คนดี..ที่เสียแล้ว

ลิลิต

( ๑ )                                                
                                                                 
        ลุงเสริม  เป็นคนที่ชาวบ้านร้านตลาดแถวนี้ รู้จักกันเป็นอย่างดี  เพราะเขาเป็นคนมีนิสัยเป็นกันเองกับทุก ๆคน และด้วยบุคคลิกลักษณะท่าทางที่เอาจริงเอาจัง เสมอต้นเสมอปลาย ทำให้เขามองดูเป็นคนที่น่าเชื่อถือ เขามีร่างกายที่แข็งแรง แม้พ้นวัยเกษียณมาแล้วหลายปี  แต่ก็ยังดูอ่อนกว่าอายุจริงมากนัก    ชาวบ้านในชุมชนชานเมืองแห่งนี้ ส่วนมากจะรู้จักลุงเสริม เป็นอย่างดี    การเป็นคนตรงไปตรงมา เสมอต้นเสมอปลาย ชอบช่วยเหลือคนอื่น คือเอกลักษณ์อันโดดเด่นของลุงเสริม     ทุกวันนี้ลุงเสริม อยู่กับภรรยาอย่างสุขสบาย กินเงินบำนาญของทางราชการ ลูก ๆ ก็มีครอบครัวทำงานทำการมีตำแหน่ง เป็นใหญ่เป็นโตกันหมดแล้ว   เขาชอบช่วยเหลืองานสังคม เป็นที่ปรึกษาของผู้นำชุมชนแห่งนี้  ช่วยเหลือชาวบ้านและทางราชการมาโดยตลอด เขาได้ชื่อว่าเป็นคนดีศรีสังคม คนหนึ่ง ซึ่งนานนับวันจะหายากมากขึ้นทุกที                                                                      
 
       ทุก ๆ เช้า ลุงเสริมจะหิ้วกรงนกกรงหัวจุก ออกจากบ้าน ไปนั่งที่ร้านกาแฟปากซอย เมื่อจัดการแขวนกรงนก ที่ราวเหล็กที่เจ้าของร้านทำไว้บริการลูกค้า หลังจากนั้น ลุงเสริม ก็จะนั่งจิบกาแฟ ฟังเสียงร้องของนกของตัวเอง ประชันกับนกของคนอื่น ๆ อีกหลาย ๆ ตัว ที่แขวนอยู่เรียงใกล้ ๆ กันด้วยความเอิบอิ่มใจ และในทุกเช้า การสนทนาของลูกค้าขาประจำก็จะดังขึ้นเซ็งแซ่ ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน จะใกล้หรือไกล ก็จะได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆเหล่านั้นได้ ณ ที่สภากาแฟแห่งนี้ ใครในชุมชนทำอะไรไว้ ก็จะไม่รอดพ้นสายตาของเหล่าสมาชิกสภากาแฟ ไปได้ มันเป็นจุดศูนย์รวมของข้าราชการที่เกษียณ ที่มาร่วมตั้งวงสนทนากัน มันเป็นความสุขอย่างหนึ่งของคนแก่ อย่าไปว่าพวกเขาเหล่านั้นแกเลยการสนทนามีตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ ไปถึงเรื่องใหญ่ ตั้งแต่เรื่อง ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ เรื่องการมุ้ง การเมืองมีหมด เรื่องพันธมิตร นปช.  นายกสมชาย ฯ คลิปฉาว โกงข้าว กินลำใย ..ลูกสาวใครหนีตามใคร ใครได้กับใคร ใครเลิกกับใคร หรือใครท้องกับใคร  มีมากมาย จิปาถะ ถ้าร้านกาแฟแห่งนี้เปรียบเป็นหนังสือพิมพ์ ก็มีข่าวตั้งแต่พาดหัวตัวใหญ่โต พาดหัวตัวรอง ๆ ลงมา เรื่อยไปจนถึงคอลัมน์เล็ก ๆ สำหรับเช้าวันนี้หัวข้อสนทนาสุดท้ายก่อนที่ลุงเสริม จะขับรถยนต์ไปทำธุระในตัวเมือง คือการสนทนาถึงประเด็นของการปฏิบัติตามกฎจราจรของคนในอำเภอนี้ และ การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจจราจร ว่ามันมีสภาพเป็นอย่างไร หรือจะเละตุ้มเป๊ะกันขนาดไหน การพูดคุยกำลังออกรสชาติกันเลยทีเดียว
    เฮ้ย อย่าไปว่าเหมารวมสิ ตำรวจจราจร ไม่ใช่ว่ามันจะเลวทกคนเสียเมื่อไหร่..คนดี ๆ ก็มีเยอะแยะ  ลุงเสริม พูดตัดบทขึ้น เพราะรู้ดีว่าระบบราชการไทยนั้นเป็นอย่างไร ถ้าหัวไม่ส่ายหางก็คงจะไม่กระดิก 
     ที่เขาตั้งด่านจับไปปรับกัน  เพราะว่ามันมีคนส่วนหนึ่งที่ชอบฝ่าฝืนกฎจราจร พอถูกจับหน่อยก็บ่น 
  หลายคนก็แย้งว่า ก็จริงอยู่ ตำรวจจับเพราะมีคนทำผิดกฎจราจร แต่ตำรวจหลายคนก็รับสินบนกันกลางถนน แทนที่จะให้ผู้ทำผิดไปเสียค่าปรับที่โรงพัก เอาเงินเข้าหลวง กลับเอาเข้ากระเป๋าเสียเองก็มี ถึงจะไม่เห็นกับตาตัวเอง ก็ได้ยินคนอื่นเขาเล่าให้ฟังมาอีกทีหนึ่ง
   ทีคุณว่ามาก็น่าจะมีส่วนถูกบ้างแหละ แต่มันก็คือคนส่วนน้อย ที่ทำให้องค์กรเขาเสียหาย แต่ปัจจุบันผมคิดว่า ตำรวจประเภทชอบรีดไถ มันน่าจะน้อยลงมากแล้วนะ..
เมื่อมีสมาชิกบางคนให้ข้อมูลว่า ถึงตำรวจจะจับคนทำผิดไปเสียค่าปรับที่โรงพักก็จริง แต่การจับกุมของเจ้าหน้าที่บางครั้ง ก็หวังผลกับเงินรางวัลมากจนเกินไป ขยันจับกุมกันเรื่องเล็ก ๆ น้อย จนทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน แม้กระทั่งคนที่มีความจำเป็น เร่งด่วน เช่นผู้หญิงไปจ่ายตลาด,นักเรียนที่ไปโรงเรียนตอนเช้า โดยไม่สวมหมวกนิรภัย..น่าจะอะลุ่มอะล่วยกันบ้าง
   น่าจะยกเลิกรางวัลนำจับนะ ตำรวจจะได้จับคนที่ทำผิดในเรื่องที่มันสำคัญจริง ๆ ส่วนข้อหา เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเรื่องหมวกกันน๊อก นี่ ก็ว่ากล่าวตักเตือนกันสักครั้งหนึ่งก่อนก็ได้ 
  ลุงเสริม พยักหน้าเห็นด้วยในประเด็นนี้ แต่ก็ยังแย้งว่า ถ้าไม่มีระบบการให้รางวัลนำจับ ก็คงจะไม่มีแรงจูงใจให้เจ้าหน้าที่ได้กระตือรือร้น คอยเข้มงวดกวดขันในเรื่องระเบียบวินัยของประชาชน เกี่ยวกับการใช้รถใช้ถนน เพราะลุงเสริม คิดว่าปัจจุบันคนไทยเรานั้นมีค่านิยมและความคิดที่เห็นแก่ตัวมากขึ้น ชอบที่จะฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ กติกาของสังคม โดยเฉพาะการฝ่าฝืนกฎจราจรมีมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน  ลุงเสริม เอง ก็เคยพูดที่สภากาแฟแห่งนี้ว่า ถ้าเห็นใครทำผิดกฎจราจร แล้วบางทีนึกจะลงไปต่อว่า หรือชี้ให้ตำรวจจับไปปรับเสียให้เข็ด  เพราะการฝ่าฝืนและการทำผิดกฎจาจรนั้น บางครั้งมันจะส่งผล อย่างใหญ่หลวงต่อคนอื่น ทั้งในเรื่องการเสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ และทรัพย์สินเสียหาย 
     เมื่อเสร็จจากการจิบกาแฟในเช้านี้แล้ว  ลุงเสริม ไปเก็บกรงนกจากราว เอาไปไว้ที่ท้ายรถยนต์กระบะ เพื่อนำกลับบ้าน และจะเลยไปทำธุระที่ในตัวเมือง เมื่อลุงเสริม ขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์กระบะคันหนึ่งมา และจอดรถรอไฟแดงตรงสี่แยก พอสัญญาณไฟเขียวปรากฏขึ้น รถคันหน้าก็ออกตัวไปอย่างช้า ๆ  ลุงเสริม ก็ออกรถตามหลังไป ได้ยินเสียง  โครม  ดังขึ้นข้างหน้า ปรากฏว่า รถกระบะคันที่อยู่ข้างหน้ารถของเขา พุ่งเข้าชนประตูด้านซ้าย ของรถยนต์เก๋งที่ฝ่าไฟแดงตัดหน้ามาอย่างเร็ว เหตุเกิดตรงกลางสี่แยกพอดี ลุงเสริม นั่งคอยดูอยู่ในรถ คิดว่าคนขับรถเก๋งคันที่ฝ่าไฟแดง คงจะลงมาคุยเจรจาตกลงกันได้ ฝ่ายรถเก๋ง น่าจะมีประกันชั้นหนึ่ง เพราะเป็นรถใหม่ ใครผิดใครถูกก็เห็น ๆ กันอยู่ แต่ก็ผิดคาด เมื่อลุงเสริม เห็นชายวัยรุ่นสองคนลงมาจากรถเก๋งคันงาม เดินเข้าไปตะคอกลุงแก่ ๆ ที่ขับรถยนต์กระบะว่า 
  ลุงขับรถประสาอะไรกัน ขับผ่านมาจากทางโท แล้วมาชนรถของผมในทางเอก  ลุงจะรับผิดชอบยังไง   
ลุงคนนั้น ทำหน้างง ๆ ตกใจหน้าซีดเผือด พยายามพูดอธิบายว่า ฝ่ายคุณนั่นแหละ ผ่าไฟแดงตัดหน้า รถผม ผมขับไปเพราะได้สัญญาณไฟเขียว จะผิดได้งัย แต่เจ้าหนุ่มหัวหมอสองคนนั้นก็ยืนยันนอนยัน ตีลังกายันว่าลุงนั่นแหละผิด และไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนผ่าไฟแดง พูดพร้อมกับหัวเราะในลำคอว่า
   ลุงว่าผม ผ่าไฟแดง ลุงมีพยานไหมละ..ลุงนั่นแหละ ผ่าไฟแดง ..นี่พยานผมนั่งมาด้วยข้าง ๆ นี่ไง  พร้อมกับชี้ไปที่เพื่อนพยาน
      ลุงคนนั้น อายุราว ๆเกือบจะเจ็ดสิบปีแล้ว คงแก่กว่าลุงเสริม เพียงไม่กี่ปี เถียงไม่ออกบอกไม่ถูก จะเอาพยานที่ไหนมายืนยันล่ะ คนที่เห็นเหตุการณ์ เขาก็ขับรถไปกันหมดแล้ว ทีวีวงจรปิดรึก็มีที่ไหนกัน
    สักพักหนึ่งร้อยเวรก็มาถึงที่เกิดเหตุ ก้มหน้าก้มตาจดอะไรก็ไม่รู้ในสมุด กดแฟล๊ชถ่ายรูป แสงแฟล๊ชจากกล้องสว่างให้เห็นวูบวาบเป็นระยะ ตำรวจอีกคนก็ดึงสายตลับเมตรมาวัดที่บนถนนบริเวณจุดที่รถชนกัน แล้วก็พ่นฉีดสีสเปรย์สีขาวลงบนถนน ตรงบริเวณรอยล้อรถยนต์ทั้งสองคัน ร้อยเวรถามทั้งสองฝ่ายว่าเกิดเหตุอย่างไร ต่างคนก็ต่างบอกว่าอีกฝ่ายผ่าสัญญาณไฟแดง ถ้าดูตามรูปการณ์แล้ว ลุงคนนั้นก็น่าจะเสียเปรียบ เพราะเป็นฝ่ายไปชนรถเก๋ง และทางของฝ่ายรถเก๋งเป็นสายหลักซึ่งเป็นทางเอก ส่วนทางถนนฝ่ายลุงนั้น เป็นทางโท  ส่วนใครจะอ้างว่าฝ่ายไหนเป็นคนผ่าไฟแดงนั้นมันพิสูจน์กันยาก เพราะจังหวะไฟเขียวไฟแดงมันรวดเร็ว   ร้อยเวร ฯ  พยายามไกล่เกลี่ยให้ทั้งคู่ตกลงกัน เพราะไม่มีคนได้รับบาดเจ็บ
       หลังจากไปจอดรถให้ชิดขอบทางแล้ว  อารมณ์เดือดของลุงเสริม ก็พลุ่งพล่านขึ้นทันที เป็นไปได้ยังงัย คนที่ผิดเห็น ๆ กลับจะกลายเป็นฝ่ายถูก   ส่วนฝ่ายที่ถูก กลับจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบคนอื่น 
 
    ลุงเสริม ตัดสินใจเดินเข้าไปหาร้อยเวร  เมื่อร้อยเวร หันมาเห็นลุงเสริม ก็จำได้ ยิ้มและพูดทักทาย  เพราะใคร ๆ ในอำเภอนี้ ก็รู้จักลุงเสริม ฯ ได้เป็นอย่างดี  ลุงเสริม บอกรายละเอียดข้อเท็จจริง ที่เกิดขึ้นให้เจ้าของคดีทราบ และบอกว่าพร้อมจะขึ้นศาลให้การเป็นพยานในคดีนี้ ถ้าอีกฝ่ายยังดื้อรั้น ไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด ถูกเอาดอกนี้เจ้าสองคนนั้น ถึงกับอึ้งเพราะจนมุมในข้อเท็จจริง หลังจากนั้นเจ้าหนุ่มสองคนก็ยอมรับสารภาพกับร้อยเวรว่าเป็นคนฝ่าไฟแดงจริง เลยโทร. แจ้งบริษัทประกันภัยมาตกลงค่าเสียหายกันได้ และรับซ่อมรถให้ลุงคนดังกล่าว ลุงคนนั้นขอบอกขอบใจลุงเสริม และบอกว่าจะตอบแทนน้ำใจที่ช่วยเหลือ ถ้าไม่ได้ลุงเสริม มายืนยัน ลุงแกคงโต้เถียงสู้เขาไม่ได้ แกบอกว่าจะพาลุงเสริม ไปเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทน แต่ลุงเสริม ปฏิเสธและขอบคุณในมิตรไมตรี โดยบอกว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว และทุกคนควรจะต้องต่อต้านคนที่ชอบฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของสังคมในทุกกรณี และอย่าได้กลัวกับการที่จะต้องเป็นพยานเพื่อช่วยคนดี และเพื่อเอาผู้ทำผิดมาลงโทษ ซึ่งหายากมากสำหรับสังคมไทยทุกวันนี้ ที่จะมีคนกล้าเป็นพยานให้กับคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องของตัวเอง  คนโดยทั่ว ๆ ไป มักคิดว่า มันไม่ใช่เรื่องของเรา , ธุระไม่ใช่ , อย่าไปหาเหาใส่หัว..จิปาถะ กับคำพูดที่จะยกมากล่าวเป็นข้อแก้ตัว
   ขอบคุณมากครับ คุณลุงเสริม ลุงเป็นคนดีจริง ๆ ครับ..ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง  ลุงคนนั้นอวยพาเขาแล้วก็จากไปด้วยความปลาบปลื้มใจ
   หลังจากนั้นลุงเสริม ได้นำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไปเล่าที่สภากาแฟ สมาชิกทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า ลุงเสริม ทำดี และถูกต้องแล้ว ที่ได้ช่วยลุงคนนั้นให้พ้นจากเล่ห์เหลี่ยมความเห็นแก่ตัวของคนบางคน แต่มีหลายคนให้ความเห็นว่า ถ้าตัวเขาเป็นคนประสบเหตุเหมือนกับลุงเสริม เขาไม่รู้ว่าจะกล้าไปเป็นพยานให้ลุงคนนั้นหรือไม่ ..ไม่แน่ใจ เพราะอีกฝ่ายคงจะไม่พอใจเป็นแน่  
     
                                                                 ( ๒) 
     หนึ่งปีผ่านไปไวเหมือนโกหก  ลุงเสริม ขับรถยนต์ไปตามถนนมุ่งหน้าไปทางสี่แยกดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง สี่แยกนี้ หลาย ๆ คนเรียกว่าสี่แยกร้อยศพ เพราะสี่แยกแห่งนี้เป็นสี่แยกเก่าแก่ของอำเภอ เมื่อก่อนรถยังไม่มากนัก และยังไม่ได้มีการติดตั้งสัญญาณไฟ ทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งมาก  มีคนเจ็บและตายมานับไม่ถ้วน หลังจากติดตั้งสัญญาณไฟแล้ว อุบัติเหตุก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ชาวบ้านบางคนบอกว่าเป็นสี่แยกอาถรรพ์ ทั้ง ๆ ที่โดยปกติดูแล้วก็เป็นสี่แยกไฟแดงธรรมดา ๆ ทั่ว ๆไป  แต่ลุงเสริม คิดว่ามันไม่ได้เป็นเพราะ อาถรรพ์อะไรหรอก แต่สาเหตุที่แท้จริงเป็นเพราะคนขับรถประมาทไม่ค่อยมีความระมัดระวัง และเคยชินกับการเอาแต่สะดวกกันมากกว่า เพราะมันเป็น  สี่แยกที่เป็นเขตชุมชน รถราก็มาก ถ้าต่างคนต่างระมัดระวัง อุบัติเหตุก็คงจะไม่เกิด และที่สำคัญชาวบ้านยัง ไม่ค่อยจะให้ความสำคัญกับกฎจราจร สัญญาณไฟแดงไฟเขียว ก็ไม่ค่อยสนใจ  สนใจแต่จะคอยดูว่าวันนี้มีตำรวจจราจรอยู่หรือไม่ ถ้าไม่มีตำรวจอยู่ ก็มักจะทำมึนขับผ่านพ้นไปเฉยเลย และก็ช่างเวรกรรมจริง ๆ ลุงเสริม ขับรถผ่านสี่แยกนี้ครั้งใด เขาไม่เคยเห็นตำรวจจราจรนั่งตรงที่นั่งนั้นซักที  มีแต่หมวกจราจร กับหมายเลขเท่ห์ ๆ ข้างหมวกวางขู่ชาวบ้านอยู่ใบหนึ่งเท่านั้นเอง
         อีกห้าสิบเมตรจะถึงสี่แยกไฟแดงที่อยู่เบื้องหน้า ในทันใดนั้นลุงเสริมต้องใจหายวาบ เมื่อได้ยินเสียงท่อไอเสียรถมอเตอร์ไซค์ดังแสบแก้วหู ขับตามหลังรถยนต์เขามา และรถมอเตอร์ไซค์ได้ขับแซงขวาขึ้นหน้ารถยนต์เขาไปอย่างรวดเร็ว คนขับเป็นเด็กชายวัยรุ่น นอนราบไปกับเบาะรถ ทำท่าทางคล้าย ๆ กับซุปเปอร์แมน ..มันเมาหรือบ้ากันแน่ว่ะนั้น..ชายวัยรุ่นดังกล่าวขับรถผ่าไฟแดงตรงสี่แยก    ลุงเสริม เบรครถ และทำหน้าเหยเกด้วยท่าทางหวาดเสียว เหมือนจะทำนายอนาคตข้างหน้านั้นได้ว่าเดี๋ยวจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ    
  โครม  ด้านหน้าของรถยนต์คันหนึ่ง ชนเข้าตรงล้อหลังของรถมอเตอร์ไซค์ของเด็กนั้นอย่างจัง   รถยนต์จอดทับรถมอเตอร์ไซค์ ที่ล้มอยู่กลางสี่แยก ส่วนเจ้าเด็กวัยรุ่นคนนั้นลอยกระเด็นข้ามไปอีกฟากถนน เขาจอดรถ และลงมาดู  จราจร ขึ้น ว. ๒ ว.๘ เรียกรถมูลนิธิ ฯ นำคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล  เขาคิดว่าสภาพตามที่เห็นแล้ว วัยรุ่นคนนั้นถ้าไม่ตายก็น่าจะเลี้ยงไม่โต  ต่อมาร้อยเวร ฯ คนเดียวกันกับที่เข้าเวรเมื่อวันก่อน ก็มาที่เกิดเหตุ ทำแผนที่เสร็จแล้ว หันมาเห็นลุงเสริม ฯ ยืนอยู่พอดี ก็พูดเล่น ๆ ขึ้นว่า
  หวัดดีลุงเสริม ฯ หวังว่าวันนี้ ลุงคงจะไม่เห็นรถคันไหนฝ่าไฟแดงอีกนะครับ.. พูดพร้อมกับหัวเราะ แต่ร้อยเวร ฯ ก็ต้องอึ้งไปพักใหญ่ เมื่อได้ยินเสียงลุงเสริม บอกว่าเขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด พร้อมกับเล่ารายละเอียดข้อเท็จจริงให้ตำรวจฟัง ต่อมาลุงเสริม ฯ ก็ไปให้ปากคำเป็นพยานที่โรงพัก โดยยืนยันว่า วัยรุ่นคนขับรถมอเตอร์ไซค์ เป็นคนฝ่าไฟแดงไปชนรถยนต์อีกคัน  ร้อยเวรขอบคุณลุงเสริม ในการเป็นพลเมืองดีช่วยเหลือเขาอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าถ้าไม่มีพยาน คดีนี้คงจะมีปัญหาตามมาอีกแน่นอน ฝ่ายคนขับรถยนต์คงจะต้องรับกรรมอีกเป็นแน่ เพราะดูอาการคนขับมอเตอร์ไซค์แล้ว น่าจะอาการหนัก ไม่ถึงกับเสียชีวิต ก็ต้องบาดเจ็บสาหัส 
       วันต่อมา ลุงเสริม ก็ต้องตกใจ เมื่อทราบจากน้องสาวของเขาว่า คนขับรถมอเตอร์ไซค์คันเกิดเหตุวันนั้น เป็นลูกชายของน้อง ได้รับบาดเจ็บสาหัส นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล ขาทั้งสองข้างหัก แขนขวาหัก สมองถูกกระทบกระเทือน หมอกำลังช่วยชีวิต แต่อนิจจา เขาได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา เด็กคนที่ตายนั้นเป็นหลานชายของเขาเอง..วันเกิดเหตุเขาก็ไม่ได้ไปดูคนเจ็บ เพราะมีคนห้อมล้อมกันมาก และเจ้าหน้าที่มูลนิธิ ฯ ก็รีบช่วยนำคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาลในทันที   เรื่องนี้ทำให้ลุงเสริม เสียใจ  ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก  เพราะน้องสาวและ ญาติ ๆ ได้ต่อว่าลุงเสริม อย่างรุนแรง หลังจากที่เขาไปให้การเป็นพยานกับตำรวจ จนตำรวจชี้แจงบอกน้องสาวและญาติ ๆ ว่า ฝ่ายคนขับมอเตอร์ไซค์ เป็นฝ่ายผิด เป็นคนประมาท เพราะฝ่าไฟแดง และต้องชดใช้ค่าซ่อมรถยนต์ให้คู่กรณีด้วย น้องสาวของเขาโกรธมาก ที่ลุงเสริม ไปให้การอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายรถยนต์มาชนรถของลูกชาย.จนเสียชีวิต .น้องสาวเขาไม่เชื่อว่าลูกชายจะเป็นฝ่ายผิด
     ลุงเสริม พยายามพูด อธิบายให้ฟังว่า ตอนเกิดเหตุเขาไม่รู้ว่าคนขับรถมอเตอร์ไซค์ เป็นใคร   และถึงแม้จะรู้ว่าเป็นหลานชายเขา ลุงเสริม จะทำอย่างไร จะไปเป็นพยานให้ตำรวจ แล้วพูดโกหกกับตำรวจ หรือบิดเบือนข้อเท็จจริง แต่ลุงเสริม ก็คงจะไม่ทำอย่างนั้น เป็นแน่ เพราะยังไง ๆ หลายชายของเขาก็ขับรถฝ่าไฟแดงไปชนเขาจริง ๆ
   ถึงเรื่องจริงจะเป็นยังงัย..ถ้าพี่อยู่เฉย ๆไม่ไปเป็นพยาน ลูกชายหนู ก็จะไม่ตายฟรี นี่ต้องถูกฟ้องให้ซ่อมรถเขาอีกต่างหาก ..พี่จะตงฉินไปถึงไหน ชาวบ้านคนอื่นเขาเหมือนพี่หรือเปล่า ประเทศไทยเป็นของพี่คนเดียวหรืองัย พี่จึงได้ทำอย่างนี้  
        คำพูดถากถาง เหยียดหยาม สารพัดสารพันประดังเข้าโสตประสาทของลุงเสริม  ..เขาต้องน้ำตาซึม พูดไม่ออก บอกไม่ถูก ไม่รู้จะพูดอะไรที่จะบรรเทาความเสียใจของน้องสาวได้ 
    หลังงานศพหลานชาย เรื่องนี้เป็นประเด็นใหญ่ทีให้ถกกันที่สภากาแฟ เสียงของสมาชิกก็แตกออกเป็นสองฝ่าย  ถ้าจะให้โหวตเสียงกัน ก็คงจะก่ำกึ่ง ฝ่ายหนึ่งบอกว่าลุงเสริม ทำถูกแล้วที่พูดความจริง แม้ความจริงนั้นจะทำให้ตัวเองและญาติพี่น้องต้องเจ็บปวดสักปานใดก็ตาม แต่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าลุงเสริม เป็นพลเมืองดีมากจนเกินไป และยุ่งเรื่องชาวบ้านมากเกินพอดี ทั้ง ๆ ทีถ้าจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียบ้าง ก็น่าจะทำได้  
      ลุงเสริม มานอนเอามือก่ายหน้าผาก คิดมาก และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความกล้าแกร่ง เข้มแข็ง และความเชื่อมั่นในตัวเอง ตอนสมัยหนุ่ม ๆนั้น มันได้หายไปไหนกันหมด มีแต่ความท้อแท้ หดหู่ในหัวใจ การที่เขาทำหน้าที่พลเมืองดีในหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมาแล้วนั้น ทุกคนก็พากันสรรเสริญเยินยอ แต่เขาก็ทำมันจากใจจริง มิได้หวังคำเยินยอ หรืออามิส สินจ้าง รางวัลใด ๆ แต่อย่างใด แต่จากการที่เขากระทำในครั้งนี้  มันทำให้เขารู้สึกผิด เป็นต้นเหตุให้ญาติพี่น้องเป็นทุกข์ทรมาน และเสียใจ  เขาได้กระทำไปในฐานะของการเป็นพลเมืองดีแล้วหรือ จริงอยู่ มีฝ่ายหนึ่งอาจจะบอกว่าเขาเป็นคนดี เพราะไม่ต้องตกเป็นผู้ต้องหา ข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่อีกฝ่ายหนึ่ง ญาติพี่น้องเขา..สังคมเขาที่เขาอาศัยอยู่ล่ะ จะคิดยังไง ที่ญาติเขาต้องตายฟรี เพราะการทำความดีในครั้งนี้ แล้วอย่างนี้ เขายังจะทำมันอีกต่อไปหรือ เพราะใคร ๆ ต่างก็มองเขาว่า..เขานั้นเป็นคนดีที่เสียไปหมดแล้ว .				
comments powered by Disqus
  • ฉางน้อย

    21 พฤศจิกายน 2551 19:24 น. - comment id 102556

    41.gif41.gif41.gif
    
     เขียนได้เก่งค่ะพี่บาว
    
    แต่ถ้าพี่ เว้นวรรคอีกนิด ฉางน้อยว่าน่าจะอ่านง่ายกว่านี้นะคะ
    
    ขออภัยที่ติงมา...อย่าว่าหนู(ฉางน้อย)นะคะ อิอิ
    
    46.gif65.gif
  • ลิลิต

    22 พฤศจิกายน 2551 06:27 น. - comment id 102566

    มาตอบฉางน้อย แต่เช้า..พอดีจะรีบไปขึ้นเขา..
    
    ขอบคุณสำหรับคำชม..
    พี่ก็ว่าเหมือนกัน..ไม่เว้นบรรทัดอ่านแล้วมันตาลาย..แต่ถ้าเว้นบรรทัด..มันจะดูยาวไปหรือไม่ ไม่ทราบได้
    
    ..แลถ้า ต่อไปคงต้องเขียนให้สั้น ๆ กระชับ กว่านี้สักนิด
    
    ..พอดีพี่มือใหม่..ยังงัย น้องฉางน้อย ช่วยแนะนำด้วยละกัน..ไม่ว่ากันอยู่แล้ว ..คนกันเอง

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน