4 เมษายน 2550 17:06 น.

::กะหล่ำปลีเดือนเมษายน::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

::กะหล่ำปลีเดือนเมษายน::
              ก่อพงษ์  พงษพรชาญวิชช์
              4 เมษายน 2550
              เผยแพร่ครั้งแรกใน Praphansarn.com


           ผมได้แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจแบบไทมาจากชาวบ้านคนหนึ่งในงานกาชาดของจังหวัดสกลนคร  ความจริงได้แนวคิดอีกหลายเรื่องครับเกี่ยวกับการพึ่งตนเองของคนเล็ก ๆ ในสังคมคนกินคนสังคมใหญ่    ขอสารภาพครับว่าผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าชาวบ้านธรรมดาเขาจะคิดเรื่องเศรษฐกิจมหภาคได้เป็นระบบแบบนั้น    หลังจากที่ได้ฟังชาวบ้านพูดวันนั้นผมย้อนกลับมาคิดต่อ   แต่ก็คิดไม่ตก  ในเรื่องทางเลือกเศรษฐกิจของประเทศของเรา  แต่เอาเถอะครับ ถึงแม้จะยังนึกทางเลือกไม่ออก ผมก็บอกได้ว่า  ผมชอบวิถีไทครับ


            วิถีไท   ตรงกันข้ามกับวิถีทาสนะครับ  วิถีทาสนี่อธิบายได้ว่าเป็นรูปแบบของการคิด การสืบชีวิตแบบขึ้นอยู่กับคนอื่น คนอื่นมีอิทธิพลอยู่เหนือทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัย  กับทั้งไม่อยากออกไปจากวิถีนั้นด้วย


            ชาวบ้านคนนั้นเล่าว่า  ในหมู่บ้านของเขา  ทุกคนปลูกผักอย่างน้อย 44 รายการ  พืชผักทั้งหมดนี้จะครอบคลุมการกินอยู่ทั้งปีโดยไม่ต้องถามหาผักเร่งฮอร์โมนและรอนชีพแมลงจากแม่ฮ่องสอน    ผมถึงบางอ้อเลยนะครับ เพราะเคยไปแม่ฮ่องสอน ตลอดเส้นทางบนภูเขาผมได้กลิ่นยาฆ่าแมลงตลอดเส้นทาง  ได้เห็นพืชผักจากที่โน่นล่องลงใต้มายังตลาดสี่มุมเมืองแล้วแยกกระจายแปดทิศไปยังจังหวัด อำเภอ ตำบลและหมู่บ้านต่าง ๆ เกือบทั่วไทย กับทั้งผมได้เห็นด้วยว่าคนปลูกผักที่โน่นประสบกับโรคภัยไข้เจ็บอันชวนสนเท่ห์มากว่าในเมื่อรู้อย่างนั้นอย่างนั้นว่ายารอนชีพแมลงและฮอร์โมนเร่งขนาดผักคือสาเหตุของการเจ็บป่วย ทำไมพวกเขาจึงหยุดใช้มันไม่ได้


            แรงจูงใจที่จะปลูกผักกินหนนั้นเริ่มในเดือนพฤศจิกายน ช่วงปลายฤดูหนาวที่ควรจะเก็บผักหน้าหนาวกินได้แล้วผมกลับเพิ่งเริ่มเพาะกล้าพืชผัก   ดังนั้นช่วงที่ผักของผมจะโตพอที่เก็บกินได้  ฤดูหนาวก็ต้องวาย*ไปแล้วอย่างแน่นอน  ผมคิดได้แต่ไม่สนใจครับ  ลงมือเพาะปลูกทันที   เมล็ดผักทุกอย่างเท่าที่จะหาได้จากตลาด  บ้านข้างเคียง ญาติ ๆ คนอื่นๆ หรือแม้แต่ในห้างใหญ่ ๆ ข้ามชาติผมก็เตร็ดเตร่ดูว่ามีพืชผักอันใดที่จะเอาไปปลูกได้หรือไม่ด้วย  ผมได้พืชผักแค่ 10 รายการเท่านั้นเองครับ


            กะหล่ำปลีเป็นผักที่ผมชื่นชอบ  ชอบที่ขนาดของมันครับ  เมื่อเทียบกับผักอื่น ๆ ด้วยเวลาและปริมาณน้ำที่รดเท่ากัน  กะหล่ำปลีให้น้ำหนักมากที่สุด  ผมได้เมล็ดพันธุ์กะหล่ำมาจากเพื่อนคนหนึ่งที่ไปอยู่ภาคเหนือ เขาบอกว่าเป็นพันธุ์หนักที่คนทางเหนือปลูกขายทั่วประเทศนั่นแล  ไม่นานนักกล้ากะหล่ำก็โตพอที่จะย้ายแปลงปลูก  นับจำนวนกะหล่ำทั้งหมดที่ผมปลูกไปหนนั้น 220 ต้นครับ  เออนี่นะแรงฮึดของคนเรา  ความคิดปลูกกะหล่ำขายไม่ได้อยู่ในหัวสมองเลยนะครับ  ผมรู้ดีว่าสินค้าเกษตรไม่เคยทำให้เกษตรกรรุ่งเรืองได้  นายกคนก่อนที่เคยปลูกสับปะรดขาย ก็เลิกแล้วหันมาปลูกเสาโทรศัพท์ขายคลื่นมือถือแทนก่อนที่จะเอาไปแลกเงินดอลล่าร์จากประเทศพี่ลอดช่องเพื่อเดินทางท่องเที่ยวประเทศต่างๆในบั้นปลายชีวิต


            ผมไม่ชอบกลิ่นของกะหล่ำ มันเหมือนบางอย่างที่ช้ำ ๆ เกือบเน่า  ที่พอจะรับได้อย่างหนึ่งคือรสและความสดเมื่อเคี้ยวแนมไส้กรอกหรือลูกชิ้นปิ้ง   หลายวันก่อนแฟนของผมทำผัดเปรี้ยวหวานกะหล่ำให้กิน ทั้งบ้านติดใจเลยครับ แม่ครัวของเราโดนรบเร้าให้ผลิตซ้ำอาหารชนิดนี้อีกเนือง ๆ ทั้งมื้อเช้าและเย็น    ผมเองเคยทำหน้าที่กุ๊กผู้ช่วยอยู่หนหนึ่ง คราวนั้นผมให้ลูก ๆ มีส่วนร่วมคิดชื่ออาหารให้ ด้วยเชื่อว่าอาหารเมนูนั้นไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน ได้ชื่ออาหารแปลกใหม่ดังที่จะยกตัวอย่างต่อไปนี้   สี่สหายย่ำดาวอังคาร( ผักสี่อย่างเน้นกะหล่ำ ผัดพริกกับเนื้อหมู) และริ้วฝันในคืนฝน(กะหล่ำใบเขียวหั่นเป็นริ้วยาวผัดอย่างผัดผักบุ้งไฟแดง) เป็นต้น รสชาติ ..ฮ่า ๆ คงเหมือนโฆษณา  เคยไม่อร่อยอย่างไร ก็...ไม่อร่อยอย่างนั้น  ลูก ๆ กินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยอย่างยิ่ง  ก็แน่ล่ะครับ  เพราะผมบอกลูกว่าผักนั้น เป็นฝีมือการรดน้ำดูแลของลูก  กะหล่ำของคนอื่นอาจงดงามช่วงหนาวแต่ผักของเรางดงามหน้าแล้ง  มองออกไปนอกบ้านตอนนี้กะหล่ำเฉาซะยิ่งกว่าเฉากลางแดดเปรี้ยงเลยครับ


            ลูกคนเล็กถามว่า ทำไมผักของเราจึงไม่ค่อยมีแมลงกวนจนต้องพึ่งยาปลิดชีพแมลงแบบคนอื่น ลูกคนโตตอบแทนพ่อว่า เพราะพ่อปลูกผักแบบปนเป  ผักมีกลิ่นก็หลายชนิด  ดอกไม้กลิ่นแรงก็จัดแถวอยู่ในนั้นด้วย แมลงมันต้องงแน่ ๆ ว่า เอ๊ะ ผักพวกนี้มันจะกินได้ไหมนะ  มัวแต่งงก็เลยไม่ได้กิน  อดอาหารตายไปก่อน  เราพากันฮาครับ  เหตุผลนั้นน่าฟังครับ  ผมเคยไปชมนิทรรศการของบริษัทขายผักยักษ์ที่กรุงเทพฯ เขาทำแปลงผักรวมกับพืชดอกกลิ่นแรง  เขาโม้ว่าด้วยวิธีการเช่นนั้นเช่นนั้นแหละผักของเขาจึงเป็นผักปลอดจากสารพิษอย่างแท้จริง รู้ไหมครับ  มีคนสมัครขายผักให้เขาเป็นการใหญ่ ทั้งหมอ ครู ชาวนาด้วยก็มี


            เพื่อนผมที่ส่งเมล็ดกะหล่ำมาให้บอกว่า  เจ้านี่ถ้าโตเต็มที่ขนาดของมันพอ ๆ กับหม้อหุงข้าวขนาดกินกันได้ 4 คน   ผมนึกแล้วก็หันไปมองแปลงกะหล่ำกลางแดด  มันโตมาก..  เท่าหัวเข่าเห็นจะได้ ฮา!  ผมเด็ดใบแก่ไปโยนให้ปลาในบ่อปลาในทุ่งนาใกล้บ้าน  ปลากินพืชพวกตะเพียนยี่สก ตอด ดึง ลาก รุมเป็นการใหญ่  ปลาตัวเล็ก ๆ ที่ผมปล่อยลงน้ำเมื่อพฤษภาคมที่แล้วตอนนี้โตเท่าฝ่ามือแล้วนะครับ  พวกนั้นคงชื่นชมกะหล่ำเมษายน พอ ๆ กับนักปลูกผักมือใหม่อย่างผม


            หลายวันก่อนลูกชายคนเล็กพูดคุยทางไกลกับปู่ย่า เขาบอกว่าจะเอากะหล่ำฝีมือของเขาไปฝากตอนกลางเดือนเมษายน เสียงปู่ย่าหัวเราะนึกว่าเขาพูดเล่น  เมื่อแม่ของเด็กน้อยคุยโทรศัพท์บ้างว่าทำกับข้าวมื้อเย็นเป็นผัดเปรี้ยวหวานกะหล่ำจากแปลงผักของเด็กน้อย ปู่ย่าจึงยอมเชื่อว่ากะหล่ำเดือนเมษายนห่อเป็นหัวจริงๆ


            แดดกล้าเวลาเที่ยงอาจจะทำให้กะหล่ำปลีเดือนเมษายนเหี่ยวเฉาลงไปบ้าง แต่เมื่อเย็นย่ำตลอดไปจนถึงรุ่งวันใหม่กะหล่ำนั้นก็กลับมาสดชื่นและสดใสได้อีกครั้ง


            ในสังคมคนกินคนที่ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมใหญ่ครอบงำและแผดเผาการพึ่งตนเองของคนและสังคมเล็ก ๆ  ผมมองเห็นความหวังนั้นครับ   ความหวังที่จะอยู่อย่างเป็นไทได้จริง ๆ ของผู้คนผู้มีแรงฮึดบางอย่าง				
31 มีนาคม 2550 08:19 น.

::ยามสายัณห์::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

::ยามสายัณห์::
ก่อพงษ์  พงษพรชาญวิชช์
	
	ผมตื่นไม่ทันรุ่งวันอันอ่อนโยนและมีชีวิตชีวา   เพราะราตรีนั้นได้กรำงานอยู่จนดึกดื่น     งานของผมแม้ไม่หนักถึงขนาดเหงื่อตกก็เล่นเอาขึ้งเครียดได้เหมือนกันเพราะความบีบคั้นของเวลาที่คนอื่นขีดเส้นกำหนดให้  ในเมื่อไม่มีทางเลือกมากนักผมจึงเลือกเอาการลดเวลาพักยามค่ำคืนซึ่งพอจะเป็นไปได้

	ยามสายัณห์ที่ผมตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าออกเหลืองส้มเหมือนฉากในนิยายวิทยาศาสตร์ที่คู่พระคู่นางกำลังจะจากพราก  แลเป็นเงาดำและห่างออกไป  ราตรีนั้นว่าเงียบงัน  สายัณห์กลับเงียบและหงอยกว่า   ไม่เพียงแต่นกเท่านั้นที่คืนรัง  คนยังคืนเรือน   แหมมันเป็นฉากที่เศร้าสร้อยหาอะไรมาเทียบก็ไม่ปาน   ผมไม่น่าจะอ่อนไหวแบบกวีแบบนี้  แต่มันก็เป็นไปแล้ว  เพราะงานของผมคือตรวจต้นฉบับของนักกรองถ้อยคำก่อนที่จะส่งต่อไปยังบรรณาธิการใหญ่

	เข้าคอร์ของยามสายัณห์เลยดีกว่า..

	หลายคนอาจไม่เชื่อว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ชื่อว่า PETanag  เป็นแอพพลิเคชั่นที่ผมเป็นผู้ออกแบบโครงสร้างเพื่อใช้ตรวจถ้อยคำในงานวรรณกรรมทั้งเรื่องสั้น  กวีนิพนธ์  นิยาย และความเรียงไร้หมวดหมู่  เวลาส่วนหนึ่งที่ผมใช้ไปในยามค่ำคืน นอกจากตรวจต้นฉบับคือตรวจสอบความลงตัวของแอพพลิเคชั่นนี้  ว่าเข้ากันได้แน่หรือไม่กับระบบปฏิบัติการทั้งหมดที่อยู่ในสเปซเน็ตที่แมคโคซอฟท์ผูกขาดอยู่   เมื่อ PETanag  เป็นที่พอใจของผมในระดับ 2 ผมก็สั่งให้มันทำงานแทนในการตรวจคำและความคิดของผู้ประพันธ์  ทำไมจึงต้องให้ PETanagตรวจสอบที่มาของคำเหล่านั้น  ก็เพื่อให้งานบรรณาธิกรผู้ช่วยของผมเป็นที่ยอมรับของหัวหน้างานขององค์กรยักษ์ที่ทำตลาดสิ่งพิมพ์ทั่วโลกอย่าง NMTและเครือ

	PETanagของผมทำงานได้ดี  ทำให้ผมมีเวลามากขึ้นในการอ่านพระไตรปิฏก  งานในหน้าที่แม้ไม่เครียดก็คล้ายอย่างนั้น ผมจึงต้องหาทางผ่อนคลายด้วยวิธีที่ว่า  แว้บหนึ่งที่พักผ่อนหัวใจผมมีความคิดจะสร้างแอพลิเคชั่นใหม่  คราวนี้จะเป็นโปรแกรมแทรกธรรมเข้าไปในงานโฆษณาชนิดที่ผู้จ้างและเอเย็นซี่ไม่รู้ตัวว่างานของตนเจือด้วยสิ่งทรงคุณค่านั้น    โปรแกรมนี้ทำงานคล้ายไวรัสแต่ไม่ชั่วร้าย  เพียงฝังตัวกระตุกสำนึกด้านคุณธรรมของผู้ชมโฆษณาเท่านั้น อย่างไม่รู้ตัวด้วย  ผมเชื่อมั่นว่าก่อนยามสายัณห์วันใดวันหนึ่งผมจะคิดแอพพลิเคชั่นนี้ออก  แน่นอนที่สุด  ผมจะอัพโหลดขึ้นสเปซเน็ตให้ใช้ฟรีอยู่แล้ว  โดยไม่ตั้งใจ

	คุณเคยอ่านงานเขียนของก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ไหมครับ  นักเขียนคนนี้ผมให้ PETanagวิเคราะห์คำแล้วสองสามรอบผมว่าเขาเป็นนักคิดคำนะ  คือมีคำใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยกตัวอย่างก็ได้  ครับ เช่น  คำว่า จาวจาง  มีนักเขียนหลายคนแนะให้เขาใช้ ราวจาง  ซึ่งไม่ค่อยสื่อความหมายอย่างจาวจาง   จาวนี่ PETanag บอกผมว่าเป็นคำทางอีสานเหนือของไทย ส่วนจางก็เป็นคำกลางและไทยสากล เมื่อรวมกันกลายเป็นคำใหม่มีความหมายว่า เจ๊ากัน ซาลงไป ไร้คนเหลียวแล อะไรแบบนั้น  ผมเชื่อว่าคำของนักเขียนคนนี้จะเป็นคำที่ทำให้ราชบัณฑิตยสถานปวดหัว  เพราะต้องเติมคำลงในพจนานุกรมถี่ขึ้นเนื่องจากมีนักอ่านที่นิยมถ้อยคำของเขามากขึ้น และผมเชื่อว่าสำนักพจนานุกรมมติชนก็คงหยิบเอาคำเหล่านั้นไปลงในพจนานุกรมฉบับนอกราชบัณฑิตด้วย

	แหมแอพลิเคชั่นX ของผมมันกำลังรายงานนะครับว่ามีคนกำลังมีความสงสัยเรื่องใดเรื่อหนึ่งต่อไปนี้เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวบรรณาธิกรผู้ช่วยอย่างผม   ผมมีคนรักหรือเปล่าหรือครับ  เอาเวลาไหนไปเม็คลัฟท์กันหรือครับ   ไม่ต้องหน้าแดงครับ   ผมตัดความรักออกไปจากหัวใจตั้งแต่ 26 ปีที่แล้วไง   ดังนั้นความรักและความต้องการถูกเนื้อต้องตัวที่ผมเรียกว่าเม็คลัฟท์ ผมก็ตัดมันทิ้งไปด้วย  ทั้งหมดนั้นผมโทษอุบัติเหตุนะครับ  อุบัติเหตุทางหัวใจ  แหมนี่ผมก็ยืมคำของคุณก่อพงษ์มา ต้องขอขอบคุณในการอ้างอิงนี้อีกครั้งครับ   การตัดสินใจอย่างฉับพลันหนนั้นทำให้ผมหันหลังให้กับความรักชนิดที่ไม่หันหน้ากลับไปหา  ผมทำได้ครับ  เพราะมีสิ่งชดเชยที่แรงพอ   ก็พระไตรปิฏกที่ผมเคยเอ่ยถึงไงครับ  ผมอ่านจนทะลุ  ผมเคยพูดไปแล้วว่าหัวใจของผมผ่อนคลายจากความรักได้อย่างวิเศษ  อืม..ดูท่าคุณจะเข้าใจเรื่องของผมแล้วล่ะ  งั้นผมขอหยุดเล่าเรื่องนี้  และว่าต่อในเรื่องยามสายัณห์

	ยามสายัณห์โดยนัยมันหมายถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตคนถูกไหมครับ PETanag บอกว่า yes ผมนึกไปว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิตถ้าผมกลับไปพบผู้หญิงคนนั้นอีก   ผมจะมีความรู้สึกอย่างไร   บาดแผลของภูผาหัวใจของผมจะกระทบกระเทือนหรือไม่ถ้าเธอคนนั้นกลับมายิ้มให้ด้วยใบหน้าที่เราก็เหี่ยวย่นพอ ๆ กัน  กับกระซิบว่า  ฉันก็รักคุณ  คำที่ผมปรารถนาจะได้ยินจากเธอในห้วงวินาทีหนึ่งของ 26 ปีที่แล้ว แต่มันไม่เกิดขึ้น  ผมนึกแล้วก็หัวเราะครับเมื่อหันมาเห็นหน้าปกพระไตรปิฏก ดูเหมือนหน้าปกนั้นตอบคำถามของผมแล้ว

	ยามสายัณห์ในชีวิตของแต่ละคนก็อาจจะคล้าย ๆ มั้งครับ คือ นั่งหน้าเหี่ยวรำลึกความหลังอันเปลี่ยวเหงาเศร้าสร้อย หรือบางคนอาจมากกว่านั้นคือทรมานหัวใจที่มีเวลาใช้เงินที่โกงมาน้อยเกินไป  ส่วนยามสายัณห์ในชีวิตผมผมมีห่วงอยู่หน่อยเดียวคือจะคิดแอพพลิเคชั่นนั้นออกไหม   แต่ช่างเถิดครับถ้ามันจะไม่สำเร็จ เพราะแม้แต่เจ้าของทฤษฎีสัมพัทธภาพผู้ยิ่งใหญ่ก็คิดทฤษฎีสุดท้ายที่จะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างไม่ออก ได้เหมือนกัน   ผมก็จะปล่อยวาง คือปล่อยให้ใครก็ตามในช่วงอายุขัยใหม่เข้ามาคิดเรื่องนี้ต่อถ้าเขาปรารถนาอยากจะคิด  หรือเห็นว่าคุณธรรมเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ในการแยกสัตว์ออกจากมนุษย์

	นั่งใจลอยอะไรอยู่เล่า วิวรรธน์  ผมมีงานชิ้นใหม่ให้คุณทำ เอานี่ไปรีไรต์หน่อยซิ   เป็นงานของโกสต์ไร้เตอร์ที่ทำไปทำมาก็หลงว่าเป็นของใคร   เด้ทไลน์ที่ต้องส่งผมคือเวลาใกล้สายัณห์พรุ่งนี้นะ  โอ่เค๊

	ผมสะดุ้งจากภวังค์ราวใครกระตุกเส้นขนในรูหมูก(แสลงที่กำลังจะฮิต)  นั่นไงความฝันต่อเวลาสายัณห์ของตนเองคงจะไปไม่ถึงจริง ๆ  เพราะผมต้องดูแลบางอย่างก่อนเวลาสายัณห์ของคนอื่น

	งั้นขอตัวไปคุยกับ PETanag ก่อนนะครับ  แล้วเจอกันใหม่ครับผม				
30 มีนาคม 2550 10:51 น.

::ยกแผง::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

::ยกแผง::

ก่อพงษ์  พงษพรชาญวิชช์
เผยแพร่ครั้งแรกในpraphansarn.com

16 มี.ค.2550

               

 

               สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน  ผมมีรวมกวีนิพนธ์อยู่ 500 เล่มต้องการบริจาคให้ห้องสมุด มีท่านใดประสงค์จะรับไปมอบให้ห้องสมุดโรงเรียนเก่า หรือที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้านของท่านบ้างไหม ถ้าต้องการแจ้งที่อยู่ตามเบอร์อีเมล์ข้างล่างนี้  ..นั่นเป็นความคิดของผมที่ยังไม่ได้ลงมือเขียนในเว็บบอร์ดครับ

 

               

               ผมเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้ายของกำหนดการรับกวีนิพนธ์ประกวดประจำ ปีนี้  เมื่อได้พูดคุยกับผู้อ่านในร้านหนังสือที่ผมแวะเข้าไปเป็นประจำ

 

               คุณชอบอ่านบทกวีหรือคะ เธอเป็นฝ่ายเริ่มเมื่อเห็นผมเลือกหยิบหนังสือรวมบทกวีทุกเล่มที ่อยู่บนแผงมาหอบไว้

               ชอบมากครับและอ่านมานาน ผมมองตาคนถามแล้วชำเลืองดูหนังสือในอ้อมกอดของตัวเอง

               ถ้าคุณชอบกวีนิพนธ์ ฉันเดากว่าคุณเป็นหรืออยากเป็นกวี เธอว่าและส่งยิ้มให้  ผมดูออกว่าดวงตาคู่นั้นปราศจากแววเย้ยหยัน

               อาจจะเป็นได้ครับ  ที่ผมอยากเป็นมากคือนักเขียนเธอยื่นนิ้วมาไล่นับหนังสือในมือที่ผมเลือกไว้

               โอ้โฮ ปีนี้มีกวีนิพนธ์พิมพ์ออกมามากขนาดนี้หรือคะ เดี๋ยวฉันช่วยถือค่ะ

               เท่าที่ผมเห็นและหยิบมานี่ก็สิบเล่ม ขอบคุณมากครับที่ช่วย  คุณได้หนังสืออะไรหรือยังครับ ผมแบ่งหนังสือให้เธอช่วยหอบครึ่งหนึ่ง

               ไม่เป็นไรค่ะ เอ่อ ยังตัดสินใจไม่ถูกค่ะว่าจะเลือกอ่านเล่มไหนมีหนังสือแยะไปหมด คุณคงได้รับส่วนลดหลายตังค์นะคะเนี่ย คุณจะจ่ายตังค์แล้วใช่ไหม

               ครับผม ทุกเล่มได้ลดสิบเปอร์เซ็นต์ครับเพราะมีบัตรสมาชิกของร้าน  ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยหอบ  ผมเจอคุณบ่อยที่ร้านหนังสือนี้จนคุ้นเคยเหมือนเพื่อนบางคนของผม

               ไม่เป็นไรค่ะ  ฉันมีความรู้สึกดี ๆ เวลาเห็นใครยืนอ่านหนังสือในร้านหรือชอบหนังสือหนังหา   อ้าวหนังสือเล่มนี้เป็นของคุณหรือเปล่าคะ รูปที่ปกหลังเหมือนคุณมาก   เธอพลิกดูหนังสือเล่มสุดท้ายที่ผมซื้อ ก่อนที่จะยื่นให้คนขาย ณ เคาท์เตอร์

               รอห่อปกนิดนึงนะครับ เสียงคนขาย

 

               อย่าเอ็ดไปครับ หนังสือนี้เป็นของผมเอง  วางแผงมาสี่เดือนแล้วยังอยู่เหมือนเดิม

               หญิงสาวทำหน้าแหย  ๆ  คงพอ ๆ กับผม  

               หนังสือรวมบทกวีขายไม่ออกดอกค่ะ สู้หนังสือดาราไม่ได้  แต่ก็แปลกนะที่มีคนพิมพ์ออกมาขายแต่ขายไม่ได้เรื่อย ๆ 

               แล้วคุณว่าแปลกไหมครับ ถ้าจะมีคนพิมพ์ออกมาเรื่อย ๆ แต่ไม่ขาย  

         บริจาคหรือคะ

               บิงโก้ ครับ  ผมคิดจะทำอย่างนั้น

         

               หนังสือได้แล้วครับ ทั้งหมด 980 บาทลด 10 % เหลือ 882 บาทครับ  รับมา 1,000 ทอน 118   ขอบคุณมากครับ  โอกาสหน้าเชิญใหม่ครับ  เสียงคนขาย

 

               น่าสนใจ  คุณมีเบอร์โทรไหมคะ เผื่อคุณทำอย่างนั้นจริง ๆ ฉันจะขอรับบริจาคไปให้ห้องสมุดที่โรงเรียนของฉันบ้าง อย่าล้มเลิกความตั้งใจนะ

               ฮ่า  ๆ ขอบคุณมากครับที่ช่วยหอบหนังสือและช่วยจุดประกาย เบอร์ของผม  081 8720935 ครับ ส่วนมากผมปิดเครื่องทั้งวัน   ลืมถามชื่อคุณ  ผมก่อพงษ์ครับ

               ฮ่า  คุณพูดตลกจัง   ฉันเนื่องนุชนะคะ  เบอร์โทร์ 089 8632595  หวังว่าคงได้พบกันอีก โชคดีค่ะ

 

               หลังจากแยกกับเพื่อนใหม่ เนื่องนุช    ผมตัดสินใจที่จะนำหนังสือที่สายส่งตีคืนมอบต่อไปยังห้องสมุดทั่ วประเทศ ที่ละเล่มสองเล่ม  

 

              แน่นอนที่สุด  ด้วยวิธีนี้น่าจะทำให้มีคนอ่านหนังสือของผมปีละหลายแสนคน   คิดแล้วปลื้มชะมัด				
3 กุมภาพันธ์ 2550 02:27 น.

::เรียงรุ้ง::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

::เรียงรุ้ง::
	ก่อพงษ์   พงษพรชาญวิชช์
	3 กุมภาพันธ์  2550
	0:47 น.

	ชื่อของเธอคือ เรียงรุ้ง นะครับ ไม่ใช่เรียวรุ้ง ได้ยินชื่อครั้งแรกผมต้องถามซ้ำอีกครั้งว่าผมได้ยินไม่ผิด ใช่ไหมว่าคือเอารุ้งมาเรียงกัน ไม่ใช่รุ้งผอม ๆ หรือรุ้งที่โค้งผิดรูป   เธอหัวเราะน่ารักสดใสแบบเด็ก ๆ  และตอบว่าชื่อของเธอมีความหมายอย่างแรกนั้นจริง ๆ เธอว่าต่อว่า คนที่ตั้งชื่อให้คือเพื่อนนักเขียนของพ่อ   และเธอก็ชอบชื่อนี้มากกว่าชื่ออื่น ๆ  อืม..เธอมีชื่อตั้งหลายชื่อ  

	รุ้งขอลายเซ็นของคุณหน่อยดิคะ  รู้ไหมรุ้งอ่านงานของคุณมานานเป็นปีในเว็ปไซต์ดอตคอม  ไม่คิดว่าคุณจะพิมพ์เป็นเล่มเอง   

สาวน้อยยื่นหนังสือรวมร้อยกรองปรากฏการณ์กวีให้ผมพร้อมกับปากกาแบบเติมหมึกรุ่นเก่า   
	
	เขียนว่า สำหรับเรียงรุ้ง เด็กน่ารักได้ไหมคะ  เธอว่าและส่งตายตาอ้อนแบบเด็กน้อย

	แหม..ผมคงทั้งเขินทั้งเขียนนะครับเนี่ย ไม่คิดว่าจะได้เจอเพื่อนในเวปไซต์  คุณรุ้งแวะมาที่ร้านหนังสือนี่บ่อยไหมครับ  
ผมทั้งเขียนทั้งถามสองอย่างถ่วงและหน่วงกันคำที่เขียน และลายเซ็นเป็นอย่างที่เรียงรุ้งต้องการ  ทุกประการสาวน้อยยิ้มแก้มปริและค้อมหัวขอบคุณเมื่อ รับหนังสือและปากกากลับคืนไป

	ผมได้ทราบจากเจ้าของร้านหนังสือว่าเธอ เป็นคนบอกกับเรียงรุ้งเองว่าผมจะแวะเอาหนังสือมา ส่งเพิ่มให้กับทางร้าน ถ้าเรียงรุ้งอยู่รอก็จะได้พบกับนักเขียนที่ได้รับรางวัลรวมกวีนิพนธ์ของปีนี้แบบตัวจริงเสียงจริง

	ผมกับสาวน้อยแยกจากกันที่ร้านหนังสือ แห่งนั้นด้วยความเอมใจกันทั้งคู่  ความสุขของคนเขียนหนังสือนอกจากช่วงที่เขียนที่ราว อิ่มทิพย์แล้วอีกช่วงหนึ่งคือช่วงได้พบกับมิตรที่ติดตามผลงานของกันและกัน สาวน้อยคนนี้ทำให้ผมปีติยิ่งกว่ารางวัลที่ผมได้รับ  

	ผมได้สมุดบันทึกร้อยกรองและคำถาม คำตอบในกระทู้ใต้ร้อยกรองที่ผมและคนอื่นๆเขียนโต้ ตอบกันในเวปไซต์ที่เรียงรุ้งพูดถึง  เธอทำเป็นรูปเล่มสวยงามด้วยลายมือและการตกแต่งด้วย เทคนิคคอลลาจด์  ที่รองปกเธอเขียนด้วยปากกาหมึกซึมว่า มอบแด่นักเขียนที่เธอชื่นชอบจาก   เรียงรุ้ง ,  สายฝน ,  หยาดฟ้า และอื่น ๆ   

	เรียงรุ้งก็คงเหมือนผม       ที่แรก ๆ ริอ่านวรรณกรรม ผมก็มีนักเขียนในใจอยู่จำนวนหนึ่ง  ถ้าเห็นผลงานของนักเขียนท่านนั้นบนแผงหรือชั้นหนัง สือในร้านเมื่อไหร่ผมไม่รีรอเลยที่จะหยิบอ่านและซื้อเก็บสะสมในที่สุด  นักเขียนกับคนอ่านน่าจะมีธาตุอย่างใดอย่างหนึ่งเหมือน กัน ผมบอกไม่ถูก  แต่พอจะพูดได้ว่า ไม่รู้หน้า หากรู้ใจ    

	ผมตะเวนส่งหนังสือให้กับร้านที่ผมไปติด ต่อเสนอขายไว้หนแรก ยอดสั่งหนังสือเพิ่มขึ้นมากเมื่อหนังสือได้รับรางวัล   ก่อนหน้านั้นหนังสือของผมไม่มีใครสนใจ ต้นฉบับเดียวกันนี้ไปค้างอยู่ในสำนักพิมพ์ดัง ๆ นานเป็นปีสองปีโดยไม่มีการส่งข่าวตอบกลับ   ผมตัดสินใจพิมพ์และขายเอง รวมทั้งแจกไปตามห้องสมุดของโรงเรียนต่าง ๆ พร้อมกับขอความ อนุเคราะห์ประชาสัมพันธ์ กับทั้งถวายพระถวายวัดเพื่อให้ท่านบริจาคต่อไปก็มี  ผมไม่ได้คิดจะมาทำหน้าที่คนพิมพ์หนังสือและสายส่งมา ก่อนนะครับ  แม้ว่าจะเคยทำงานโรงพิมพ์มาบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ  ผมเพียงอยากเป็นนักเขียน  แต่เมื่อพึ่งคนอื่นไม่ได้ผมก็ต้องพึ่งตัวเอง

	เรียงรุ้งถามถึงผมเรื่องนี้ในหนหลัง ๆ ที่เราได้เจอกัน  จะว่าเจอกันแบบบังเอิญก็คงทั้งผิดและถูกเพราะเราทั้งคู่ ต่างไปที่ร้านหนังสือ สาวน้อยขอบันทึกเสียงแบบสัมภาษณ์ผมด้วยเครื่องเอ็มพีทรีจิ๋วของเธอ   และไม่นานต่อมาเธอก็ส่งนิตยสารวัยรุ่นที่ลงตีพิมพ์เรื่อง ราวที่เราคุยกันมาให้อ่าน  ผมอมยิ้มในความเขลาของตนเองที่คิดว่าเธอเป็นเพียงสาวน้อยวัยรุ่นตามสมัยทั่วไป  ที่ไหนได้เธอเป็น บ.ก.สำนักพิมพ์หนังสือวัยรุ่นที่ผมก็เคยหยิบอ่านแต่ไม่ได้สนใจมาก่อนหน้านี้นั่นเอง

		ชื่อวิวรรธน์  ชำนาญวิชช์ เป็นชื่อที่น่าใช้ที่สุดแล้วนะคะสำหรับงานเรื่องสั้น  ส่วนกวีนิพนธ์รุ้งอยากให้คุณใช้ชื่อเดิม  แล้ว..ที่เราเคยคุยกันไว้คุณตกลงไหมคะ

		ผมยังตัดสินใจไม่ได้ครับว่าจะทำตามข้อ เสนอของเรียงรุ้งหรือไม่ เพราะผมชักจะนึกสนุกเสียแล้วกับการทำธุรกิจหนังสือ ที่ทำเงินอย่างคาดไม่ถึง สำหรับผม ทุกสิ่งทุกอย่างมันพุ่งเข้ามาง่ายดายทั้งโอกาสและ เงินทองจากการเริ่มต้นและลงแรงอันหนักหนาคราวนั้น  

	รุ้งคาดหวังที่จะได้อ่านงานดี ๆของคุณอีกตลอดไป

	นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ทำให้ผมตัดสินใจขายสำนักพิมพ์และต้นฉบับทั้งหมดให้สาวน้อยไป   

	หรือว่าฟ้ากำหนดไว้แล้วให้ผมเป็นนักเขียนไม่ใช่นักธุรกิจหนังสือ

	เราหัวเราะกันคิกคักในคำที่โต้ตอบกันในวันที่ผมเซ็นสัญญาขายสำนักพิมพ์และรับเช็คจากเธอ ผมไม่ได้ดูตัวเลขในเช็คแต่ผมดูตัวตนของผมในแววตา จริง ใจของสาวน้อยคนนั้น

	ขอบคุณมากครับเรียงรุ้ง  ที่เขี่ยละอองฝุ่นออกไปจากม่านใจของใครบางคน				
30 มกราคม 2550 00:04 น.

::ชีหลงและความหลัง::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

::ชีหลงและความหลัง::
	ก่อพงษ์  พงษพรชาญวิชช์
	29 มกราคม 2550

	ผมเริ่มงานในองค์กรเอกชนพัฒนาชนบทในปีที่ 2 หลังเรียนจบระดับอุดมศึกษา  ก่อนหน้านั้นทำงานมา
สารพัด อาทิเป็นเซลล์แมนกิ๊กก๊อกในบริษัทค้าสินค้าอุปโภคบริ โภคขนาดยักษ์  เป็นเด็กเรียงพิมพ์ต๊อกต๋อยใน
โรงพิมพ์ขนาดใหญ่  เป็นครูรับจ้างสอนในโรงเรียนเอกชนมีชื่อและอื่น ๆ อีกมาก  เป้าหมายช่วงนั้นไม่ใช่เงินแต่เป็นประสบการณ์ที่จะเก็บ ไว้ใช้ในฐานะนักประพันธ์-แหม  พูดแล้วรู้สึกเท่ห์ขึ้นมาทันที !

	ช่วงที่ทำงานใหม่ ๆ ผมเขียนเรื่องได้หลายเล่มสมุดบันทึกขนาดพ๊อกเก็ตบุ๊ค เมื่อย้ายงานก็ขนไปไหนต่อไหนด้วยและไม่เคยมีเล่มไหนตก เรี่ยหรือหล่นเสียอย่างความทรงจำบางอย่างที่เจ้าของ จงใจลืม  

	ก็จะทำหล่นไปได้อย่างไรในเมื่อแต่ละเล่มคือบันทึกที่แม้แต่งเติมบ้างก็ไม่ห่างไปจากเค้าและโครงของชีวิตและความคิดฝันจริง ๆ ของเจ้าของเส้นปากกา  และเหนือกว่านั้นทั้งหมดก็คือ  คนพิเศษบางคนได้อ่านมัน ทั้งยังเขียนข้อสังเกตบางอย่างไว้ให้ด้วย

	ทำไมหนอผมจึงเวียนกลับไปคิดถึงชีหลงและ ความหลังบ่อยครั้งเหลือเกินในช่วงหลัง ๆ มานี้

	น้ำชีส่วนที่สำนักงานของเราตั้งอยู่นี้ได้ชื่อชีหลงตามสภาพภูมิทัศน์ของถิ่นที่ทางน้ำปัจจุบันได้เปลี่ยน เส้นทางไปแล้ว   เมื่อคราวเดินทางมาที่นี่หนแรกผมเตลิดหลงไปเสียไกล เพราะเชื่อมั่นว่าตัวเองดูแผนที่ไม่ผิด   พื้นที่ทำงาน- คอนเซ็ปขององค์กรและแผนที่ที่ตั้งสำนักงานผมได้มา จากประกาศรับสมัครงานที่พรรคพวกส่งไปให้ตอนทำ งานอยู่ในกรุงเทพฯ  ผมได้งานใหม่พร้อมกับเพื่อนใหม่ที่เริ่มงานพร้อม ๆ กันที่นี่ 5 คน  ถ้ารวมกับพี่ ๆ ที่ทำงานอยู่ก่อนสำนักงานของเราก็มีผู้ประสานงานสนามถึง 10 คน  

	ภารกิจแรกของคนใหม่คือต้องเข้าไปฝังตัวศึกษาชุมชนอย่างน้อย 2 เดือนก่อนที่จะออกมาสรุปผลการค้นพบแลกเปลี่ยนและถกประเด็นสำหรับการทำงานในขั้นต่อไป   แต่ละคนมีอิสระที่จะเลือกหมู่บ้านในพื้นที่เองรวมทั้งมี สิทธิ์โดยเสรีที่จะทำงานได้ทั้งแบบเดี่ยวและคู่ และแม้จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้แต่ละคนก็ต้องมีประ เด็นสนใจที่ไม่ซ้ำ    เมื่อรุ่นพี่ถามความสมัครใจในการเข้าพื้นที่ เนื่องนุช เพื่อนใหม่จากภาคตะวันตกและนั่งรถโดยสารจากกรุง เทพฯมาพร้อมกันกับผมก็ตอบอย่างไม่ลังเลว่าจะขอไป กับเชิงยุทธ ซึ่งก็คือผมเอง รุ่นพี่และพรรคพวกไม่มีใครขัดข้องในความประสงค์นั้น

		เนื่องนุชเรียนจบจากมหาวิทยาลัยมีชื่อในกรุง เทพฯเธอเป็นทั้งนักอ่านและนักวิจารณ์ที่ผมชื่นชมในภูมิรู้ ผมเชื่อว่าเธอเหนือกว่าผมในทุกทางไม่ว่าจะเป็นความคล่องในเชิงคิดและทักษะการจัดการ สิ่งที่ผมอาจจะมีมากกว่าบ้างคงเป็นกำลังของกล้ามเนื้อที่ เคยกรำงานในไร่นามาช่วงหนึ่งของชีวิตกับสีผิวที่เข้ม คล้ำทนแดดทนฝนและทนต่อการรอคอยทุกชนิด

	บางหนการเดินทางเข้าไปในพื้นที่ท้องไร่ท้องนาไม่สะดวกที่จะไปด้วยรถ เครื่องคนละคัน เนื่องนุชก็กลายเป็นผู้โดยสารของผม หลายครั้งเราต้องมอมแมมและเปียกปอนมะลอกมะแลก เพราะรถไถลลื่นลงหล่มโคลน  หรือกว่าจะออกจากตรงนั้นไปได้บางเหงื่อของเราก็เปียกชื้นเสมอกับน้ำดินน้ำโคลนที่พยายามจะล้างออกพอให้ไม่เป็นอุปสรรคกับงานมากเกินไป

	เนื่องนุชได้ข้อสรุปวิถีชีวิตของชาวบ้านบางส่วนว่าทำไมพวกเขาจึงดูเหมือนยากจนหากแต่มีความสุข อย่างยากที่คนมีเงินเป็นพันๆล้านจะหาได้  ประเด็นสนใจของเธอคือสมดุลของการพัฒนาเศรษฐกิจ กับการพัฒนาความสุขของชีวิตมีหรือไม่ และอยู่ตรงไหน  ส่วนผมยังไม่ได้ขอสรุปจากการศึกษาชุมชน ยังไม่ได้ประเด็นสนใจที่จะใช้ถกกับพรรคพวกและพี่  ผมได้ข้อสรุปอื่น  ข้อสรุปที่ว่า  ผมรู้สึกชอบเนื่องนุช และบางทีอาจเป็นข้อสรุปเดียวของผม

	เมื่อกลับจากหมู่บ้านผมลงมือเขียนเรื่องยาวของ ผมทันที เนื่องนุชเป็นคนอ่านคนแรกที่วิจารณ์ว่าผมไม่มีสไตล์ของตัวเอง  บางครั้งใช้สำนวนเข้มอย่างคมทวน   บางคราวตรงไปตรงมาแต่ซ่อนนัยลึกอย่างกรัสนัย ที่พอจะเป็นแนวของตัวเองจริง ๆ ยังไม่เห็น  

	ความเป็นไปที่เกิดกับผมและเนื่องนุชอยู่ในสาย ตาของเพื่อนและพี่ ๆ หลายคนในสำนักงาน  เมื่อผมพูดถึงภารกิจของตนเองได้อย่างกระท่อนกระแท่น ในขณะที่คนอื่น ๆ ให้ภาพอย่างเจนจัดชัดเจน  หลายครั้งต่อหลายครั้งเขา  ผมก็ค่อย ๆ รู้สึกว่าตัวเองคงจะกลายเป็นมนุษย์แปลกแยกในไม่ช้า   เมื่อความอดทนของคนอื่นมาถึงก่อนพวกเขาก็ตั้งคำถาม ต่อผม ว่าจริง ๆ แล้วสนใจงานพัฒนาชนบทหรือสนใจอย่างอื่น  ผมนึกไว้แล้วครับว่าเพื่อนต้องถาม  และคำตอบของผมก็คือผมอยากเป็นคนขับรถเครื่อง ให้เนื่องนุชเท่านั้น  รุ่นพี่บางคนแอบส่ายหน้าต่อกิริยาและถ้อยคำเขลาของผม เนื่องนุชไม่พูดอะไร แต่ผมรู้ว่าแววตาที่มองมายังผมนั้นไม่ได้รังเกียจหรือชิง ชัง   ผมจากเนื่องนุชและเพื่อนมาในวันที่ 1 ของเดือนที่ 3 ของการทำงานในองค์กรเอกชนพัฒนาชนบท เพื่อใช้ชีวิตระเหเร่ร่อนไปในความฟุ้งซ่านของความฝัน

	เมื่อวานผมกลับไปที่ชีหลงอีกครั้ง   เพื่อนของผมไม่ได้อยู่ที่นั่นกันแล้ว  ทุกคนเจริญเติบโตไปบนเส้นทางของตัวเอง แต่ไม่มีใครซักคนที่ทอดทิ้งความรักที่มีต่อประชาชนที่ เป็นฝ่ายเสียเปรียบในสังคม    

	รุ่นพี่บางคนที่อยู่ที่นั่นบอกว่าไม่ได้ทราบข่าว คราวของเนื่องนุชนานแล้ว  หลังจากที่องค์กรได้สลายตัวและเธอเดินทางกลับภาคตะวันตก

	ชีหลงและความหลังของผมไม่เคยไม่เกี่ยวพันกัน วันนี้ถ้าเนื่องนุชยังเป็นนักอ่านอยู่  เธอคงรู้แล้วว่า รวมเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลในปีนี้   ผมเขียนคำอุทิศให้เธอ   เนื่องนุช   อำพันพัชร  เพื่อนที่ให้ทั้งแรงใจและเติมไฟฝัน				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์