาวุธท่านจอมมหาเทพทั้งหลายได้ก็ถึงแก่กาลอวสานทันที   พญานาคราชก็กลับกลายเป็น
บ่วงวงไฟขนาดใหญ่เข้ารัดตัวสหัสสะขันธ์อสูร  ส่วนตรีเพชรก็เข้าตัดศีรษะแม่ทันใหญ่
แห่งเมืองกาฬคีรีนครหลุดออกจากคอตกยังพื้นดิน ร่างล้มหงายถึงแก่สิ้นชีวิตทันที   เหล่าทหารเอก
ขององค์ทัศยุราชันย์อันได้แก่อัสนี วายุ พินทุและพิรุณซึ่งนำโดยแม่ทัพวีระพิชัย และวิษณุเดชะ
จัดแยกแบ่งกำลังเป็นซ้ายขวานำทหารเข้าต่อสู้กับทหารเอกของสหัสสะขันธ์ด้วยอาวุธวิเศษต่างๆนาๆ
เหล่าอาวุธทั้งหลายก็บินกระจายเต็มไปทั่วทั้งสนามรบบนดินและบนฟากฟ้า  ทหารอสูรต่างถอยร่นไป
จนถึงหน้าของทัพหลวงท่านท้าวนิลกาฬที่ทรงพระราชรถเทียมด้วยอาชาล่ำพีทั้งเก้าตัวจนอลหม่าน
ไปทั่วบริเวณทัพทั้งซ้ายและขวาพระองค์    ทางด้านปีกซ้ายซึ่งองค์พระยุพราชนิละกาสูรย์นำทัพ
ก็เข้าปะทะกับองค์พระยุพราชโกเมศกุมารทรงกรีฑาทัพเข้าต่อสู้ประจัญบานกันจนชุลมุนวุ่นวายไปทั่ว
ต่างส่งเสียงร้องระงมแว่วมิขาดสาย  ทางด้านปีกขวาทัพของยุพราชอหิงสากุมารก็เข้าปะทะกับ
องค์พระยุพราชสิงหะฤทธาทันทีซึ่งไพร่พลของทั้งสองทัพที่เข้าต่อสู้กับยุพราชนิละกาสูรย์
 ยุพราชอหิงสากุมาร  การต่อสู้มิแต่เพียงพระยานาคราชกับมนุษย์กึ่งราชสีห์ก็หาไม่   ยังประกอบ
ไปด้วยไพร่พลทหารทโมนไพรและเหล่าอสรพิษทั้งหลายพากันเข้าทุบตีขบกัดกับเหล่าทหาร
เมืองอหิงสากะนครและกาฬคีรีนครจนต้องหลบหลีกสัตว์ร้ายเหล่านี้เป็นพัลวัน ทโมนไพรบ้าง
จับร่างของทหารอสูรฉีกแยกร่างเป็นสองข้าง นำเอาศพทหารมาต่อสีกับฝ่ายอสูรแทนอาวุธที่สูญหาย
บ้างก็ใช้อาวุธคล้ายกระบองสีดำหวดฟาดบรรดาเหล่าทหารอสูรดึงตัวมาขบกัดฉีกร่างขาดกระจาย
ส่วนเหล่าอสรพิษของหาได้น้อยหน้าแต่ประการใด อสรพิษแต่และตัวรูปร่างใหญ่โตเท่าต้นตาลเข้า
รัดร่างทหารอสูรจนขาดใจตาย ด้านส่วนหางก็ฟาดบรรดาทหารกระเด็นไปหากหลบมิได้ก็ถูกหางนั้น
ฟาดจนตกตายไป ส่วนท่อนหัวก็เข้าขบกัดและพ่นฟองพิษใส่เข้าใบหน้าทหารอสูรจนดำลุกไหม้ไป
ส่วนด้านบนอากาศก็เจอกับพวกปักษีร่างยักษ์เที่ยวโฉบเฉี่ยวขยุ้มด้วยกรงเล็บอันแหลมคม ทางด้าน
บนดินก็เจอเหล่าต่อแตนซึ่งมีขนาดใหญ่โตเข้าไล่ต่อยใบหน้าและร่างกายไม่อันเป็นการสู้รบทันที
การต่อสู้ของเหล่าสัตว์ร้ายทั้งหลายเหล่านี้สร้างความปั่นป่วนให้เกิดกับกองทัพอสูรเป็นล้นพ้น
        ครั้นทัพหน้าของเมืองกาฬคีรีนครแตกพ่ายร่นถอยไปนั้น ทางองค์ทัศยุราชันย์และพระมเหสี
เจ้าหญิงดาริกา เจ้าหญิงมณีกานต์ เจ้าหญิงปทุมวดีและเจ้าหญิงเฌอมาลย์แห่งนครนิละวานร
ที่ต่างทรงพระราชพาหนะประกอบด้วยเหล่าสัตว์ที่ทรงพะลานุภาพยิ่ง อาทิเช่นพระยาราชสีห์ 
พระยาคชสีห์ วายุภักดีปักษีและพระยาหงส์ทองทรงนำเหล่าทหารหญิงล้วนในนครนาครินทนาคร
และเมืองรัตนานคร เข้ารบพุ่งกับเหล่าทหารของเมืองกาฬคีรีอย่างดุเดือดมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันไล่รุก
 เข้าไปจนล่วงเข้าสู่หน้าพระราชรถของท่านท้าวนิลกาฬที่พระองค์ทรงประทับบนพระราชรถเทียมอาชา
ศึกเก้าตัว ที่รายล้อมไปด้วยเหล่าขุนทหารเอกรูปร่างกำยำทั้งหลายต่างพากันแยกย้ายกระจายกำลังเข้า
ต่อสู้กับเจ้าหญิงทั้งสี่และทหารหญิงทันทีอย่างสุดความสามารถ ปกป้องท่านท้ายนิลกาฬอย่างสุดชีวิต
        ส่วนบนแพงเมืองท่านมหาราชครูสิริปัญญา ก็อ่านพระเวทย์มนต์ต่างๆมุกแก้วประจำเมือง
ก็ยิ่งแผ่พะลานุภาพโชติช่วงชัชวาลกระจายแผ่เข้าปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณรายรอบภายในกำแพง
และกระจายออกไปสู่สนามรบทันทีบัดดลนั้นพลันปรากฏเสียงคำรามกึกก้องและเสียงหวีดหวิวแผ่ไป
ทั่วปรากฏเป็นฝูงพยัคฆาลายพาดกลอนที่ปกปักรักษาขุนเขาและเหล่าต่อแตนฝูงใหญ่สีทองอร่ามทั้งตัว
ต่างพากันมาจากยอดเขาต่างๆที่รายล้อมรอบบริเวณอาณาเขตนาครินทนาครพุ่งตรงเข้าไปยังเหล่าทหาร
อสูรที่กำลังรบพุ่งกันนั้น พากันเข้าตบ ขบกัดไล่ต่อยพัลวันด้วยพิษสงอันร้ายกายเข้าร่วมตัวก็พวกต่อแตน
สีดำคาดเหลืองที่ช่วยเข้าต่อสู้รบกันอยู่ก่อนแล้วยิ่งเพิ่มพาลานุภาพของเหล่าตัวต่อแตนขึ้นเป็นทวีคูณ
ส่วนเสือลายพาดกลอนก็มีรูปร่างใหญ่โตกว่าเสือทั่วๆไป แยกย้ายกันเข้าตบกัดเข้าใส่บรรดาทหารอสูร
อย่างมิเกรงกลัว ที่เสียชีวิตไปก็มีมาก ส่วนที่ยังไม่เสียชีวิตก็ไม่กลัวแม้แต่อาวุธวิเศษที่เข้ารุมล้อมแต่อย่างไร
ต่างก็ช่วยประสานงานกับบรรดาทโมนไพรยักษ์เหล่าอสรพิษตัวต่อแตนอย่างสมานสามัคคียิ่ง
				
ภาพประกอบล่างเป็นของคุณ เฌอมาลย์ ขอรับ....แก้วประเสริฐ.				
comments powered by Disqus
  • เฌอมาลย์

    6 ธันวาคม 2549 14:26 น. - comment id 94124

    ที่1 เย้ๆๆ
  • เฌอมาลย์

    6 ธันวาคม 2549 14:32 น. - comment id 94125

    ทโทนไพรมาแล้วเจ้าคร่า27.gif
  • แก้วประเสริฐ

    6 ธันวาคม 2549 15:28 น. - comment id 94131

    36.gif16.gif36.gif
     คุณ เฌอมาลย์
    
           ดีใจด้วยจ้า อิอิ
    
           16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • แก้วประเสริฐ

    6 ธันวาคม 2549 15:30 น. - comment id 94132

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ  เฌอมาลย์
    
              เจ้าหญิงเฌอมาลย์เทพธิดานะขอรับหาใช่
    ทโมนไพร ด้วยไม่เคยแปลงเป็นทโมนไพรสักที
    หรือว่าจะแปลงละครับ อิอิ
    
                    16.gifแก้วประเสริฐ16.gif
  • ยายแม่มดน้อย

    6 ธันวาคม 2549 16:28 น. - comment id 94135

    คุณชาย  ..ช่างจินตนาการ....
    
    เอาศพมาแทนอาวุธ....อืม    รึว่าเป็น
    
    กุมารทองคะ......30.gif57.gif
  • แก้วประเสริฐ

    6 ธันวาคม 2549 19:43 น. - comment id 94136

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ ยายแม่มดน้อย
    
             จินตนาการก็แบบนี้แหละครับ กุมารทองนั่น
    ขุนแผนเน๊อะ
    
                  16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน