การชื่นชมพระจันทร์อย่างแท้จริง

คีตากะ

ครั้งหนึ่งขณะที่ผมกำลังนั่งสมาธิในตอนเช้าตรู่วันหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนกับถูกแรงที่ทรงพลังมากอย่างหนึ่งดึงขึ้นไปสูง เป็นแรงที่มากพอที่จะขยับเขยื้อนสวรรค์และโลกได้ทีเดียว ผมพุ่งขึ้นไปได้ด้วยความเร็วที่สูงมาก ทันใดนั้นเอง จิตวิญญาณของผมก็ถูกปลดปล่อยจากพันธะทางร่างกายไป จิตสำนึกของผมเข้าไปสู่ระดับที่ไม่เคยมีแบบนี้มาก่อนและไม่สามารถจะบรรยายได้ กระบวนการทั้งหมดเหมือนกับเป็น "การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่" ความคิดอะไรต่างๆในหัวของผมอันตรธานหายไปหมดสิ้นในทันที มันเหมือนกับที่บรรดาอาจารย์เซ็นในสมัยโบราณกล่าวไว้ว่า "ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หายไปหมด"
          ผมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและอยู่เหนือพ้นจากกาลเวลาและสถานที่ เข้าสู่ "สภาวะของจิตสำนึกที่ศักดิ์สิทธิ์" ที่เหมือนจะมีอยู่ตั้งแต่การเริ่มต้นของกาลเวลา และเป็นสิ่งที่คงอยู่ตลอดกาล ในตอนนั้น ในใจของผมเต็มไปด้วยความสุขและมีความเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ผมรู้สึกว่ากำลังอยู่ในมหาสมุทรของความรักที่ผมได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับมันไปแล้ว รู้สึกเหมือนกับเป็นลูกแกะที่หลงทางที่ได้กลับมาสู่อ้อมแขนของแม่อีกในที่สุด เป็นความรู้สึกที่ปลอดภัยและดลจิตใจแบบที่มิอาจจะหยั่งวัดได้
          ขณะเดียวกัน, ในความมืดมิดนั้นก็มีวงรัศมีซึ่งตรงกลางส่องแสงสีขาวสว่างเจิดจ้ามาปรากฏขึ้น แต่ถึงแม้ว่าแสงนี้จะสว่างจ้ามาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เคืองตาเลย และดูเหมือนว่ามันมีพลังอันมากมายไม่จำกัด คลื่นแสงเหล่านั้นไม่เพียงแต่ทำให้หัวใจของผมสว่างไสวขึ้นเท่านั้น แต่ยังได้ปลุกปัญญาสูงสุดที่นอนหลับไหลอยู่ภายในตัวผมมาแสนนานให้ตื่นขึ้น
         ด้วยพรแห่งพลังความรักและแสงอันเจิดจ้านี้ ผมก็ได้ตระหนักขึ้นมาทันทีราวกับว่าเพิ่งจะตื่นขึ้นมาจากความฝันว่า " โอ ! ชีวิตบนโลกนี้ช่างเป็นเหมือนความฝันจริงๆ และทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสร้างขึ้นมาจากจิตใจของเราจริงๆ" ผมได้เข้าใจอย่างเต็มที่แล้วในสิ่งที่เขียนอยู่ในวัชรสูตรว่า " เราไม่ควรจะยึดติดกับสิ่งใดๆ แล้วธรรมชาติเดิมแท้ของเราก็จะปรากฏขึ้น"
          ผมยังได้เข้าใจตลอดที่ท่านโพธิธรรมได้กล่าวว่า "เราจะไม่มีทางได้รู้จักพุทธะ ถ้าเราค้นหาด้วยจิตใจของเรา" จากการที่ได้ผ่านการค้นหา ต้องดิ้นรนต่อสู้ และมีความคิดต่างๆที่ขัดแย้งกันอยู่ในใจมากมาย ในที่สุด ผมก็ได้พบ 
 " ธรรมชาติพุทธะ" ที่พระพุทธเจ้าได้พูดถึง หรือ "พระจิตศักดิ์สิทธิ์" ที่พระเยซูพูดถึง หรือ "เจ้าแห่งปัญญา" ในศาสนาอิสลาม หรือ "หรือจิตสำนึกที่สูงสุด" ในภควัทคีตา ผมได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ที่สุดว่า "สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน และทุกๆคนมีธรรมชาติพุทธะจริงๆ"
          ผมไม่รู้ว่าประสบการณ์นี้กินเวลานานเท่าไร แต่ในที่สุดผมก็ออกมาจากสมาธิ แล้วก็รู้สึกกระชุ่มกระชวย มีความสุข ความสบายใจที่สุด ร่างกายของผมมีกระแสความสุขและแรงสั่นสะเทือนอันน่าภิรมย์ไหลเวียนไปทั่ว หัวใจของผมเป็นอิสระเสรีเต็มไปด้วยความสงบ เมื่อมองดูในกระจก ผมก็พบว่าตัวผมเหมือนกับเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หน้าตาสดใสขึ้นมาก ผิวเรียบลื่นและอ่อนนุ่มขึ้นราวกับผิวของเด็กเล็กๆช่องทางเดินของพลังงานในตัวผมถูกเปิดออกตลอดทั่วทั้งร่าง ผมรู้สึกว่ามีกระแสพลังวิ่งขึ้นมาจากส่วนที่อยู่ต่ำกว่าท้อง มาตามส่วนหลังทางด้านล่างและเคลื่อนขึ้นไปสู่ด้านบนสุดของศรีษะเป็นระลอกๆตลอดเวลา และมันดูราวกับมีรูที่เปิดอยู่ตรงกระหม่อมอยู่รูหนึ่ง เมื่อใดก็ตามที่ผมเพ่งความสนใจตรงนั้นก็จะสามารถรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนระดับสูงอย่างหนึ่งจากเบื้องบนที่ไหลผ่านรูนั้นลงมาอยู่ตลอดเวลา และจิตสำนึกของผมก็ผ่านออกไปทางนั้นเสมอ เพื่อจะได้พบกับ "การระเบิดอย่างรุนแรง" อีก แล้วก็เข้าสู่โลกที่สงบสบาย
           แต่ยังมีสิ่งที่มากกว่านี้อีกด้วยนั่นคือ ผมยังค้นพบว่า ดูเหมือนว่าผมจะสามารถใช้ "รู" นั้นหายใจได้ด้วย ! มีการแปลงร่างทั้งทางกายและใจจริงๆ เป็นการ "เกิดใหม่จากการอาบแช่อยู่ในแสงอันยิ่งใหญ่" อะไรอย่างนี้!
            ไม่นานหลังจากนั้น มีการจัดฌานขึ้นที่ซีหู บังเอิญเป็นช่วงเทศการไหว้พระจันทร์ ดังนั้นอาจารย์จึงมาร่วมสนุกกับลูกศิษย์เป็นพิเศษ มีการจุดประทัดด้วย ตอนนั้นผมทำหน้าที่เป็นธรรมบาลอยู่ จึงโชคดีที่ได้อยู่ใกล้ๆอาจารย์
             ทันใดนั้นผมก็ได้ยินอาจารย์อุทานว่า " โอ้ ! ทุกคนดูสิ! พระจันทร์ออกมาแล้ว ! " ถึงแม้ว่าผมจะเป็นธรรมบาลอยู่ผมก็ยังแหงนหน้าขึ้นไปดูตามอาจารย์ด้วย " โอโฮ ! พระจันทร์เต็มดวงเชียว! "  " โอ้โฮ ! สวยจริงๆ !"  เสียงคนพูดชมเชยกันไปทั่ว แต่ว่าหัวใจของผมกลับไปอยู่ที่อื่น ผมรู้สึกแต่ว่าภาพเบื้องหน้านี้ดูคุ้นเคยมาก ราวกับว่าเคยเห็นมันมาก่อน แล้วผมก็คิดอะไรได้ " โอ้! นี่เอง! "  "นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยเห็นมาก่อนในการนั่งสมาธิบางครั้งหรอกหรือ?! " ถึงแม้ว่าพระจันทร์ตอนนี้จะไม่สว่างเท่าแสงสีขาวในภาพที่ผมเห็น แต่มันก็เหมือนกันจริงๆ! ผมไม่สงสัยในเรื่องนี้เลย
              นับแต่นั้น ในเวลาเงียบๆตอนกลางคืน ผมก็ชอบมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีดาวอยู่เต็มแล้วก็มองค้นหาไปเรื่อยๆเวลาที่ผมเห็นพระจันทร์ที่สว่างสุกใสอีก ความรู้สึกอันลืมไม่ลงนี้ก็จะผุดขึ้นมาในใจอีกครั้ง ผมจะถือโอกาสนี้เพื่อเตือนใจตัวเองเสมอ ไม่ให้หลงยึดติดอยู่กับภาพลวงตาของโลกภายนอก แต่ว่ามองหาอาณาจักรชั่วนิรันดร์ของพระเจ้าภายใน!
              โอ! ท่านอาจารย์, ศิษย์ของท่านได้เข้าใจในที่สุดแล้วว่า ทำไมคนในสมัยโบราณจึงอยากชมพระจันทร์!.......................................................				
comments powered by Disqus
  • maimao (ไม่ได้ log in)

    8 มกราคม 2551 23:34 น. - comment id 98861

    ^^ ดีค่ะ น่าชื่นชม น่าชื่นชม 
    นับเป็นธรรมทานที่ดียิ่งนักแล
    
    หากเรายังคงมัวเมา ลุ่มหลง และยึดติด
    ก็ยากที่จะพบความสุขที่แท้จริงจากภายใน
    
    หลายคนพูดได้ ทำไม่ได้ (ไม่เว้นแม้แต่ตัวเราเอง แหะๆ) 55.gif
    
    ขอบคุณสำหรับ บทความดีๆค่ะ 11.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน