24 มกราคม 2552 08:26 น.

::บุญจอมปรารถนาสิ่งนั้น::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์


%E0%B9%84%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%


     บุญจอม เป็นน้องของผมเอง อายุของผมมากกว่าเขาเพียงสี่ปี  แต่เขาดูแก่กว่าผมหลายปี

     บุญจอมเรียนเก่งมาก     เขาเรียนได้ทุกวิชา     จดจำสิ่งต่าง ๆ ได้แม่นเสียยิ่งกว่าแม่น   ผมเคยลองภูมิเขาโดยเอาของซ่อนไว้ใต้ผืนผ้าขาวม้าเจ็ดแปดอย่าง เปิดให้ดูโดยไม่บอกว่าจะทาย  ชั่วแป๊บเดียวที่ผมเปิดแล้วปิดผ้าขาวม้า    เชื่อไหมครับเขาบอกชนิดและตำแหน่งของมันได้ถูกต้องและครบถ้วน

    ผมเรียนได้เพียงหนึ่งในสิบของบุญจอม  จดจำสิ่งต่างๆก็ได้ประมาณนั้น     บุญจอมกับผมจึงเหมือนคนต่างจำพวกโดยไม่มีใครจัดจำพวก      อย่างตอนที่บุญจอมอ่านตำราผมก็จะละไปพูดจากับต้นไม้  หรือตอนที่บุญจอมคิดเลขผมก็ผละไปหยอกกับปลาอะไรแบบนั้น  แม้บุญจอมจะไม่พูดว่าพี่ชายของเขาโง่  ผมก็พอจะรู้เป็นเลาๆว่าเขาคิดแบบนั้น    รอยหยักที่มุมปากของเขานั่นไง  สองข้างมันไม่เท่ากัน

    บุญจอมปรารถนาจะเป็นนักปรัชญาเขาจึงเลือกที่จะเดินทางสายนักบวชเพื่อจะมีโอกาสเรียนหนังสือโดยไม่ต้องอาศัยทุนจากคอกวัวของพ่อ  เขาบอกว่าคนอื่นเรียนต้องขายควายส่ง   แต่เขาไม่   เขาว่าเขามีเส้นทาง อาณาบริเวณของเขาเอง

     ด้วยเหตุดังนั้น   ผมกับบุญจอมจึงไม่ได้พูดคุยกันทุกเช้า เที่ยง เย็น    ตามมื้อของอาหารเหมือนเช่นเดิม    ก็มีอยู่บ้างที่ผมต้องไปส่งจังหัน หรือส่งเพล ในคราวที่แม่ติดภาระอื่น ๆ   แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เราได้พูดคุยกันเกินกว่าสี่ถึงห้าประโยคด้วยว่าที่นักปรัชญาสำรวมมากจนเกินไปนั่นเป็นข้อหนึ่ง     ส่วนข้อสองผมไม่ยินดีนักที่จะตอบคำถามที่ผมไม่เข้าใจความหมาย

     หลายเดือนทีเดียวกว่าผมจะพ้นหน้าที่ส่งจังหันและเพล    แม่ไม่ได้ปลดผมออกจากงานนั้นแต่เป็นเพราะนักพรตได้จาริกไปศึกษาต่อในแดนไกล        ก็ที่ที่คนแถวบ้านผมแย่งกันเข้าไปหางานหาอยู่หากินนั่นแหละ       อาจเป็นบุญของเขาที่เมื่อคราวผ้าป่าจากกรุงเทพฯมาทอดถวายที่วัดในหมู่บ้านบุญจอมได้รับคำเชื้อเชิญให้เดินทางแสวงหา ณ สำนักที่ผมก็จำชื่อไม่ได้

     ผมเกือบลืมไปแล้วว่ามีน้องที่เหมือนพี่อยู่หนึ่งคน  ถ้าเขาไม่กลับมาที่บ้านต่อยุ้งและเพิกคอกวัว   ใช่ครับบุญจอมกลับบ้าน   หัวของเขายังคงเกรียนครับและผ้านุ่งและห่มไม่ใช่แบบที่ผมเห็นคราวที่ไปส่งจังหัน   เขาสวมสูทแบบนายก  สีหน้าท่าทางการวางตัวเกือบจะเหมือนรัฐมนตรี   คำพูดคำจาก็ปานว่าผู้ช่วยศาสตราจารย์ในวันที่ได้รับคำสั่งแต่งตั้งใหม่   มีคนมากับเขาด้วยเป็นผู้หญิงสองคน   คนหนึ่งมีอายุมากแล้ว  อีกคนน่าจะผ่านวัยแรกรุ่นมาได้ไม่นานนัก      บุญจอมและผู้หญิงทั้งสองคนบอกกับแม่ถึงการเดินทางมาในครั้งนี้    แม่รับรู้และเข้าใจ      พ่อก็คงจะเข้าใจเช่นนั้นด้วย     ส่วนผมเก้กังและเคอะเขินที่จะจับความทำความเข้าใจให้ครบถ้วน อยู่ตรงนั้น   จึงผละหนีตามรูปแบบของคนตื้นเขินภูมิรู้      เมื่อบุญจอมกับคนที่มาด้วยจากไปผมจึงได้ถามพ่อจนได้คำตอบว่าบุญจอมสึกเพราะอะไร

     ผมไม่คาดคิดมาก่อนว่าบุญจอมจะสึกไวอย่างนั้น   ตามที่ผมวาด ผมคาดว่าเขาน่าจะอยู่ในพรรษาเนิ่นนานกว่านี้       หรือบางทีอาจจะไม่สึก      เพราะโอกาสที่จะเป็นปราชญ์เป็นจอมปราชญ์เมื่ออยู่ในวงของศาสนาน่าจะทำได้ไม่ยาก    แต่นี่เขากลับเลือกทางที่จะต้องใช้หัวสมองคิดแบบฆราวาสว่านาที่นี้ วันนี้ เดือนนี้  ปีนี้จะต้องทำกำไรเท่าไร   จะเลี่ยงภาษีได้เท่าใด  จะบริหารบางคนบางงานข้างหลังฉากได้หรือไม่  เหล่านี้มันล้วนแต่เรื่องต้องเปลืองหัวในส่วนที่ควรจะสร้างสรรค์ประโยชน์สำหรับโลกทั้งนั้น   แต่บุญจอมก็เลือกไปแล้ว    พ่อบอกว่าคนที่มากับบุญจอมคนหนึ่งคือว่าที่แม่ยายอีกคนก็คือว่าที่ภรรยาของคนอายุน้องแต่หน้าพี่ของผม  ผมเดาว่าในผ้าเหลืองบุญจอมอาจมีความปรารถนาอย่างอื่น ๆ ผุดขึ้นมาแทรกแซงปรารถนาที่จะเป็นจอมปราชญ์ก็ได้  และเมื่อสิ่งนั้นอยู่แค่เอือมมือไปหยิบฉวยเอาไว้ทำไมคนฉลาดอย่างเขาจะไม่ฉวย   แต่ผมก็เดาว่าบางทีว่าที่แม่ยายกับว่าที่ภรรยาอาจเร่งหยิบฉวยโอกาสบางอย่างไว้ก่อนที่บุญจอมจะทันได้คิดก็ได้

    หลังจากบุญจอมกลับกรุงเทพฯไปแล้ว  ไปรษณีย์จะมาส่งธนาณัติและข้าวของที่บ้านต่อยุ้งถี่ขึ้นมาก  ไม่นานพ่อกับแม่ก็ตัดสินใจขยายบ้านให้ใหญ่ขึ้น    ใต้ถุนลาดซีเมนต์ เพิงคอกวัวขยับห่างจากตัวบ้านออกไป  ห้องน้ำห้องท่าสะดวกสบายสำหรับแขกไปใครมาได้ด้วย    พ่อกับแม่ไม่ขัดเมื่อผมตัดสินใจที่จะไปปลูกกระต๊อบที่หัวไร่ปลายนา   และเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกพ่อแม่กับกระต๊อบของตัวเอง     เวลาผ่านไปอีกไม่ถึงครึ่งปี  พ่อกับแม่ก็บอกกับผมว่าจะปลูกเรือนหลังใหม่ เผื่อน้องชายกลับมาอยู่บ้าน  ผมก็ไม่ขัดข้องในความเจริญที่กำลังเกิดขึ้น  แต่ขอพ่อกับแม่ขยับไกลออกไปจากหัวนาเป็นป่าชายเขา   เมื่อพ่อแบ่งควายให้ผมก็ขอแบ่งขายเพื่อซื้อดินแปลงเล็ก ๆ  เพื่อใช้ชีวิตส่วนตัวตามลำพัง     แรก ๆ    ผมก็ไป  ๆ มา ๆ ระหว่างบ้านพ่อแม่กับกระท่อมของตัวเอง  นานเข้าผมก็นาน ๆ ถึงกลับมาบ้านพ่อแม่เหมือนกัน   เริ่มมีเวลาอ่านหนังสือที่บุญจอมทิ้งไว้เป็นมรดก  เริ่มรู้จักการกำหนดลมหายใจ  เริ่มทดลองสมาธิ และเริ่มมีใจต่อการเป็นนักปรัชญา    ผมเริ่มนึกถึงบุญจอมอีกครั้ง ถึงเมื่อครั้งที่เขามีทีท่าอยากเป็นนักปรัชญาหนโน้น

    เมื่อพ่อกับแม่สร้างบ้านหลังใหญ่หลังใหม่   พร้อมกับรื้อคอกควายออกไปยกสมับติชิ้นนี้ให้ผม   บุญจอมก็กลับมา    แต่คราวนี้เขากลับมาเดี่ยว   ธุรกิจที่เขารับจ้างดูแลไม่มีกำไรเพราะไม่มีคนซื้อสินค้า   ว่าที่ภรรยาและว่าที่แม่ยายก็เปลี่ยนไป  ผมมองดูเขาแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าหนุ่มใหญ่ผู้อายุน้อยกว่าพี่ชายกำลังอยากเป็นนักปรัชญาอีกครั้ง    คราวนี้ผมเป็นฝ่ายเริ่มที่จะพูดคุย     ในขณะที่เขาเหมือนอยากพูดน้อยลง

    "ไปอยู่สวนของพี่ไหม   ที่นั่นมีที่สงบสำหรับเดินจรง
กรมด้วย    เป็นส่วนตัวดีมาก"    บุญจอมไม่พูดแต่ผงกหัว     เมื่อเป็นดังนี้สวนป่าของผมในเวลาต่อมาจึงเป็นราวกับแหล่งอาศรมของฤษี 2  ตน    คนหนึ่งคือผมกับบุญจอม  ผู้ปรารถนาสิ่งนั้น

      อาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่ ว่ามันคือสิ่งเดียวกับสิ่งที่ผมปรารถนา

      บางช่วงนาทีที่ผมรำลึกว่าผมปรารถนาสิ่งใด    ผมภาวนาอย่างอัตโนมัติเงียบๆ ในใจว่า   อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา   ห้วงเวลานั้นผมได้ยินคล้ายบุญจอมรำพึงเบา ๆ ๆว่า  

      โถ่....ไม่น่าเลย				
13 มกราคม 2552 00:55 น.

::ภาพเคียงคำ::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์


%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%

..
ผมทดลองงานชิ้นใหม่ครับ ขอเชิญทัศนา..


%E0%B9%84%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%


1.  ไผ่บ้านปานแนวต้านลมหนาว

ที่หวีดวู้อยู่คราวเยือกมหันต์

ลมลอดไผ่สีกอเหมือนล้อกัน

หยอกตะวันสายเย็นเป็นเขตแนว


%E0%B9%84%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%


2.ซอไผ่สีกอแบบซอไผ่

เคยได้ยินหรือไม่ในเถื่อนแถว

ชนบทบ้านไพรบางใครแจว

ลับร่างแล้วก็แล้วไปไม่ย้อนเยือน


%E0%B9%84%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%


3.แคร่ไม้ใกล้เรือนเป็นเพื่อนไผ่

หมายเหมือนใครปลอบใครก็ไม่เหมือน

บางเศษเสี้ยวของนาทีคล้ายปีเดือน

เมื่อบางใจแกล้งเลือนลืมเพื่อนแล้ว


%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%


4.บางคราวเห็นเขาอยู่เคียงคู่

ให้หดหู่เมื่อพบพานเขาหวานแหวว

ทบความฝันทวนวันหนาวยามดาวแพรว

ก็หน่วงเหน็บยิ่งแล้วยิ่งอ่อนล้า


%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9F%E0%


5.กองหลัวกองฟืนรอก่อไฟ

เหมือนกับกองหัวใจให้คืนหา

ลมเล็ดไผ่ลอดกอยังล้อมา

ก็สะบั้นอีกคราซินะเรา


%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%

 
6.เรือนยิ่งหงอย เมื่อเจ้าของเรือนยังหงอย

ทางเทียวคอย บางคน อย่างหม่นเฉา

บางรอยลบ ในเวลาฟ้าพรากเงา

บางใจเศร้า เมื่อเวลาฟ้าพรากวัน


%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A79.JPG


7.วัววกคืนเคหาเวลาเย็น

อยู่รวมผองมองเห็นชวนหฤหรรษ์

แต่บางใจเหมือนจงใจไปจากกัน

อยู่แยกชั้น เมือง-ดง ปานจงใจ


======


สวัสดีครับมิตรทุกท่าน
ผมทดลองงานชิ้นใหม่ครับ
คือถ่ายภาพแล้วเขียนถ้อยคำประกอบ

ผมคิดว่าน่าจะได้งานแนวใหม่ ๆ บ้างในปีใหม่นี้				
1 มกราคม 2552 00:39 น.

::เซียนผู้ไม่นับถอยหลัง::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

เฮ   ฉายาของหนุ่มผมยาววัย 30 เศษ ผู้ที่ผมเคยท้าทายให้ขี่มอเตอร์ไซค์ถอยหลังเมื่อสิบกว่าปีก่อน   หน้าตาของเขาแม้จะไม่เหี่ยวโรยแต่ก็มองเห็นร่องรอยที่ผมเรียกว่ารอยบากของชีวิตได้ชัดเข้มขึ้นไม่ยากนัก   แผลนั้นแต้มหน้าเพราะเขาพลาดท่าขี่รถเครื่องแบบพิสดารแหกโค้งไปสัมผัสศิลแลงหลากเหลี่ยมริมทาง   รอยแผลอาจดูคล้ายลักยิ้มมากหากมันไม่ขีดไว้ที่ข้างขวาของแก้มเพียงข้างเดียว

   เฮ  เป็นนักบิดที่ไม่มีใครในหมู่บ้านที่ไม่แช่ง   รถเครื่องที่พ่อของเขาซื้อให้เขาแกะเครื่องประกอบออกจนดูโกร๋น   แถมทะลวงไส้ท่อไอเสียให้มันเกิดเสียงดังทะลวงหัวใจชาวบ้านยามเร่งบิดประชดยมบาล   รถเครื่องคันนั้นได้ขายเป็นเศษเหล็กไปนานแล้วแต่ตัวเขาก็ยังคงเหลือเป็นเศษชีวิตไว้สำหรับการด่าทอของใครอีกหลายคน

   
   เฮ  เคยมีบ้านเป็นของตัวเอง   เคยมีเมียเป็นตัวเป็นตน มีสมบัติทุกอย่างที่คนควรจะมี  แต่เขาละจากสิ่งเหล่านั้นมาเหมือนไม่ผูกมัด   อย่างเช่นบ้าน  เขาก็ปล่อยให้มันรกและไม่ปัดกวาด  เมีย เขาก็ปล่อยเธอให้อยู่ตามลำพังไม่รู้ว่าอยู่หรือกินอย่างไรแน่  ข้าวของในร้านค้าที่พ่อทำให้ เขาก็ปล่อยให้เมียขายจนสินค้าหมดร้านแต่ไม่ซื้อมาเติม   เขาชอบแต่จะถกปรัชญาข้างจอกเมรัยกับใครก็ตามที่เอ่ยถ้อยคำได้    แต่ขอโทษ   ถ้าคุณไม่รู้จักปรัชญาเมธีกระเดือ่งนามของโลกมีหลายคนแนะนำว่าอย่าได้สะเออะทุ่มเถียงกับเฮดีกว่าเพราะอาจจะโดนเขาหมิ่นแคลนด้วยนัยระหว่างพยางค์ของคำเอาก็ได้

    เมื่อทรัพย์ทั้งมวลที่คนอื่นเตรียมไว้ให้ไม่สามารถทนอยู่กับเฮได้   เขาก็กลายเป็นราวนักพรตพเนจรหากหาชอบรักษาความสะอาดแม้ของหนวดเคราไม่ คนหนุ่มแต่ทรุดโทรมราวเฒ่าชราสวมเสื้อผ้าอยู่ไม่กี่ชุดราวกับนี่คือวัตรอันสำคัญอย่างหนึ่งของผู้แสวงความหลุดพ้นไปจากวิถีแบบผู้ครองเรือน  กลิ่นตัวของเฮนั้น  เด็กบางคนอธิบายว่าแร้งตายก็มิปาน   ถ้าเช่นนั้นถ้ารวมกลิ่นเมรัยกลิ่นควันยาสูบที่เขาละเลียดต่อเนื่องทุกนาทีกับกลิ่นเสื้อผ้าที่ไม่ชอบสัมผัสผงซักหรือน้ำยาปรับผ้าชนิด ๆ ใดจะเป็นกลิ่นที่สัตว์ชนิดใดจะทนได้บ้าง ก็พอที่จะเดาได้ว่าทำไมผู้หญิงที่เขาเรียกว่าเมียจึงตัดสินใจจากไปแม้เขาลั่นวาจาว่าจะยกเรือนบนที่ดินเกือบสองงานให้ก็ตาม

    เฮ   รู้จักดมกาวมาตั้งแต่อายุยังน้อย  เพราะไปกับเพื่อนต่างวัย  รู้จักกัญชามาตั้งแต่ยังไม่จบ ป.6 ดี  เพราะเขาเป็นคนอาสาไปซื้อให้กับผู้ใหญ่ในกลุ่มด้วย  เหล้าและบุหรี่ดูจะเป็นของธรรมดาในกลุ่มของคนวัยเดียวกันที่คบกันอยู่   สิ่งเหล่านี้ไกลจากสายตาของพ่อแม่ของเฮ   ที่อาจจะสนใจแต่ทำมาหากินในแบบฉบับของตัวเอง  เวลาที่ทุกคนในบ้านรู้ว่าเฮติดกาวก็เป็นเวลาที่เฮชอบเอ่ยถ้อยปรัชญาที่คนธรรมดาฟังไม่ได้เสียแล้วนั่นแล

     ในวันที่ทุกคนกำลังนับถอยหลังเพื่อเริ่ม พ.ศ.ใหม่ คนในบ้านหลังใหญ่จัดงานเลี้ยงและเตรียมแลกของขวัญ  เขาเดินก้มหน้าหงอหงอยเข้าไปในบ้าน  ทุกคนมองเขาราวเป็นสัตว์ที่ไม่น่าไว้ใจ   ผมมองเห็นเขาแบมือขอเงินจากพ่อได้เงินยิ่สิบบาท   ผมมองเห็นแม่ของเขาหยิบของกินจากถาดอาหารบุ๊ฟเฟ่ใส่ถุงหูหิ้วเพื่อให้เขาแยกห่างออกไปกินห่าง  ๆ คนอื่น   คนในบ้านรังเกียจเขาเพราะเขาเคยทำลายข้าวของในบ้าน  เคยแอบหยิบเอาของกินและสิ่งอื่นโดยไม่ขอและอื่น ๆ อีกมากที่แม้แต่พี่สาวของเขาก็เรียกว่ามันเป็นนิสัยและกิริยาอันเหลือรับ    ทว่าวันนั้น  นาทีนั้น  เฮ  ไม่หยิบเอาสิ่งใดเลยนอกจากที่แม่ของเขาหยิบและห่อให้  ของกินพวกนั้นเขาเตรียมเอาไปกินต่อที่ทุ่งนาห่างไกลออกไปอีกไกล

      ผมรู้ว่าเฮมีเรื่องอยากพูดคุยกับผม  อาจไม่ใช่เพราะผมเป็นคนเขียนเรื่องราว  แต่น่าจะเป็นเพราะว่าผมมีท่าทีรับฟังสิ่งที่เขาพูดมากที่สุดโดยไม่วิพากษ์แม้ซักครั้งว่าเหลวไหลไร้สาระ  สิ่งที่ผมต้องการรู้คือ  เขาจดจำสิ่งที่ดีงามอันใดได้หรือไม่ในวัยที่เขาเป็นเด็กและอายุห่างจากผมไม่มากนักนั้น

      ใช่ครับ   เช้าพรุ่งนี้ผมจะไปเยี่ยมเขาที่กระท่อมกลางทุ่งโน้น				
27 ธันวาคม 2551 13:37 น.

::ฝนในหนาว::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

อากาศปลายเดือนธันวาคมหนาวเย็น จนควันไฟที่ลอยเรี่ยอยู่ทั่วไปตามหมู่บ้านชนบทเคล้ากันแทบเป็นสายเดียวกับหมอกฟ้าที่เรี่ยพื้น ผู้เฒ่าและเด็กน้อยต่างละจากที่นอนและผ้าห่มผืนบางมานั่งล้อมกองไฟที่สุมขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่ให้ความอบอุ่นได้ต่อเนื่องและค่อนข้างนาน

หลายวันก่อนลมหนาวพัดแรงจนแนวไผ่ไหวเอน ลมอย่างนั้นทำไผ่สีกอระรัวฟังคล้ายกับใครบางคนสะอึกแกมสะอื้นในบางคราวที่เหงาและหมองหม่นยิ่ง

 วานซืนอากาศก็ยังเป็นอย่างนั้นแต่วันนี้ท้องฟ้ากลับเปลี่ยนแปลงไป  เมฆดำแกมหมองแผ่เป็นแนวบาง ๆ คลุมไปทั่วท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว แล้วฝนก็พรำลงมาจนแม้แต่คนหนุ่มบางคนยังถึงกับสะบัดหนาว   

นั่นเองที่ทำให้กองไฟในที่โล่งหลายแห่งต้องเปลี่ยนตำแหน่งไปอยู่ใต้เพิงหมาแหงนใกล้คอกวัวแทน

     "อากาศมันเปลี่ยนไวอย่างนี้    ผู้เฒ่าผู้แก่ลำบากแย่เลย .. เอ้านี้ข้าวจี่สุกแล้ว" 
 
     "ขอบใจจ้ะ..เด็กก็เป็นหวัดเป็นไข้กันแยะมาก ใครไม่มีเสื้อหนาวยิ่งลำบาก"

     "หลายปีก่อนแถวบ้านเรามีคนเอาเสื้อหนาวมือสองราคาถูกๆมาขายหาซื้อที่ไหนก็ได้"

      "สองปีมานี้พวกพ่อค้าหันไปขายพวกของกินกันหมด..หนังเค็มคงจะสุกแล้วมั้ง"

      "อืม..กลิ่นหอมเชียว  เดี๋ยวฉันจะทุบหนังวัวเผานี้ให้เอง  กินกะแจ่วปลาร้าอร่อยอย่าบอกใครเลยล่ะ    เออมันเทศก็สุกแล้วด้วย  ว่าแต่ว่ามีใครอยากจิบวิสกี้ข้าวเหนียวกะหนังเค็มไหม  ฉันจะยกมาให้"

      "ยกมาเลย "

      วงสนทนาของคนวัยกลางคนสามคนดำเนินไปท่ามกลางกลิ่นควันไฟเคล้ากลิ่นหนังวัวเผา แจ่วปลาร้าและวิสกี้ข้าวเหนียว   ฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก

      "พี่ไปทำงานที่ไหนต่อหลังจากแยกทางกับหน่วยงานเก่า"

      "ก็ไปรับจ้างฝรั่งทำงานอยู่แถวใกล้เขื่อนน้ำงึมของลาว  พอเขาหมดงบจ้างก็ไปทำงานกับหน่วยงานวิจัยของมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ"

       "แล้วพี่สะใภ้ล่ะ"

       "เขาก็ยังทำงานอยู่ที่เก่า  ลูกชายตอนนี้ก็แต่งงานไปแล้วและไปอยู่บ้านเมีย เหลือลูกสาวอีกคนอยู่กับแม่ของเขา"

       "เราไม่ได้เจอกันสิบกว่าปีแล้วนี่เนาะ  ผมกับแฟนดีใจมากเลยที่พี่แวะมาเยี่ยม"

        "พี่ก็ดีใจ   พอดีหน่วยงานใหม่ของพี่เขามาเปิดงานแถวนี้ก็เลยคิดถึงพวกเอง นี่ได้น้องกี่คนแล้วล่ะ"

        "ยังไม่มีน้องเนิ้งซักคนเลยพี่"

        "เออ..ว่าไปแล้วมันก็ดีอีกแบบหนึ่ง   คือไม่ต้องพะวักหน้าพะวงหลังกับภาระแบบคนเป็นพ่อแม่"

        "แต่บางทีมันก็เหงา   เราคิดว่าถ้ามีลูกคงมีอะไรทำร่วมกันเยอะแยะ"

        "เอ็งสองคนใครเป็นหมันล่ะ"

        "คงเป็นหมันทั้งคู่ค่ะ"

        "งั้นก็อย่าไปซีเรียสเรื่องลูกเลย   มีอะไรให้ทำสนุกเยอะแยะไปอีกอย่างก็ไม่ต้องห่วงเรื่องลูกด้วย"

        "อ้าว..ทำไมล่ะคะ"

        "ก็เด็กทุกวันนี้   ถ้าเราเลี้ยงเขาด้วยเงินอย่างเดียวโดยไม่มีเวลาดูแลอบรมนิสัยใจคอก็จะเสียผู้เสียคนได้ง่ายดาย  อย่างที่พวกเราเห็นในข่าวทุกสื่ออยู่ทุกวัน"

        "อ๋อ..เข้าใจค่ะ   แถว ๆ ชนบทบ้านเราก็เป็นแบบในข่าวแล้วหลายราย  เรียนยังไม่จบท้องป่องกันซะแล้ว  เสร็จแล้วก็ไม่มีปัญญาเลี้ยงลูก  เดือดร้อนพ่อแม่ต้องรับกรรมจากความสนุกชั่วประเดี๋ยวประด๋าวของตัวเอง"

          "พี่เคยเก็บข้อมูลวิจัยว่าทำไมเด็กจึงท้องในวัยเรียนกันมาก"

          "ได้คำตอบว่ายังไงหรือครับ"

           "เด็กเขาบอกว่า  พ่อแม่ไม่มีเวลาอยู่ด้วย  ไปหาเงินต่างถิ่น  อยู่กับยาย  ยายก็ไม่มีเวลาติดตามสอดส่องดูแล   ครูก็ไม่มีเวลาอบรมนิสัยใจคอ   ทุกคนไม่มีเวลาสำหรับเด็ก  สื่อก็โฆษณาลงไปทำให้เด็กเห็นดีเห็นงามกับพฤติกรรมชวนให้ชิงสุกก่อนห่าม  เด็กเลยเอาอย่าง"

           "โอ..มันเหมือนทุกคนโดนตบหน้าฉาดใหญ่เลยนะคะเนี่ย"
  
           "พี่ก็คิดอย่างนั้น    แต่ดูเหมือนไม่มีใครกลับมาทบทวนตัวเองกันเลย  มีแต่วิ่งไปข้างหน้า  ตะกายฝันว่าจะร่ำรวย  โดยที่ไม่คิดว่า   วันนั้นคิอวันที่ได้สูญเสียคุณค่าของความสุขของครอบครัวไปแล้ว"


            "มีคนเคยถามผมว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร"


            "แล้วเอ็งตอบเขาว่าอย่างไร"


            "ผมไม่มีคำตอบสำหรับเขา   ผมมีแต่คำถาม     ผมถามว่าทำไมพ่อแม่ต้องเลี้ยงลูกด้วยเงิน    ทำไมพ่อแม่ต้องไปจากบ้าน   ทำไมครูอาจารย์จึงสอนแต่หนังสือแต่ไม่สอนชีวิต  สื่อสารมวลชนจึงคิดถึงแต่เงินไม่คิดถึงคุณภาพของสังคมไม่คิดถึงคุณธรรมจริยธรรมของสังคมและอีกหลายคำถาม"


             "แล้วเขาตอบเองไหม"

             "ไม่ครับ"


             "นั่นไง   ทุกคนก็เหมือนกันตรงที่เรียกร้องเอาคำตอบจากคนอื่น  เรียกร้องคาดหวังให้คนอื่นเป็นฝ่ายแก้  โดยที่ตัวเองก็ไม่ลงมือทำ   คำตอบมันง่ายนิดเดียว   เริ่มตรงไหนก่อนก็ได้ เพราะมันกระทบกันไปหมด"


              "งั้นอันแรก  หยุดเลี้ยงลูกด้วยเงินนั้นก็ได้"

              "ใช่..ก็ได้   ถ้าเราเลิกให้เงินมีคุณค่ากว่าความเป็นมนุษย์เราก็จะมองมันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป  เราจะมองคนรวยแต่ขี้โกงด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป  เราจะมองการเลี้ยงลูกด้วยเงินของเราเองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป  เราจะกลับมาสนใจคนในครอบครัวมากขึ้น  เลี้ยงดูเขา  เอาใจใส่ได้มากขึ้น"

              "สังคมเลวร้ายไม่ใช่เราไม่มีส่วนทำให้มันเลวร้าย"

              "ถูกต้อง...  เราแห่ไปตาม ๆ กัน   เห็นอ้ายหมอนั่นรวยก็อยากรวยอย่างมัน  นับถือมันทั้งที่มันฉ้อฉลเอาจากคนอื่น ๆ ดิ้นรนสายตัวแทบขาดเพื่อที่จะรวยจนลืมถามลูกว่า  จริง ๆ ลูกต้องการความรักความเอาใจใส่ดูแลหรือต้องการแค่เงิน"

               "อา...ผมเห็นแจ้งแล้วจริง ๆ หนอ    แต่ว่าสังคมของเราไปไกลมากเลยนะครับ"

                "ใช่..มันไปไกลมาก   จนไปเห็นทางตัน   ไม่กลับก็ไปต่อไม่ได้"


                "หนทางเดียวที่เหลืออยู่คือหันกลับมาทบทวน   สถานการณ์มันบีบทุกคนเอง"



               "ถูกต้อง...."				
25 มีนาคม 2551 13:46 น.

::รอยเท้าบนแผ่นหลัง::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

เมื่อวานเป็นวันที่ผมรู้สึกเมื่อยล้าที่สุดในชีวิต  ความล้านั้นคงเป็นผลมาจากการตรากตรำทำงานติดต่อกันมาหลายวัน  ผมอยากปิดเปลือกตาหลับให้สนิทเพื่อพักความนึกคิด ผมอยากนอนแผ่หลาเพื่อให้พื้นซีเมนต์ของบ้านดูดซับเอาความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดของผมไป    แต่ก็ทำได้ไม่นาน เพราะงานหลายอย่างยังมีมาให้สะสาง

000

จำได้ว่า ตอนผมเป็นเด็กพ่อนอนให้ผมขึ้นเหยียบและไต่ไปบนแผ่นหลังเสมอ  พ่อบอกว่าวิธีการแบบนี้จะช่วยให้เส้นเอ็นตามเนื้อตัวผ่อนคลายหายปวด ตอนนั้นผมไม่เข้าใจ ก็ทำหน้าที่ของลูกไปอย่างนั้น   แต่วันนี้ผมรู้แล้วว่าสิ่งนั้นมีความหมายมากมายกว่านั้น

พ่อกรำงานสารพัดตลอดวัน  เมื่อถึงเวลาเย็นพ่อจึงดูเหน็ดเหนื่อยมาก  พ่อนอนแผ่หลากับพื้นเรือนที่เป็นไม้ขัดจนเป็นมันวับ  ผมได้ทำหน้าที่ไต่ไปบนหลังพ่อ   ไต่จากแนวไหล่ไล่ลงมาจนถึงต้นขา  วนไปและวนมาจนพ่อบอกพอจึงหยุด  ผมเห็นพ่อหลับแล้วก็สงสาร

เมื่อวานลูกชายของผมได้ทำหน้าที่ในแบบที่ผมเคยทำต่อปู่ของเขา

การที่ผมให้ลูกไต่ไปบนแผ่นหลังเพื่อให้เขาได้รับรู้เสียงขยับของกระดูกและเอ็นสายตัวที่เขม็งเกร็งตลอดชั่วโมงของการทำงาน เสียงกระดูกและเอ็นที่เลื่อนขยับคงสัมผัสได้ที่ฝ่าเท้าของเขา  ผมได้ยินเขาพูดว่า   พ่อครับ เสียงกระดูกพ่อลั่นหลายที หลายที่นะครับ  ผมหัวเราะหึ ๆ และว่า  มันเป็นธรรมดาลูก  คนใช้แรงงานก็ต้องเป็นแบบนี้				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์