2 กุมภาพันธ์ 2548 02:01 น.

วัดอรุณราชวราราม

สุชาดา โมรา

การเดินทางที่แสนจะยาวนานต้องนั่งรถของมหาวิทยาลัยเป็นระยะทางไม่ใช่น้อย  จากลพบุรีไปถึงกรุงเทพฯ ก็ประมาณ  3  ชั่วโมงเศษ  รถของพวกเราจอดตรงถนนท้ายวัง  เมื่อเราเดินลงมาจากรถอาจารย์ก็พาชมตัววัดโพธิ์  จากนั้นจึงไปยังวัดอรุณราชวราราม  หรือที่เรียกกันว่าวัดแจ้ง  การเดินทางไปวัดนี้นั้นต้องอาศัยเรือข้ามฟากจากฝั่ง  ซึ่งเป็นเรือโดยสารขนาดใหญ่ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปจอดยังฝั่งธนบุรี
	เมื่อย่างก้าวเข้าสู่ประตูวัดแห่งนี้เราก็จะพบข้าวของที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง  มีร้านที่รับถ่ายรูปชุดไทยโดยการให้เช่าชุดไทยทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ชอบความเป็นเอกลักษณ์ของไทยอยู่แล้วต่างเข้าไปใช้บริการในร้านเหล่านี้เป็นส่วนมาก  นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ไปมักจะเป็นชาวต่างชาติมีเพียงกลุ่มเราเพียงกลุ่มเดียวที่เป็นคณะนักศึกษาที่เข้าไปเที่ยวชมในวันนั้น
	พวกเราเดินมาถึงพระบรมราชานุเสาวรีย์รัชการที่  2  แล้วร่วมกันถ่ายภาพเก็บไปเป็นที่ระลึกจากนั้นก็เดินไปตามทางปูด้วยคอนกรีตเข้าไปกราบพระที่อยู่ในโบสถ์เพื่อเป็นศิริมงคล  ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้  และก็เดินผ่านประตูจำหน่ายตั๋วเข้าไปยังพระปรางค์ซึ่งมีความสวยงามมาก  องค์พระปรางค์ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบหลากสีมีทั้งลายดอกๆไม้และใบไม้  ถ้วยชามเบญจรงบ์และเปลือกหอย  ซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงาม  มีความละเอียดในลวดลายของกระเบื้อง  ทำให้นักท่องเที่ยวที่มาจากนานาประเทศต่างชื่นชมและถ่ายภาพเพื่อเป็นที่ระลึกกันใหญ่เชียว
	วัดอรุณราชวราราม  หรือวัดแจ้ง  เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก  แต่เดิมเคยเป็นวัดหลวงในสมัยกรุงธนบุรี  ซึ่งประดิษฐานพระแก้วมรกตเอาๆไว้  เมื่อรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเถลิงราชสมบัติก็ทรงย้ายพระแก้วมรกตไปประดิษฐาน ณ  วัดพระศรีรัตนศาสดารามวรมหาวิหารจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
	การสร้างพระปรางค์ของคนไทยจะยึดถือแนวความเชื่อจักรวาลซึ่งเป็นความเชื่อของศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ  ต่างเชื่อว่าพระปรางค์องค์ใหญ่คือเขาพระสุเมรุ  เป็นศูนย์กลางของทวีปทั้ง  4  และมีภูเขาใหญ่น้อยล้อมรอบ  ซึ่งได้ทำเจดีย์เล็ก ๆ หลายองค์เอาไว้เป็นบริวารของเขาพระสุเมรุ
	ลักษณะเด่นของวัดนี้ที่เห็นได้ชัดคือยักษ์สองตนซึ่งเป็นศิลปะแบบไทยตั้งอยู่หน้าประตูทางเข้าของวัดยืนทำท่าสง่างามคอยอารักษ์ขาวัดนี้อย่างเข้มแข็ง  ทำให้มีนักท่องเที่ยวมากมายเข้าไปถ่ายรูป  เข้าไปเชยชมความงามของยักษ์อย่างใกล้ชิดหลายคน  นอกจากนั้นยังมีมณฑปพระพุทธบาทจำลอง  พระเจดีย์  4  องค์  พระวิหารซึ่งสร้างในสมัยรัชกาลที่  2  หอระฆัง  พระเจดีย์และศาลาราย  พระประธานในพระวิหาร  พระพุทธชัมภูนุทมหาบุรุษลักขณาอสีตยานุบพิตร  เป็นพระประธานปางมารวิชัย  หล่อด้วยทองแดงปิดทองในสมัยรัชกาลที่  3  นอกจากนั้นยังมีหอไตร  2  หอ  อยู่ทางด้านหมู่กุฏิ  โบสถ์น้อย  วิหารน้อย  ศาลาท่าน้ำรูปเก๋งจีน  ภูเขาจำลอง  อนุสาวรีย์พระธรรมเจดีย์  และพระจุฬามณีซึ่งหล่อด้วยโลหะคล้ายเนื้อชิน  มีความสวยงามมากสามารถถอดออกได้ถึง  4  ชิ้น  อยู่ที่ยอดคอระฆังชิ้นหนึ่ง  และที่ฐานอีก  2  ชิ้น  ประดิษฐานอยู่บนแท่นปูนที่ลงลักปิดทอง  ทำลวดลายเหมือเจดีย์  มีความงดงามมาก
	วัดแห่งนี้เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี  ปรากฏหลักฐานในสมัยปัจจุบันคือ  โบสถ์และวิหารเดิมของวัด  ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบอยุธยา  มีชื่อตามตำบลว่า  วัดบางมะกอก  หรือ  วัดมะกอก  ซึ่งนักประวัติศาสตร์และนักวิชาการสันนิษฐานว่าตำบลแห่งนี้ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางเมืองธนบุรี  และเป็นที่มาของนามว่า  บางกอก  ในเวลาต่อมา  นอกจากนั้นในปัจจุบันคำว่าบางกอกยังเป็นชื่ออำเภอในเขตกรุงเทพมหานครถึง  2  เขตอีกด้วยคือ  บางกอกน้อยและบางกอกใหญ่  ต่อมาในต้นสมัยกรุงธนบุรีจึงเปลี่ยนนามว่า  วัดแจ้ง  
	หลังจากที่พระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงสร้างกรุงธนบุรีในปี  พ.ศ.2311  วัดแจ้งก็กลายเป็นวัดในวังตามแบบอย่างโบราณมา  วัดในวังไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาใช้สำหรับพระมหากษัตริย์ทรงประกอบพิธี  เช่นเดียวกับที่กรุงศรีอยุธยาเคยมีวัดพระศรีมหาธาตุ  วัดพระศรีสรรเพชญ์  วัดพระรัตนศาสดาราม  เป็นวัดหลวง  ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์  รัชกาลที่  2  ทรงพระราชธานนามใหม่ว่า  วัดอรุณราชวราราม  ดังที่เรียกกันอยู่ในปัจจุบันนี้
	หลังจากที่มาเที่ยวชมความงดงามของวัดแล้วเรายังได้ความรู้รอบตัวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อีกด้วย  ขากลับเราจึงเก็บภาพเป็นที่ระลึกอีกครั้งก่อนที่จะนั่งเรือข้ามกลับไปฝั่งพระนครเพื่อเดินทางไปทัศนศึกษาต่อไป				
2 กุมภาพันธ์ 2548 01:58 น.

เทพสตรี

สุชาดา โมรา

  พ.ศ. 2463 เริ่มก่อตั้งโรงเรียนลวะศรี สอนเฉพาะนักเรียนหญิง ณ พระที่นั่งจันทรพิศาล ในพระนารายณ์ราชนิเวศน์ 
  พ.ศ. 2464 ย้ายมาอยู่ ณ อาคารถาวร ถนนวิชาเยนทร์ เปิดสอนชั้นมัธยมศึกษาปีทื่ 1จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีทื่ 3
  พ.ศ. 2479 เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนเทพสตรีวิทยาลัย สอนทั้งระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาและการฝึกหัดครู 
  พ.ศ. 2483 ย้ายจาก พระราชวังจันทรพิศาล มาอยู่สถานที่ปัจจุบัน ถนนนารายณ์มหาราช เปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนสตรีลพบุรี 
   พ.ศ 2501 เลื่อนฐานะเป็นวิทยาลัยครูเทพสตรี เป็นวิทยาลัยครูแห่งแรกในส่วนภูมิภาค (นอกเขตพระนคร) 
  พ.ศ 2517 เริ่มเปิดสอนระดับปริญญาตรี สาขาการศึกษา
  พ.ศ. 2528 ขยายฐานะทางวิชาการสอนระดับปริญญาตรีในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ และศิลปศาสตร์ 
  พ.ศ. 2535 ได้รับพระราชทานนามสถาบันราชภัฏ 
  พ.ศ. 2538 เปลี่ยนชื่อเป็นสถาบันราชภัฏเทพสตรีตามพระราชบัญญัติสถาบันราชภัฏ. 
ที่ตั้งปัจจุบัน
  ปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 
  แห่งแรก มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ถนนนารายณ์มหาราช ต.ทะเลชุบศร อ.เมือง จ.ลพบุรี 15000 เนื้อที่ 59 ไร่ 
  แห่งที่สอง ซอยมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี2 ถนนพหลโยธิน ต.เขาสามยอด อ.เมือง จ.ลพบุรี เนื้อที่ 24 ไร่ 
การติดต่อสื่อสาร 
  ทางไปรษณีย์ เลขที่ 321ถนนนารายณ์มหาราช ต. ทะเลชุบศร อ. เมือง จ. ลพบุรี 15000 
  หมายเลขโทรศัพท์ (036) 422607-9 , (036)427485-93 โทรสาร. FAX (036) 422610
ดอกไม้สัญญลักษณ์ 
  ดอกหางนกยูง 
สีประจำสถาบัน
  กรมท่า - เขียว 
พุทธพจน์ประจำสถาบัน 
  นตถิ ปญญา สมา อาภา (แสงสว่างใด เสมอด้วยปัญญาไม่มี) 
ปรัชญา 
  มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรีเป็นเป็นมหาวิทยาลัยอุดมศึกษา 
  มุ่งความเป็นเลิศทางวิชาการบนพื้นฐานแห่งคุณธรรม 
  ร่วมชี้นำการพัฒนาท้องถิ่นและสังคม 
วิสัยทัศน์ 
  มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรีเป็นแหล่งความรู้และที่พึ่งของท้องถิ่นและภูมิภาค
    เสริมสร้างคุณภาพคน ครอบครัว ชุมชน สังคมไทยให้เข้มแข็ง ยั่งยืน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
     
พันธกิจ
             1. สร้างโอกาสทางการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น
             2. สร้างระบบจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ
             3. สร้างองค์ความรู้เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้กับชุมชน ท้องถิ่น และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ
วัตถุประสงค์ 
  เพื่อให้สอดคล้องกับ ปรัชญา วิสัยทัศน์ และพันธกิจที่กำหนด 
  สถาบันมีวัตถุประสงค์ ในการดำเนินงานดังนี้ 
  เพื่อผลิตบัณฑิตในสาขาวิชาการต่างๆ ทั้งในระดับปริญญาตรี และสูงกว่าปริญญาตรี สนองความต้องการของท้องถิ่น 
และสังคมอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม 
  เพื่อเป็นแหล่งบริการศึกษาค้นคว้า บริการวิทยาการสาขาต่าง ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรและสังคม 
รวมทั้งเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อ และสะท้อนแนวคิดในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ 
  เพื่อเป็นศูนย์กลางการค้นคว้าวิจัยทางวิชาการทุกสาขาวิชาโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของประชาชน 
ในเขตภาคกลางตอนบน ประสานงานให้บริการ ความรู้ และ สารสนเทศการวิจัย 
  เพื่ออนุรักษ์ ส่งเสริม เผยแพร่ และพัฒนาศิลปวัฒนธรรมเลือกสรรวัฒนธรรมและวัฒนธรรมสากลที่เหมาะสม
มาประยุกต์ให้เป็นประโยชน์ แก่การดำรง ชีวิตของบุคคล ในท้องถิ่น				
2 กุมภาพันธ์ 2548 01:57 น.

เฉดสีอินเทรนใหม่ ( ตอน สร้างเสน่ห์ด้วย PIAS )

สุชาดา โมรา

เทคนิคการแต่งหน้า..ง่าย ๆ การแต่งหน้าเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น และเต็มไปด้วยสีสันคุณสามารถแต่งหน้าได้มากหรือน้อยแค่ไหนก็ได้เท่าที่คุณพอใจแต่สิ่งสำคัญก็คือ คุณจะต้องแต่งให้เหมาะกับตัวคุณ และเหมาะกับโอกาส.. การแต่งหน้า คือ วิธีที่จะทำให้ผู้หญิงสวยขึ้นดูมีเสน่ห์มากขึ้นผู้หญิงจึงควรรู้วิธีเพิ่มมุมมองให้น่าสนใจต่อผู้พบเห็นและเพศตรงข้าม มาดูวิธีเพิ่มเสน่ห์ของคุณด้วยขั้นตอนง่าย ๆ ที่ทำได้ด้วยตัวคุณเองกันเถอะค่ะ... 
1. เตรียมพร้อมก่อนการแต่งหน้า  ในการแต่งหน้าให้ออกมาแล้วดูดี สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ควรมีกระจกขนาดใหญ่พอที่จะเห็นใบหน้าเราได้ทั้งหน้ามีแสงพอเพียง และมีอุปกรณ์ในการแต่งหน้าที่จำเป็น อาจใช้ที่คาดผมหรือรวบผมขึ้น ล้างหน้าให้สะอาดแล้วใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ก่อนการแต่งหน้าทุกครั้ง ตอนนี้คุณก็พร้อมที่จะเริ่มการแต่งหน้าแล้วล่ะค่ะ
2. ครีมรองพื้นปรับสีผิว ใช้ในกรณีที่คุณมีสีผิวที่ไม่เสมอกันเท่านั้น และไม่จำเป็นต้องใช้ทั้งใบหน้าเพราะจะทำให้หน้าลอย สีของครีมรองพื้นปรับสีผิวจะมีให้เลือกหลายสีเช่น สีเขียวหรือสีเหลืองจะใช้บริเวณที่สีผิวมีความแดงมากกว่าส่วนอื่น ๆ เช่น จมูก หน้าผาก หรือแก้ม ส่วนสีม่วงหรือสีชมพู จะใช้เพื่อเพิ่มเลือดฝาดบริเวณแก้ม ส่วนมากจะใช้เวลาแต่งหน้าเจ้าสาว ซึ่งไม่ว่าจะเลือกใช้สีใด ควรเกลี่ยทันที เพราะรองพื้นประเภทนี้จะแห้งเร็วมาก และใช้ก่อนลงรองพื้นประเภทอื่น ๆ ค่ะ
3. ครีมรองพื้นปกปิดริ้วรอย  ช่วยพรางรอยฝ้า กระ จุดด่างดำ ต่าง ๆ บนใบหน้าได้ โดยเลือกสีให้เข้มกว่าสีผิว 1 ระดับ แตะบริเวณที่ต้องการปกปิดและใช้ปลายนิ้วเกลี่ยให้เนียน
4. ครีมรองพื้น เลือกสีครีมรองพื้นให้ตรงกับสีผิวบริเวณคอ ไม่ใช่เหมือนสีผิวบริเวณท้องแขน แตะครีมรองพื้นบริเวณที่ไม่มีริ้วรอยก่อนค่อย ๆ เกลี่ยไล่ไปให้ทั่ว ระวังอย่าให้มีขอบบริเวณกรอบหน้า โดยเกลี่ยรองพื้นให้หายเข้าไปในไรผมและควรเกลี่ยรองพื้นบริเวณริมฝีปากด้วย
5. แป้งฝุ่น / แป้งแข็ง  ควรเลือกใช้แป้งฝุ่นชนิดโปร่งแสง เพราะจะไม่ทำให้สีของรองพื้นที่เลือกแล้วเปลี่ยนไป คือไม่ขาวขึ้นหรือคล้ำลงใช้พัฟ หรือ ใช้แปรงด้ามใหญ่สุด จุ่มแป้งฝุ่นหรือแป้งแข็ง เกลี่ยให้ทั่วใบหน้า
6. ดินสอเขียนคิ้ว  หลีกเลี่ยงดินสอเขียนคิ้วสีดำ เพราะจะทำให้หน้าดุ และดูสูงอายุ ควรใช้ดินสอเขียนคิ้วสีน้ำตาล จะดูเป็นธรรมชาติมากกว่าไม่ควรเริ่มเขียนคิ้วจากหัวคิ้ว จะทำให้คิ้วแข็งดูไม่ธรรมชาติเหมือนคิ้วถาวรโดยเริ่มเขียนห่างจากหัวคิ้วประมาณ 1 ซม. ไล้ไปตามเส้นขนคิ้ว ไม่กดดินสอจนถึงผิวหนัง จากนั้นใช้แปรงเขียนคิ้วเกลี่ยตามแนวเดิม อาจแตะอายแชโดว สีน้ำตาลเกลี่ยทับอีกครั้ง เพื่อให้เส้นขนคิ้วดูนุ่มนวลขึ้น และฝุ่นของอายแชโดว์จะช่วยทำให้หางคิ้วไม่หายไปในระหว่างวัน จากนั้นใช้แปรงเขียนคิ้วเท่าที่มีสีติดอยู่ ไม่ต้องจุ่มสีใหม่ เกลี่ยย้อนมาทางหัวคิ้วให้เบลอหายมาทางสันจมูก ความยาวของคิ้ววัดโดยใช้พู่กัน ทาบจากปลายจมูก มาทางหางตา จบตรงไหนหางคิ้วควรจะจบตรงนั้นจะเป็นสัดส่วนคิ้วที่สวยงามค่ะ
7. อายแชโดว์  ก่อนทาอายแชโดว์ ควรแตะแป้งฝุ่น บริเวณใต้ตา เพื่อป้องกันอายแชโดว์สีเข้ม ตกลงมาเลอะ เริ่มใช้อายแชโดว์สีอ่อน เช่น สีครีม สีชมพูอ่อน ทาให้ทั่วเปลือกตา
ถ้าในวันนั้นใส่เสื้อผ้าสีโทนร้อน เช่น สีเหลือง สีส้ม สีน้ำตาล ก็เลือกใช้อายแชโดว์สีส้ม เกลี่ยจากแนวหางตาเข้ามาทางหัวตา เว้นแนวโหนกคิ้วไว้ แล้วใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลเกลี่ยชิดแนวขอบตา เริ่มจากหางตาเข้ามากึ่งกลางตาทำเช่นเดียวกันกับขอบตาล่าง เพื่อให้เกิดความสมดุลย์ของสีสันค่ะ
แต่ถ้าใส่เสื้อผ้าสีโทนเย็น เช่น สีชมพู สีฟ้า สีม่วง ก็เลือกใช้อายแชโดว์สีชมพู หรือสีม่วง เกลี่ยจากแนวหางตาเข้ามาทางหัวตา เว้นแนวโหนกคิ้วไว้เช่นเดียวกัน แล้วใช้อายแชโดว์สีเทา หรือสีน้ำเงิน เกลี่ยชิดแนวขอบตา เริ่มจากหางตาเข้ามากึ่งกลางตา และทำเช่นเดียวกันกับขอบตาล่าง เช่นเดียวกันค่ะ
8. ดินสอเขียนขอบตา  นิยมใช้ในการแต่งหน้างานกลางคืน หรือในโอกาสพิเศษ เพื่อเน้นดวงตาให้คมขึ้น หลังจากใช้ดินสอเขียนขอบตาแล้ว ควรใช้พู่กันปลายฟองน้ำเกลี่ยทับอีกครั้งเพื่อลดความแข็งของเส้นดินสอ และอาจใช้แปรงแตะอายแชโดว์สีใกล้เคียงกัน ทาทับอีกครั้ง เพื่อความเป็นธรรมชาติมากขึ้นค่ะ
9. มาสคาร่า  ควรดัดขนตาก่อนปัดมาสคาร่าทุกครั้ง ควรปัดมาสคาร่าทั้งขนตาบนและขนตาล่าง เลือกใช้มาสคาร่าชนิดที่ป้องกันการเลอะเทอะ (smudgeproof) เพื่อป้องกันมาสคาร่าเลอะใต้ตาในระหว่างวัน โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นคนผิวมันค่ะ
10. บลัชออน ใช้แปรงปัดแก้ม ปัดบลัชออนบริเวณโหนกแก้ม ให้หายไปทางไรผม โดยเลือกสีบลัชออนให้เข้ากับสีของอายแชโดว์ที่ใช้ในวันนั้น คือ โทนร้อน เลือกใช้สีบลัชออน สีส้ม สีน้ำตาล ส่วนโทนเย็น ใช้สีชมพู ค่ะ
11. ดินสอเขียนขอบปาก ใช้เพื่อสร้างกรอบ ทำให้ลิปสติกไม่เลอะออกมานอกริมฝีปากเวลาทานของร้อน ๆ และใช้แก้ไขรูปปากให้ได้รูปมากขึ้น โดยเลือกสีให้เข้ากับสีสันของอายแชโดว์และบลัชออนเช่นกันค่ะ 
12. ลิปสติกควรใช้พู่กันป้ายสีจากลิปสติกแล้วทาลงบนริมฝีปาก จะทำให้ลิปสติกไม่เป็นคราบและประหยัดลิปสติกมากกว่าค่ะโดยเลือกสีลิปสติกให้ใกล้เคียงกับสีของดินสอเขียนขอบปาก 
คำแนะนำเพิ่มเติม
1. ไม่ควรให้ใครยืมอุปกรณ์การแต่งหน้า เพราะคุณสามารถติดโรคตา หรือโรคหวัดได้
2. การเลือกสีครีมรองพื้น ควรทดสอบในขณะที่ไม่ได้แต่งหน้า โดยเกลี่ยรองพื้นบริเวณแนวขากรรไกรให้ได้สีที่เหมือนกับสีผิวบริเวณคอ
3. เครื่องสำอางประเภทดินสอทุกชนิด ควรเหลาให้แหลมก่อนใช้ทุกครั้ง
4. รักษาความสะอาดของพัฟพ์ และแปรงแต่งหน้าเป็นประจำ โดยล้างทำความสะอาดอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง
มาสคาร่าเป็นเครื่องสำอางอีกประเภทหนึ่งที่สามารถช่วยเพิ่มความเด่นให้ดวงตา โดยเฉพาะ ผู้ที่มีขนตาบางมาก มาสคาร่าสามารถช่วยทำให้ขนตางอนงาม และหนาขึ้นได้ 
1. เริ่มจากขนตาบนก่อน  โดยการใช้หวีเล็ก ๆ สำหรับหวีขนตา หรือคิ้ว หวีเพื่อกระจายขนตา จากนั้นปัด ขนตา จากด้านล่างของขนตาบน และปัดไปมาเพื่อไม่ให้มาสคาร่าจับขนตาเป็นก้อน
2. ปัดมาสคาร่าที่ขนตาล่างอีกครั้ง วิธีปัด คือ ใช้ด้านบนของแปรงปัดลง หลังจากนั้นใช้หวีค่อย ๆ กระจายเส้นขนตาเพื่อไม่ให้มีส่วนเกินหลงเหลืออยู่ ขณะหวีพยายามอย่าให้มือสั่น โดยอาจจะ ช่วยโดยการวางข้อศอกไว้บนโต๊ะก็ได้
เตรียมผิวสำหรับการรองพื้นด้วยการทามอยเจอร์ไรเซอร์ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้สักพักเพื่อให้ซึมซับเข้าสู่ผิวหน้าของคุณ  แต้มรองพื้นลงบนใบหน้าในบริเวณ ส่วนกลางใบหน้า ซึ่งเป็นส่วนที่จำเป็นต่อการลงรองพื้นวิธีนี้จะช่วยให้ง่ายต่อการเกลี่ยรองพื้นไปยังขอบของรูปหน้าใช้ฟองน้ำอย่างแข็งเกลี่ยรองพื้นให้ทั่วส่วนกลางของใบหน้าแล้วค่อยๆ ไล้ไปยังขอบของรูปหน้า อย่าละเลยบริเวณขอบรูจมูกและลงรองพื้นบางๆที่ใบหูด้วย ใช้ปลายนิ้วของคุณทารองพื้นที่มีสีอ่อนกว่าเล็กน้อย บริเวณใต้ตา  จะช่วยให้ดูอ่อนเยาว์และสดใสขึ้นวิธีนี้จะได้ผลดีสำหรับผู้ที่มีผิวสีเข้ม แต่ต้องใช้สีที่อ่อนกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นค่ะ
หลังจากรองพื้นแล้ว ขั้นตอนสำคัญต่อมาคือการทาแป้งฝุ่น ซึ่งจะช่วยให้ใบหน้าของคุณเนียนใส ชวนมองค่ะกฎสำคัญสำหรับการทาแป้งฝุ่นคือ ทาบางไปดีกว่าทาหนาเกิน
ขั้นตอนการทาแป้งฝุ่น
	ใช้แปรงแตะแป้งฝุ่นบางๆจากนั้นให้ลองเคาะก้านแปรงกับหลังมือเบาๆ เพื่อขจัดแป้งฝุ่นส่วนเกินออกจากขนแปรง  ใช้แปรงทาลงบนส่วนกลางของใบหน้าเพียงบางเบาให้ทั่วก่อนที่จะเลื่อนไล่ไปยังขอบของใบหน้า จากนั้นใช้แปรงแตะแป้งลงบริเวณขอบรูจมูก, เปลือกตาและใบหู  หากคุณจะทาแป้งเพื่อออกงานช่วงกลางคืนควรใช้แป้งฝุ่นชนิดไฮไลท์ทาบริเวณปลายคางหัวไหล่ ไหปลาร้า และบริเวณเนินหน้าอกด้วยค่ะ
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการใช้แป้งฝุ่น
	แป้งฝุ่นใช้ในการแต่งหน้า ควบคู่กับรองพื้น แต่เดิมแป้งฝุ่นจะมีเฉดสีชมพู แต่เดี๋ยวนี้มีเฉดสีมากขึ้น เช่น โทนสีเหลือง สีครีม ซึ่งเป็นโทนสีที่ใกล้เคียงกับสีผิวมากกว่า และยังปกปิดริ้วรอยหรือความหมองคล้ำ ใต้ตาได้ดีกว่าด้วย ในขณะที่โทนสีชมพูหรือขาว จะทำให้หน้าดูขาววอก  ไม่ควรจะเติมแป้งมากในระหว่างวันเพราะไม่เพียงจะทำให้การแต่งหน้าคุณดูเด่นชัด แต่ยังทำให้ผิวของคุณแห้งด้วย  ควรแบ่งแป้งฝุ่น ใส่ในขวดใสทีมีฝาปิดสนิท พกพาสะดวก และมีโอกาสหกได้น้อยกว่าเก็บในกล่องใหญ่  ถ้าใช้แป้งฝุ่นหนักมือไปหน่อย หลังจากที่ใช้แปรงเกลี่ยแป้งบนผิวหน้าแล้ว ให้ใช้สำลีซับแป้งส่วนเกินออก
ช่างแต่งหน้าชั้นนำหลายๆคน เคยบอกไว้ว่า โดยรวมๆแล้ว การแต่งหน้าให้ดูดี ต้องเลือกใช้เครื่องมือต่างๆให้ถูกต้องด้วย  อุปกรณ์แต่งแต้มจะช่วยให้ใบหน้าดูมีชีวิตชีวาขึ้น อายแชโดว์จะแต้มให้สวยได้ด้วยเรียวนิ้วมือ หากจะดูสว่างไสวได้ด้วยการใช้แปรงช่วย   แปรงหลายชนิดที่นำมาใช้ในการแต่งหน้า จะช่วยเสริมแต่งจุดเด่น ลบจุดด้อยได้ตามต้องการ 
แปรงหลักๆที่ใช้มีอะไรบ้าง
1. แปรงอายไลเนอร์ แปรงกลม ปลายขนเรียวขนาดเล็ก ใช้จุ่มน้ำแต้มอายแชโดว์ เขียนขอบตา แปรงอายไลเนอร์ที่ดี จะให้เส้นที่เฉียบคมและแน่นอนรอบบริเวณดวงตา
2. แปรงอายแชโดว์ มีหลายขนาด แปรงแบนสำหรับเกลี่ยอายแชโดว์ได้อย่างกลมกลืนเป็นธรรมชาติ แปรงกลม เรียงขนแปรงจากข้างในยาวที่สุด ไล่เรียงมาถึงขนชั้นนอกที่สั้นกว่าเหมือนปลายดินสอใช้เกลี่ยอายแชโดว์ เพื่อวาดแนวชั้นตา แปรงเปลือกตาพิเศษเป็นแปรงกลม เฉียงใช้วาดแนวและเกลี่ยเข้าซอกมุมตาที่เข้าถึงยากด้วยแปรงธรรมดา
3. แปรงคิ้ว แปรงแบน สั้น ปลายเฉียง ขนค่อนข้างแข็ง สำหรับการเขียนคิ้ว อย่างเป็นธรรมชาติ
4. แปรงปัดเศษผงอายแชโดว์ เป็นแปรงแบน แผ่เหมือนใบพัด ทำจากขนม้า
5. แปรงบลัชออน จะมี 3 ขนาด ขนาดใหญ่ที่สุดใช้ไล่แป้งทั่วใบหน้า ขนาดกลาง ใช้ปัดบลัชออน ขนาดเล็กใช้ทาสีอ่อนหรือ Hi-Light บริเวณโหนกแก้มให้ดูสดใส
6. แปรงใบหน้า (Contour Blush) ลักษณะแปรงค่อนข้างใหญ่ ขนแปรงอัดแน่นฟูเต็ม ขนหนานุ่มมาก ใช้ปัดรอบหน้าให้ใบหน้าเนียนกลมกลืน มีหลายขนาดให้เลือก 
7. แปรงทาปาก แปรงแบน ปลายเรียวเล็ก สามารถวาดรูปขอบปากได้ดีกว่าการทาด้วยลิปสติคทั้งแท่ง
การเลือกซื้อแปรง
ทดลองแปรงด้วยการเกลี่ยวนปลายแปรงไปบนฝ่ามือ แปรงที่ดีจะให้ความรู้สึกนุ่มสบาย ไม่ระคายผิว ขนแปรงไม่หลุดร่วง เป็นอันใช้ได้
การดูแลและทำความสะอาด
หลังการใช้ทุกครั้ง ควรเคาะแปรงและเช็ดปลายแปรงด้วยกระดาษทิชชู และทุกๆ 2 สัปดาห์ ควรล้างแปรงด้วยแชมพูอ่อนๆ สักครั้ง โดยการเทแชมพูใส่ฝ่ามือเล็กน้อย ผสมกับน้ำ เกลี่ยวนเฉพาะปลายแปรงไปบนฝ่ามือ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ซับด้วยผ้าขนหนูเบาๆ แล้ววางผึ่งลมให้แห้ง และควรที่จะเก็บแปรงในซองเก็บแปรงเพื่อช่วยรักษาสภาพขนแปรงให้ใช้งานได้นานๆ
ทาสีปากให้สวย
1. ใช้พัฟฟองน้ำหรือแปรงแตะคอนซีลเลอร์สีที่กลมกลืนกับรองพื้นลงบนผิวรอบ ๆ ริมฝีปาก หรือใช้นิ้วเกลี่ยคอนซีลเลอร์ให้เนียน แล้วตบแป้งฝุ่นชนิดโปร่งแสงเบา ๆ เพื่อให้ลิปสติคติดทนนานขึ้น
2. ใช้ดินสอสีใกล้เคียงกับลิปสติค วาดเส้นขอบปาก โดยริมฝีปากบนให้วาดจากรอยหยักกลาง ไปที่มุมปากแต่ละด้านส่วนริมฝีปากล่าง เริ่มต้นวาดจากมุมปากแต่ละข้าง
3. ใช้แปรงทาลิปสติค ระบายให้ทั่วริมฝีปาก อย่าให้เกินจากเส้นขอบปากที่วาดไว้
4. ใช้กระดาษทิชชู คลี่ให้บาง ซับเบา ๆ ที่ริมฝีปาก แล้วแต้มลิปสติคซ้ำอีกครั้ง หรือใช้ลิปกลอส เพื่อเพิ่มประกายให้กับเรียวปาก   ถ้าไม่อยากให้เส้นขอบปากดูแข็งกระโด๊ก! ให้ใช้มือหรือแปรงทาปาก ลูบเส้นขอบปากที่วาดไว้ 
สไตล์แต่งหน้า ช่วยสร้างอารมณ์ได้ ในช่วงบรรยากาศหวาน ๆ ของเดือนแห่งความรัก ลองมาแปลงโฉมเป็นสาวหวานกันสักวันเถอะ การแต่งหน้าสไตล์นี้ โทนสีที่ใช้จะต้องดูนุ่มนวล สดใส ซึ่งไม่จำเป็นต้องเลือกใช้สีชมพูล้วน ๆ เพียงสีเดียว 
คิ้ว : เขียนให้ดูนุ่มเบา เป็นธรรมชาติ เลือกใช้ดินสอสีน้ำตาลวาดจากหัวคิ้วไปจบที่หางคิ้ว แล้วใช้แปรงเกลียวเกลี่ยเส้นให้กระจาย  เพื่อไม่ให้เส้นดูแข็งเกินไป จากนั้นใช้แปรงปลายแบน แตะอายแชโดว์ สีน้ำตาลอ่อน เกลี่ยบางๆ ไปตามรูปคิ้ว จะช่วยให้คิ้วดูสวยเป็นธรรมชาติ 
ตา : อาจเลือกเป็นสีที่ดูอ่อนเบา เช่น ม่วงใส หรือฟ้าอ่อน ๆเกลี่ยให้ดูผสมกลมกลืนกัน แต่ที่สำคัญต้องเน้นการแต่งขนตาให้ดูงอนสวย แล้วปัดมาสคาร่าให้ดวงตาสวยเปล่งประกาย ก็ดวงตานี่แหล่ะ สำคัญยิ่งนัก
แก้ม : ปัดด้วยสีชมพูอ่อน ปัดเบา ๆ ดูระเรื่อดั่งสีกลีบกุหลาบ
ปาก : เลือกโทนสีชมพูหวาน ถ้าวาดขอบปาก ควรเลือกใช้สีโทนเดียวกัน วาดให้ดูอ่อนโยน แต่งหน้าเป็นสาวหวานทั้งที อย่าลืมแต่งตัวให้เข้ากันด้วยนะคะยิ่งตอนนี้ เสื้อผ้าแบบหญิง ๆ น่ะ กำลังเทรนดี้เชียวค่ะ จะติดโบว์ลูกไม้ หรือเสื้อติดระบาย หรือจะแซมดอกไม้สวย ๆ บนเสื้อคล้องคอหรือไหล่เบี่ยง ใส่กับกางเกงยีนส์เอวต่ำ หรือมินิสเกิร์ตอวดขาสวย ๆ แค่นี้ก็ พร้อมออกเดทกันแล้วล่ะ 
ผมสวยยามออกเดท
ควรใช้สเปรย์หรือเจลชนิดอยู่ทรงธรรมชาติ หลีกเลี่ยงการยีหรือสเปรย์ผมให้แข็งโป๊กแทนที่ชายหนุ่มจะได้สัมผัสกับผมนุ่มสลวยกับต้องเจอกับผมที่แข็งกระโด๊ก ทำให้หมดอารมณ์หวานแหววเอาได้ ทรงผมเซ็กซี่สำหรับออกเดทนั้น ควรเป็นผมที่ดูมีน้ำหนักเป็นประกายเงางาม ดูพลิ้วสวยเป็นธรรมชาติ ชวนให้น่าสัมผัสมากกว่าผมที่ดูแข็งเพราะฉีดสเปรย์
ในกระบวนการของการแต่งหน้านั้น ดวงตา นับว่าเป็นส่วนสำคัญ ที่สุด อุปกรณ์ในการแต่งดวงตาให้สวยนั้น มีอยู่ด้วยกันหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นอายไลเนอร์ อายแชโดว์ หรือมาสคาร่า
วิธีการที่ทำให้ดวงตาของคุณสามารถสะกดใจผู้พบเห็นได้ภายในแว่บแรกนั้น นอกจากการดูแลดวงตาให้สดใสมีชีวิตชีวา ด้วยการรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอ ซึ่งช่วยบำรุงและซ่อมแซมให้ดวงตามีสุขภาพดี การดื่มน้ำมากๆ ก็ช่วยให้น้ำหล่อเลี้ยงภายในดวงตามีความสมดุล การแต่งหน้าก็เป็นวิธีที่ช่วยเนรมิตดวงตาคู่สวยให้คุณได้อย่างทันใจทีเดียวค่ะ
ขั้นตอนการแต่งตา เริ่มต้นด้วยด้วยการไล่อายแชโดว์สีพื้น เช่น ส้ม ครีม เหลือง ลงบริเวณเปลือกตา แล้วเกลี่ยให้เรียบเนียน แล้วจึงเพิ่มเติมสีสันอื่นๆ ลงไปเพิ่ม แต่อย่าลืมเลือกเฉดสีให้เหมาะกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ด้วยในการลงเฉดสีบนเปลือกตา นั้นควรเริ่มไล่สีตั้งแต่บริเวณหางตาแล้วลดตวามเข้มไปเรื่อยจนถึงบริเวณใกล้ๆจมูก ส่วนการปัดมาสคาร่า ก็ช่วยเพิ่ม ความโดดเด่นกับดวงตาของคุณ วิธีการปัดมาสคาร่าถ้าไม่อยากไห้ขนตาติดกันเป็นแพ จนดูเป็นสาวย้อนยุค ให้ปัดปัดมาสคาราเป็นลักษณะซิกแซกเป็นรูปฟันปลา จะช่วยให้ขนตาดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ลองมาดูสไตล์การแต่งตาแบบต่างๆ ที่ช่วยให้สาวๆสวยแบบไม่จำเจกันค่ะ
ประกายเงินอายแชโดว์สีเงินแวววาว 
จะทำให้ตาของคุณดูสวยโดดเด่นขึ้นทั้งยังดูเปรี้ยวแปลกตาในยามราตรีอีกด้วย  ทาอายแชโดว์สีเงินตามแนวขอบตาล่าง และบนเปลือกตาจนถึงรอยพับบนเปลือกตา โดยทาให้เลยหางตาเล็กน้อย ลองใช้ Cover Girl eye shadow สี Charcoal Frost ทาอายแชโดว์สีขาวแวววาวบนโหนกคิ้ว เพื่อเน้นดวงตาให้สวยโดดเด่น ให้วาดขอบตาด้วยอายไลน์เนอร์สีดำ การแต่งหน้าสไตล์นี้เหมาะกับปากสีซีดๆอย่างสีพีช ปัดแก้มด้วยบลัชออนสีลาเวนเดอร์อมชมพู 
สวยหวาน โทนสีม่วงไลแล็ก ดวงตาโทนม่วงอ่อน  
ดูสดใส ชุ่มฉ่ำด้วยเครื่องสำอาง Bobby Brown ทาอายแชโดว์สีขาวให้ทั่วเปลือกตา จนถึงโหนกคิ้ว แล้วลงด้วย Lilac Shimmer Wash Eye Shadow จากเปลือกตาบนไปจนถึงรอยพับของเปลือกตา แล้วเพิ่มสี Eggplant Shimmer WashEye Shadow บริเวณแนวขนตาบน ปัดมาสคาร่าเพื่อให้ดวงตาดูหวานซึ้ง ปัดแก้มด้วยบลัชออนสีชมพูจางๆ แล้ว แต่งแต้มริมฝีปากด้วยLilac Sugar Shimmer Lip Gloss เฉดสี Lilac Sugar 
สวยเพริศแบบสาวทันสมัย 
สีสันหลากหลายทั้งเข้ม และสดใส แต่ยังคงความอ่อนโยน  เน้นดวงตาให้กลมโต ด้วยดินสอเขียนขอบตาสีชาโคลบราวน์ วาดขอบตาทั้งบนและล่าง แล้วลงด้วยอายแชโดว์สีเทาเงินเป็นประกายให้เทั่วเปลือกตาแล้วเกลี่ยด้วยอายแชโดว์สีเงิน ให้ทั่วแนวขนตาและทาให้เลยหางตาเล็กน้อย ปัดแก้มด้วยบลัชออนสีชมพูกุหลาบบริเวณโหนกแก้มไปจนถึงไรผมเพิ่มความอวบอิ่ม สดใสให้เรียวปากด้วย ลิบสติคสีชมพู (watermelon) 
สดใสด้วยโทนชมพูหวาน  
ระบายเปลือกตาด้วยอายแชโดว์สีชมพูจางๆให้ทั่วเปลือกตาบนจนถึงรอยพับของเปลือกตา แล้วแต้มอายแชโดว์สีขาวเป็นไฮไลต์บริเวณโหนกคิ้ว ปัดแก้มด้วยบลัชออนโทนชมพูสดใส เพิ่มเสน่ห์ให้กับเรียวปากด้วยลิปกลอสเฉดชมพูประกาย 
เช้าสดใสสไตล์สาวทำงาน 
รองพื้นบางเบา เกลี่ยให้เรียบเนียนทั่วใบหน้าแล้วทาทับด้วยแป้งฝุ่นชนิดโปร่งแสงเกลี่ยเบาๆให้ดูกลมกลืนเพื่อให้ใบหน้าดูนวลผ่องใสดวงตาเป็นประกายด้วย ด้วยอายแชโดว์โทนน้ำตาลทาที่เปลือกตา เน้นความเข้มที่หางตา เกลี่ยให้กลมกลืนกัน ปัดด้วยมาสคาร่าสีดำ แก้มสีเรื่อ ด้วยบรัชออนสีน้ำตาล ปัดจากโหนกแก้มไปจนถึงขมับ เน้นความสดชื่นของเรียวปาก ด้วยลิปสติคโทนสีชมพูอ่อนหรือน้ำตาลธรรมชาติ แค่นี้คุณก็สวยสดใส พร้อมไปทำงานแล้วล่ะค่ะ
ค่ำคืนโรแมนติค เติมเสน่ห์เย้ายวนด้วยโทนม่วงจำแลง 
เติมความเซ็กซี่ ให้กับดวงตา ด้วยดินสอเขียนตาสีน้ำตาลเข้ม เขียนขอบตาบนตั้งแต่หัวตาจนถึงหางตา ทาอายแชโดว์สีเบอร์รี่ชมพู ลงบนเปลือกตาจนถึงรอยพับ จบด้วยการดัดขนตา ปัดมาสคาร่าให้หนาเข้ม เพื่อให้ขนตาดูดกดำ พวงแก้มเปล่งประกายด้วยบรัชออนสีม่วงอ่อนๆ ลงบนจุดสูงสุดของโหนกแก้ม และเรื่อยขึ้นไปจนถึงแนวเส้นผม แต่งเรียวปากให้กระชากใจหนุ่ม ด้วยลิบสติคสีม่วงอมน้ำเงินบางใส แค่นี้ก็พร้อมเย้ายวนอารมณ์หนุ่มคนนั้นแล้วล่ะค่ะ
วันหยุดนี้ขอสวยแบบธรรมชาติ
รองพื้นเนื้อบางเบาเกลี่ยให้เรียบสม่ำเสมอ แล้วทาทับด้วยแป้งฝุ่นชนิดโปร่งแสง เพื่อให้ใบหน้าสวยใส สะอาดตา เน้นดวงตาพราวใส ด้วยดินสอสีน้ำตาลเข้ม อายแชโดว์โทนน้ำตาล ลูบเพียงเบาๆบนเปลือกตา เน้นหางตาทั้งบนและล่างอีกนิด ด้วยอายไลเนอร์สีเดียวกัน ปัดแก้มด้วยบรัชออนสีน้ำตาลอมชมพู เผยให้เห็นผิวสวยแบบธรรมชาติ อีกนิดที่ริมฝีปากลิบสติคสีน้ำผึ่งน้ำตาลอมส้ม หรือชมพูระเรื่อ ช่วยให้เรียวปากดูนุ่มนวล แค่นี้คุณก็สวยแบบธรรมชาติแล้วล่ะค่ะ				
2 กุมภาพันธ์ 2548 01:55 น.

สวยจรดปลายเท้าด้วยสปา ( ตอน มหรรศจรรย์แห่งน้ำผึ้ง )

สุชาดา โมรา

น้ำผึ้งมีคุณค่ามหัศจรรย์นั้นตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ได้ลิ้มลอง  การค้นพบน้ำผึ้งครั้งแรก  เมื่อไร  เวลาใดนั้นยังไม่มีใครหาหลักฐานอ้างอิงเป็นเรื่องเป็นราว  ที่แน่ ๆ คือมนุษย์นำน้ำผึ้งมาใช้ประโยชน์สารพัดรูปแบบ  และยากที่จะปฏิเสธถึงคุณค่าอันมากมายเกินบรรยายของน้ำผึ้งได้
	พ.ท.แพทย์หญิง    มันทนา  ธีระภาพ  หรือแพทย์หญิงแห่งโรงพยาบาลอนันทมหิดล  ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องศัลยกรรม  และความสวยความงามนั้นได้ให้คำแนะนำไว้คือ
ความสวยความงามที่ทุกคนต่างก็หันมาใส่ใจนั้น  สิ่งที่สำคัญที่สุดและถูกมองว่าความสวยความงามนั้นเป็น  ศาสตร์แห่งความงามสำหรับผู้หญิง  เกือบทั่วทั้งโลกไม่มีใครรู้กิตติศัพท์ความเป็นน้ำผึ้งแท้แต่โบราณ  ซึ่งเชื่อว่าบรรดาสิ่งละอันพันละน้อยจากธรรมชาติที่คุณผู้หญิงนำมาปรุงแต่งเพื่อบรรจงจรุงกายให้โฉมงามได้ตลอดกาลนั้น  ย่อมมีน้ำผึ้งรวมอยู่ด้วย
แต่คุณคิดเหมือนกันไหมว่า  น้ำผึ้งเป็นสิ่งที่กำลังจะถูกลืม  ลองถามตัวเองสิว่า  ในช่วงระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา  คุณรับประทานหรือนำน้ำผึ้งมาใช้บ่อยครั้งแค่ไหน  ลองเปรียบกับปริมาณบรรดากาแฟ  น้ำอัดลม  เป็นอย่างไรคะตัวเลขต่างกันลิบลับใช่ไหม
ย้อนกลับไปครั้งอดีตกาล  หากพูดถึงรสหวานเมื่อไร  คำตอบของคนยุคนั้นคงเป็นน้ำผึ้งมากกว่าน้ำตาล  ซึ่งมีอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติ  ตามต้นไม้  ตามป่าเขาลำเนาไพร
ความยิ่งใหญ่ของน้ำผึ้งนอกเหนือจากเป็นอาหารและยานับเนื่องแต่โบราณกาลนั้น  น้ำผึ้งยังถูกใช้เป็นเครื่องสำอางประทินผิวและความงามของอิตสตรี  ไม่ว่าจะเป็นพระนางคลีโอพัตรา มาดามดู บาร์รี  และหญิงงามในประวัติศาสตร์อีกมากมาย  ซึ่งล้วนแล้วแต่ใช้น้ำผึ้งเป็นเครื่องประทินสิริโฉมอันลือเลื่อง  แม้กระทั่งถึงสมัยปัจจุบัน  เครื่องสำอางหลายชนิดสำหรับคุณผู้หญิงก็ต้องมีโฆษณาส่วนผสมของน้ำผึ้งที่ใช้อยู่บ่อยครั้ง
น้ำผึ้ง  ( Honey )  คือ  ผลิตผลจากน้ำหวานของดอกไม้นานาพรรณรวมไปถึงแหล่งหวาน ๆ ที่น้ำผึ้งนำมาเก็บสะสมไว้บนรังผึ้ง
น้ำผึ้งประกอบด้วย
น้ำ  น้ำผึ้งมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักไม่เกินร้อยละ  20
คาร์โบไฮเดรต  เป็นสารอาหารที่มากที่สุดถึงประมาณร้อยละ  79  โดยมีน้ำตาลฟลุตโตสมากกว่ากลูโคส  ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกสะเก็ด  และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่น
กรด  มีประริมาณร้อยละ  0.5  เป็นเหตุให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อยนั่นเอง  โดยกรดที่พบ  คือ  คาลูโดนิก
แร่ธาตุ  มีปริมาณร้อยละ  0.5  ได้แก่  แคลเซียม  แมกนีเซียม  โปตัสเซียม  ฟอสฟอรัส  ( น้ำผึ้งที่มีสีเข้มเขาบอกว่าเป็นน้ำผึ้งที่มีแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งสีอ่อน )
วิตามิน  คือ  ไรโบเฟลวิน  ไนอะซิน
 
 ลักษณะน้ำผึ้งคุณภาพเยี่ยม
- เป็นของเหลวข้น
- เป็นเนื้อเดียวกันปราศจากสิ่งแปลกปลอม
- มีกลิ่นและรสตามธรรมชาติ คือปราศจากกลิ่นหรือรสที่น่ารังเกียจใดๆ
- ต้องไม่มีกลิ่นบูด  กลิ่นเปรี้ยวหรือมีฟอง
งานวิจัยของมหาวิทยาลัยอิลลินนอยส์ระบุว่า  น้ำผึ้งใช่มีแต่ความหวาน  แต่ในน้ำผึ้งยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์  เช่นเดียวกับผักใบเขียวและพืชตระกูลส้ม  และยังมีวิตามินบี  อีกทั้งกรดอะมิโนที่มากประโยชน์ต่อสุขภาพ  จึงช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์อย่างได้ผล
ไม่ต้องแปลกใจหากใครสักคนดูอ่อนกว่าวัย  อ่อนกว่าอายุจริงหลายเท่าตัว  เนื่องจากทั้งใช้และรับประทานน้ำผึ้งเป็นชีวิตจิตใจอยู่ทุกวี่วัน
น้ำผึ้งสามารถนำมาใช้ประโยชน์กับร่างกายตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า  ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพผิวหน้า  บำรุงหน้าให้ชุ่มชื้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร  ส่วนผสมนั้น  น้ำผึ้งก็ดูแลได้เป็นอย่างดี  หรือแม้กระทั่งทำความสะอาดผิวกาย  การกระชับรูขุมขน  ต้องยกนิ้วให้น้ำผึ้งเลยค่ะ
เมนูความสวยความงามเพื่อผมเงางามจากน้ำผึ้ง
Hair  Conditioner  ผสมน้ำผึ้ง  2  ถ้วย  กับน้ำมะกอก ¼  ถ้วย  ( ถ้าเป็นผมธรรมดาให้ใช้น้ำมันมะกอกเพียง 2 ช้อนโต๊ะก็พอ ) นำมานวดให้ทั่วศีรษะ  แล้งคลุมด้วยหมวกอาบน้ำ  ทิ้งไว้สัก  30  นาที  จึงสระผมตามปกติ  จะช่วยฟื้นชีพผมเสียให้แลดูนุ่มสลวย  เงางาม  มีน้ำหนักมากขึ้น
Hair  Shine  ผสมน้ำผึ้ง  1  ช้อนชาในน้ำอุ่น  4 ถ้วย  แล้วเติมน้ำมะนาว  1  ช้อนชาลงไป  นำมาราดผมให้ทั่ว  หลังจากสระผมที่สะอาดด้วยแชมพูเรียบร้อยแล้ว  จะช่วยชะล้างมลพิษที่เกาะจับตามเส้นผมได้สะอาด
ครีมนวดผมน้ำผึ้งกับอัลมอนด์
เหมาะสำหรับผมแห้งแตกปลายและผมที่ถูกทำลาย  โดยผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชากับน้ำอัลมอนด์ 2 ช้อนโต๊ะเข้าด้วยกัน  จากนั้นมาตีรวมกับไข่แดง 1 ฟอง  เสร็จแล้วนำมานวดให้ทั่วศีรษะแล้วทิ้งไว้  30  นาทีก่อนสระผม
มาสก์ผมด้วยน้ำผึ้งและแครอท
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ  แครอทปั่น 2 หัว  ข้าวโอ๊ตบด 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันอัลมอนด์ 1 ช้อนโต๊ะ  มาผสมรวมเข้าด้วยกันทั้งหมดจนเป็นเนื้อครีมเหนียวข้น  และจะเป็นมาสก์ที่มีกลิ่นหอมหวานทีเดียว  จากนั้นชโลมเนื้อครีมให้ทั่วเส้นผม  แล้วเก็บผมไว้ในหมวกอาบน้ำ  ทิ้วไว้ประมาณ  15-20  นาที  จึงสระผมด้วยแชมพูตามปกติ  บรรดาสารแคโรทีนในแครอท  รวมทั้งน้ำผึ้งจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและประกายเงางามให้เส้นผม
ครีมนวดผมจากน้ำผึ้งและโยเกิร์ต
เริ่มจากตีไข่แดงและไข่ขาว 1 ฟองให้เข้ากันก่อนแล้วเติมโยเกิร์ตรสธรรมชาติประมาณ  5 ช้อนโต๊ะมาหมักผมหลังจากสระผมแล้วทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที  ล้างออกด้วยน้ำเปล่า  สูตรนี้เหมาะสมมากสำหรับผมแห้งเสีย  ทำให้ผมนิ่มขึ้นมีน้ำหนักจัดเข้ารูปทรงได้ง่าย  อยากให้เส้นผมสวยเงางามเปล่งประกายต้องหมั่นเติมอาหารดี ๆ เพื่อเส้นผมกันบ้าง  เพราะน้ำผึ้งจะช่วยคุณได้ยอดเยี่ยมและได้ผล
เมนูความสวยเพื่อผิวหน้าจากน้ำผึ้ง
Moisture  Mask  1
ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะกับนมสด 2 ช้อนชาแล้วคนให้เข้ากัน  นำมาทาทั่วใบหน้าและลำคอ  ทิ้งไว้ประมาณ  10  นาทีจึงล้างออก  จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว  เหมาะสำหรับคนผิวแห้ง

Moisture  Mask  2
บดกล้วยหอมให้เละ  แล้วเติมน้ำผึ้งลงไป  ผสมจนได้ทรีตเมนต์เนื้อนิ่มละเอียด  สูตรนี้พอกได้ทั้งหน้าและผม  จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้าและเส้นผมทำให้นิ่มสลวยดูมีชีวิตชีวา
Smooth  Skin  Lotion
ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชากับน้ำมันพืช 1 ช้อนชา  และน้ำมะนาว ¼ ช้อนชา  นำมาขัดเบา ๆ ที่ข้อศอก  มือ  หัวเข่าและส้นเท้า  ซึ่งมักเป็นส่วนที่แห้งกร้านได้ง่าย  ช่วยให้ผิวดูนุ่มนวลและสดใสขึ้น
Honey  Cleansing  Scrub
ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะกับวีเจิร์ม  ( จมูกข้าวสาลี )  2 ช้อนชา  คนให้เข้ากันแล้วนำมาทาให้ทั่วผิวหน้าแล้วนวดเบา ๆ จะช่วยขจัดเซลล์ผิวและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด  เหมาะกับผิวที่มีริ้วรอยจุดด่างดำ
Facial  Mask
แอปเปิ้ลปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อนำมาปั่นรวมกันกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ  จากนั้นนำมาทาให้ทั่วผิวหน้าแล้วนวดเบา ๆ ทิ้งไว้  15  นาที  ล้างออกด้วยน้ำเย็น  จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าให้สร้างเซลล์ผิวใหม่  และเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิวด้วย  ใบหน้าจึงจะดูเปล่งปลั่งสวยใสขึ้นได้
ครีมขัดหน้า
ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะกับอัลมอนด์บดละเอียด 2 ช้อนโต๊ะและน้ำมะนาว ½ ช้อนโต๊ะให้เข้ากัน  นำมาขัดถูอย่างนุ่มนวลให้ทั่วใบหน้า  ทิ้งไว้ 2-3 นาที  จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น  เป็นครีมขัดหน้าเนื้อนุ่ม  เหมาะสำหรับผิวหน้าแห้งและผิวหยาบกร้าน
ครีมน้ำผึ้งและเลซิติน
สูตรนี้เป็นไนท์ครีมบำรุงที่ทำให้ผิวอ่อนเยาว์  เหมาะกับสภาพผิวทุกชนิดโดยเฉพาะผิวที่ดูเหลืองซีด  โดยนำน้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะ  ลาโนลินชนิดไม่มีน้ำ 2 ช้อนโต๊ะไปผสมรวมกัน  จากนั้นตีส่วนผสมจนเย็นและข้น  เติมเลซิตินแล้วคนให้เข้ากัน  บรรจุขวดเก็บในตู้เย็น  ใช้เป็นไนท์ครีมทาก่อนนอนได้เลย
มาสก์น้ำผึ้งและน้ำส้ม
น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ  ผสมกับน้ำส้มคั้น ½ ผลคนให้เข้ากัน  ทาให้ทั่วใบหน้า  ทิ้งไว้  10-15  นาที  จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น  ซับหน้าให้แห้ง  เช็ดด้วยน้ำหรือโทนเนอร์เบา ๆ เพื่อเปิดรูขุมขน  แล้วทาด้วยมอยส์เจอไรเซอร์บาง ๆ ทันที  จะสามารถคืนความสดใสและสดชื่นแก่ผิว  เหมาะสำหรับผิวทุกชนิด  สามารถพอกบริเวณรอบดวงตาและปากได้ด้วยค่ะ
มาสก์น้ำผึ้งและกล้วยหอม
บดกล้วยหอมสุก  250  กรัมกับน้ำผึ้ง  1  ช้อนชาให้ละเอียดเข้ากันแล้วเติมครีม  2 ช้อนชา  ตามด้วยอัลมอนด์บดละเอียด 2 ช้อนชา  คนให้เข้ากัน  แล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้  10-15  นาที  จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น  ซับหน้าให้แห้ง  เช็ดด้วยน้ำหรือโทเนอร์เบา ๆ เพื่อเปิดรูขุมขนแล้วทาด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์บาง ๆ ทันที
 จะเลือกสวยกันแบบโฮมเมดหรือหาซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำผึ้งในท้องตลาดก็ตามแต่สะดวก  แต่คุณหมอว่าควรจะเลือกน้ำผึ้งแท้จากดอยคำเพราะเป็นน้ำผึ้งที่ได้มาตรฐาน  เป็นน้ำผึ้งตามแนวพระราชดำริ  รับรองว่าไม่มีสารปนเปื้อนอย่างแน่นอน  เหมาะสำหรับรับประทานหรือนำมาประทินโฉมตามแต่จะเห็นควร
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากคำแนะนำของ  พ.ท.หญิง  มันทนา  ธีระภาพ  ซึ่งได้ให้ข้อมูลดี ๆ แก่ผู้ที่สนใจและรักสวยรักงามด้วยวิธีทางธรรมชาติที่ได้ผลถึง  99.99%  แล้วคุณล่ะคะคิดที่จะลองให้วิธีง่าย ๆ แทนการไปใช้สปาให้ฟุ่มเฟือยไปทำไมลองทำสปาในครอบครัวสิคะรับรองว่านอกจากคุณจะได้ความสวยติดกายไปแล้วคุณยังจะได้สัมพันธภาพในครอบครัวที่ดีอีกด้วย				
2 กุมภาพันธ์ 2548 01:53 น.

บันเทิง...วัยโจ๋ ( ตอน อาหารเพื่อสุขภาพสำหรับทุกเภททุกวัย )

สุชาดา โมรา

เต้าหู้...คุณภาพคับก้อน
จากเมล็ดถั่วเหลือง ซึ่งจัดว่าเป็นยอดขุนพลของพืชตระกูลถั่ว ถูกแปลงโฉมมาเป็นเต้าหู้หลากหลายรูปแบบ มีทั้งชนิดก้อน ชนิดหลอด  จะเลือกแบบแข็งหรือแบบนิ่มก็ยังได้ เลือกได้ตามใจชอบกันล่ะค่ะ ราคาก็ไม่แพง หาซื้อได้ง่าย แต่ให้คุณค่าสู ง อุดมด้วยโปรตีน เหล็กและแคลเซียม แต่ปลอดคลอเรสเตอรอล  ดร.แอนเดอร์สันแห่งมหาวิทยาลัยเคนตักกี ระบุว่า การกินเต้าหู้เป็นประจำทุกวัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและยังช่วยป้องกันการผิดปกติของฮอร์โมนที่จะก่อให้เกิดมะเร็งบางชนิดโดยเฉพาะมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำใส้ สำหรับสาวๆที่ต้องการมีผิวพรรณที่สดใส ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรรับประทานเต้าหู้ สัปดาห์ละ 3 ครั้งจัดเมนูอาหารเต้าหู้ไว้บนโต๊ะอาหารทุกวัน นอกจากสุขภาพจะดีแล้วผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอีกด้วย เห็นไหมคะ คุณภาพคับก้อนจริงๆค่ะ
มะเขือเทศพระเอกตัวจริงของอาหารอิตาลี
ผลไม้สีสันสดใสชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก ต่อมาได้นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในยุโรป แต่กลายมาเป็นพระเอกตัวจริงในอิตาลี...ชาวอิตาลีจัดได้ว่าเป็นนักบริโภคมะเขือเทศตัวยง อาหารยอดฮิตของอิตาลีล้วนมีมะเขือเทศเป็นส่วนผสมสำคัญ เคล็ดลับความอร่อยของอาหารอิตาลีจึงอยู่ที่ซอสมะเขือเทศนี่แหล่ะค่ะผลสรุปของสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐ ระบุว่า การบริโภคมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศในปริมาณสูง สามารถลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งหลายชนิดได้ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งในช่องท้อง เนื่องจากในมะเขือเทศมีสารไลโคพีน (Lycopene) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง และโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้วิตามินเอและซีในมะเขือเทศ ก็ยังช่วยให้สุขภาพผิวสดใส ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางราคาแพงกันเลยทีเดียว
กินกระเทียมให้เป็นยาโดยไม่ต้องพึ่งใบสั่งแพทย์
คงจะคุ้นเคยกันดีสำหรับพืชสมุนไพรชนิดนี้ เพราะแทบทุกครัวเรือนต่างมีไว้คู่ครัว ถ้าศึกษาจากผลงานวิจัยของนักวิทยศาสตร์ทั่วโลกแล้ว เราอาจจะต้องเก็บกระเทียมไว้เคียงคู่กับตู้ยาก็เป็นได้ดร.วาร์โร อี. ไทเลอร์ ที่ปรึกษาคณะเภสัชศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเพอดู เวส ลาฟาเยต พบว่า กระเทียมมีสรรพคุณเสมือนยาแอส-ไพริน คือทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น สารอัลลิซินในกระเทียมจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้การกินกระเทียมเป็นประจำทุกวัน โรคหัวใจก็ไม่ถามหากันง่าย ๆ เพราะกระเทียมเป็นตัวช่วยลดปริมาณคลอเรสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้เป็นอย่างดี ยังไม่หมดนะค่ะสำหรับสรรพคุณของกระเทียม..หากเราย้อนประวัติศาสตร์ไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2กระเทียมเป็นผู้ช่วยตัวเอกในการรักษาบาดแผลของทหาร เนื่องจากกระเทียมมีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อโรคสารพัดชนิด ทั้งเชื้อแบคทีเรียไวรัส และเชื้อราก่อนจะหยิบอาหารเข้าปากในมื้อต่อไป อย่าลืมกระเทียมสดๆสัก 2 ช้อนชา รับประทานคู่กับอาหารมื้ออร่อยของคุณนะคะ คุณจะได้สารอาหารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสรรพคุณทางยาทีเดียว
แก้นิสัยโกรธง่ายด้วยโยเกิร์ต
ดร.เม็ทชนิคอฟ แห่งสถาบันปาสเตอร์ ในฝรั่งเศส ได้สรุปผลงานของเขาไว้ว่า การกินโยเกิร์ตทุกวัน จะทำให้สุขภาพดีและอายุยืน
จุลินทรีย์แลคโตแบคซิลัสในโยเกิร์ต จะช่วยสร้างยาปฎิชีวนะในลำใส้ ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบททีเรียต่างๆ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ลำใส้ ป้องกันกระเพาะจากการเป็นแผล ลดไขมันในเส้นเลือด และยังช่วยไม่ให้ฟุ้งซ่านและโกรธง่ายอีกด้วย
เมนูอาหารเพื่อผิวผ่อง
	Mitcheal P. Goldman แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจาก University of California Sandirgo School of Medicine บอกว่า อาหาร ช่วยให้ผิวพรรณสดชื่น เปล่งปลั่ง และดูอ่อนวัยได้ เนื่องจากอาหารที่ดีกับสุขภาพ จะช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้น และช่วยขับพิษออกจากร่างกายนอกจากนี้คนที่ผิวสวยย่อมได้เปรียบกว่าคนที่หน้าตาดี แต่ผิวพรรณกลับดูร่วงโรย หมองคล้ำ ไม่สดใสคุณหมอ Mitcheal P. Goldman ได้จัดทำโปรแกรมอาหารเพื่อผิวสวย เพื่อใช้กับคนไข้ที่มีปัญหาด้านผิวพรรณ โดยอาหารส่วนใหญ่ จะประกอบด้วย เนื้อปลา น้ำมันมะกอก เมล็ดข้าวและธัญพืช ผลไม้และผักสดรวมทั้งน้ำเปล่า ซึ่งเพียง 2 สัปดาห์ คนไข้เหล่านั้น ต่างบอกว่า ผิวพรรณของพวกเธอดูสดใส และเนียนนุ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่บางรายบอกว่า ผิวหน้าขาวใส ไร้จุดด่างดำอีกด้วย
อาหารที่ดีกับผิวพรรณ
	เนื้อปลา เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชราและความเสื่อมของร่างกาย
น้ำมันมะกอก  เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงก็จริง แต่มีข้อดีคือ มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง และเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอ และอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม
เมล็ดข้าวและธัญพืช  ไม่ว่าจะเป็นข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ด ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ งา นอกจากจะมีวิตามินบีสูงแล้ว ยังมีวิตามินอี ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ซึ่งจะช่วยสร้างและรักษาความแข็งแรงของเซลล์ มีงานวิจัยระบุว่าวิตามินอี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และช่วยปกป้องความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะให้แก่ผิว
ผลไม้และผักสด  ผักสด มีวิตามินเอ ช่วยทำให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ และยังมีวิตามินซีซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเส้นใยคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ผิวพรรณของใบหน้าดูเต่งตึง มีความยืดหยุ่น ผักสดและผลไม้ จึงควรเป็นอาหารที่คุณควรบรรจุไว้ในเมนู
อาหารทุกมื้อของคุณ ผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก ได้แก่ ส้ม มะนาว มะเขือเทศสับปะรด ฝรั่ง ส่วนผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอมาก ได้แก่ กล้วย  มะละกอ ฟักทอง แครอท
น้ำเปล่าน้ำทำหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับทุกระบบภายในร่างกาย และหากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ6-8 แก้วโต ๆ เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และยังป้องกันผิวหย่อนยานจากการลดน้ำหนักแบบมีผิวที่อวบอิ่มอีกด้วย
ตัวอย่างเมนูอาหารเพื่อผิวผ่อง
มื้อเช้า : สลัดผลไม้ราดด้วยโยเกิร์ตหรือสลัดผักสดกับน้ำสลัดใส 
มื้อเที่ยง : ปลาจาระเม็ดนึ่ง แกงเลียง ข้าวกล้อง
มื้อว่าง : นมถั่วเหลือง หรือน้ำผลไม้คั้นสด ๆ 
มื้อเย็น : ลาบเห็ด ซุบเต้าหู้ ข้าวกล้อง
อาหารที่ทำลายผิวพรรณ
1. ไขมันอิ่มตัวในเบคอน ไส้กรอก ไอศกรีม และเนยสด กระบวนการเผาผลาญอาหารเหล่านี้ จะเกิดอนุมูลสารอิสระสูง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์ของร่างกายเหี่ยวย่น และเสื่อมโทรม 
2. รับประทานอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไป มีผลขัดขวางกระบวนการสร้างคอลลาเจนของเซลล์ผิว ทำให้ผิวหย่อนยาน 
3. คาเฟอีน เป็นตัวที่ดูดซับความชื้นจากผิว ถ้าคุณติดกาแฟจนยากที่จะเลิก เมื่อคุณดื่มกาแฟ 1 แก้ว ก็ควรดื่มน้ำเปล่าแก้วโต ๆ ตามไป 1 แก้วเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ร่างกายขาดน้ำ และผิวพรรณขาดความชุ่มชื้นไปด้วย
4. แอลกฮอล์ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวพรรณ ขาดความเปล่งปลั่ง ถ้าคุณเป็นนักดื่ม ทุกครั้งที่ดื่มแอลกฮอล์ อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าแก้วโต 2 แก้ว เพื่อชดเชยไม่ให้ร่างกายสูญเสียน้ำ และช่วยป้องกันไมให้ผิวขาดความชุ่มชื้น
อาหารเพื่อผิวสวย  ได้แก่  สลัดผลไม้  ปลาจาระเม็ดนึ่ง  เมี่ยงเห็ด  น้ำพริกคั่วทูน่า  Smooties ผลไม้  แอปเปิ้ลคูลเลอร์  ซุปเต้าหู้   และเมนูยำ
พบกับเคล็ดลับดี ๆ ที่ พ.ท. แพทย์หญิง  มันทนา  ธีระภาพ  นำมามอบให้กับคุณทุกคนได้ใหม่ในปักษ์หน้านะคะเคล็ดลับดี ๆ ยังอยู่คู่คุณเสมอ  แล้วคุณละคะอยากจะมีหุ่นสวยพราวเสน่ห์และมีรูปร่างที่เหมาะกับการสวมใส่เสื้อผ้าได้ทุกชนิดหรือยัง?				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา