รถเมล์

PoohBear ณ City on Fire

กิจวัตรในตอนเช้าของผมคือ การรอรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์ มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ผมก้าวขาแตะพื้นเมืองหลวงก้าวแรก ผมจึงผูกพันกับรถเมล์พอๆกับแฟนผมเลยทีเดียว ก็แน่นอนล่ะครับ ผมขึ้นๆลงๆมันทุกวัน ไม่ต่างกับยกหูวางหูโทรศัพท์จากแฟนทุกๆคืนก่อนนอน
เช้านี้ผมออกมานั่งรอรถเมล์ที่ป้ายเร็วกว่าปกติ แต่ผมแปลกใจว่าทำไมวันนี้รถเมล์สายที่ผมขึ้นทุกๆเช้ามันไม่มาสักที รอสิบห้านาที สามสิบนาที สี่สิบห้านาที ก็ยังไม่มา ผมตัดสินใจขึ้นรถเมล์คันที่คาดว่ามันน่าจะผ่านที่ที่ผมจะลงไปก่อน เมื่อขึ้นรถเมล์ปุ๊บ ผมควักเงินหมดทั้งตัวทั้งหมดเจ็ดบาทถ้วน เตรียมจ่ายค่าโดยสาร แต่ทว่าผมมองไม่เห็นกระเป๋ารถเมล์เลย แปลกไหมครับถ้ารถเมล์จะไม่มีกระเป๋ารถเมล์มาคอยเดินเก็บเงิน ผมจึงนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างรอกระเป๋าเดินมาเก็บเงิน
ภาพที่ผมมองออกไปมันแปลกตากว่าที่เคย ผมชักรู้สึกชอบรถเมล์สายนี้มากๆแล้วสิครับ ภาพวิวนอกหน้าต่างจากจุดที่ผมนั่งมันสวยจับใจมาก ผมเปลี่ยนมุมโดยลองมองผ่านกระจกหน้าบ้าง ผมเห็นภูเขาอยู่ไกลลิบนั่น รถเมล์ต้องวิ่งขึ้นภูเขาแน่ๆ ผมมั่นใจในศักยภาพของรถเมล์เสมอครับ ผมไม่ใช้รูปลักษณ์เก่าใหม่ภายนอกของรถเมล์เป็นตัวตัดสินในการขึ้นโดยสาร ตอนนี้ผมก็นึกในใจเสมอว่า ภูเขาเบื้องหน้าที่ปกคลุมไปด้วยเมฆฝนนั่นคงไม่ใช่อุปสรรคที่จะทำให้รถเมล์คันนี้ที่ผมโดยสารต้องหยุดทำหน้าที่ลง เพราะสิ่งที่ผมรู้สึกตอนนี้คือ พื้นถนนขรุขระเหลือเกิน รถเมล์โยกเยกไปมาราวกับมันจะหักลง แต่ก็กลับมาทรงตัวได้ทุกที ผมยังมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเดิม ภาพที่ผมเห็นตอนนี้คือ มีรถเมล์ที่ยังวิ่งอยู่บนถนนสายนี้เพียงไม่กี่คัน ส่วนใหญ่ถูกจอดไว้ข้างทางเรียบร้อยแล้ว ผมลองสังเกตดูว่ามีใครยังเหลืออีกหรือไม่ ปรากฏว่าเจ้ารถเมล์เหล่านั้นถูกทิ้งร้างไว้นานมากแล้ว ฝุ่นจับหนาทีเดียว น่าเสียดาย บางคันยังคงสภาพใหม่เอี่ยม บางคันเก่าจนสภาพไม่สามารถเรียกว่ารถเมล์ได้แล้ว
รถเมล์แล่นมาจนถึงตีนเขาแล้ว กระเป๋ารถเมล์ก็ยังไม่มาเก็บเงิน อยู่ดีๆรถเมล์ก็ต้องหยุดกึกกะทันหัน ท่าทางรถเมล์คงจะเสียเป็นแน่ ภายนอกรถเมล์ฝนตกอย่างบ้าระห่ำ ถ้าออกไปภายนอกก็คงเปียกแน่ๆ ผมได้ยินเสียงคล้ายๆกับเครื่องยนต์ดังแปลกๆ ต่อมปอดแหกของผมทำงานอย่างหนัก มันบังคับให้ผมลงจากรถ ทั้งที่รู้ว่าต้องเปียก แต่ผมก็เลือกที่จะลงมา เพียงแค่เท้าทั้งสองข้างของผมแตะพื้น แต่มือของผมยังจับอยู่ที่ราวบันไดของรถเมล์ ผมยังไม่ทันตั้งตัว รถเมล์กลับแล่นออกไปราวกับไม่เคยมีอาการเสียมาก่อน ผมเซเล็กน้อย แล้วจึงมองไปทางด้านซ้าย ทางด้านขวา มีเพียงเพิงเล็กๆให้พอหลบฝนได้ ผมจึงตัดสินใจเข้าไปหลบฝนข้างในนั้น หนาวเหลือเกินกับสายฝนครั้งนี้ ผมยังแปลกใจ ว่าเหตุใดผมจึงต้องถูกบังคับให้ลงจากรถเมล์นั้นจนต้องมาเปียกอย่างผู้แพ้อย่างนี้ ผมตัดสินใจโทรหาเพื่อนสนิททันทีที่รู้ตัวว่าหัวผมไม่ถูกกระทบจากหยาดฝนแล้ว ผมร้องไห้อย่างคนเสียสติพูดจาไม่เป็นภาษา แต่เพื่อนสนิทผมก็ยังคงทนฟังผม แม้เสียงคลื่น เสียงลม เสียงฝนตกกระทบหินจะรบกวนการสนทนาตลอดเวลา
ผมคุยกับเพื่อนผมได้ไม่นานนัก ลมเจ้าพายุก็พัดเพิงที่ผมอาศัยหลบฝนหายไปกับตา ในขณะเดียวกับที่เพื่อนผมก็ขอวางสายก่อนเนื่องจากรถเมล์ของเพื่อนผมมาแล้ว เดี๋ยวจะก้าวพลาดตกรถอีก เพื่อนผมทิ้งท้ายไว้อย่างน่าประทับใจ ถ้าแกมีอะไร โทรหาข้าได้เลยนะ ข้าจะพยายามรับสายแก ผมประทับใจกับมิตรภาพของเพื่อนคนนี้มาก อย่างน้อยผมก็รู้ว่าถ้าผมถูกบังคับให้ลงจากรถเมล์เมื่อใด ผมยังมีเพื่อนไว้คอยเป็นที่พักใจเสมอๆ
เวลาผ่านไปกว่าสองชั่วโมง ไม่มีรถเมล์วิ่งผ่านมาเลย คงเป็นเพราะถนนที่มีสภาพขรุขระเกินไป รถเมล์ต่างพากันเสีย ผู้โดยสารในรถต่างก็ต้องแยกย้ายหาทางไปจุดหมายใหม่ ผมก็เป็นผู้โดยสารคนหนึ่งที่ต้องหาวิธีไปยังจุดหมายของผมใหม่ แน่นอนล่ะครับ เมื่อผมผูกพันกับรถเมล์แล้ว ผมก็คงต้องรอรถเมล์เช่นเคย
กฎหมายเมืองไทย ไม่อนุญาตให้รถเมล์จอดรับผู้โดยสารนอกป้ายเสียด้วย แม้ว่าผมจะเคยเห็นรถเมล์แอบจอดรับผู้โดยสารกลางทางที่ขรุขระก็ตาม แต่สุดท้ายไม่นานนัก ผู้โดยสารคนนั้นก็ต้องวิ่งตากฝนลงมาเช่นกัน ผมก้มหน้าเดินย้อนกลับไปทางที่ผมนั่งรถผ่านมา หวังเพียงว่าถ้าผมไม่เจอป้ายรถเมล์ อย่างน้อยก็ขอเจอเพิงพักอีกก็แล้วกัน ตอนนี้ผมคงจะป่วยแล้ว หายใจไม่ค่อยออก หูตามันดับมืดไปหมด ถ้าเจอเพิงให้พอหยุดพักได้สักนิดก็คงจะดี จะได้มีแรงเดินหาป้ายรถเมล์ต่อ 
ไม่ถึงสิบนาที มีคนใจดีขับรถเก๋งป้ายแดงมา จอดถามว่าผมจะไปไหน แล้วเขาก็รับผมขึ้นรถไปด้วย บรรยากาศในนั้นอึดอัดมากครับ ผมสงสัยว่าอากาศจะบางเบาเหมือนกับยอดเขาสูงมากเกินไป ผมหายใจไม่ออก ผมขอคนขับลงกลางทาง แต่ทว่าเขายังอยากให้ผมร่วมทางไปต่อ จนในที่สุดผมหมดสติ...ผมตื่นขึ้นมาในช่วงเย็นแล้ว สังเกตได้จากพระอาทิตย์ที่เริ่มจะลับขอบฟ้าอีกครั้ง ผมนั่งอยู่ในเพิงพักริมทาง เบื้องหน้าที่ผมเห็นคือ สายฝนที่ยังคงโปรยปรายอยู่ อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องดีๆคือ 1. ผมไม่ได้อยู่บนรถเก๋งป้ายแดงอีกแล้ว ผมหายใจได้สะดวกขึ้นแล้ว  2. ฝนตกน้อยลงแล้ว อีกไม่นานผมคงสามารถเดินหาป้ายรถเมล์ได้
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนสนิทผมอีกครั้ง ครั้งนี้สัญญาณไม่ค่อยดีนัก คงเป็นเพราะสภาพอากาศในรถเมล์ที่เพื่อนผมขึ้นอยู่ คงจะอับคลื่น ได้ยินเพียงเสียงอู้อี้ ผมจึงตัดสินใจวางสายไป ในขณะเดียวกับที่เพิงที่ผมพักอยู่ หายไปราวกับมีคนเสกให้เป็นเช่นนั้น ผมจำต้องออกเดินหาป้ายรถเมล์อีกแล้วสินะ
ผมประหลาดใจมาก เดินมาเพียงไม่ถึงนาที ก็กลับมาอยู่ที่ป้ายรถเมล์ที่ผมรอรถเมล์ทุกเช้า ผมดีใจจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปพักผ่อนสักครู่ รอรถเมล์คันใหม่  ในระหว่างนั้น ผมตัดสินใจโทรหาแฟนผม... ไร้เสียงตอบรับ หลังจากที่คุยกันเมื่อคืนก่อน แฟนผมคงไม่พอใจนักที่ผมดุเขามากเกินไป เธอจึงบ่นๆๆๆ แล้วก็ตัดสายไป ตอนนี้ผมพยายามติดต่อเธออีกครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ ผมดูนาฬิกาที่ข้อมือ ถึงกับตะลึงเมื่อนาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มสี่สิบห้า ผมต้องกลับที่พักแล้ว ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ผมคงตื่นไม่ไหวเพราะหวัดรุมทำร้ายแน่ๆ แต่ก่อนจะกลับเข้าที่พัก ผมยังคงชำเลืองมองรถเมล์อีกเช่นเคย ถ้ารถเมล์มาคราวนี้ผมตั้งใจว่าจะขึ้นไปหลับพักผ่อนบนรถเมล์ รถเมล์วิ่งมาแล้วไกลๆ ใช่จริงๆ รถเมล์อีกสายที่จะผ่านปลายทางของผม ผมก้าวขึ้นรถเมล์อย่างรวดเร็วขณะที่รถเมล์ยังจอดเทียบท่าได้ไม่สนิท ผมผล็อยหลบไปโดยไม่ได้คำนึงถึงค่าโดยสารที่ยังไม่ได้จ่ายแต่อย่างใด
	
ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดไป รถเมล์แล่นมาถึงตีนเขาลูกเดิมอีกแล้ว เบื้องหน้ามีหมอกปกคลุมหนาแน่น ฝนและหิมะตกพร้อมๆกัน เป็นเหตุการณ์ที่ผมไม่เคยได้เห็นมาก่อน ทั้งๆที่รู้ว่าถ้ารถเมล์พังคราวนี้ ผมคงหนาวตายข้างนอกนั่นแน่ๆ ผมจึงพยายามไม่กระดุกกระดิกตัวใดๆ เพราะสภาพรถเมล์ที่ผมขึ้นมาคราวนี้เก่ามากจนขนาดที่ว่า ถ้ามีเสียงไอดังๆ เครื่องก็จะดับ ผมนั่งนิ่งๆอยู่บนเบาะผู้โดยสารโดยไม่ขยับร่างกายเลยแม้แต่น้อย แต่ผมแปลกใจมากที่ผมกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก รถเมล์คันนี้ทำให้ผมหลงรักเข้าอีกแล้ว ความอบอุ่นมันแผ่ปกคลุมไปถึงหัวใจของผม ผมพยายามนึกถึงแฟนเก่าของผมที่อายุมากกว่าผมถึงสิบสองปี ผมรู้สึกตัวเล็กมากๆเหมือนเป็นเด็กที่ต้องเชื่อฟังพ่อแม่อะไรอย่างนั้น แต่ผมก็ยิ้มได้เสมอที่ผมเห็นหน้าเธอ ผมหยิบโทรศัพท์โทรหาเธอเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไป แต่เธอกดตัดสายผม ก็เป็นเหมือนคราวที่เธอหายไปจากชีวิตผม คืนก่อนหน้าเธอยังคงดีกับผม ให้คำแนะนำก่อนสอบเป็นอย่างดี แล้ววันต่อมาเธอก็หายไปจากชีวิตผม ไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย
กึ่กๆๆๆๆๆๆๆ!!! เสียงรถเมล์ดังอีกแล้ว คงจะเกิดอะไรขึ้นไม่ดีกับรถเมล์อีกเป็นแน่ ผมยังไม่อยากลงเลย ข้างนอกหนาวเหลือเกินผมสัมผัสได้ ผมไม่อยากลง แต่ก็จำต้องลง เมื่อผมต้องเดินทางต่อไปข้างหน้า....
ผมลงมายืนอยู่ที่เพิงพักริมทางเช่นเดิม อากาศข้างไม่ได้หนาวแต่อย่างใด กลับอุ่นกว่าบนรถเสียด้วยซ้ำ นี่อาจเป็นเพราะตอนที่ผมอยู่บนรถเมล์ ผมคงนึกแต่ว่ารถเมล์จะต้องปกป้องผมตลอดไปกระมัง น่าขันตัวผมเองนักที่กลัวโลกแห่งความเป็นจริง เมื่อผมต้องอยู่คนเดียวในอากาศที่ผมมองว่าหนาวจากภายในที่อบอุ่นนั่น ผมก็รู้ทันทีว่า เมื่อตอนอยู่บนรถเมล์ผมมีอคติกับอากาศข้างนอกมากเกินไป...
อากาศดีๆเช่นนี้ ผมจึงตัดสินใจรีบเดินกลับทางเดิมไปหาป้ายรถเมล์เช่นเดิม...
กลับมาที่ป้ายรถเมล์อีกครั้ง การเดินหาป้ายรถเมล์ครั้งนี้ใช้เวลาเร็วกว่าครั้งก่อนๆ คงเป็นเพราะความอบอุ่นบนรถเมล์ที่ผมโดยสารคันก่อนนั่นแหละ ที่ทำให้ร่างกายผมอบอุ่นและพร้อมที่จะเดินกลับมาป้ายรถเมล์ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องโดนฝนสาดกระหน่ำจนร่างกายสะบักสะบอม มองดูนาฬิกาที่ข้อมือ ผมถึงกับตะลึงงันในทันที ตอนนี้สามนาฬิกาห้านาทีแล้ว ผมคงมีเวลาพักน้อยมาก แต่คงไม่เป็นไร เพราะร่างกายผมแข็งแกร่งพอควร นอนน้อยหน่อยน่าจะไม่เป็นไร...
ผมออกมาคอยรถเมล์ที่ป้ายในตอนเช้าเช่นเคย อากาศดีจนน่าประหลาดใจ การเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางของผมต้องดำเนินต่อไป ผมยังรอรถเมล์ที่เดิม เวลาเดิม...
กริ๊ง กริ๊ง! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เพื่อนผมนั่นเอง เพื่อนผมเป็นห่วงที่ผมออกเดินทางมาหลายครั้งหลายครา แต่ก็ยังไม่เจอรถเมล์คันไหนเลยที่จะสามารถพาผมไปยังจุดหมายปลายทางนั้นได้ ผมจึงเล่าเหตุการณ์เมื่อวานให้เพื่อนฟัง และก็บอกกับเพื่อนว่า อย่างไรก็ตาม ต่อให้เหนื่อยแค่ไหน นอนน้อยแค่ไหน หรือจะป่วยแค่ไหน ผมก็จะมาคอยรถเมล์ที่ป้ายนี้ต่อไป จนกว่าผมจะสามารถขึ้นรถเมล์ที่ถูกคันได้... ยังไม่ทันพูดจบเพื่อนผมก็ขอให้ผมถือสายไว้สักครู่ เสียงเพลงรอสายดังขึ้น แต่หูผมไม่ได้ฟังเพลงนั้นเลย ได้ยินแต่เสียงดังๆเท่านั้น ผมนึกถึงตัวเองระหว่างรอสาย สามปีแล้วในเมืองหลวงแห่งนี้ ทำไมผมยังขึ้นรถเมล์ไม่เป็นเสียที ขึ้นๆลงๆมาหลายรอบแล้ว... เพื่อนผมเรียกผมอีกครั้ง คุยกันสักพัก เพื่อนผมก็แนะนำว่าผมอาจจะเหมาะกับการเดินทางวิธีอื่นมากกว่า รถเมล์อาจจะไม่สะดวกนักกับปลายทางของผม แต่ผมก็บอกไปแต่เพียงว่า รถเมล์คือการเดินทางวิธีที่คลาสสิกที่สุดที่คนเมืองหลวงต้องรู้จักวิธีการขึ้น เพื่อจะเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง เมื่อขึ้นรถเมล์เป็นแล้ว จะไปไหนมาไหนด้วยวิธีใดก็จะสะดวกยิ่งขึ้นเพราะว่าเรารู้ทางแล้ว แต่ตอนนี้ผมยังไม่ชำนาญทางเลย ซ้ำจุดหมายปลายทางผมก็ยังไม่เห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ถ้าผมลัดข้ามวิธีคลาสสิกนี้ไป แล้วผมจะเดินทางเป็นได้อย่างไร เพื่อนผมยังไม่ทันตอบใดๆ มันบอกให้ผมถือสายรออีกครั้ง ครั้งนี้ผมได้ยินเสียงเพลงชัดเจนเลยทีเดียว....
เกลียดความรักที่ทำให้เราต้องเสียใจ แต่ยังค้นยังคอยจะหามันเรื่อยไป....
แล้วสายโทรศัพท์ก็ตัดลง ผมนั่งลงที่ป้ายรถเมล์ รอรถเมล์คันต่อไปเช่นเคย...				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน