บันทึกคนทำนา # 1

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

มันผ่านมานานแต่ผมจำได้เสมอ
ที่โรงเรียนผมมักหลบเพื่อน ๆ ไปนั่ง ๆ ยืน ๆ ใต้ร่มไม้ใหญ่ข้างอาคารเรียน แอบบีบบี้สิ่งที่ไต่ออกมาจากทวารหนักให้ตายคามือ แม้จะขยะแขยงอย่างไรก็ต้องทำ ดีกว่าให้*ตัวตืดไต่ตกออกมาให้เพื่อนเห็น ผมรู้สึกชิงชังเจ้าสัตว์ที่อยู่ในลำไส้ของตัวเองเต็มประดาเพราะมันไม่รู้จักเลือกเวลาที่จะออกมาข้างนอก บางวันในขณะที่เข้าแถวเคารพธงชาติอยู่มันก็ไต่ออกมาติดแหมะอยู่ที่ถุงเท้า รองเท้าและส่ายหัวไปมาอย่างไม่เกรงใจ ผมต้องรีบใช้เท้าอีกข้างปัดมันลงไปที่พื้นเหยียบขยี้ด้วยความโกรธเกลียดสุดขีด
                      ในห้องเรียนมีนักเรียนตัวเล็กอย่างผมอยู่ไม่กี่คน เพื่อนเกือบทั้งชั้นสูงใหญ่ ผิวพรรณและหน้าตาดี พวกเผขาเป็นลูกหลานของพ่อค้าคหบดีในอำเภอ เวลาเดินไปไหนด้วยกันจะเห็นความแตกต่างของสถานะทางสังคมของครอบครัวของเขากับผมจากเสื้อผ้า ตลอดจนรองเท้าที่เขาสวมใส่ พวกเขาสนุกสนานร่าเริงกันทุกคน ในขณะที่ผมต้องคอยระมัดระวังปกปิดบางสิ่งบางอย่างกลัวผู้คนจะรู้และกลัวผู้คนจะเย้ยเยาะ
                     หมู่บ้านของผมอยู่ห่างจากตัวอำเภอออกไป หลายกิโลเมตร บางวันผมอาศัยซ้อนท้ายรถเครื่องของลุงของอามาโรงเรียน แต่ส่วนใหญ่ผมต้องนั่งซาเล้ง เพราะรถประจำทางระหว่างจังหวัดที่แล่นผ่านหน้าหมู่บ้านทุกเช้าไม่ยอมจอดรับให้เด็กนักเรียนโดยสารไปด้วย ผมกับเพื่อนจึงต้องอาศัยรถสามล้อที่เขาถีบเข้าไปรับจ้างส่งของในอำเภอเพื่อไปให้ทันโรงเรียน
                          ในแต่ละวันผมต้องคอยบีบบี้เจ้าพยาธิตัวแบน ๆ ที่ไต่ออกมา 1 ตัวเป็นอย่างน้อย เจ้าสัตว์ผิวผ่องนี้มีความยาวประมาณ 1 นิ้ว ความกว้างประมาณครึ่งของเล็บมือ ส่วนความหนาก็พอ ๆ กับความหนาของเล็บหัวแม่มือ เวลามันตกออกมาจากขากางเกงของผมมันจะชุ่มเยิ้มเหมือนอาบน้ำนมออกมาเลยเชียว เมื่อผมจัดการกับมันเสร็จแล้วจึงโล่งอกเข้ากลุ่มกับเพื่อน                           พฤติกรรมแบบนี้ใครจะสังเกตเห็นหรือเปล่าผมไม่รู้ 
                        เมื่อพยาธิชอนไชออกมามาก ๆ เข้าผมก็ปกปิดเรื่องนี้ต่อไปไม่ไหว ทันทีที่พ่อรู้เรื่องนี้พ่อก็เอามะเกลือมาโขลกผสมมดแดงเปรี้ยว คั้นและกรองเอาน้ำมะเกลือด้วยผ้าขาวบางใส่ถ้วยให้ผมดื่ม รสชาติของมะเกลือนั้นขื่นเขียวพะอืดพะอมสุดจะทน แต่ผมก็กระเดือกมันจนหมดถ้วยจนได้ รุ่งขึ้นผมตื่นนอนเช้าผิดปรกติ ท้องไส้ปั่นป่วนปวดมวนไปหมด พ่อรู้เรื่องนี้ดีจึงบอกให้ผมขุดดินข้างเล้าไก่เพื่อถ่ายทุกข์ 
                     สิ่งที่ผมมองเห็นในหลุมถ่ายทุกข์ทำให้ผมแทบสิ้นสติ 
                    มันคือสิ่งมีชีวิตผิวผ่องที่ลำตัวเป็นปล้อง ๆ ขดม้วนเหมือนฝ้ายก้อนใหญ่ พ่อของผมลงจากเรือนมาใกล้ ๆ และถามว่าออกไหม ผมบอกพ่อถึงสิ่งที่ตนเห็น พ่อเอาไม้ไผ่ยื่นให้ผมเพื่อม้วนพันเจ้าตัวตืด ดึงลากออกมาจากลำไส้ให้หมด ผมไม่อยากจดจำภาพวันนั้นเลยสักนิด แต่มันติดตาของผมมาจนกระทั่งวันนี้ พยาธิตัวตืดตัวนั้นไม่หลุดออกมาทั้งยวง คาดว่าคงเหลืออยู่ในไส้ของผมเท่า ๆ กับที่หลุดออกมาเท่ากำปั้น 
                     ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่สงสัยจะมีหนวดมีเครามีเขี้ยวมีขนไปแล้วก็ไม่รู้
                      ในห้องเรียนถึงแม้ผมจะมีคะแนนเป็นลำดับที่ 7 ถึง 8 
แต่คุณครูก็บอกว่าไอคิวหรือความฉลาดของผมอยู่ที่ประมาณ 88 เท่านั้น ผมเรียนเลขคณิตไม่เก่ง ท่องอะไรก็ไม่ค่อยจำ เพื่อน ๆ ในห้องเรียนของผมเรียนเก่งมาก พวกผู้หญิงอ่านภาษาอังกฤษได้แจ้ว ๆ น่าทึ่งยิ่งนัก ผมเองต้องขอให้พวกเขาอ่านให้ฟังแล้วจดคำอ่านพวกนั้นไว้สอบปากเปล่าเอาคะแนนจากครู อย่างไรก็ตามผมก็ผ่านชั้น ป.6 เข้าเรียนต่อระดับมัธยมด้วยคะแนนถึง 78 เปอร์เซ็นต์
                       ในระดับมัธยมผมมีเพื่อนมากมายหลายห้องมาจากหลายตำบล บางคนปั่นจักรยานมาร่วมยี่สิบกิโลเมตร ผมสอบเข้าเรียนได้เป็นอันดับที่ 7 แต่พอสอบปลายภาคคราวนี้อันดับของผมเลื่อนมาเป็นที่ 2 เมื่อเรียนในระดับมัธยมปลายผมตั้งใจจะเรียนสายศิลปะ แต่ครูก็ให้ผมเรียนสายวิทยาศาสตร์ ผมรู้ว่าตัวเองหัวไม่ดีก็ขยันอ่านขยันทบทวน เอาความมุมานะเข้าสู้ ในที่สุดอันดับที่ 1 ก็เป็นของผมและเป็นอันดับที่ 1 ที่ยาวนานจนจบระดับมัธยมปลาย ที่ 1 ที่ผมได้มันเป็นความรู้ความจำธรรมดาทั้งนั้น นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่ได้ภาคภูมิใจเลยเพราะรู้ว่าตัวเองหัวช้าและอ่อน รวมทั้งการที่เป็นคนว่านอนสอนง่ายของครูบาอาจารย์ มันกลายเป็นที่เกลียดชังมากของเพื่อน ๆ ส่วนใหญ่ที่เป็นปฏิปักษ์กับระเบียบวินัยของโรงเรียน
ผมได้รับมอบหมายหน้าที่หลายอย่างในโรงเรียนเช่น เป็นหัวหน้าห้อง เป็นประธานนักเรียน การได้รับเลือกจากเพื่อน ๆ และครูไม่ใช่เพราะความเก่งกาจมีวิสัยทัศน์ แต่เป็นเพราะอ่อนน้อมถ่อมตนแลดูซื่อและใช้ง่าย ผมพอใจที่ได้ทำหน้าที่เหล่านั้นแต่ก็ไม่ได้ภาคภูมิใจกับมันอีกเช่นกัน เพราะหน้าที่เหล่านั้นมันก็คือการเป็นทาสรับใช้คนอื่นในสายตาที่เขาหาได้จริงใจต่อใครไม่นั่นเอง
จบมัธยมแล้วผมได้สิทธิพิเศษเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาจบออกมาด้วยคะแนนเฉลี่ยไม่มากนักสำหรับระบบการเรียนระดับนี้ซึ่งเข้มข้นด้วยการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง อย่างเจาะลึกในระดับวิเคราะห์วิจัย ต่างไปจากการเรียนแบบจดและจำของระดับมัธยม ในยุคนั้น
   เมื่อผมเรียนจบระดับอุดมศึกษาและนำใบทรานสคริปต์ไปสมัครงานตามบริษัทต่าง ๆ ไม่มีบริษัทไหนไม่ปฏิเสธ ผมเดาเอาเองว่าสาขาที่ผมเรียนเป็นสาขาที่เขาไม่ต้องการ และคะแนนเฉลี่ย 2.2 ของผมก็น่าจะเป็นคะแนนของคนที่ไม่น่าจะฉลาด รวมทั้งอะไรต่อไม่อะไรอีกนานาประการ ผมหางานในกรุงเทพฯ อยู่เดือนเศษ ๆ ก็กลับบ้าน อย่างรันทดท้อ 
 อยากฉีกทรานสคริปต์ที่เปื้อนประสบการณ์ต้อยต่ำนั้นทิ้งไปเพื่อให้ลืมความหดหู่อันโหดร้ายในความทรงจำ
ผมขมขื่นหัวใจอยู่หลายเดือนก็ได้งานขององค์กรอเมริกันองค์กรหนึ่ง เมื่อเข้าไปทำงานก็ได้เจอเพื่อนซึ่งจบจากสถาบันเดียวกันอยู่หลายคน ความรู้สึกแย่ ๆ จึงค่อยผ่อนคลายลงบ้าง แต่ในที่สุดงานดังกล่าวก็ยุติลงเนื่องจากปัญหาทางด้านการเงินภายในองค์กร
พรรคพวกของผมต่างหางานใหม่ไม่สังกัดรัฐบาล ส่วนผมกับเพื่อนบางคนซุกหัวเข้าใต้ปีกหน่วยงานของรัฐ ทำงานแบบไม่มีปากมีเสียง ขมขื่นหัวใจไม่แพ้คราวใด ๆ เมื่อพบว่าไม่มีใครในหน่วยงานปฏิเสธความเฉื่อยชา ฉ้อฉล และการอยู่ไปวัน ๆ 
ผมเริ่มคิดถึงทุ่งข้าวอีกครั้ง ผมนึกถึงที่สวน ผมนึกถึงวัวควายและยุ้งฉางที่หอมกรุ่นด้วยข้าวหอมจากหยาดเหงื่อของพ่อ 
แต่วันนี้ผมมาไกลเสียแล้ว คือในขณะที่พ่อมีผืนนาแนวระนาบหลายไร่ ส่วนผมมีนาแปลงเดียวแถมทำนาแนวตั้ง ปักดำกล้าที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะโตขึ้นมาอย่างไร เพราะคนทำนาผืนนี้จำนวนไม่น้อย ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของตนเองด้วยการโทรซื้อหวยหุ้นรอบเที่ยงรอบบ่ายมือเป็นระวิงหาเป็นอันสอนหนังสือหรือพัฒนาคุณภาพอนาคตของชาติไม่ ทั้งคนเดินโพยหวยหุ้นก็เข้าออกโรงเรียนราวกับมีงานเทศกาลบุญข้าวประดับดินอย่างไรอย่างนั้น
ในวันที่เหนื่อยล้ากับงาน
                   ..ผมนึกย้อนกลับไปถึงวันที่ยังยากจน..พ่อได้ปลาช่อนมาตัวหนึ่ง แม่ต้มปลาช่อนตัวนั้นใส่น้ำปลาร้าแล้วตักมาบิเอาเนื้อปลาโขลกกับพริก เติมน้ำต้มปลาร้าลงไปจนเต็มครก เติมเกล็ดใสของผงชูรสอีกเกือบครึ่งซองเพื่อทดแทนรสของเนื้อปลาที่เจือจางเต็มที เราทั้งบ้านกินข้าวเหนียวกับปลาป่นเจือจางนั้นมาเกือบทุกมื้อ นาน ๆ จึงจะมีลาบหมูลาบควายกินกันบ้าง 
      ผมคล้ายจะนึกออกแล้วว่าตัวตืดก้อนเท่ากำปั้นที่ตกลงไปในหลุมถ่ายทุกข์หนนั้นมาจากไหน และเหตุใดมันสมองของผมและคนในชนบทส่วนใหญ่จึงเทียบกับความฉลาดปราดเปรื่องมีชีวิตมะลังมะเลืองของผู้คนจำนวนน้อยในสังคมที่พากันฉลาดเหลือ และร่ำรวยแบบรั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่
วันนี้ ..ผมมองเห็นเด็กชายผิวกร้านผอมกะหร่องหลายคนนั่งเล่นอยู่ตามร่มไม้ ข้างอาคารเรียน พวกเขาเอามือบีบบี้ขากางเกง ในทันทีก่อนที่ตัวตืดจะตกและติดแหมะเข้าที่ขา ที่ข้อเท้าให้คนอื่นเห็น 
ณ                  นาทีนี้ที่ผมเป็นครูสอนพวกเขามองเห็นภาพเหล่านี้จากหน้าต่างบนอาคารเรียน ผมบอกได้ว่าคุณภาพชีวิตของผู้คนชนบทก็ยังแทบจะไม่ต่างไปจากเดิม เด็ก ๆ วัยรุ่นมัธยมจำนวนหนึ่งอาจจะมีมือถือพูดคุยไร้สาระอวดกัน แต่ผมรู้ 
พ่อแม่ของพวกเขาหาเงินใช้หนี้กองทุนหมู่บ้านแทบเลือดตากระเด็น
&				
comments powered by Disqus
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    11 เมษายน 2547 06:42 น. - comment id 72749

    สงกรานต์  ถ้าเดินทางไปไหน
    ขอให้เห็นใจเพื่อนร่วมทาง
    
    อภัยกัน
    เซฟทั้งเขาและเรานะครับ
    
    
  • กัลปพฤกษ์

    12 เมษายน 2547 09:26 น. - comment id 72812

    สะท้อนสภาพชีวิตชาวชนบทได้ดีมากครับ
    
  • tiki

    12 เมษายน 2547 09:42 น. - comment id 72816

    เขียนดีมากค่ะ
    คุณกอพอ คะ แต่อยากให้ช่วยลดขนาดหัวเรื่องลงเพราะมันกินหน้าบันทัดชื่อเรื่องไปถึงสามบันทัด ทำให้เรื่องคนอื่นหายไปเร็วเกินไปนะคะ ถ้าแก้ไขได้จะขอบคุณมากค่ะ
  • tiki

    12 เมษายน 2547 09:47 น. - comment id 72818

    ปอลอ พูดถึงพยาธิตัวตืดนี้ เราตัองจับเด็กๆกินยา
    ถ่ายพยาธิอย่างน้อยปีละครั้งนะคะ ที่ร้านหมอจะมีแบบ กินสามวันติดกัน จะฆ่าพยาธิใบไม้ในตับด้วยค่ะ
    
             เกลียดพยาธิเหมือนกันเลย
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    12 เมษายน 2547 15:50 น. - comment id 72851

    สวัสดีครับคุณกัลปพฤกษ์
    ขอโทษครับคุณtikiผมไม่ทราบจริงๆ
    
  • poet_p

    15 เมษายน 2547 22:51 น. - comment id 73085

    คุณเขียนได้ดีมากค่ะ บทความของคุณเป็นประโยชน์มาก อยากให้บทความของคุณเชื่อมช่องว่างระหว่างชนบทกับเมือง และทำให้คนเห็นเมืองไทยในอีกมุมมองหนึ่ง

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน