20 กรกฎาคม 2547 10:11 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 3 )

สุชาดา โมรา

ซ่า....
	ฝนตกโหมกระหน่ำ  ฉันรีบขึ้นรถเมย์มาด้วยความเร่งรีบเนื้อตัวเปียกโชคไปด้วยฝน  ฉันต้องไปที่สมาคมเพื่อซ้อมยูโดทุกวัน...หมู่นี้ฝนฟ้าไม่ค่อยจะเป็นใจมากนักแต่ก็เอาเหอะฉันจะพยายามซ้อมให้ดีที่สุดถึงแม้ว่าสนามหญ้าจะเปียกแต่ฉันก็ยังไม่สิ้นหวัง  ไม่มีที่จะวิ่งฉันก็ไปวิ่งบนเบาะยูโดจนได้  ทั้งยุบข้อ  ยึดพื้น  ซิทอัพ  ฉีกขา  สไลท์ขา  สืบเท้า  ฉันพยายามฟิตร่างกายอย่างเต็มที่  เพราะนัดที่จะมีต่อไปนี้คงต้องแข่งกันอีกยาวนาน  เพราะต้องไปแข่งอย่างไม่มีวันหยุด 

                  หลังจากเลิกเรียนฉันมาซ้อมยูโดที่สมาคม  แต่วันนี้มันแตกต่างจากทุก ๆ วันเพราะวันนี้ฉันต้องซ้อมให้หนักเพื่ออีก 5 วันจะมีการแข่งยูโดคัดสายเขตกัน  ฉันตั้งใจซ้อมอย่างเอาจริงเอาจังจนสามารถล้มคู่ต่อสู้อย่างรุ่นพี่ผู้ชายหลายคนได้
	"ถามจริง ๆ เถอะดาว  เธอไปเอาแรงฮึดมาจากไหนถึงได้เล่นรุดหน้าเด็กรุ่นเดียวกันได้"
	"แรงอาฆาตไง...พี่โจ้"
	ฉันตอบอย่างเครียดแค้น...เพราะฉันรู้สึกได้ว่าฉันชิงชังและต้องไปยืนในจุดที่เหนือกว่าทั้งเหมี่ยวและพี่นัท  ฉันอาฆาตไว้กับตัวเองว่าถ้าฉันทำไม่ได้ก็ให้ไปลาหมาตายได้แล้ว
	"ดาว...หมู่นี้ทำไมฝีมือดีจังเลย  ท่าทางจะไปได้ไกลนะเนี่ย"
	"แหมพี่โก้ทำเป็นชมไปได้...ไม่ได้มีอะไรมากนักหรอกแค่ขยันหน่อยฟิตร่างกายก็เท่านั้น"
	"ที่จริงหายากนะเนี่ย  เด็กที่เข้ามาเล่นยูโดได้แค่ 6 เดือนก็สามารถได้สายเขียวแล้วยังไปคว้าตำแหน่งนักกีฬาจังหวัดได้นี่มันไม่ธรรมดาเลยนะ  เลือดนักสู้นี่หว่า...ใช่ไหมพวกเรา"
	พี่โก้ตะโกนขึ้นทำให้พวกที่นั่นอยู่ข้างเบาะชมฉันไม่หยุดปาก  ฉันจึงได้ฉายาสาวน้อยมหัศจรรย์เป็นครั้งแรกมันจึงทำให้ฉันเริ่มมีชื่อเสียงในวงการกีฬามากขึ้น
	"เอ้า...นักกีฬาพรุ่งนี้เรามีนัดที่โรงยิมส์แห่งนี้   ขอให้นักกีฬามาตามที่นัดด้วย  เวลา 6 โมเช้าพร้อมกัน  รถออกเวลา 6.30 น.  อย่าลืม  ถ้ามาไม่ทันก็ตามไป  ช่วยเหลือตัวเองได้ยินไหม"
	"รับทราบ"
	อาจารย์ดนัยครูฝึกที่เก่งที่สุดของพวกเราพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดเป็นพิเศษ  ครูคนนี้เป็นคนที่ตรงต่อเวลามาก ๆ เป็นคนสุขุมรอบคอบ  และมีเหตุผลที่สุดในบันดาครูฝึกทั้งหมด 7 คน
	ตอนเช้าฉันรีบมา  นั่งรถเป็นคนแรกแล้วก็เผลอหลับไปจนกระทั่งมีคนเดินมาปลุก
	"ดาว ๆ เขาขึ้นรถคนนั้นกัน  มานอนอะไรคันนี้"
	"อ้าวเหรอ..."
	ฉันเดินลงจากรถทหารคันใหม่  เดินตามโก้เพื่อนนักยูโดที่อยู่ต่างโรงเรียนกันไปที่รถคันเก่าที่สุดของที่นี่
	"หา...คันนี้เหรอ"
	ทุกคนที่อยู่บนรถยิ้ม  ฉันถึงกับทำหน้าเบ้ทีเดียว  แล้วก็เดินขึ้นไปนั่งบนรถ  ฉันต้องนั่งประจันหน้ากับพี่นัทแฟนเก่าของฉัน  ฉันรู้สึกไม่อยากจะมองหน้าเขาเลย  ฉันจึงมองออกไปนอกรถตลอดเวลา
	"มาพร้อมหรือยัง...ได้เวลาแล้วไม่รอละนะ"
	รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกช้า ๆ จนพ้นประตูค่ายเอราวัณไป
	"จอด ๆ ครับ จอด"
	พี่นัทบอกให้อาจารย์จอดรถ
	เอี๊ยด...!!!  รถต้องเบรกกระทันหันฉันถึงกับเซถลาไปใกล้พี่โอมทีเดียว  ฉันจึงกระเถิบตัวออกมาห่าง ๆ เขา
	"เป็นไรไปหรือเปล่า"
	"ไม่เป็นไรค่ะ..."
	"นู่นดาวดูสิใครมา..."
	พี่โอมชี้ให้ฉันดูผู้หญิงที่กำลังจะขึ้นรถคนนั้น  เหมี่ยว...!!!  ฉันถึงกับตะลึงทีเดียว  เหมี่ยวมาทำอะไรที่นี่ก็ในเมื่อเหมี่ยวบอกว่าท้องแล้วจะเลิกเล่น  หรือว่าตอนคัดสายวันนั้นจะแท้งลูกแล้ว...ฉันนั่งนึกอยู่นานจนรถมาจอดที่วิทยาลัยพละอ่างทอง
	"นักกีฬาทั้งหลายอัญเชิญลงจากรถได้แล้วมัวนั่งบื้อกันอยู่ได้"
	อาจารย์ดนัยพูดประชดพวกเรา  ทำให้ฉันรู้สึกหน้าเสียทีเดียว...
	"พี่นัทคะเหมี่ยวมาให้กำลังใจ  พี่นัทชอบไหมคะ"
	ฉันรู้สึกหมั่นไส้ทีเดียว  แต่ก็ทำท่าเฉย ๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  พวกเราไปชั่งน้ำหนักกันที่ห้องกีฬา  แต่ฉันน้ำหนักไม่ถึงรุ่นที่เล่นต้องหาอะไรถ่วงน้ำหนักเพื่อที่จะได้ไม่มาเล่นรุ่นเดียวกับเด็กที่มาจากที่เดียวกัน  ส่วนรุ่นพี่หลายคนเช่นพี่โอม  พี่ตูน  พี่โจ้  หรือแม้แต่โก้เองก็ต้องไปรีดน้ำหนักออกด้วยการใส่เสื้อวอมรูดซิปจนติดคอหอยแล้วก็วิ่งไปเรื่อย ๆ จนกว่าน้ำหนักจะพอกับที่ตัวเองเล่น  ฉันเห็นแล้วก็ต้องยิ้มอยู่นานทีเดียว
	"เธอรู้ไหมว่าฉันมาทำไม"
	"ฉันไม่สนหรอก  เธอมีสิทธิที่จะมา  แล้วมาถามฉันทำไม...ไม่ใช่เรื่องของฉันซะหน่อย"
	"ใช่สิ...มันต้องใช่...ฉันกลัวว่าเธอจะมาแย่งพ่อของลูกฉันไง  เข้าใจหรือยัง"
	"ฉันไม่หน้าหนาขนาดนั้นหรอกที่จะแย่งแฟนเพื่อนได้...อีกอย่างฉันว่าเธอไม่ได้ท้องหรอก  คนท้องอะไร...วันนั้นยังกล้ามาแข่งคัดสายกับฉันเลย...ฉันไม่เชื่อเธอหรอก"
	เหมี่ยวถึงกับเงียบทีเดียว  ฉันไม่รู้หรอกว่ามันจริงหรือเปล่า  แต่ฉันคิดว่ามันน่าจะจริงเพราะถ้าไม่จริงเหมี่ยวคงไม่เงียบ  เหมี่ยวคงไม่อยากเอาอนาคตของตัวเองมาจบกับอีแค่เรื่องผู้ชายหรอก  เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ละก็แม่ของเหมี่ยวคงจะเสียใจมาก ๆ เพราะแม่เขาเป็นแค่ลูกจ้างของกรมศิลป์เท่านั้นเอง  เงินเดือนก็น้อย  ถ้าจะต้องมาเลี้ยงทั้งลูกและหลานก็คงจะทำใจลำบาก  และก็ต้องลำบากมาก ๆ เลยด้วย...
	ได้เวลาแข่ง  ฉันเดินไปดูป้ายที่ติดไว้  รุ่นของฉันมี 9 คนต้องมีการจับสลากเพื่อที่จะแข่งว่าจะได้คู่ไหนก่อนดี  ฉันได้แข่งเป็นคู่แรก  ฉันรู้สึกตื่นเต้นจริง ๆ ฉันเดินไปวอมร่างกายจนเครื่องอุ่นเต็มที่แล้วก็เดินมานั่งดูรุ่นจิ๋วกับรุ่นเล็กแข่งกัน  คู่ต่อสู้น่ากลัวมาก ๆ เลย  แต่ฉันก้พยายามข่มใจตัวเองไว้ว่าไม่ตื่นเต้น...ไม่กลัว
	"รุ่นน้ำหนัก  45  กิโลมารายงานตัวด้วย"
	เสียงกรรมการประกาศเรียกให้รุ่นของฉันไปรายงานตัว  ฉันถอนใจเฮือกใหญ่แล้วก็เดินเข้าไปหากรรมการในขณะที่คู่สุดท้ายของ  ร.พ.ศ 2 ยังแข่งอยู่  ฉันเห็นคู่ต่อสู้ของฉันที่ค่อนข้างน่ากลัวมาก ๆ...แต่ฉันก็ต้องข่มใจตัวเองไว้  เมื่อกรรมการเรียกให้ขึ้นเบาะฉันก็เดินไปอย่างสุขุมทันที
	"ฮาจิเมะ...!!!"  
	เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้นได้  ฉันจึงเข้าคว้าคอเสื้อของฝ่ายตรงข้ามก่อน  แล้วก็เข้าท่าทุ่มด้วยท่าโมโนเตะ-เซโออินาเงะทันที  ตัวของคู่ต่อสู้ลอยข้ามหัวไปฉันไป  ฉันจับข้อมือคู่ต่อสู้ไว้แน่นเพื่อเซฟตัวคู่ต่อสู้  ท่าลอยลงมาได้สวยมาก  ทุกคนถึงกับปรบมือกันกราวทีเดียว
	"อิปโป้ง...!!!"
	เสียงกรรมการพูดดังขึ้น  ฉันคำนับคู่ต่อสู้แล้วก็หันมาคำนับกรรมการก่อนจะลงจากสังเวียน  ฉันมีความรู้สึกว่าโล่งอกมาก ๆ การแข่งขันดำเนินมาจนเหลือ 3 คนสุดท้ายของรุ่นน้ำหนักเดียวกับฉัน  ฉันต้องมาแข่งอีกครั้ง  ต้องมีการจับสลาก  ฉันได้เป็นคนที่ 3  เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้นอีกครั้ง  ฉันดูท่าทางแล้วคน ๆ นี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว  ฉันรู้สึกกลัวยังไงชอบกล...
	คนที่ฉันกลัวมากที่สุดกลับชนะและยืนหยัดรอฉันอยู่อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ  ฉันรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็ทำใจสู้
	"ฮาจิเมะ...!!!"  
	เสียงกรรมการสั่งให้เริ่มต้น  ฉันเข้าไปกระชากเสื้อคู่ต่อสู้ทันที  แต่เขากลับจับข้อมือฉันหักและบิดออก  ฉันรู้สึกเจ็บมากทีเดียว  คู่ต่อสู้คนนี้เล่เหลี่ยมแพรวพราวทีเดียว  นักข่าวก็จับภาพจนฉันรู้สึกเกร็ง ๆ ทำอะไรไม่ถูกไปซะทุกอย่าง
	"ฮาเน  มากิโคมิ...!!!"
	เสียงใครบางคนตะโกนขึ้น  ฉันจึงเข้าท่าฮาเน  มากิโคมิทันที  เป็นโชคดีของฉันจริง ๆ ที่คู่ต่อสู้หลังหระแทกพื้นได้อย่างสวยงามทีเดียว
	"อิปโป้ง...!!!"
	เสียงกรรมการพูดดังก้องหูของฉัน  คู่ต่อสู้ทำท่าทางไม่ค่อยพอใจที่ฉันชนะ  ฉันคำนับแล้วก็เดินลงจากสังเวียน  กรรมการเรียกคู่น้ำหนักรุ่นต่อไปทันที  ฉันเดินมาหาอาจารย์แล้วก็ยิ้มแก้มปลิทีเดียว
	"ขอบคุณนะคะอาจารย์ที่ช่วยหนู"
	อาจารย์ดนัยทำท่างง ๆ แล้วก็แสดงสีหน้าแบบไม่เข้าใจ
	"ก็เรื่องที่อาจารย์ช่วยบอกให้หนูใช้ท่าฮาเน  มากิโคมิไงคะ"
	"อ๋อ...ครูไม่ได้พูดหรอก  โน้นนายนัทเขาเป็นคนตะโกนไป"
	ฉันรู้สึกหน้าเสียทีเดียว  และนี่ก็เป็นครั้งแรกนับจากวันที่เราเลิกลากันไป  ฉันเข้าไปขอบคุณพี่นัทโดยไม่สนใจว่าจะมีเหมี่ยวอยู่ด้วยหรือไม่...
	"ขอบคุณค่ะ"
	แล้วฉันก็เดินออกมา  มานั่งใกล้ ๆ พี่โอม  พี่โอมชมฉันอย่างไม่ขาดปากทีเดียว  แต่ในขณะที่คุยกันอยู่นั้นฉันเหลือบไปเห็นเหมี่ยวคุยอยู่กับฝ่ายตรงข้ามแล้วหันมาจ้องที่ฉัน  สายตาแบบนี้ฉันรู้สึกกลัวเหลือเกิน...  ฝ่ายนั้นจ้องมองมาเป็นตาเดียวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ  จนฉันต้องสะกิดให้พี่โอมดู
	"อย่าไปสนใจเลย...ดาวเธอนั่งดูไปก่อนนะพี่จพต้องขึ้นแข่งแล้ว"
	ฉันรู้เพียงแต่ว่าตอนนี้ฉันนั่งอยู่กับพี่แกะ  แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามมาพี่แกะก็คงช่วยเหลือฉันไม่ได้หรอก...ฉันรู้สึกลางสังหรมันจะไม่ดีเลย  สักพักฝ่ายตรงข้ามก็ตรงดิ่งมาหาฉันแล้วก็มีคนหนึ่งตบหน้าฉัน
	"นี่...อะไรกันเนี่ย"
	พวกนี้ไม่ตอบสักนิดจู่ ๆ ก็มารุมทำร้ายฉัน  ฉันก็ต้องสู้  อาจารย์ก็เข้ามาห้ามคนพวกนี้  กรรมการก็เข้ามาห้าม  ฉันเหลือบไปเห็นเหมี่ยวยืนยิ้มเยาะอยู่ห่าง ๆ ฉันรู้ทันทีเลยว่านี่ต้องเป็นแผนการของเหมี่ยวแน่ ๆ ฉันรู้สึกแย่มาก ๆ ทีเดียว
	"ผมขอประกาศตัดสิทธิ์  ห้ามไม่ให้นักกีฬาของสมาคมยูโดคังชิเข้ามาแข่งขันยูโดที่นี่อีกเป็นเวลา 4 ปี  เพราะนักกีฬาเหล่านี้ไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา  ใช้วิชาในทางที่ผิด  จึงไม่สมควรเข้ามาแข่งที่นี่อีก  นี่เป็นการลงโทษสถานเบา  ประกาศนี้เริ่มมีสิทธิ์ใช้นับตั้งแต่พูดจบประโยคทันทีโดยไม่มีการต่อรอใด ๆ ทั้งสิ้น"
	ประธานกรรมการลุกขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ขึงขังจนดูน่ากลัว  อย่างว่าแหละปาเน่าแค่ตัวเดียวก็ทำให้มันเหม็นไปทั้งค่องได้  น่าสงสารสมาคมคังชิจริง ๆ เลย  กับอีแค่นักกีฬาไม่กี่คนที่ทำความเลวแต่กลับต้องถูกลงโทษทั้งสมาคม  ฉันถึงกับอึ้งพูดไม่ออกทีเดียว
	พอนักกีฬาพวกนี้ออกจากโรงยิมส์  เหมี่ยวก็หายไปด้วย  พอฉันมารู้อีกทีก็รู้สึกสมน้ำหน้าแล้วละ  เพราะคนเราเมื่ให้ทุกขืแก่ท่านทุกข์นั้นก็จะมาถึงตัวเร็วขึ้น  เหมี่ยวโดนพวกนักกีฬาซ้อมซะกระอักกระอ่วง  ไปแจ้งความตำรวจก็ไม่รับแจ้งเพราะบอกเขาไม่ได้อีกว่าใครทำร้าย...เห็นแล้วก็อดที่จะนึกขำไม่ได้
	วันนี้ฉันได้เป็นนักกีฬาเขตแล้ว  ฉันกำลังจะก้าวขึ้นไปให้สูงที่สุด  ฉันจะทำให้ดีที่สุด  นอกจากฉันจะได้เป็นตัวเขตแล้ว  วันนี้ฉันยังได้มิตรภาพจากพี่นัทอีกด้วย  ฉันต้องขอบคุณเขาจริง ๆ ที่ทำให้ฉันชนะได้ไม่อย่างนั้นฉันคงก้าวมาไม่ถึงจุดนี้

                      ติดตามตอนต่อไป  ซึ่งจะเริ่มเข้มข้นกว่าเดิม...อย่าพลาดนะคะ
ขอขอบคุณที่ทุกท่านติดตามผลงานมาโดยตลอด				
19 กรกฎาคม 2547 11:08 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 2 )

สุชาดา โมรา

สายลมที่โชยมาเอื่อย ๆ สร้างความหนาวสะท้านให้แก้ฉัน  ฉันรู้ตัวทันทีเลยว่าเวลาได้ผ่านมาอีกช่วงชีวิตหนึ่งแล้ว...  ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะมีฝนตกบ้างแต่สายลมที่เย็นยะเยือกผ่านเข้ามาทุกซอกทุกมุมของรูขุมขนนี้ทำให้ฉันต้องคลุมโปงนอนต่อด้วยความง่วง
	"ตื่นได้แล้วยายดาว...แม่สอนกี่ครั้งแล้วว่าอย่านอนกินบ้านกินเมือง...ตะวันส่องดากแล้ว...!...ตื่น ๆๆๆๆๆๆ...."
	"โอยแม่...นี่มันวันอะไรกันน่ะ  ไม่รู้เรื่องเลย  นี่มันวันอาทิตย์นะแม่"
	"นี่...เดี๋ยวตีก้นลายเลย  วันอาทงอาทิตย์บ้าอะไร  เมื่อวานวันอาทิตย์เราไปแข่งคัดสายที่กรุงเทพฯมา  วันนี้มันวันจันทร์  จะไม่ไปเรียนหรือไงหา...!"
	แม่พูดประโยคนี้ทำให้ฉันลุกขึ้นมาจากเตียงและกระวีกระวาดไปอาบน้ำแต่งตัวไปเรียนทันที  เพราะฉันจะไปไม่ทันเข้าแถวเคารพธงชาติ
	"ไม่กินนมก่อนเหรอลูก..."
	"ขนมปังแผ่นเดียวก็พอแล้วค่ะ...ไปนะคะ  แม่คะสวัสดีค่ะ  คุณตาสวัสดีค่ะ...!"
	ฉันรีบวิ่งออกจากบ้านเพื่อไปเรียนจนเกือบไม่ทันขึ้นรถเมย์  รถเมย์ต่างจังหวัดเนี่ยดีอย่างเสียอย่างนะ  ตรงที่จอดรับคนเรื่อย ๆ จอดได้ทุกที่แต่ข้อเสียคือชอบจอดแช่นาน ๆ ทำให้ฉันไปโรงเรียนไม่ทันจนได้
	"ชื่ออะไรน่ะเรา..."
	"สวัสดีค่ะอาจารย์"
	ฉันนึกอยู่แล้วเชียวว่าต้องไปไม่ทันแน่ ๆ  โถ่เอ้ย...!!!!  ถูกอาจารย์กักตัวจนได้  ชื่อได้ติดบอร์ดหน้าห้องปกครองแน่ ๆ เลยเรา  ถ้ามาสายถึง 3 ครั้งถูกเรียกผู้ปกครองแน่ ๆ...ซวยเลย...
	วันนี้ฉันเรียนอย่างไม่ค่อยมีความสุขนักเพราะฉันรู้สึกว่ามีคนจับจ้องฉันอยู่หลังห้อง  พอฉันหันไปมองฉันก็เห็นเหมี่ยวและเพื่อน ๆ จ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออย่างนั้น...จนฉันรู้สึกเกร็ง ๆ ยังไงชอบกล  พอพักเที่ยงฉันจะไปกินข้าวก็ถูกพวกเพื่อน ๆ กลุ่มนี้ถลักไว้
	"ไง...แน่นักเหรอที่แย่งแฟนเพื่อน..."
	ฉันทำท่างง ๆ เพราะฉันไม่รู้ว่าพวกนี้พูดถึงอะไร
	"ยังมาทำหน้ามึนอีก  แกแย่งพี่นัทไปจากเหมี่ยวทำไม...แกรู้ไหมเหมี่ยวมันท้อง"
	"ฉันว่าพวกเธอบ้าไปแล้วเหรอ...ใครกันแน่ที่แย่งแฟนฉัน...ไม่ใช่เหมี่ยวหรอกเหรอ  ที่จริงไม่น่าหน้าหนาเลยนะ  มากุเรื่องว่าคนอื่นเขาเพราะเมื่อวานแข่งกับฉันแล้วแพ้เลยเก็บกด  วันนี้กะจะเอาคืนด้วยคนหมู่มากเหรอ...หมาหมู่นี่หว่า...!"
	ฉันพูดอย่างไม่กลัวใครเพราะถ้าฉันไม่พูดพวกนี้ก็จะข่มขู่ฉันเพราะเห็นว่าฉันเป็นคนเงียบ ๆ เลยอยากจะคุกคาม  แต่ผิดแล้วฉันเป็นคนที่ไม่เคยยอมคน  และถ้าใครมาราวีฉันจะสู้ ๆๆๆๆๆ ให้ตายกันไปข้างนึงเลย...  ฉันจ้องหน้าเพื่อน 7 คนที่ยืนมุงดูฉันอย่างเอาเรื่อง  และฉันก็มองไปที่เหมี่ยว
	"สรุปจะเอาไง...!"
	ฉันถามอย่างไม่กลัว  ทำให้พวกนั้นต้องละสายตาเดินออกห่างฉันไป  ฉันเห็นสีหน้าของเหมี่ยว  เหมี่ยวทำท่าไม่ค่อยพอใจทั้ง ๆ ที่อุตส่าไปยั่วยุให้กลุ่ม 7 ห้าวแก๊งเก๋าในทางเลวของห้องมาข่มขู่ฉัน  แต่ขอโทษ...ฉันไม่กลัว  ถึงกลัวฉันก็จะสู้สู้ให้มันตายไปข้างเลย...
	ผ่านมาอีกหลายวัน...
	วันนี้เป็นวันแข่งยูโดชิงตัวนักกีฬาจังหวัด  ผู้คนเข้ามาดูกันคับคั่ง  พวกเราทำพิธีไหว้ครู  และแสดงศิลปะป้องกันตัวแบบยูโดโชว์ต่อหน้าผู้คนมากมา  โดยเฉพาะแสดงต่อหน้าท่าน ผบ.สูงสุดของที่นี่  นักข่าวมาดูกันอย่างคับคั่งทีเดียว
	ฉันดูพวกที่แข่งฝึกซ้อมในห้องซ้อมแล้วก็รู้สึกขนหัวลุก  ทุกคนดูขมักเขม้นกันดีจัง  ดูท่าทางจะต้องสู้ให้ตายกันไปข้างแน่ ๆ แล้วฉันก็แอบเข้าไปดูนักยูโดของชมรมอื่นที่มาร่วมแข่งที่ ร.พ.ศ. 2 ด้วย  ดูท่าทางโหด ๆ ทั้งนั้น  ฉันรู้สึกตาขาวขึ้นมาทันที
	เมื่อเสียงกรรมการประกาศให้นักกีฬามานั่งประจำที่เพื่อที่จะแข่ง  ฉันนั่งประจันหน้ากับฝ่ายตรงข้ามที่ท่าทางน่ากลัวมาก ๆ  ฉันรู้สึกปอดแหกจริง ๆ พอกรรมการเรียกชื่อให้นักกีฬาขึ้นไปแข่ง  ฉันก็จ้องมองตาแทบไม่กระพริบทีเดียว  ฉันมองเห็นจุดอ่อนของคู่ต่อสู้หลายอย่าง   มองเห็นเทคนิกพิเศษของคู่ต่อสู้ฉันจึงจำเอาไว้ใช้บ้าง  เมื่อกรรมการเรียกชื่อฉัน  ฉันก็ลุกขึ้นไปยืนอยู่ที่เส้นสีแดง  ฉันได้คาดสายแดง  แค่คาดสายแดงก็มีกำลังใจไปครึ่งนึงแล้วละ  เพราะอีกฝ่ายหนึ่งคาดสายขาว  มันทำให้ฉันมีแรงผลักดันที่จะสู้ให้ชนะให้ได้เพราะสายแดงคือสายนำโชค...ฉันเชื่อว่าอย่างนั้น
	"ฮาจิเมะ...!!!"
	กรรมการสั่งให้เริ่มต้น  ฉันเข้าไปคว้าคอเสื้อทันที  คู่ต่อสู้กำลังดีมาก ๆ และแกร่งมาก ๆ ถึงฉันพยายามจะเข้าท่าอย่างไรแต่ก็ไม่สามารถที่จะทุ่มได้เลย  มีแต่จะเสียเปรียบเพราะฝ่ายตรงข้ามจะพยายามทำให้หลังฉันแนบกับพื้นให้ได้เพื่อที่จะฉวยโอกาสล็อกฉัน  ฉันจึงต้องหลบออกมาอยู่บ่อย ๆ  จนทำให้ดูเหมือนฉันจะหนีคู่ต่อสู้
	"ชิโด...!!!"
	กรรมการคาดโทษครั้งที่ 1 ให้แก่ฉัน  ฉันรู้สึกหูชาเพราะเสียหน้ามาก ๆ ก็เลยเข้าท่าเตรียมที่จะทุ่มแล้วไม่ทุ่มกลับหันออกมาใช้ท่าไทโอโตชิ  ทำให้คู่ต่อสู้ลอยตัวกลางอากาศประมาณ 3 วินาทีก่อนจะกระแทกลงที่พื้นเบาะ
	"วาซารี่..."
	กรรมการยกมือไปทางด้านขวา  แล้วให้คะแนนวาซา-อริกับฉัน  ถ้าฉันได้วาซา-อริอีกครั้งเดียวก็จะชนะแล้ว  ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬากา  ยังคงเหลือเวลาอยู่อีก 30 วินาที  ฉันจึงเข้าไปล็อกคู่ต่อสู้ด้วยท่าโยโกชิโฮ-กาตาเมะทันทีก่อนที่คู่ต่อสู้จะลุกขึ้นมาทัน  ฉันก้มหน้ากดสายรัดเอวให้แน่น  คู่ต่อสู้พยายามที่จะดิ้นแต่ฉันก็กดเขาเอาไว้แล้วก็เปลี่ยนท่าเป็นท่า เกซ่า-กาตาเมะทันทีเพื่อที่จะได้ล็อกแน่น ๆ เพราะท่านี้เป็นท่าที่ถนัดของฉัน  คู่ต่อสู้พยายามดิ้นรนอีกครั้งแต่ฉันก็ไม่ยอมปล่ยจนหมดเวลา
	"วาซารี่-วาซาเตะ-อิปโป้ง...!!!"
	เสียงกรรมการพูดดังขึ้น  ฉันลุกขึ้นมาและก็ส่งมือให้คู่ต่อสู้  เธอคนนี้จับมือฉันแล้วลุกขึ้นมาแอบอมยิ้มนิด ๆ เราคำนับซึ่งกันและกันแล้วเธอคนนั้นก็ลงจากสังเวียน  เหลือเพียงฉันที่ต้องรอคนแข่งคนต่อไป...
	"ฮาจิเมะ...!!!"  
	เสียงกรรมการบอกให้เริ่มแข่งได้  ฉันจึงเดินเข้าไปจ้องคู่ต่อสู้แล้วก็พบจุดอ่อนที่ขาของคู่ต่อสู้ทันที  ฉันคว้าคอเสื้อได้ก็เข้าใส่ด้วยท่ายูชิมาตะทันที  ทำให้คู่ต่อสู้ตั้งตัวไม่ทันลอยตัวขึ้นมาและกระแทกกับพื้นเบาะทันที
	"ยูโก้...!!!"
	เสียงกรรมการบอกให้รู้ว่าฉันกำลังได้คะแนนยูดก้อยู่  ถ้าฉันทำคะแนนวาซา-อริครั้งนี้ได้คะแนนฉันจะนำโด่งทีเดียว
	ฉันเข้าใส่ด้วยท่าเดิมอีกครั้งเพื่อให้คู่ต่อสู้รู้ตัวว่าฉันรู้ว่าขาเขามีปัญหา
	"ยูโก้...!!!"
	เสียงกรรมการให้คะแนนอีกครั้ง  แต่คะแนนของฉันก็ยังไม่ทิ้งห่างคู่ต่อสู้เลย  คู่ต่อสู้มีสิทธิ์ที่จะตามฉันทันภายใน 2 เกมส์นี้  ฉันจะทำยังไงดีนะ  คู่ต่สู้ก็แกร่งเหลือเกินถึงแม้ว่าจะมีจุดอ่อนที่ขาก็ตามเถอะแต่ฉันก็หาทางเข้าทุ่มลำบาก  มีวิธีเดียวก็คือต้องใช้ท่านี่ไปเรื่อย ๆ อย่าให้ไหวตัวตามเกมส์ทันปล่อยให้หมดเวลาเร็ว ๆ ก็เท่านั้น
	ฉันตรงลี่เข้าไปกระชากคอเสื้อคู่ต่อสู้จากนั้นก็ทำท่าเหมือนจะออกอาวุธทำให้คู่ต่อสู้ตั้งรับท่าทุ่มด้วยการย่อเข่า  โอกาสนี้แหละที่ฉันจะได้เปรียบฉันจึงปัดข้อเท้าคู่ต่อสู้ลอยขึ้นมาจนหลังกระแทกพื้นเต็ม ๆ ทันที
	"อิปโป้ง...!!!"
	ฉันชนะอย่างไม่คาดฝัน  น่าจะเป็นเพราะการใช้สมาธิและมองจุดอ่อนของคู่ต่อสู้อย่างละเอียด  จึงทำให้ฉันชนะได้อย่างสวยงาม
	วันนี้ฉันได้เป็นนักกีฬาตัวแทนจังหวัดแล้ว  ฉันได้ติดเข็มนักกีฬา  ได้ติดธงจังหวัดไว้ที่เสื้อยูโด  ได้ชุดยูโดตัวใหม่ที่ดูดีกว่าชุดเก่า  ได้บัตรนักกีฬา  ได้ชื่อเสียง  ฉันมีความสุขมากทีเดียว  อาจารย์ก็เข้ามาชมฉันอย่างไม่หยุดปากทีเดียว
	"เก่งเหมือนกันนะเรานี่...เที่ยวหน้ามีแข่งคัดตัวเขตไปแข่งกันไหม"
	"ที่ไหนคะอาจารย์..."
	"ที่อ่างทอง..."
	อาจารย์นิพนธ์พูดขึ้นพร้อมกับขยี้หัวฉัน  ฉันมีความรู้สึกว่าฉันทำได้  ฉันไม่แพ้  ฉันก้าวขึ้นมาเหนือเหมี่ยวแล้ว...ฉันจะต้องสู้ต่อไป  สู้ ๆๆๆๆๆๆๆ  เพื่อชัยชนะของเรา
	ฉันเหลือบไปเห็นพี่นัทยืนมองฉันอยู่  เขายิ้มให้ฉันแต่ฉันก็ทำเมินใส่  เพราะฉันคิดว่าฉันคงไม่ให้อภัยเขาง่าย ๆ หรอก  ฉันรู้สึกเข็ดที่เจอคนอย่างพี่นัท...  นักกีฬาที่ฉันแข่งด้วยเมื่อกี้มาแสดงความยินดีกับฉัน  เราแลกที่อยู่กันแล้วก็เชียรกันและกัน
	"นัดหน้าถ้ามีโอกาสพี่จะมาแข่งกับน้องอีก  น้องดาว...ไปนะ"
	รุ่นพี่หลายคนที่คัดตัวจังหวัดไม่ผ่านมาให้กำลังใจฉัน  เพราะจะหานักยูโดที่ผ่านเข้าไปยากมาก  นี่ถือว่าเป็นโชคของฉันที่ได้มายืนในจุดนี้  ฉันรู้สึกภาคภูมิใจจริง ๆ เลย
	...เฮ้อ...วันนี้ก็ผ่านไปได้อีก 1 วันฉันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก  ฉันโล่งใจไปหมดทีเดียว...แม่จ๋าหนูทำสำเร็จแล้วจ่ะ  หนูจะสร้างชื่อเสียงมาให้ตระกูลเร็ว ๆ นี้...หนูสัญญา...
	ฉันสัญญากับตัวเองไว้ว่าต้องทำให้ได้  จะนำชื่อและเกียรติยศกลับมาฝากแม่ให้ได้  คอยดูสิ...  ฉันกลับบ้านด้วยความสุขและสดชื่นมากทีเดียวถึงแม้ว่าเหงื่อจะไหลออกมาท่วมตัวก็ตาม  แต่ฉันก็รู้สึกสดชื่นมากทีเดียว...
                
                               โปรดติดตามตอนต่อไป...นะคะ
                      แววดาวเด็กสาวผู้มีจิตใจรักยูโดจะทำอย่างไรกับเหมี่ยว  แล้วจะตัดสินปัญหาอย่างไรกับแฟนเก่า...โอ๊ย...ปวดหัวใจแทนแววดาวจริง ๆ ....เธอจะมีโอกาสไปถึงฝันได้ไหม  เธอจะไปแข่งคัสายเขตเพื่อไปคัดตัวเขตตัวจริงหรือเปล่า  เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป...ติดตามตอนหน้านะคะ  ....อย่าพลาด...!!!
                     ขอขอบคุณที่เพื่อน ๆ ไม่ลืมกัน  ติดตามผลงานมาโดยตลอด  ขอบคุณค่ะ...ขอบคุณทุกคน...				
19 กรกฎาคม 2547 10:48 น.

ฉันเป็น…ของเธอ

สุชาดา โมรา

ชีวิตของพวกเราอยู่ท่ามกลางหมอกควันที่ไม่รู้จักจบสิ้น  กลิ่นอายที่ฟุ้งกระจาย  เปรียบดังสายหมอกขาว ๆ ในยามเช้า  แต่ทว่าหมอกสายนี้มีอยู่ทั้งวี่ทั้งวัน  เมื่อไรหนอที่พวกเราทั้งหมดนี้จะได้ไปสูดกลิ่นอายที่สดใสไร้หมอกควันเสียที
	พวกเราอยู่ที่บ้านริมน้ำจังหวัดกาญจนบุรี  แสงสว่างยามที่พระสุริยาฉายเจิดจรัสช่างสวยงามเสียจริง ๆ แต่ถึงอย่างไรชีวิตของพวกเราก็ยังคงอยู่ที่เดิมตลอดมา  ที่ที่มีแต่ความอุดอู้ไม่มีสิ่งดี ๆ เหลืออยู่เลย  และเป็นไปได้ไหมหนาที่ทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ในขณะนี้จะลืมวิถีชีวิตของตัวเองที่กินอยู่กับเรา  พวกเราจึงไม่เคยมีคุณค่าและไม่มีความหมายสำหรับพวกเขาเลย
	"นี่เธอมาดูห้องนี้สิ...โห...สวยจริง ๆ เลย  เฟอร์นิเจอร์ก็ครบครัน  มองออกไปก็เห็นธรรมชาติที่สดใสงดงาม...เอางี้ละกันฉันตกลงซื้อบ้านหลังนี้"
	หญิงอ้วยกับนายหน้ามาดูบ้านหลังที่พวกเราอยู่  เธอตกลงที่จะซื้อบ้านหลังนี้  หญิงอ้วนหรือคุณนายนิวเครียจึงขนของเข้ามาในบ้านพร้อมกับลูกชายอ้วน ๆ ของเธอในเย็นวันนั้น  เด็กอ้วนคนนั้นเมื่อมาถึงก็สำรวจบ้านทันที
	"แม่ฮะผมว่าบ้านมันใหญ่เกินไปหรือเปล่าฮะ  แล้ว...แล้วเราจะทำความสะอาดไหวเหรอฮะ"
	"ไหวสิจ๊ะทอมลูกรัก...เราแค่ทำเฉพาะที่เราใช้กันก็พอ  เช่นห้องนอน  ห้องครัว  ห้องรับแขกแล้วก็ห้องน้ำ  ส่วนทางเดินก็ทำบ้างไม่ทำบ้างก็ได้ลูก..."
	สองแม่ลูกจัดแจงทำความสะอาดจนเสร็จจากนั้นก็เข้านอน
	เป็นเวลาหลายสิบปีที่พวกเราถูกทอดทิ้งให้อยู่บ้านกันตามลำพังซึ่งไม่มีใครเคยเหลียวแล  และไม่มีใครมองเห็นคุณค่า  ได้แต่ปล่อยทิ้งพวกเราให้อยู่กันตามยถากรรม..........บางสิ่งบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวในบ้านพูดคุยกัน
	"นี่คันฉ่อง  เราว่าเจ้าของบ้านลำเอียงนะ"
	"เออจริงนะ...เราก็ไม่รู้เหมือนกันนะขนไก่"
	พวกเรารวมตัวกันประชุมหารือกันจนถึงรุ่งเช้า
	สองแม่ลูกไม่อยู่ในบ้าน  ไปเที่ยวในตลาดกาญจนบุรี  และก็คงเลยต่อไปเที่ยวที่อื่น......พวกเราจึงเดินสำรวจบ้านและเราก็พบบางสิ่งบางอย่าง  คือสองแม่ลูกกวาดเอาขยะไปซ่อนไว้ที่ใต้พรม  ซอกตู้และที่ต่าง ๆ ที่มองไม่เห็น  พวกเราจึงสลัดฝุ่นและกวาดขยะออกมา  กระจัดกระจายไปทั่วบ้านเพื่อจะลองใจเจ้าของบ้าน
	แอ๊ด..........เสียงประตูบ้านดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงฝีเท้าคน
	"มาแล้ว ๆ ........"  เสียงนีออนส่งเสียงบอกเพื่อน ๆ
	มู่ลี่จึงบอกเพื่อน ๆ ต่อ ๆ กันไปอีกทอดหนึ่ง  ".........หลบเร็ว"
	พวกเราหลบไปที่ต่าง ๆ เพื่อไม่ให้คุณนายนิวเครียเห็น
	ทั้งคู่ตะลึงในความยับเยิน  เน่าเหม็นของบ้าน  มันไม่น่าเชื่อเลยว่าบ้านจะสกปรกโสโครกได้ถึงเพียงนี้
	"อี๋.........เหม็นจังสกปรกด้วย  ลูกทำสิทอม"
	"ไม่ฮะแม่  ผมหยะแหยง"
	สองแม่ลูกเกี่ยงกันทำความสะอาดบ้าน  และเขาก็ปล่อยให้บ้านเน่าเหม็นอยู่อย่างนี้
	"มืดค่ำป่านนี้แล้วแม่จะพาผมไปไหนฮะ"
	"ก็ไปเที่ยวน่ะสิลูก....ล่องแพชมบรรยากาศและก็ชมการแสดงน่ะสิลูก"
	สองแม่ลูกคุยกันหนุงหนิง ๆ สักพักหนึ่งก็ออกจากบ้านไป
	พวกเรามีความรู้สึกว่าเราโดนทิ้งอีกตามเคย  พวกเราทนทุกข์ทรมานอยู่กับความเน่าเหม็นและโสมมของเจ้าของบ้าน  และเราก็วางแผนร้ายกัน  จนสำเร็จ
	แอ๊ด.........
	"หล่อนมาแล้ว......."  เสียงนีออนพูดขึ้น
	พวกเราเตรียมไปซ่อนตัวในที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในครัว  เมื่อสองแม่ลูกหิว  คุณนายนิวเครียจึงเดินมาล้างจานในครัว  ส่วนลูกชายก็นั่งดูทีวี
	พวกเราไม่รอช้ารีบปฏิบัติการทันทีที่หล่อนล้างจาน
	เพล้ง........!!!!  "โอ๊ย!"
	จานชามและอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในบ้านทั้งหมด  ออกมารุมทำร้ายร่างกายคุณนายนิวเครียจอมขี้เกียจกับคุณทอมลูกชายจอมโสโครก
	"ผีหลอก......โอ๊ย!"
	พวกเราต้อนทั้งคู่มารวมกัน
	"ไม่ใช่ผีหลอก.....หรอกคุณนาย  พวกเราเพียงแต่ทนมานานแล้ว  คุณนายและลูกไม่เคยสนใจไม่เคยรับรู้ถึงจิตใจของเครื่องใช้ภายในบ้านอย่างพวกเราเลย  พวกเราเสียใจที่ต้องทำแบบนี้  แต่ถ้าเราไม่ทำคุณนายก็ยังคงต้องทำอยู่อย่างนี้  ยังคงสกปรกโสโครก  และคงไม่ทำความสะอาดพวกเราเลย  ดีแต่ใช้...คุณนายนี่มันมนุษย์งี่เง่าจริง ๆ"  ไมโครเวฟพูดขึ้น
	"ใช่...พวกเราตั้งใจจะสั่งสอนให้คุณนายเข็ดหลาบ  จะได้รู้จักทำความสะอาดบ้านมั่ง  ขอบอกไว้ก่อนเลยนะ  ถึงพวกเราเป็นแค่สิ่งของแต่พวกเราก็มีหัวใจ  มีชีวิตจิตใจ  และพวกเราก็ไม่ชอบความสกปรก  พวกเราเป็นของคุณนายนะ  ใช้เราให้มันดี ๆ หน่อย"  บุ๊คพูดเสริมขึ้น 
	"จ่ะ...ฉันยอมแล้ว  ต่อไปนี้ฉันจะรักษาความสะอาดนะ  จะไม่ปล่อยให้เธอเน่าเหม็น  ฉันจะรักษาความสะอาด  ฉันสัญญา"
	หลังจากที่คุณนายนิวเครียสัญญากับพวกเราในวันนั้นพวกเราก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติ...แล้วบ้านคุณล่ะสะอาดหรือยัง  ระวังไว้ให้ดีเถอะถ้าเผลอเมื่อไรพวกเราจะเอาคืน...!!!!				
18 กรกฎาคม 2547 17:31 น.

วันวาน… (ภาค 4 ต่อจากพ่ายให้แก่เธอ เป็นภาคสุดท้ายแล้วค่ะ)

สุชาดา โมรา

ฉันไม่เคยมีความสุขในชีวิตของฉันเลย  ตั้งแต่ฉันเกิดมาฉันก็พบแต่สภาพของครอบครัวที่แตกร้าว  มีแต่ความร้าวฉานอยู่ตลอดเวลา  ตัวฉันเองเป็นลูกคนกลาง  ฉันมีพี่ชายและน้องสาวที่คอยเป็นกำลังใจให้เสมอ  บ้านฉันค่อนข้างยากจนข้นแค้น  ขัดสนไปเสียทุกเรื่อง  เวลาไปเรียนฉันก็ต้องเป็นเด็กอยู่ในความอนุเคราะห์ของทางโรงเรียน  เพื่อน ๆ ก็ชอบล้อว่าฉันเป็นเด็กอนาถา  ฉันไม่เข้าใจว่าฉันผิดตรงไหนที่เกิดมาจน  คนจนไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียนเหรอฉันมักจะถามตัวเองแบบนี้อยู่เสมอ ๆ จนมีอยู่วันหนึ่งด้วยความที่ฉันเป็นคนช่างอ่าน  ฉันก็ไปสมัครทำงานพิเศษในห้องสมุดของโรงเรียน  ตอนนั้นฉันมีความสุขมากกับการที่ได้อ่านหนังสือมากมายทำให้ฉันเริ่มรอบรู้มากขึ้น  ฉันรู้สึกได้ว่าการอ่านเป็นสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตฉันมาก  และการอ่านก็ทำให้ฉันเรียนดีมากขึ้นด้วย
	พอฉันโตขึ้นได้เรียนสูงขึ้นฉันก็เข้าใจปัญหาที่ฉันมีอยู่ในขณะนี้  ฉันพยายามขยันเรียนให้ดีที่สุดถึงแม้ว่าจะต้องกัดก้อนเกลือกินก็ตาม  พี่ชายฉันเรียนจบออกมาก็มาส่งฉันเรียน  ตอนนี้พี่ทำงานอยู่กรมทางหลวงเป็นวิศวะเงินเดือนดีจึงสามารถส่งฉันและน้องเรียนได้  ส่วนพ่อหลังจากที่เลิกลากับแม่ไปนานมากฉันก็ไม่ได้ข่าวคราวเลย...  ถึงแม้ว่าช่วงนี้พี่ชายของฉันจะช่วยเหลือเจือจุนบ้านอย่างไรแต่ความเป็นอยู่ของเราก็ยังไม่แตกต่างจากเดิม  แม่เป็นคนที่รักฉันและน้องมากที่สุดเพราะเราเป็นผู้หญิง  ผู้หญิงมีโอกาสที่จะเสียคนได้ง่ายที่สุด  แม่มักจะพร่ำสอนฉันอยู่เสมอ ๆ
	อย่าชิงสุกก่อนห่ามนะลูก  อย่าเกเรตั้งใจเรียนนะ
	ฉันและน้องก็ทำตามที่แม่สอนทุกเรื่อง  แม่ยังคงทำงานเหมือนเดิม  ยังเข็นรถไปขายส้มตำเป็นปกติ  ความฝันของแม่คืออยากให้ลูก ๆ เรียนจนจบปริญญา  อยากมีร้านอาหารเป็นของตัวเองจะได้ขายส้มตำได้
	ฉันเรียน ม.ปลายแล้ว  ฉันเริ่มเป็นสาวเต็มตัวหลังจากที่ผ่านอายุ  16    ด้วยความที่ฉันเป็นคนชอบอ่านชอบเขียนอยู่เสมอ ๆ เมื่อมีร้านหนังสือมาเปิดที่ฝั่งตรงข้ามของโรงเรียนฉันจึงไปสมัครสมาชิกทันที  แต่ทว่าค่าสมัครสมาชิกมันแพงเหลือเกิน  ตั้ง  30  บาทก็เท่ากับที่ฉันไปเรียนเลย  คงไม่ไหวแน่ ๆ  แต่เจ้าของร้านใจดีบอกให้ฉันมาทำงานด้วยแล้วจะให้ค่าขนมแถมยังได้อ่านหนังสือฟรีอีก  นับว่าเป็นโชคสองชั้นของฉันจริง ๆ
	ฉันทำงานอยู่ 2 เดือนเจ้าของร้านก็ไว้วางใจให้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายในร้าน  ให้บริหารงานเองจนใคร ๆ ต่างก็คิดว่าฉันเป็นเจ้าของร้านไปแล้ว  ตกเย็นหลังจากเลิกเรียนฉันก็มาทำงานจนดึก  บ้านช่องไม่ได้กลับเพราะกินนอนเสร็จสับที่ร้าน  เจ้าของร้านก็ไม่อยู่ปล่อยให้ฉันดูแลกิจการแทนเขาทั้งหมด  ฉันได้เจอลูกค้ามากหน้าหลายตา  สนิทกับคนมากมายไม่ว่าจะอายุมากกว่าหรือเด็กกว่า  ฉันมีความสุขที่สุดกับการที่ได้ทำงานตรงนี้มากทีเดียว
	วันหนึ่งแม่ฉันป่วยหนัก  พี่ชายฉันไปต่างจังหวัด  ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไงดีไม่รู้จะพึ่งพาใครได้  ไม่รู้ว่าจะพาแม่ไปหาหมอยังไง  ฉันกลับไปที่ร้านเช่าหนังสือดึงลิ้นชักออก  ในนั้นมีเงินอยู่จำนวนหนึ่ง  ใจฉันก็คิดว่าน่าจะเอาไปรักษาแม่ก่อน  แต่อีกใจนึงบอกว่าอย่าทำเลยมันไม่ดีเพราะแม่เคยสอนอยู่บ่อย ๆ ว่าของเขาไม่เอาของเราไม่ให้ฉันจำคำสอนของแม่ได้ดี  แต่จะปล่อยให้แม่ต้องตายงั้นเหรอ  ฉันลังเลอยู่นานไม่รู้จะทำยังไงดี  ได้แต่ยืนกุมขมับไว้แล้วก็ตัดสินใจปิดลิ้นชักซะแล้วก็ตั้งใจทำงานโชคดีที่เจ้าของร้านมาพอดี
	ไงกิวันนี้....ยอดเช่าเป็นยังไงบ้าง
	ก็ดีกว่าทุกวันค่ะ
	อ่ะนี่เงินเดือนของเธอนะ  แล้วอืมโทษฐานที่เป็นคนดีน้าให้โบนัสพิเศษด้วยอ่ะ
	น้าตุ๊กส่งเงินให้ฉัน  ฉันดีใจมากรับเงินและไหว้ขอบคุณน้าตุ๊กทันที
	อืมกิวันนี้เลิกงานได้เลยนะเดี๋ยวจะกลับบ้านไม่ทัน  หมู่นี้ไม่ค่อยได้กลับบ้านนี่เดี๋ยวคุณแม่จะบ่นเอานะ
	ฉันรีบกลับบ้านมาพาแม่ไปหาหมอทันที  โชคดีจังที่ไม่เป็นอะไรมาก  ทีแรกฉันกลัวว่าแม่จะเป็นไข้หวัดนกจะตายไปเฮ้อโล่งอกไปที  เพราะหมู่นี้ไก่ย่างมันเหลือแม่ก็เลยเอามากินกับข้าวด้วยฉันละเป็นห้วงเป็นห่วง  แต่ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วละ
                     ฉันมาคิดได้ว่าการที่ฉันไม่ขโมยเงินในร้านมาคือการทำความดีอย่างหนึ่ง   ทำให้ได้กำไรชีวิต เพราะว่าความดี เท่านั้นเป็นสิ่งที่เพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิต ทำชีวิตให้มีความสุข ความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น หากปราศจากการทำความดีแล้ว ชีวิตที่แสนสั้นในโลกใบนี้ ก็ยิ่งจะหมดค่าลงไปทุกทีๆ เพราะฉะนั้นเราจึงควรรีบทำความดีทุกๆ วัน เพื่อแข่งกับเวลาที่มันกลืนเอาชีวิตของเราไปทุกขณะจิต  ฉะนั้นเมื่อฉันไม่ได้ทำบาปลงไปผลดีเลยมาตอบแทนเราทำให้สวรรค์ส่งน้าตุ๊กมาเป็นคนช่วยเราทำให้ฉันมีเงินมาพาแม่ไปรักษา...
                       เด็วสาววัยรุ่นที่อยากมีเหมือนเพื่อน  อยากได้อะไรมาเป็นของตัวเองแต่ละครั้งต้องขวนขวายหาเงินมาซื้อให้ได้  ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน  แต่ด้วยความที่ฉันทำงานกับน้าตุ๊กทำให้น้าตุ๊กเอ็นดูฉันมาก  ถึงกับจะรับฉันเป็นลูกบุญธรรมเลยทีเดียว  น้าตุ๊กเป็นคนดีคอยช่วยเหลือฉันมาโดยตลอด  อยากได้อะไร  อยากทำอะไร  แค่น้าตุ๊กมองตาก็รู้ใจฉันทันที  เที่ยวหาซื้อข้าวของมาให้ราวกับฉันเป็นลูกของเขา  ฉันจึงรักและเทิดทูนน้าตุ๊กมากเป็นอันดับสองรองจากแม่ทีเดียว
                        เวลาผ่านไปจนฉันเรียนจบ  น้าตุ๊กให้คำแนะนำในการศึกษาต่อ  ฉันจึงเอ็นทรานติดมัคคุเทศก์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง  พี่ชายของฉันก็ขวนขวายหาเงินมาให้ฉันเรียนจนฉันรู้สึกว่าฉันเป็นภาระของพี่  แต่ฉันก็ยังดีที่ฉันมีน้าตุ๊กคอยดูแลฉัน  ฉันเรียนไปทำงานไป  ถึงแม้ว่าเงินเดือนจะได้น้อย  แต่น้าตุ๊กก็ปรนเปรอฉันด้วยสิ่งอื่น ๆ ที่เงินเดือนฉันไม่อาจจะหาซื้อได้  ฉันรู้สึกว่าน้าตุ๊กดีกับฉันเหลือเกิน
                       วันนั้นฉันจำได้ดีว่าน้าตุ๊กชวนฉันไปที่ดอนเมืองเพื่อไปรับใครคนหนึ่ง  ฉันไปยืนเป็นเพื่อนน้าตุ๊กจนมีผู้ชายคนหนึ่งมาพร้อมสัมภาระ
                      "สวัสดีครับคุณแม่...เอ่อนี่ใครกันครับ..."
                      "กิจ่ะ  คนที่แม่เล่าให้ฟังบ่อย ๆ ไง"
                      "อ๋อ!..สวัสดีครับ"
                        ฉันจึงยกมือไหว้ผู้ชายคนนี้  ผู้ชายคนนี้แต่งตัวดีดูภูมิฐาน  เรียนจบนอกมาด้านการบินพลเรือนจากนอร์เวย์  เป็นคนพูดนิ่ม ๆ สุภาพ  หน้าตาดูดี  สูงขาว  แก้มใสดูขาวอมชมพูราวกับปัดบรัซออนทีเดียว  ฉันเดินไปแอบมองไปเพราะความชื่นชมในผิวของเขา
                          "เอ่อคุณแม่ครับเราจะไปทานข้าวกันที่ไหนดี  คือผมหิวแล้ว  ผมอยากทานอาหารไทย ๆ แบบว่าไม่ได้ทานมานานแล้วครับ"
ผู้ชายคนนี้ยืนกอดเอ็วน้าตุ๊กอย่างน่าเอ็นดูเทียวละ  ฉันรู้สึกประทับใจมาก ๆ เมื่อได้เห็นครอบครัวนี้มีความสุข....
                        น้าตุ๊กพาพวกเราไปทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งย่านสำเพ็ง  ร้านนี้อาหารอร่อยมาก  ฉันไม่ค่อยกล้าทานอะไรมากเพราะดูสองแม่ลูกคู่นี้เขาทานแบบผู้ดี  ฉันจึงค่อย ๆ ทานแล้วก็รีบอิ่ม
                        "อิ่มแล้วเหรอจ๊ะลูก..."
                        "ค่ะ"
                       "ทานของหวานก่อนไหม"
                       "ไม่ละค่ะ  ขอบคุณค่ะ"
                       "เอ่อคุณแม่ผมก็อิ่มแล้วเหมือนกันครับ"
                       "งั้นเหรอติว...เก็บเงินด้วยจ่ะ"
                       เราออกจากร้านแล้วก็เดินไปร้านหนังสือด้วยกัน  แต่น้าตุ๊กบอกกับฉันว่าติดธุระให้คุณติวอยู่เป็นเพื่อนฉันเลือกหนังสือ  ส่วนน้าตุ๊กก็ให้กุญแจรถไว้กับคุณติวแล้วก็ขึ้นแท็กซี่ไป...ฉันมีความรู้สึกเกร็ง ๆ ยังไงชอบกล  ต้องมายืนอยู่กับคนที่ไม่ค่อยสนิท  ทำอะไรก็ไม่ถนัด
                        "หนังสือเล่มนี้เข้าท่าดี  เอาไปอ่านดูไหมครับ"
                        "หนังสืออะไรคะ..."
                      "หนังสือเกี่ยวกับการบริหารไง  เป็นเรื่องการครองใจคนในสำนักงาน  ผมว่าเข้าท่าดี"
                       ผู้ชายอะไรชวนผู้หญิงอ่านหนังสือเครียด ๆ ฉันนะงงไปหมด  สงสัยจะแก่เรียนจนไม่รู้ว่าจะชวนคุยเรื่องอะไรแล้วมั้ง  แต่ฉันก็รับหนังสือมาเปิดอ่านดู  ก็เข้าท่าดีนะ  ฉันจึงเลือกซื้อหนังสือเล่มนั้นมาอ่านเวลาว่าง  คุณติวพาซื้อของจนข้าวของเยอะแยะไปหมดต้องให้พนักงานร้านเอาหนังสือไปส่งที่รถ  จากนั้นเขาก็พาฉันไปเที่ยวต่อที่สนามหลวง  พาฉันมาดูคนเล่นว่าว  เราทั้งคู่เล่นไม่เป็นเลย  ก็เลยได้แต่นั่งมองว่าวที่อยู่บนท้องฟ้า...  ฉันก็รู้สึกแปลก ๆ อยู่เหมือนกันนะ  คนเราเพิ่งรู้จักกันวันแรกแต่กลับทำท่าเหมือนรู้จักกันมานานแสนนานทีเดียว  เขาตามใจฉันทุกอย่าง  ลักษณะของเขานี่ถอดแบบน้าตุ๊กมาเลยทีเดียว
                     วันทั้งวันนั่งดูเขาเล่นว่าวกันจนบรรยากาศเริ่มมืดแล้วคุณติวจึงพาฉันแวะไปทานอาหารก่อนที่จะพาฉันมาส่งไว้ที่บ้านพี่ชาย  ฉันจะปฏิเสธได้อย่างไรในเมื่ออาศัยเราเขามา  ก็เลยต้องกลับบ้านค่ำ  พี่ชายฉันถึงกับมายืนรอหน้าบ้านทีเดียว
                    "ไปไหนกับใครมา  ทำไมกลับเอาป่านนี้"
                    "เอ่อ...กิ...."
                    "สวัสดีครับ  คือผมเป็นลูกชายเจ้าของร้านที่น้องกิเขาไปทำงานอยู่น่ะ  คือเราไปซื้อหนังสือเข้าร้านกันเลยกลับช้าไปหน่อย  ขอโทษนะครับ  แล้วที่คุณแม่ไม่มาด้วยเพราะท่านติดธุระน่ะครับ"
                    คุณติวพูดซะยืดยาวพี่กอล์ฟจึงเข้าบ้าน  ฉันยืนส่งคุณติวจนรถแล่นไปสุดสายตา  วันนี้ฉันรู้สึกดีนะที่ได้ไปเที่ยวหลาย ๆ ที่   ฉันนอนอ่านหนังสือเล่มนั้นจนดึกแล้ก็เผลอหลับไป
                    ตั้งแต่มีคุณติวก้าวเข้ามาในชีวิต  ฉันก็รู้สึกว่าโลกใบนี้มันเป็นสีชมพูไปหมด  ฉันไม่รู้ตัวหรอกนะว่ารู้สึกเกินเลยกับคำว่าเจ้านายกับลูกจ้างไปแล้ว  ตอนเย็นทุก ๆ วันศุกร์คุณติวจะขับรถมารับฉันทุกครั้งเพราะวันศุกร์คือวันหยุดของเขา  คุณติวเป็นสจ๊วตอยู่สายการบินแอร์ไอทิสตี้  เขามีโครงการที่จะเปิดบริษัททัวร์  ก็เลยคิดโครงการกับฉันเพราะฉันก็กำลังเรียนมัคคุเทศก์อยู่ด้วย  เมื่อวางแผนกันเป็นเวลา 2 ปีเต็มบริษัทก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา  เริ่มมีการก่อสร้าง  คุณติวก็มักจะพาฉันไปดูการก่อสร้างอยู่เสมอ ๆ จนตอนนี้ฉันเรียนใกล้จะจบแล้ว
                      พอฉันเรียนจบน้าตุ๊กก็เชียรให้ฉันไปเป็นเลขาของคุณติว  คุณติวยังไม่ลาออกจากการเป็นสจ๊วตแต่คุณติวก็มักจะให้ฉันรักษาการแทนไปก่อนจนฉันเป็นงานทุกอย่างในบริษัท  สามารถรู้และเข้าใจระบบโครงสร้างของบริษัทได้เป็นอย่างดี  ฉันรู้สึกว่าฉันรักบริษัทนี้มากทีเดียว  เพราะคนในบริษัทนี้ดูแลฉันเป็นอย่างดีโดยเฉพาะมีคุณติวและน้าตุ๊กที่คอยเป็นห่วงเป็นใยฉันราวกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน...
                    "เอ่อ...คุณกิผมมีเรื่องอยากจะถามคุณ"
                   "คะ"
                   "ผมกำลังหนักใจมากเลย  ผมอยากจะลาออกมาทำงานที่บริษัทแต่ว่า  ผมก็รักการเป็นสจ๊วต  ผมรักแอร์คนนึงเธอน่ารัก  สวย  อ่อนหวาน  เธอเป็นคนสุภาพ  ดูดีไปซะทุกอย่าง  คุณว่าผมควรจะทำอย่างไรดี"
ฉันรู้สึกว่ามันเจ็บแป๊บ ๆ เข้าไปในใจของฉัน  แต่ฉันก็ตีหน้าเฉย ๆ เหมือนกับว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
                 "คุณก็ทำตามที่ใจคุณปรารถนาเถอะ...เพราะฉันคงจะไปห้ามคุณไม่ได้หรอก"
                   คุณติวจึงไม่ลาออก  ทีแรกฉันก็รู้สึกเสียใจเหมือนกันแต่ตอนหลังฉันเริ่มชินชาเสียแล้ว  เพราะฉันก็รู้ ๆ อยู่ว่าเจ้านายกับลูกน้องที่ไหนจะมารักกันได้  ฉันไม่กล้าบินสูงขนาดนั้นหรอก
                 "คุณติวคะ  คุณไม่ไปทำงานเหรอคะ  นี่มันไม่ใช่วันศุกร์นะคะ"
                 "ผมทุกข์ใจ  ผมหาทางออกไม่ได้แล้ว  แอร์ที่ผมรักเธอมีสามีแล้ว  ผมทำใจไม่ได้...เอือก"
                คุณติวดื่มเหล้าเมามายอยู่ในออฟฟิต  ฉันทนไม่ได้จึงพยุงตัวออกมาจากบริษัทแล้วก็พาไปส่งไว้ที่บ้านของน้าตุ๊ก
                "กิ...ติวทำไมเป็นแบบนี้ล่ะลูก"
                "สงสัยจะอกหักจากแอร์น่ะค่ะ"
                "โถ่...ลูก  แม่บอกแล้วว่าแม่มีคนให้ลูกเลือกอยู่แล้วลูกจะไปรักคนอื่นทำไมกัน"
                น้าตุ๊กพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อย ๆ แล้วก็หันมามองหน้าฉัน  ฉันจึงขอปลีกตัวกลับไปทำงานก่อน...  คุณติวเป็นแบบนี้มานานหลายสัปดาห์จนฉันทนไม่ไหว
               "นี่คุณ  รักอนาคตบ้างหรือเปล่า...เป็นบ้าไปแล้วหรือไงกัน  เอาแต่เมา ๆๆๆแล้วก็เมาชีวิตจะเจริญได้ยังไงกัน  ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลกซะหน่อย  ทำไมต้องทำฟูมฟายเป็นเด็ก ๆ ไปได้"
                "เธอจะมารู้อะไร  ในเมื่อเธอไม่เคยอกหัก"
                 "ทำไมฉันจะไม่เคยอกหัก  ฉันอกหักก็เพราะมีผู้ชายแบบคุณอยู่บนโลกใบนี้เนี่ยแหละ"
                  เขาถึงกับส่างเมาทีเดียว  วันรุ่งขึ้นจึงไปลาออกแล้วก็หันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำงาน  ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาจะรู้หรือเปล่า  ว่าไอ้ที่ฉันพูดไปน่ะมันคือเขา  แต่ฉันก็ยังเป็นคนเดิมที่วางมาดนิ่ง ๆ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  คุณติวเห็นฉันเหมือนน้องสาวคอยเอาใจใส่ฉันเสมอ  ไปรับไปส่งไม่เว้นแต่ละวันจนคนที่บ้านคิดว่เราเป็นแฟนกันเสียด้วยซ้ำ
                "เนี่ยคุณกิ...พนักงานต้อนรับคนใหม่ของเราน่ารักดีนะ  ผมว่าผมน่าจะจีบเธอนะ"
               "ก็ตามใจคุณเถอะ"
               ฉันรู้สึกเฉยชาต่อเรื่องนี้  เพราะเขามักจะเอาเรื่องสาว ๆ มาปรึกษากับฉันอยู่เสมอ  แต่ก็มักจะแฮ้วทุกที  ฉันต้องคอยมีหน้าที่เป็นศิลานีให้เขาปรึกษาอยู่เรื่อย ๆ จนเขาพอใจ  ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเมื่อไรเขาถึงจะหันมาดูฉันบ้าง  แต่ก็คงชาติหน้าตอนบ่าย ๆ นั่นแหละ
             "วันนี้อากาศดีเป็นพิเศษนะกิ  ช่วงหน้าหนาวแบบนี้ผมอยากจะชวนคุณไปเที่ยวเชียงใหม่จริง ๆ ไปชมพระธาตุ  ไปดูสาวเชียงใหม่  แหมมันท่าจะสนุกพิลึกนะ...ไปกันนะ"
             "แล้วมีใครไปกันบ้างล่ะ"
            "ก็มีผมกับคุณแม่  แล้วผมก็เลยชวนคุณไปด้วยเพราะเห็นเราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน"
            "จะบ้าเหรอ...พูดแบบนี้ฉันเสียหายนะ"
            "เสียหายยังไง..."
             ฉันเงียบแล้วก็ทำหน้าแดง ๆ เดินหนีไป  นั่งทำงานต่อจนเย็น
             "ไปกับผมนะ...นะนะนะ..."
             เขามาอ้อนวอนให้ฉันไปราวกับเด็ก ๆ จนฉันต้องตอบตกลง  แต่ต้องให้เขาไปขอร้องคุณแม่กับพี่กอล์ฟ  เพราะมันไม่ดีถึงจะมีแม่เขาไปด้วยก็ตามเถอะใครมองมันก็จะยังไง ๆ อยู่นะ...  เขามาขอร้องที่บ้าน  ที่บ้านตอบตกลงแล้ววันรุ่งขึ้นก็ขนข้าวของไปกัน
              อากาศที่นี่สวยจริง ๆ แหละ  เราเดินทางมากันถึง 3 วันกว่าจะมาถึงเชียงใหม่เพราะคุณติวต้องขับรถมาตลอดทาง  แวะพักที่โรงแรมตั้งแต่สุโขทัยไปเลย  ฉันมีความรู้สึกว่าเหมือนฉันเป็นลูกสาวคนหนึ่งของน้าตุ๊กทีเดียว...
               "คืนนี้พักที่นี่ก่อนละกัน"
คุณติวพาเข้าไปในรีสอร์ทแห่งหนึ่งของเชียงใหม่  จองบ้านพักหลังนึง  ฉันอยู่ห้องข้าง ๆ คุณติว  ส่วนน้าตุ๊กอยู่ห้องชั้นบน  ฉันรู้สึกแปลก ๆ เหมือนกัน  อาจจะเป็นเพราะต่างที่ต่างทาง...  ฉันนอนอย่างไม่ค่อยมีความสุข  ฉันรู้สึกเหมือนใครบางคนกำลังจ้องมองฉันอยู่  ฉันจึงค่อย ๆ ลืมตาช้า ๆ
                "อื้อ...อื้อ...อื้อ..."
                 ฉันพยายามส่งเสียงร้องแต่ใครคนนั้นเอามือมาปิดปากฉันไว้  ฉันพยายามดิ้นยังไงเขาก็ไม่ปล่อย  ฉันรู้แน่ว่านั่นเป็นผู้ชายแน่ ๆ แต่ฉันต้านแรงไม่ไหวแล้ว  ฉันจะทำยังไงดี...
                 "อย่าเอะอะโวยวายนะ  ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก  ผมเอง...ติวไง"
ฉันถึงกับแทบช็อกทีเดียวเมื่อรู้ว่าเป็นคุณติว  แต่ฉันก็ไม่ปิปากร้องเพราะเขาสั่งห้ามฉันไว้  เขาค่อย ๆ เดินไปเปิดไฟแล้วก็มานั่งคุยกับฉัน
                  "กิ...ออกไปข้างนอกกันไหม  ไปดูดาวกัน  เขาว่าดาวที่นี่สวยกว่าที่อื่นนะ"
                  "สวยกว่ายังไงคะ"
                   "ก็มันสูงและโล่งไง  ไปดูให้ได้เชียว"
                     ฉันเดินออกจากห้องไปกับคุณติว  ทีแรกฉันตกใจแทบแย่นึกว่าเขาจะมาทำอะไรซะอีก  แต่ตอนนี้โล่งใจแล้วละเพราะเขามาดี
                    "ทำไมถึงชวนฉันมาดูดาวคะ...เห็นเมื่อเย็นบ่นว่าอยากจะชวนผู้หญิงที่นั่งทานกาแฟอยู่ในร้านค็อฟฟี่ช็อฟไปดูดาวไงคะ"
                    "อย่าพูดมากเลยเดินตามมาดีกว่านะ"
                    ฉันเดินตามเขาไป  จนเขามาหยุดอยู่ที่ลานโล่ง ๆ มีเพียงต้นไม้ใหญ่ต้นเดียวที่เรายืนอยู่  ฉันเห็นดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า  หมู่หิ่งห้อยก็บินวนไปวนมาเป็นกลุ่มใหญ่  ช่างสวยงามเหลือเกิน...ฉันรู้สึกว่าถ้ามีคนที่รักฉันพาฉันมาเที่ยวและมาดื่มด่ำบรรยากาศ  ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่นี่ก็คงจะดีไม่น้อยเทียวละ  ฉันมัวแต่ยืนฝันอยู่เสียนานเทียว
                   "กิ...นั่นไงสิ่งที่ผมให้คุณมา  คุณดูนั่นสิ  สาวน้อยคนนั้น  คุณช่วยผมหน่อยสิ  ไปชวนเธอมาที่นี่แล้วก็ให้นั่งคุยกับผมหน่อย"
                    อ๋อ...ก็เพิ่งรู้เดียวนี้นี่เองว่าเรากลายเป็นแม่สื่อไปแล้ว...ไม่น่าเชื่อเลย  อุตส่าห์ฝันลม ๆ แล้ง ๆ อยู่ตั้งนาน  ที่แท้ก็เห็นประโยชน์เราตรงนี้นี่เอง...เรานี่มันบ้าไปแล้วเหรอนี่  ให้เราเดินมาทั้ง ๆ ที่ใส่ชุดนอน  เฮ้อ...  น้ำค้างก็ลงแต่ก็ต้องจำใจทนหนาวหน่อยเดินไปคุยกับผู้หญิงคนนั้นจนสามารถพาเขามาหาคุณติวจนได้  คืนนี้คุณติวเลยได้เธอไปควงแถมยังได้เธอไปนอนเคียงข้างด้วย  ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะยอมคุณติวง่าย ๆ แบบนี้...  แต่ฉันก็ได้เพื่อนใหม่นะคือเพื่อนของคุณเพียงตาคนที่ฉันไปหว่านล้อมให้ไปคุยกับคุณติว ฉันจึงสนิทกันเพราะเหตุการณ์มันพาไป
                     "คุณชื่ออะไรครับ"
                    "คุณบอกฉันก่อนสิคะ..."
                    "ผมปลิวครับ"
                     "ฉันกิค่ะ"
                     "มาเที่ยวที่นี่ครั้งแรกเหรอครับ"
                    "ค่ะ...แล้วคุณล่ะคะ"
                    "ก็หลายครั้งอยู่ครับ  ผมติดใจตั้งแต่มาเที่ยวกับแฟนคนแรกแล้วจนตอนนี้เลิกลากันไปก็ยังมาเที่ยวอยู่  ที่จริงผมมากันหลายคนแต่ยายเพียงตาน่ะสิชวนผมมาเพราะอยากจะเจอหน้าแฟนคุณไง"
                   "ไม่ใช่...เขาเป็นเจ้านายฉัน  ไม่ใช่ฟงแฟนอะไรหรอก"
ฉันถึงกับตอบเสียงหลงทีเดียว  ฉันคุยกันจนเริ่มรู้สึกว่าง่วงมาก ๆ ก็เลยเดินกลับบ้านหลังที่พักอยู่  คุณปลิวก็เลยมาส่ง  เราแลกที่อยู่กันจากนั้นพอเช้าขึ้นมาเราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย  แต่น้าตุ๊กน่ะสิเสียความรู้สึกมาก ๆ ที่คุณติวเอาคุณเพียงตาเข้ามานอนด้วย  น้าตุ๊กถึงกลับช็อกทีเดียว  เลยจะขอกลับกรุงเทพฯก่อน  แต่คุณติวไม่ยอม  น้าตุ๊กเลยไม่พูดกับคุณติวเลย...  ฉันนะสงสารคุณติวและสงสารน้าตุ๊กมาก ๆ เลย  ครอบครัวที่สงบสุขกลับแย่เพราะผู้หญิงคนเดียว  ที่จริงฉันก็โทษตัวเองอยู่เหมือนกันที่เป็นสื่อให้น้าตุ๊กต้องหมางใจกับลูกชาย  ฉันนี่มันบ้าจริง ๆ ...การเที่ยวครั้งนี้เลยกล่อยเพราะสถานการณ์ไม่ค่อยดี
                     พอกลับมาได้สามวันคุณปลิวก็ติดต่อมา  เรานัดเจอกันบ่อยครั้งจนคุณติวไม่ค่อยพอใจหาว่าฉันอู้งาน  ฉันก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาโกรธทำไมเพราะว่าฉันไม่เห็นว่าฉันจะใช้เวลางานตรงไหนเลย  แต่คุณติวกลับแสดงออกจนน่าเกลียด
                     "นายอีกแล้วเหรอ  ว่างนักไง...ถึงได้มาชวนเลขาของผมไปเรื่อยเลย"
                      "คุณ...นี่มันเลิกงานแล้วนะครับจะใช้แรงงานกันไปถึงไหนกัน"
                       "นาย...."
                         คุณติวถึงกับพูดไม่ออกเลยเมื่อถูกคุณปลิวตอกกลับซะหน้าแหกทีเดียว...
                      เดี๋ยวนี้คนที่ไปรับไปส่งฉันทุกวันก็คือคุณปลิว  เพราะคุณติวเธอไม่ค่อยว่างนัก  อีกอย่างฉันก็รบกวนเขามามากแล้วเหมือนกัน  มีเพื่อนใหม่ก็ดีนะอาศัยเขากลับบ้านทุกวันจนที่บ้านเริ่มพูดแปลก ๆ
                      "เสน่ห์แรงนะเนี่ย  เดี๋ยวก็เจ้านายมาส่ง  เดี๋ยวก็คุณปลิวลูกเจ้าของหนังสือพิมพ์มาส่ง  เอ...มันยังไง ๆ อยู่นา...สรุปชอบคนไหนนะเรา..."
พี่กอล์ฟมักจะแซวแบบนี้เป็นประจำจนฉันเริ่มรู้สึกเขิน ๆ  แต่ฉันก็แกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามเดิม
                         คุณปลิวเข้ามามีบทบาทในชีวิตฉันมากขึ้น  เป็นเวลา 1 ปีเต็มที่เรารู้จักกันมา  เขาเอาใจใส่ฉันทุกอย่าง  แต่ก็มีคนที่ทำท่าไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไร  คือคุณติว  เขาชอบทำหน้าเบ้ทุกทีที่คุณปลิวมา  ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรจงเกลียดจงชังเขาจังเลย...เฮ้อ...ฉันเห็นแล้วก็ปวดหัว
                           "ถามจริง ๆ เถอะคุณเป็นแฟนหมอนั่นเหรอ"
                            "จะบ้าเหรอคุณติว...ฉันน่ะนะ...ไม่อาจเอื้อมค่ะฉันมันคนเดินดินไม่สมควรจะบินสูงหรอก  อย่างดีถ้าจะหาแฟนก็หาที่มัรระดับเดียวกันจะดีกว่า  เขาจะได้ไม่ดูถูกเราจริงไหมคะ"
                            คุณติวถึงกับเบรครถกระทันหันทีเดียว...
                            "อุ้ย....!!!...เบรคทำไมคะ"
                             "คุณเคยชอบผมไหม"
                              "หา........................!!!!"
                             ฉันถึงกลับอึ้งทีเดียว  แต่เขาก็ย้ำกับฉันอีกครั้ง
                             "คุณเคยชอบผมไหม"
                            "ก็คุณเป็นเจ้านายฉันจะให้ฉันไม่ชอบได้ยังไงกัน"
                             "ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...ผมถามว่าคุณน่ะรักผมไหม...."
                             หัวใจฉันเต้นรัวราวกับลูกสูบทำงานเกินปกติ  ฉันรู้สึกตัวชาหน้าชาแดงกล่ำไปหมด  แล้วฉันก็ไม่ได้ตอบอะไร
                             "ถ้าคุณไม่ตอบผมถือว่าคุณ OK.นะ"
                             "เอ่อ....ฉันไม่รู้จะตอบยังไงค่ะ..."
                               "ก็พูด ๆ มาสิ"
                               "ฉันเป็นผู้หญิงนะ...แล้วจะให้ฉันมาพูดอะไรแบบนี้ได้ไงกัน"
                               เขาไม่พูดต่อแต่ก็ขับรถยาวทีเดียว  ฉันไม่รู้ว่าเขาจะพาฉันไปไหนแต่ฉันรู้ว่าเขาต้องไม่ทำอะไรฉันเพราะเขาเป็นสุภาพบุรุษ  เขาขับรถจนฉันหลับไป  พอมาโผล่อีกทีก็เส้นทางไปเชียงใหม่แล้ว
                              "นี่มันอะไรกันคะ..."
                             "ผมเห็นคุณชอบที่สวย ๆ ผมก็เลยพาคุณมาสร้างบรรยากาศหน่อย  หรือว่าคุณไม่ชอบ"
                            "แต่ฉันยังไม่ได้ขออนุ..."
                           "ผมขออนุญาติคุณแม่คุณแล้วละ...คุณไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้นะ  และผมก็เตรียมเสื้อผ้ามาให้คุณเรียนบร้อยแล้วรวมทั้งของใช้ส่วนตัว"
                          "คุณ..."
                          ฉันพูดอะไรไม่ออกเลย  เขาพาฉันมาพักที่รีสอร์ทที่เดิม  พาฉันไปพักห้องที่เดิม  แล้วก็ชวนฉันไปดูดาวเหมือนเดิม
                        "คุณนัดกับคุณเพียงตาไว้เหรอ..."
                         "เปล่า...นี่คุณผมมาแค่เรานะไม่ใช่จะมาหาเศษหาเลยกับคนอื่น"
                         "ฉันไม่เข้าใจอยู่ดีน่ะแหละ"
                         ฉันไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร  แต่พอฉันเห็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยดาวเต็มท้องฟ้า  หิ่งห้อยบินเป็นกลุ่มใหญ่ดูเพลินตาแบบนี้ก็ชวนให้ฉันหยุดคิดเรื่องทุกเรื่องแล้วก็นั่งมองดูดาวอย่างมีความสุข
                        "คุณรู้ไหมว่าผมชอบคุณตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้าคุณเลย"
                        "หือ..."
                        "พอผมเห็นหน้าคุณผมก็รู้ได้เลยว่านี่แหละสะเป็กผม"
                        "อือ..."
                          "ผมขอโทษนะที่ทำตัวเป็นเพลบอยโดยไม่คิดถึงจิตใจของคุณ...คุณแม่ท่านอยากให้เราแต่งงานกัน  แต่ว่าผมมันมัวห่วงแต่ความสำราญอย่างผู้ชายที่ไม่เอาไหน  ผมขอโทษคุณด้วยนะกิ"
                         "หาอะไรนะ..."
                         "นี่คุณไม่ได้ฟังที่ผมพูดเลยเหรอ"
                          ฉันส่ายหน้าคุณติวก็เลยโกรธเดินหนีไป  ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาพูดอะไรเพราะฉันมัวแต่นึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ ของครอบครัวฉัน  ฉันอยากให้คุณแม่มาเห็นที่นี่จังเลย...  จนไม่ได้ฟังที่คุณติวพูด  แต่พอเขาเดินไปได้พักหนึ่งเขาก็กลับมา
                         "นี่จะไม่ง้อเลยเหรอ  งอนนะ"
                        ฉันถึงกับหัวเราะเลยละเพราะไม่คิดว่าเขาจะงอนเป็น  ผู้ชายอะไรขี้งอนไปได้  ดูสิจะให้ผู้หญิงง้อ  ไม่เอาด้วยหรอก  ท่าจะบ้า  ลูกคุณหนูนี่ก็เอาใจยากจริง ๆ เลยนะ
                        "อ่ะง้อก็ได้"
                        "ไหนล่ะที่บอกว่าง้อ"
                        "ก็นี่ไง....ง้อ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ"
                        ฉันหัวเราะขึ้นมาเขาก็เลยเอามือมาขยี้หัวฉัน
                       "แต่งงานกับผมนะ"
                       ประโยคนี้ถึงกลับทำให้ฉันอึ้งมากที่สุด  เพราะฉันไม่คิดว่าเขาจะพูดคำนี้กับฉัน  และฉันก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขารักฉัน  ทั้ง ๆ ที่ปกติเขาไม่มีท่าทีที่แสดงออกมาเลยว่ารักฉัน
                       ฉันแต่งงานได้ 3 ปีก็ท้อง  แต่สุขภาพของฉันไม่แข็งแรงเลยแท้งง่าย  หมอบอกให้พักผ่อนมาก ๆ แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อฉันกำลังบ้างาน  ฉันท้องครั้งต่อมาก็แท้งอีก  สรุปแล้วฉันท้องมาถึง 5 ครั้งแล้วก็แท้ง 5 ครั้งทำให้เขาหมดกำลังใจ  
                        วันหนึ่งเขาล้มป่วยลง  เพราะข้าวปลากินไม่ตรงเวลา  ปวดท้องอยู่บ่อย ๆ พอไปตรวจก็ทราบว่าเขาเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้ายแล้ว  ฉันเป็นห่วงเขามากเลย  คอยดูแลเขามาโดยตลอด  เมื่อฉันรู้ว่าเขาจะไม่อยู่กับฉันแน่ ๆ ฉันก็ยิ่งเสียใจมากแต่ก็ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ข้างใน  ฉันรู้สึกผิดจริง ๆ เลย
"กิ...จะร้องก็ร้องออกมาเถอะ  อย่าฝืนเก็บไว้คนเดียวเลย"
                       ตอนที่คุณติวบอกฉัน  ฉันถึงกลับปล่อยโฮออกมาทีเดียว  ฉันไม่รู้ว่าชีวิตของฉันจะอยู่เพื่ออะไรในเมื่อตอนนี้คนที่ฉันรักคนหนึ่งกำลังจะจากฉันไปแล้ว...  ฉันต้องอยู่อย่างเดียวดายอ้างว้างไม่มีใคร  บ้านที่เคยอยู่เคยเห็นหน้ากันทุกวัน  ต้องมีอันต้องขาดใครคนใดคนหนึ่งไป  ฉันหมดกำลังใจที่จะทำงานต่อไปจริง ๆ
                      "ผมไม่เป็นไรหรอกกิ...ทำใจสบาย ๆ ถือว่าเรามีกรรมร่วมกันมาเท่านี้  รักษาสุขภาพนะกิอย่าหักโหมจนเกินไป  ผมรักคุณนะ  กิ...ผม"
                      คำพูดคำสุดท้ายมันทำให้ชีวิตฉันจมดิ่งอยู่กับความหลัง  ฉันจำคำพูดทุกคำของเขาได้ดี  คุณติวคุณเป็นคนที่ฉันรักมากที่สุด  แต่ฉันกลับไม่ได้ทำอะไรเพื่อคุณเลย  ฉันกอดแม่ของเขาร้องไห้จนถึงวาระสุดท้ายที่ฉันต้องเผาทั้งเขาและแม่ของเขา  ฉันรู้สึกว่าฉันอ้างว้างเดียวดายที่สุด  ชีวิตของฉันเหลือเพียงฉันคนเดียว...
                        ฉันยังคงเก็บถาพวันวานของเราไว้เสมอ...คุณติว  คุณแม่ตุ๊กฉันรักทั้งคู่มากเลยค่ะ  ลาก่อนนะคะขอให้ดวงวิญญาณไปสู่สุขติด้วยเถิด  แล้วฉันก็เอากระดูกและขี้เถ้าไปลอยอังคารที่กลางทะเล  ฉันหวังแค่เพียงฝันถึงเขาทุกวันก็พอแล้ว...

                   จบแล้วค่ะกับเรื่องสั้นทั้ง 4 ภาค  
ตั้งแต่ภาคแรก  เรื่อง  คนที่ไม่เคยสำคัญ
         ภาคสอง      "     มรสุมทางใจ
         ภาคสาม      "     พ่ายให้แก่...เธอ
และภาคสุดท้าย    "     วันวาน...
                   เป็นอย่างไรบ้างคะ  สมกับที่รอคอยหรือเปล่า...ขอบคุณนะคะที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ  ถ้าอยากให้ต่อภาค 5 โปรดเขียนมาบอกด้วยนะคะว่าจะให้แต่งเรื่องของใคร  หรือจะให้เพื่มตอนไหน...อยากให้มีตัวละครชื่ออะไรอีกช่วยบอกนะคะ  ต้องการให้แต่งแนวไหน  จะจัดให้ค่ะ  และจะไปเก็บข้อมูลมาแต่งให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ...
                    ...............ขอบคุณค่ะ.....................				
18 กรกฎาคม 2547 17:08 น.

สาย...

สุชาดา โมรา

จะมีใครสักกี่คนที่จะทำความดีได้ตลอดชีวิต  และจะมีใครสักกี่คนที่จะเป็นคนเลวได้ตลอดชีวิต...  ผมว่าไม่มีหรอกนะเพราะคนทุกคนย่อมมีทั้งส่วนเลวและดีในคน ๆ เดียวกัน  และผมก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นเช่นนั้น...
	ผมกำลังยืนอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งกับผู้หญิงที่ผมรักที่สุด  ผมมองไปรอบ ๆ ตัว  ผมเห็นมีแต่คนร้องไห้  ทำไมพวกเขาจึงเศร้าได้ขนาดนี้ล่ะ  ผมทักใครสะกิดใครก็ไม่มีใครคุยกับผม  จนกระทั่งผมเดินมายืนหยุดตรงหน้าพ่อ-แม่ผม  ผมเห็นท่านร้องไห้อย่างคนสิ้นหวัง
	"คุณแม่ครับ  คุณพ่อครับ....ร้องไห้ทำไมครับ  ผมอยู่ตรงนี้แล้วอย่าร้องนะครับ"
	ผมปลอบใจท่านเท่าไรแต่ท่านก็ยังไม่หยุดร้องไห้เสียทีผมไม่รู้จะทำอย่างไรผมจึงเดินออกมานั่งที่ศาลาวัดและก็นึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม...  ผมนั่งคิดและพูดกับตัวเองราวกับคนบ้า...ผมรู้สึกว่าที่นี่ไม่มีใครสนใจผมเลย
	ชีวิตของผมอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ  ผมไม่เคยรู้ว่าต่อไปอนาคตจะเป็นอย่างไร  ผมเคยฝันอยากจะเป็นนั่นอยากจะเป็นนี่  แต่ตัวผมเองกลับทำอะไรไม่ได้สักนิด  ผมทั้งโดดเรียน  กินเหล้า  เฮตามเพื่อนมาโดยตลอด  ไม่ว่าเพื่อนจะไปทางไหนก็จะมีผมอยู่ด้วยเสมอ  แม้แต่เรื่องเรียนก็ตามผมยังเรียนตามเพื่อนเลย  ทั้ง ๆ ที่ผมก็รู้ว่าผมไม่ถนัดเลยไอ้เรื่องไฟฟ้าเนี่ย  เพราะมันต้องคำนวณ...ถึงเรียนก็ต้องตกก็ต้องซ่อม  ยิ่งกฎของโอมนะผมยิ่งเกลียดมาก ๆ เลย  ให้ท่องอะไรนักหนาก็ไม่รู้  สูตรบ้าบออะไรก็เยอะแยะ  เฮ้อ...
	ผมรู้ตัวว่าผมไม่เคยทำอะไรดีเลยสักอย่าง  ผมทำให้พ่อ-แม่ต้องทุกข์ใจทั้ง ๆ ที่ผมก็เป็นเพียงความหวังเดียวของครอบครัว  ผมจำได้ว่าเมื่อตอนผมยังเล็ก  ผมทำตัวเป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่  ขยันเรียนได้เกรดดีมาตลอด  เป็นผู้นำของห้องเรียน  เป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่  ครูอาจารย์  และเพื่อนฝูง  พอโรงเรียนเลิกผมก็มักจะไปรับจ้างล้างจานอยู่ที่ร้านอาหารข้างบ้านผม  ทำให้พ่อแม่ไม่ต้องมาทุกข์ใจกับเรื่องค่าขนมของผม...เพราะว่าฐานะบ้านเราไม่ค่อยดีนัก
	พ่อผมทำงานอยู่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิพุทธสมาคมฯ    ส่วนแม่ผมไม่ได้ทำอะไรหรอกวัน ๆ ก็เอาแต่เล่นไพ่  สร้างหนี้สินไม่รู้จักหยุดหย่อน  เช้าขึ้นมาผมก็เห็นพ่อกับแม่กินโอวันตีนใส่หน้าแข้งทุกวัน...พอเย็นก็เป็นแบบนี้เช่นกัน  ผมรู้สึกว่าโลกนี้มันไม่มีความสุขสำหรับผมเลยสักนิด
	ชีวิตที่ไม่เอาถ่านของผัวเมียที่มีแต่หนี้และไม่ค่อยเอาใจใส่ครอบครัว  ทำให้ผมเบื่อหน่ายและอยากจะหนีไปให้ไกล ๆ  ผมเคยคิดอยากจะลองยาแต่ว่าใจยังไม่ถึง  อีกอย่างผมก็ไม่มีปัญญาที่จะซื้อมันกินด้วย
	ตอนนั้นผมจบ ม.3 มาหมาด ๆ ได้เข้าเรียนวิทยาลัยแห่งหนึ่ง  แต่ผมไม่สามารถที่จะลงทะเบียนเรียนได้เพราะไม่มีเงิน  แม่ของผมเที่ยวหยิบยืมเงินใครก็ไม่มีใครเขาให้ยืมเพราะแม่เป็นคนเหนียวหนี้  พอมีเงินก็ไม่ไปจ่ายให้เขา  เอามาเล่นไพ่จนหมดเนื้อหมดตัว...  ผมจึงไม่ได้ลงทะเบียนเรียน  ผมจำได้ว่าวันนั้นผมนั่งร้องไห้จนตาบวมไปหมด  จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าผม...
	"เป็นอะไรล่ะ...จ้อย"
	"ผมไม่มีเงินไปลงทะเบียนเรียนครับปู่"
	"แม่เอ็งล่ะ..."
	"เล่นไพ่อยู่บ้านยายปิ๋มครับ"
	"แม่มึงนี่ใช้ไม่ได้เลย  วัน ๆ เอาแต่เล่นไพ่ถึงว่าลูกทำไมไม่มีเงินเรียน...เฮ้อ!...มา ๆ เข้าบ้านเดี๋ยวกินข้าวซะนะปู่ซื้อมาฝาก"
	"แล้วปู่มายังไงครับ"
	"ก็พ่อเอ็งเขาโทรไปบอกปู่ว่าเขาจะไปธุระที่กรุงเทพฯกับนายเขา  พ่อเอ็งเขาเป็นห่วงนะเขารู้ว่าแม่เอ็งต้องไม่อยู่ดูแลลูกจึงให้ปู่มาดูแล"
	ผมส่งน้ำให้ปู่  หาจานมาใส่กับข้าวแล้วจึงเดินไปอาบน้ำ...ผมรู้สึกว่าตัวเองหดหู่เหลือเกิน  ทำไมชีวิตครอบครัวของผมถึงไม่เหมือนคนอื่น ๆ แบบนี้
	"จ้อย...ไม่มีเงินลงทะเบียนก็มาเอากับปู่นี่เดี๋ยวพรุ่งนี้ปู่พาไปมอบตัวที่โรงเรียนเอง"
	ผมรู้สึกว่าเหมือนฟ้ามาโปรดผมเลย  ผมได้เข้าเรียน  มีเพื่อนมากมาย  รวมทั้งเพื่อนเก่าที่ผมตามกันมาด้วย...  ตอนแรกผมก็วางตัวดี  ตั้งใจเรียน  แต่ผมก็เรียนไม่ได้ดีนักเพราะผมไม่เก่งคำนวณ  ผมรู้สึกว่าช่างไฟฟ้านี่ไม่เหมาะกับผมเลย...  เมื่อผมเรียนไม่รู้เรื่องผมก็เลยเฮตามเพื่อน  เวลาเพื่อนไปไหนต้องมีผมอยู่ที่นั่น  จนไม่ได้เข้าเรียน  อาจารย์ก็มีหนังสือเรียกผู้ปกครองอยู่บ่อย ๆ แต่ก็เป็นโชคของผมทุกทีเพราะผมมักจะมาทันตอนไปรษณีย์ส่งจดหมายพอดี  ผมก็เลยเอาจดหมายไปซ่อน  พ่อผมจึงไม่มีโอกาสไปโรงเรียนกับผมสักที
	"จ้อยเอ้ย...จ้อย...หยิบซองเอกสารเล็ก ๆ ในห้องให้พ่อหน่อยเร็ว..."
	พ่อเรียกให้ผมไปหยิบอะไรมาให้ก็ไม่รู้  แต่ผมรู้สึกว่าซองนั้นมันค่อนข้างหนาเป็นพิเศษ...เมื่อผมส่งให้พ่อ  พ่อก็หยิบของในนั้นออกมาผมถึงกับตาโตทีเดียว...
	"นี่มันเงินทั้งนั้นเลยนี่...พ่อเอามาจากไหนกัน"
	"พ่อถอนออกมาจาธนาคารเพื่อเอามาใช้หนี้ให้แม่แกเขา  แล้วก็จะเอาไปคืนปู่แกเขา  แม่แกนี่ใช้ไม่ได้เลยนะจ้อย..."
	พ่อพูดเหมือนไม่พอใจ  แต่ผมก็รู้สึกว่าดีนะที่บ้านเราจะหมดหนี้  แต่อีกใจหนึ่งผมก็คิดว่าเดี๋ยวแม่ก็สร้างหนี้อีก...เฮ้อ...คิดแล้วก็กลุ้มใจเมื่อไรครอบครัวเราจะมีความสุขสักทีนะ
	"จ้อยอยากได้รถไว้ขับไปโรงเรียนไหม"
	ผมรู้สึกใจหวิวตัวลอยเชียวละ  ผมว่าพ่อต้องซื้อรถให้ผมแน่ ๆ เลย  ผมรู้สึกว่าผมมีความสุขที่สุดเมื่อได้ยินพ่อพูดคำนี้...แต่เอ...พ่อจะเอาเงินมาจากไหนนักหนากัน
	"แล้วพ่อมีเงินเหรอ"
	"ไม่มีก็กู้เอาสิ...เพื่อลูกแล้วพ่อทำได้ทุกอย่างละ...แล้วจะไปเลือกรถกันวันไหนล่ะ"
	............
	วันแรกที่มีรถขับผมรู้สึกว่ามันโก้จริง ๆ ผมขับร่อนไปร่อนมาในโรงเรียนจนยามต้องเรียกไปเตือนบ่อย ๆ เพื่อน ๆ ก็เฮกันเพราะผมได้รถใหม่  เราก็เลยมาตั้งแก๊งขับ  รีด  ป่วนกัน  วัน ๆ ก็ไถเงินคนนั้นทีคนนี้ที  ขับรถร่อนไปร่อนมากวนชาวบ้านในโรงเรียน  ยามเรียกก็ไม่สนใจ  พวกผมรู้สึกว่ามันเท่มากเลยที่ทำแบบนี้...  รู้สึกสะใจ  ยิ่งเมื่อผมขับรถยกหน้าได้นะโอ้โห...ราวกับเป็นฮีโร่ของกลุ่มเลยละ  ผมมีความสุขมากทีเดียว
	แอ๋น...แอ้นแอ๋นแอ๋แอ๋...........น
	เสียงรถขับป่วนในโรงเรียนยกหน้าบ้าง  ขี่วนเป็นวงกลมบ้างดูมันเท่มาก ๆ เลย  จนกระทั่งผมขับรถแหกโค้งไปล้มตรงหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง  ทางด้านหน้าของตึกคอมพิวเตอร์  เธอน่ารักมาก ๆ ดูเธอตกใจมากทีเดียว  หนังสือเกลื่อนกลาดอยู่กลางถนน  เธอนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ตรงพื้น  เมื่อผมประคองรถขึ้นได้ผมก็ไปช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้น  ช่วยเธอเก็บหนังสือแต่เธอก็ไม่พูดกับผมสักนิด  เพื่อน ๆ ผมขับรถมาหาก็แซวผมจนเธออายเดินหนีไป
	"เฮ้ย!...เป็นไงบ้างวะ  อุบัติเหตุรักไง๊"
	ผมเห็นเธอเดินหนีผมก็รู้สึกใจคอไม่ดีเลย  ผมรู้สึกว่าผมหวั่นไหวเพราะเธอคนนี้  หรือว่าผมชอบเธอเข้าให้แล้ว  เมื่อผมรู้ตัวว่าผมชอบเธอผมจึงตามตื้อเธออยู่เรื่อย ๆ จนเธอรำคาญ
	"ไปให้พ้นนะไอ้พวกบ้า...!!!!"
	ผมรู้สึกใจคอไม่ดี  ไม่ว่าผมจะทำอย่างไรเธอก็ไม่สนใจผม  ผมไม่รู้ว่าผมจะทำอย่างไรดีเธอถึงจะมารักผม  เพื่อน ๆ ก็แซวทุกวันจนผมรู้สึกทนไม่ไหวแล้ว...  ผมแทบจะบ้าอยู่แล้ว...  แต่อย่างว่าแหละไม่มีใครที่ไหนหรอกจะชอบผู้ชายที่เกะกะเกเร  พวกป่วนเมืองอย่างผม  นึกแล้วก็กลุ้มใจจริง ๆ นะ
	วันนี้ผมเห็นเธออีกครั้ง  แต่เธอเดินมากับใครบางคน  ผู้ชายคนนั้นท่าทางดูดีน่าจะเก่งเรียน  แต่ดู ๆ บางทีก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
	"เฮ้ย...!!!พวกมึงรู้ไหมว่าน้องแนนเดินมากับใคร"
	"เฮ้ย...มึงอย่ายุ่งเชียวนะไอ้จ้อยนั่นมันเด็กผู้ใหญ่หินนะเว้ย...!!!"
	"เออใช่ว่ะ...ถ้ามึงยุ่งนะกูว่าเกิดเรื่องแน่ ๆ แหละ  ดีไม่ดีบ้านมึงอาจเหลือแต่ตอก็ได้นะ...เฮ้ย...กูว่าอย่าเชียวนะที่จริงมึงมีแฟนแล้วทำไมมึงต้องไปจีบน้องแนนด้วยวะกูไม่เข้าใจเลยว่ะ"
	"กูไม่สนหรอกไอ้ชิด  ไอ้ตั้มถ้ากูรักใครแล้วกูต้องไม่แพ้เว้ย...!!!!...อีกอย่างกูชอบจับปลาหลาย ๆ มือเฟ้ยมันเร้าใจดี"
	ผมจึงเดินเข้าไปหาเธอ  และก็จ้องมองไอ้หมอนั่น
	"มาอีกแล้วเหรอ...หน้าหนาจริง ๆ เลยนะ"
	"ทำไมเหรอ...โรงเรียนเป็นของเธอคนเดียงไง๊!...เราถึงเดินไม่ได้"
	"เฮ้ย...!!!พูดกับผู้หญิงน่ะพูดมันดี ๆ หน่อยโว้ย..."
	"ทำไมมึงยุ่งไรด้วย...ไอ้กรวก!!!!"
	พอผมพูดคำนี้จบหมอนี่ก็ซัดผมลงไปกองกับพื้นทีเดียว  ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย  จนเพื่อน ๆ วิ่งมาช่วยผม  สถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่แทบจะมองไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร  พวกเราซัดกันอย่างเมามันมาก  เมื่อผมได้ทีก็ซัดใส่หมอนี่ทันที
	"มึงเก่งนักใช่ไหม...ทำตัวเป็นฮีโร่...นึกว่าจะแน่...โถ่ไอ้กรวกเอ๊ย...!!"
	"แน่ะเพื่อนกูว่ามึงยังมามองอีก  เอาไงวะ...เดี๋ยวปั๊ด..."
	"พอ ๆ เถอะมึงกูว่าเป็นเรื่องแน่ ๆ เลยว่ะสารวัตรนักเรียนมานู่นแล้ว..."
	ผมกับพวกคิดอะไรไม่ออกก็เลย  ผมจึงคว้ารถได้ก็ฉุดเธอนั่งซ้อนท้ายไปเลย  ส่วนไอ้หมอนี่ผมก็เอาไปด้วยโดยมันซ้อนท้ายเพื่อนผมไป  เมื่อมาถึงโกดังที่พวกเราซ่องสุมกันบ่อย ๆ ผมก็จับไอ้หมอนี่มัดไว้กับเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วพวกผมก็เดินวนไปวนมารอบ ๆ ตัวมัน  ผมรู้สึกว่าผมเท่มาก ๆ ทีเดียว
	"อย่า...อย่าทำพี่รบนะ  บอกว่าอย่ายังไงเล่า"
	"ถ้ายอมเป็นแฟนพี่แล้วพี่จะปล่อยมันไป...ว่าไง..."
	"ไอ้...ไอ้เลว  พวกแกนี่มันเลวจริง ๆเลย  ไม่มีปัญญาหาแฟนรึไงทำไมต้องมาทำร้ายกันแบบนี้  ถ้าฉันหลุดไปได้นะ...ฉันจะ...อื้อ...อื้อ...อื้อ"
	เพื่อนผมเอามืออุดปากเธอเอาไว้  ผมจึงเอาเชือกมามัดแขนและขาเธอยึดติดกับเสาที่กลางโกดัง
	"เฮ้ย!...กูว่ากูคิดอะไรออกแล้วว่ะ  รับรองเธอสนุกแน่ ๆ นะจ๊ะสาวน้อย"
	ผมพูดกับเพื่อนแล้วก็หันไปพูดกับเธอ  แต่ผมก็รู้สึกว่าใจมันสั่นเหลือเกินเมื่อเห็นเธอจ้องตาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อผม
	"อ่ะให้โอกาสพูดนะจ๊ะคนดี...อยากจะโทรหาใครก่อนจ๊ะ"
	ไอ้ชิดเพื่อนของผมพูดขึ้นแล้วก็หยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมากดโทรหาเพื่อนของเธอคนหนึ่งที่ชื่อกุ้ง
	"ฮัลโหลกุ้งหรือเปล่าครับ  เอ่อแนนไม่สบายมากเลยเธอช่วยมารับเพื่อนของเธอไปส่งที่โรงพยาบาลที  ตอนนี้อยู่ที่ท่ารถเมย์ตรงหน้าตลาดนะ"
	ติ๊ด...เมื่อวางหูเสร็จเพื่อนผมก็ยิ้มเยาะชอบใจใหญ่
	"เฮ้ยมึงไปรับน้องกุ้งมาที่โกดังหน่อย"
	"ที่ไหนวะไอ้ชิด"
	"ไอ้ด้วงมึงไม่ได้ฟังกูพูดโทรศัพท์เลยเหรอวะ...เดี๊ยสวยหรอก"
	"เออ ๆ กูรู้แล้ว  หน้าตลาดใช่ปะ"
	เมื่อไอ้ด้วงขับรถออกไปได้พักหนึ่งก็กลับมาพร้อมน้องกุ้งและเพื่อนอีก 2 คน
	"นี่ไงน้องแนนนอนสลบอยู่ที่นี่ไงตามมาสิ  มาหลาย ๆ คนก็ดีจะได้ช่วย ๆ กันพยุง"
	ครืด...เสียงประตูโกดังเปิดขึ้นเพื่อน ๆ ที่แอบอยู่ข้าง ๆ ประตูก็วิ่งไปข้างหลังผู้หญิง 2 คนและอุดปากทันที  ส่วนไอ้ด้วงก็ปิดประตูตามเดิม
	"อื้อ...อื้อ...อื้อ"
	"อย่าดิ้นสิจ๊ะน้องกุ้ง...เฮ้ยไอ้รัตน์เอาเชือกมามันน้อง ๆ หน่อยเร้ว...วันนี้สนุกแน่ ๆ ว่ะ...55555"
	ไอ้ชิดหัวเราะชอบใจใหญ่แล้วก็มัดน้องกุ้งและเพื่อนไว้กับมุมห้อง
	"เฮ้ย...มึงไอ้จ้อยมึงเอาเด็กมึงไป  กูเอาน้องกุ้งน่ารักดี  มึงไอ้ด้วงมึงเอาน้องคนนี้ไปนะเพราะมึงไปพาน้องเขามา..."
	"อ้าวแล้วพวกกู 2 คนล่ะวะ"
	"มึงก็ไปหามาสิไอ้รัตน์  ไอ้ตั้ม"
	ไอ้ตั้มมันทำหน้าไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรแต่มันก็เดินเข้าไปหาน้องกุ้งทำท่าราวกับจะเอาเรื่อง
	"เฮ้ย...มึงทำอะไรกับเด็กกูวะ"
	"กูไม่ทำอะไรหรอกเพียงแต่กูจะเอาโทรศัพท์มากดหาเบอร์เพื่อนน้องเขาหน่อยว่ะ"
	แล้วไอ้ตั้มก็กดเบอร์หาน้องคนนึงแล้วก็กดอีกเบอร์นึง  สักพักไอ้ตั้มกับไอ้รัตน์ก็ออกไปข้างนอกและกลับมาพร้อมกับผู้หญิงอีก 3 คน  พวกมันมัดมือมัดเท้าผู้หญิงแล้วก็เอามานั่งรวมกันที่มุมโกดัง...
	ตึก  ตึก  ตึก...ไอ้ด้วงเดินเข้าไปหาไอ้รบแล้วก็กระชากผมให้มันเงยหน้าขึ้นพร้อมกับแกะผ้ามัดปากออก
	"กูให้โอกาสมึงนะว่ามึงจะเอาไง...ระหว่างผู้หญิงกับตัวมึง"
	"ถุย...ไอ้***"
	ไอ้รบมันถุยน้ำลายใส่พร้อมกับด่าคำหยาบคายขึ้นมาทำให้ไอ้ด้วงไม่พอใจ
	"มึงเก่งนักไง๊...หา....จะตายอยู่แล้วยังจะมาทำเก่ง...ถุย..."
	ไอ้ด้วงถุยน้ำลายคืนแล้วก็หันหลังให้มันเหมือนกับว่าจะพอใจแค่นั้น  แต่ก็เปล่าเลยมันหันกลับไปกระโดดถีบและซ้อมไอ้รบซะกระอักกระอ่วม
	"เมื่อคราวที่แล้วกูยังไม่ได้เอาคืนเลย  ที่มึงกับพวกข่มขืนแฟนกู...วันนี้กูเอาคืนมั่งหละ"
	ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าไอ้ด้วงเพื่อนที่เงียบที่สุดในกลุ่มจะมีแฟน  และไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันกับไอ้รบจะเคยมีเรื่องกันมาก่อน...ผมคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ...
	"มึงมันเด็กผู้ใหญ่หิน  แต่กูมันเด็กกำนันโป้งโว้ย...55555....มึงเสร็จแน่ไอ้รบ"
	"มึงนี่เองนี่เป็นแฟนอีจูน  อีอวบนั่น...กูสมเพชมึงจริง ๆ เลยที่มึงยังไม่เคยฟันอีนั่น  แหมคิดแล้วมันสะใจจริง ๆ เลยโว้ย...55555......หัวเราะทีหลังดังกว่าโว้ย...."
	"มึง...มึง...ยังมาทำปากดีอีกนะมึง...ไอ้***...กูดูสิว่ามึงจะปากดีอีกไหม...มึงหล่อนักนี่ไอ้รบ...แต่มึงมันก็เลวไม่แตกต่างจากกูหรอก...ไอ้ระยำ...นี่เธอดูหน้าหล่อ ๆ ของแฟนเธอไว้  แล้วก็จำใส่กระโหลกไว้ซะว่าไอ้นี่มันก็ไอ้เลวคนนึงที่หาแฟนไม่ได้แล้วก็มาย่ำยีคนอื่น...เธอคงเสร็จมันไปแล้วสิ"
	"จริงเหรอ...หา..."
	พอผมได้ฟังไอ้ด้วงพูดผมก็ฉุนทันทีเลย  ผมก็เลยเขย่าตัวเธอและก็ค่อย ๆ ถอดเสื้อเธอออกแล้วก็รวนรามเธอทันที
	"เฮ้ย...อย่านะเว้ย...มึงอย่า...."
	"มึงรักนังแนนด้วยเหรอวะ  หน้าอย่างมึงมันรักใครไม่เป็นหรอกโว้ย...55555....กูสะใจจริง ๆ เลยว่ะ"
	"ถุย...ไอ้เลว...มึงทำได้กับผู้หญิงเหรอ..."
	"แล้วมึงล่ะไอ้กรวก...มึงดีนักนี่ที่ทำกับแฟนกู...เอ...ที่มึงหวงนี่กูถามจริง ๆ เหอะมึงนอนกับอีนี่หรือยังวะ"
	"ยังโว้ย..."
	"งั้นก็ดี...กูจะได้ทำให้มึงเห็นว่าการเจ็บปวดมันเป็นยังไง"
	แล้วไอ้ด้วงก็ถอดเสื้อผ้าของไอ้รบออกแล้วก็เอาน้ำมาสาดตัวไอ้รบให้เปียก  จากนั้นก็ลากเอาไอ้รบไปพร้อมกับเก้าอี้ให้เข้ามาใกล้ ๆ ผมกับน้องแนนแล้วก็ดูราเสพสมกัน  ส่วนพวกมันที่เหลือเมื่อเห็นผมทำมันก็ทำตาม  วันนั้นพวกเราไม่ได้กลับบ้านกัน  พวกเราทั้งกินเหล้าทั้งเสพสมเวียนคนแล้วคนเล่าจนผมก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าน้องแนนเป็นของใครไปบ้างและผมก็ได้ไปแล้วกับใครกี่รอบ...จนในที่สุดพวกเราหมดแรงและก็หลับไปจนกระทั่งเช้า
	"เฮ้ย...ตื่น ๆๆๆ  ตื่นได้แล้วว่ะเช้าแล้วเว้ยเดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทัน"
	"มึงยังอยากจะเข้าเรียนอยู่อีกเหรอไอ้จ้อย  ป่านนี้สารวัตรนักเรียนก็ยืนเต็มไปหมดแล้ว...ก็รอจับพวกเราไงหรือว่ามึงอยากโดนจับ...ทำหน้าเป็นควายบ้านทุ่งไปได้"
	วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่พวกเราโดดเรียนกัน  ผมไม่มีเงินสักบาทแต่ไอ้ด้วงมันมี  มันซื้อของมาให้กินเพราะบ้านมันค่อนข้างฐานะดี...พวกเรากินกันและแบ่งให้น้อง ๆ กันบ้างแต่เราไม่ได้แบ่งให้ไอ้รบมันเลย
	"มึงอยากินไง๊...อ่ะ"
	ไอ้ด้วงส่งข้าวกล่องให้ไอ้รบ  ผมเห็นมันทำท่าอยากกินจนใจแทบขาดแต่ไอ้ด้วงสิมันกลับเอาข้าวยีหน้าไอ้รบและหัวเราะชอบใจ  ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเลยวันนี้เหมือนมีลางสังหรอะไรสักอย่าง
เมื่อผมปวดฉี่ผมก็ออกไปฉี่  ผมเห็นน้องกุ้งวิ่งกระโดด  ๆ ออกมาจาด้านหลังของโกดังผมจึงจับตัวไว้และลากเข้าไปในโกดังจากนั้นก็ปิดโกดังสนิทและผมก็ซ้อมน้องกุ้งจนอ่วม...ผมไม่คิดหรอกว่าผมทำอะไรลงไป  ผมรู้แต่ว่าผมกำลังหวาดกลัว  กลัวว่าใครจะมาเห็น
	"มึงซ้อมน้องเขาทำไมวะ"
	"ก็อีนี่สิมันจะหนี"
	"สภาพอย่างนี้เนี่ยนะ  มึงจะบ้าเหรอเปลือยขนาดนี้"
	"เออ...มึงไม่เชื่อก็ตามใจมึง"
	ผมเดินไปรอบ ๆ ตัวน้อง ๆ ทั้ง 6 คน  น้องคนหนึ่งชื่อน้องเปิ้ลขาดใจตายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้  ส่วนที่เหลือก็หมดสภาพ  พวกเราไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดีก็เลยมานั่งคิดเรื่องเลว ๆ ต่อ  แล้วพวกเราก็หาเรื่องสนุกกันอีกจนได้  พวกเราบังคับให้น้อง ๆ ใส่ชุดนักเรียนแล้วก็มานั่งข้าง ๆ ไอ้รบ  จากนั้นผมก็มัดพวกเขาไว้รวมกัน  ผมเห็นสีหน้าพวกนี้แล้วก็รู้สึกสำนึกขึ้นมาทันที  ผมทำอะไรลงไปเนี่ย  ถ้าถูกตำรวจจับได้ต้องยุ่งแน่ ๆ เลย  แต่เมื่อเพื่อนมันทำแล้วเป็นไงเป็นกันวะเพราะเราก็ร่วมอยู่กับเขาคนหนึ่งแหละ
	"มึงจะทำอะไรต่อไปดีวะ  แล้วศพน้องเปิ้ลล่ะ"
	"ก็มัดมันรวมกันที่นี่แหละแล้วก็จะได้ส่งวิญญาณมันพร้อม ๆ กัน"
	"เฮ้ย...!!!!"
	พวกเราถึงกับร้องพร้อมกันทีเดียว
	"หรือว่ามึงอยากถูกตำรวจจับวะ...ถ้าใครคนใดคนหนึ่งหลุดออกไปมึงว่ามึงจะรอดเหรอวะ...หรือว่ามึงมีทางอื่นอีก"
	พวกเราเห็นพ้องต้องกันไอ้ด้วงมันใจหินที่สุดมันก็เลยเอาน้ำมันมาราดทุกคนแล้วก็เตรียมจุดไฟเผา  แต่มันพลาดยังไงไม่รู้ถูกไอ้รบมันสกัดขาล้มตัวมันเลยโดนเผาไปด้วย  พวกผมเอาน้ำมาราดยังไงมันก็ไม่ดับ  กลับยิ่งรามเข้าไปใหญ่  อาจจะเป็นเพราะกรรมก็ได้  พวกเราที่เหลืออีก 5 คนจึงวิ่งไปปิดประตูโกดังแล้วก็หนีไปไม่กลับมาที่โกดังนี้อีกเลย...
	เรากลับบ้านกันแล้วก็ถูกพ่อทำโทษ  พ่อรู้เรื่องที่เราทะเลาะวิวาทกันที่โรงเรียน  ผมโดนแค่ถูกทำทันบนที่บ้าน  แต่ก็ดีกว่าตำรวจจับผมเรื่องที่ผมร่วมกันฆ่าคนตาย  ปมนี้เป็นเรื่องที่คนในกลุ่มผมรู้กันเท่านั้น...และมันก็เป็นตราบาปแก่ผมไปตลอดชีวิต  ทำให้ไม่เป็นอันเรียนพอนั่งเรียนก็เห็นแต่ภาพคน 7 คนนั้นทำให้ผมรู้ตัวว่าผมไม่มีความสุขเลย  ยามผมนั่งคุยกับแฟนผมก็เห็นเป็นหน้าน้องแนน  ผมไม่รู้จะทำยังไงดี  ผมแทบจะบ้าอยู่แล้ว...  และช่วงนี้ตำรวจก็ตามตัวฆาตกรเผาย่าง 7 ศพด้วย  เวลาตำรวจมาทีไรผมงี้ผวาทุกที...ผมเกือบจะหลุดออกมาแล้ว  ไม่งั้นตำรวจคงจะจับได้ว่าใครเป็นฆาตรกรตัวจริง...
	"จ้อย  วันนี้กลับด้วยคนนะคือแม่เราไม่มารับ  เธอไปส่งเราที่บ้านหน่อยนะ"
	"ครับ ๆ"
	"เฮ้ย...จ้อยอย่าพาจิ๊กไปแวะข้างทางนะเว้ย...วูหู้!!!"
	พวกนั้นแซวกันใหญ่
	"ปากดีนะพวกมึง...เดี๋ยวศพไม่สวยหรอก"
	ผมขับรถไปจนใกล้จะถึงบ้านเธอ  ช่วงนั้นมันเป็นป่ารกทึบ  ไม่มีแสงไฟตามถนน  ผมขับรถมาเรื่อย ๆ จนผมต้องเบรกรถกระทันหันเมื่อมีคนกระโดดออกมากลางถนน
	"เฮ้ย...แฟนมึงสวยดีนี่หว่า...กูขอได้ไหมวะ"
	"พวกแกเป็นใคร"
	"กูก็คนคุมซอยนี้ไงวะ  มึงไม่รู้จักเหรอกูเด็กผู้ใหญ่หินว่ะไอ้โง่"
	"จ้อยอย่ามีเรื่องเลย  กลับเถอะ"
	ถึงเธอจะห้ามยังไงมันก็สายไปแล้วละเพราะพวกนี้มันเข้ามาล้อมผมแล้ว
	"หนีไป  หนีไป....จิ๊ก...หนีไป..."
	ผมตะโกนสุดเสียง  จิ๊กวิ่งไปจนลับสายตาผม  พวกนั้นมันซ้อมผมแทบปางตายแล้วก็ลากผมขึ้นรถกระบะไป  จากนั้นก็มีคนหนึ่งที่ฉุดเธอมาได้แล้วก็พาผม  จิ๊กพร้อมกับรถไปที่ในป่าลึกแล้วพวกนั้นก็ลุมโทรมเธอ  วินาทีนั้นผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับเธอเลย  ผมรู้สึกได้ว่าเวรกรรมมันมาแล้ว...มันมาแล้ว  ผมจะทำอย่างไรดี  มันให้ผมดูในสิ่งที่ผมไม่อยากดู...ผมรู้สึกทั้งแค้นมันและแค้นตัวเองที่ไม่อาจช่วยเธอได้  มันทรมานเธอจนตาย  แล้วมันก็ให้ผมดูศพเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะเอาเชือกมัดผมตรึงไว้กับรถของผมและขับลากไปเรื่อย ๆ เหมือนว่าผมไม่ใช่คนจนกระทั่งผมสลบไป
	"อื้อ...อื้อ"
	"ฟื้นแล้ว  นี่พ่อไอ้จ้อยฟื้นแล้ว"
	ผมเห็นพ่อและแม่อยู่ตรงหน้าผม  ทีแรกผมคิดว่าผมตายไปแล้วซะอีก  แต่ทำไมผมถึงมาอยู่โรงพยาบาลได้  ตำรวจสอบปากคำผมจนสเก็ดหน้าคนร้ายได้และจับตัวพวกมันได้หมด  แต่เป็นโชคดีของมันที่พ่อมันเป็นผู้มีอิทธิพลมันจึงรอดไปได้  ผมนะเจ็บใจสุด ๆ ทีเดียว
	ผมมารู้ข่าวดีอีกเรื่องก็คือจิ๊กไม่ตายแต่จิ๊กก็ไม่ยอมพูดกับใครเลย  ไม่กินไม่นอน  มีอาการหวาดกลัวผู้ชาย  ผมว่าเธอน่าจะตายไปเลยซะดีกว่าเธอมาอยู่ให้ทรมาน  แต่ยังไง ๆ ผมก็รักเธอ  ผมสัญญากับแม่เธอว่าผมจะดูแลเธอ  และดูท่าทางแม่เธอก็ไม่ได้ดูดำดูดีเธอเลย  พอผมมารู้ภายหลังผมก็ทราบว่าแม่ที่เธออยู่ด้วยเป็นแม่เลี้ยง  ผมจึงรับเธอมาอยู่ที่บ้านและดูแลเธอเป็นอย่างดี  ผมรู้สึกว่าผมสร้างภาระให้พ่ออีกแล้ว...
	ผมดูแลเธอจนเธอหายเป็นปกติ  ผมเรียนจะจบแล้ว  วันนี้สอบเป็นวันสุดท้ายผมจึงพาจิ๊กและเพื่อนไปฉลองกัน  เรากินเหล้าและเฮกันมาก  ขากลับผมแทบขับรถไม่ไหวจิ๊กก็เลยขับรถพาผมกลับบ้าน  แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นแบบที่คิดน่ะสิ
	"เฮ้ย...!!!พวกมันอยู่นั่น  เอาเลยพวกลุยมันเลย"
	พวกเด็กผู้ใหญ่หินขับรถกระบะเข้าเบียดรถมอเตอร์ไซค์ที่พวกผมขับกันมา  จิ๊กซิ่งสุดชีวิต  ผมหันกลับไปหาเพื่อนอีก 4 คน ผมเห็นพวกนั้นน็อกกันหมดแล้ว  ไม่รู้ว่าโดนอะไร  แต่ผมรู้ว่ามีเสียงเปรี้ยง ๆ อยู่หลายครั้งราวกับเสียงปืนทีเดียว
	เปรี้ยง  เปรี้ยง  เปรี้ยง...
	ผมรู้สึกตัวลอยเหมือนกับนุ่นทีเดียว  รถล้มลงกับพื้นแล้วจากนั้นผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลยจนกระทั่งวันนี้ผมได้มายืนอยู่ข้าง ๆ จิ๊ก  ผมเห็นจิ๊กเข้าไปหาพ่อของเธอ  ผมเห็นเพื่อน ๆ ผมเข้าไปนั่งอยู่กับแม่ของเขา  ผมจึงเข้าไปปลอบแม่กับพ่อ  แต่ว่าพ่อกับแม่ไม่ตอบผมเลย  และก็ดูท่าทางจะไม่ยอมหยุดร้องไห้เสียด้วย  ผมจึงมานั่งที่ศาลาวัด  เพื่อน ๆ  และจิ๊กมานั่งใกล้ ๆ ผม ผมมองเห็นทุกคนในวัดเศร้าสร้อยกันมาก  บ้างก็ร้องไห้บ้างก็เงียบไม่พูดอะไร  ผมเห็นโลงศพทั้งหมด 6 โลงตั้งเรียงกันอยู่เมื่อผมและทุกคนเดินเข้าไปมองใกล้ ๆ โลง  ผมก็รู้สึกใจหวิว ๆ ทำอะไรไม่ถูกจนกระทั่งมีชายชุดดำและชายชุดขาวเดินมาหาพวกเราทุกคน
	"ไปกันได้แล้วหละ  ถึงเวลาของเจ้าแล้ว...ส่วนเจ้าไปกับเทพ...และพวกเจ้ามากับข้า"
	ชายชุดดำใส่โซ่ตรวนที่ข้อมือและขาของผมและเพื่อน  ส่วนจิ๊กเธอเดินอย่างสบายเดินไปกับเทพชุดขาวและก็ลอยหายไป...ผมก็เห็นเธอเป็นครั้งสุดท้ายตรงนี้แหละแล้วผมก็ต้องไป...ไปไกลมาก  ผมไม่รู้ว่าต่อไปชีวิตผมจะเป็นอย่างไร  แต่ผมก็รู้แล้วละว่าที่ที่ผมจะไปมันคือที่ไหน  เพราะผมทำบาปไว้มากเหลือเกิน...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา