3 มีนาคม 2551 07:06 น.

:::โซลไว้ท์เท็นนิ่ง::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์


     ในยุคของเราสินค้าที่ดังแบบชาเขียวมีอยู่หลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือสินค้าประเภทไว้ท์เท็นนิ่ง  ผมถามน้องชายของผมที่เพิ่งมีแฟนว่ามีอะไรบ้าง แกก็ตอบว่ามีหมดแหละพี่ทั้งสบู่ ครีม โลชั่น ลูกกลิ้ง ลิปสติก  โฟม  เจล      ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคงมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติไม่มากก็น้อยในยุคที่หิมะกำลังจะตกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


      "สินค้าพวกนี้ขายดีไหม"   ผมถาม

      "คนขายรวยเละเลยพี่   ใครๆก็อยากขาว  แม้แต่อ้ายหนุ่มก็ยังเอามาทาตัว เพื่อจะได้ขาว"  ผมหัวเราะ  ที่หัวเราะไม่ใช่เพราะเรื่องอื่น  ผมหัวเราะเพราะผมเห็นเนื้อตัวของน้องชายของผม   ที่ดำเมี่ยมเหมือนผมไม่มีผิด   ถ้าทาครีมตัวขาวเข้าก็คงเห็นขาวแบบ "อ้อก-ลอก" ( คำวิเศษณ์นี้มีเฉพาะในพจนานุกรมไทยตะวันออกเฉียงเหนือฉบับ ก.พ. 255x) คือขาวด่าง ๆ ไม่เข้าน้ำไม่เข้าเนื้อ

      "แล้วเอ็งชอบขาวหรือดำ"

      "แหม ถ้าเป็นผู้สาวก็ขาวไว้ก่อน แต่ถ้าเป็นถ่านก็ต้องดำล่ะว้า"    อ้ายหนุ่มหน้าดำพี่น้องคู่หนึ่งได้ฮากันในค่ำที่ดวงจันทร์แหว่งไปเสี้ยวน้อย ๆ

       น้องชายของผมกำลังจีบสาวอยู่คนหนึ่ง   ท่าทางคงเอาจริงเอาจังถึงขั้นเป็นบ้านเป็นเรือนคือขอแต่งงาน  หน้าตาของว่าที่น้องสะไภ้เรียกว่าไปวัดไปวาได้สบาย  ไม่ถึงกับดำแต่ก็ไม่ถึงกับขาว     อยู่หมู่บ้านเดียวกับเราแต่ห่างออกไปทางท้ายหมู่บ้าน  เธอเพิ่งกลับจากทำงานที่กรุงเทพฯ   ผมไม่ห่วงน้องชายของผมนักในเรื่องความรัก  ถึงแกจะไม่ใช่นักรักแกก็มีเชื้อของนักรบ  ที่หัวใจแกร่งพอที่จะอดทนต่อความเจ็บปวดนานาได้  

        "ถ้าสมมติว่า  แฟนแกเคยมีคนอื่นมาก่อนแกจะรับได้ไหม"
         ผมถามแบบเกือบจริงจัง

        "มันก็ต้องดูก่อนล่ะพี่  ว่าหลังจากที่มีผมแล้วเขาจะมีใครอีกไหม  ถ้าจะมีอีก
ผมก็รับไม่ได้   อ้ายที่ผ่านไป ผมไม่ติดใจอะไรหรอกพี่  เพราะผมก็ใช่ว่าจะดีเด่อะไรนักหนา"

         "และถ้าเกิดเขามีคนอื่นด้วยจริง ๆ แกจะเอายังไง"

         "แหมทำไมมันถึงบีบคั้นแบบนั้นนักล่ะพี่"

         "พี่สมมติ     ในหนังในละครและแม้แต่ข่าวมันก็มีแบบนั้น  ผู้คนหัวใจเปราะบางกันมาก"

         "ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก  ใครจะอยากเป็นควายให้คนสวมเขา"

          หลังจากที่ได้คุยกันผมก็โล่งใจไปมาก  เขารู้จักอะไรมากกว่าที่ผมคิดอีก  ถ้ามีครอบครัวเขาคงสร้างครอบครัวได้ดี   แต่คนเขาว่าบางทีเรื่องแบบนี้มันก็เป็นเวรเป็นกรรมที่ต้องชำระ

           ช่วงหลัง หลังจากที่ได้พูดคุยกันน้องชายของผมไปขลุกอยู่ในไร่นาของว่าที่น้องสะไภ้บ่อยขึ้น   ช่วยงานโน่นนี่จนเป็นราวคนในครอบครัวนั้น    ผมอวยพรในใจให้คนตัวดำที่เกิดคลานตามผมมาประสบความสำเร็จ   แต่เรื่องก็มาถึงจุดบีบคั้นอีกจุดหนึ่งจนได้เมื่อน้องของผมรู้ว่าเธอมีท้องจากกรุงเทพฯมาก่อนแล้ว

            "เอาไงดีล่ะพี่    ผมเกิดรักเธอเข้าแล้ว"

          000

   อ้ายหนุ่มหน้ามนคนหน้าดำน้องชายของผมเล่าให้ผมฟังจนหมดไส้หมดพุงเรื่องความรักของเขากับผู้หญิงคนหนึ่งทีกำลังจะเป็นแม่คน

   "ผมสงสารเขา ความจริงก็คือรักนั่นแหละ  ใครจะว่ากินน้ำใต้ศอกก็ว่าไป"

   "การตัดสินใจเป็นของเอ็งไอ้น้องเอ๋ย  ความสุขความทุกข์มันอยู่ที่หัวใจของคนนั่นแหละ   ถ้าน้องคิดว่านี่จะเป็นการไถ่บาปที่เคยทำกับหญิงอื่นมาก่อนพี่ก็ไม่ขัด   แต่ถ้ามันคือความคิดชั่วแล่น อารมณ์ชั่ววูบ หรือแม้แต่ความลุ่มหลงยามลืมตาพี่ว่าน้องคิดให้ดี"

    "คิดตรงไหนอีกหรือครับ ในเมื่อผมทำใจรับสภาพนี้ไปแล้ว"
  
     ผมชิงตอบ

     "หนึ่งเธอมีจิตใจหวนหากันหรือเปล่า อ้ายคนที่บอกให้เธอเอาเด็กออกคนนั้น   สองลูกคลอดออกมาแล้วเอ็งจะอุ้มชูดูแลได้จริงไหมถ้าพ่อจริง ๆ ของมันมาเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  สามเธอมีใจอย่างไรกับเองแน่  สี่.."

      "พอ..พอแล้วพี่  ผมนึกออกแล้วว่าทางออกสำหรับผมคืออะไร"

       เขาผละจากผมไปแบบฝ่ายที่คาใจคือผม   นี่ทำให้ผมนึก ว่าถ้าผมเป็นเขาเวลานี้ผมจะตัดสินใจอย่างไร  นิสัยส่วนหนึ่งของน้องที่ผมรู้ก็คือตัดสินใจเร็ว   ตอนที่ไปเป็นทหารพรานด้วยกัน ผมรอดตายเสียแขนซ้ายไปเพียงข้างเดียวก็เพราะเขา  คนเคยผ่านสนามรบมาด้วยกัน บางสิ่งบางอย่างไม่ต้องเอ่ยปากก็รู้กัน

        ผมรู้ว่าน้องชายกลับไปที่บ้านของหญิงสาวอีก  และเชื่อว่าเขาคงไม่ไปรบเร้าเอาคำตอบใด   เขาคงไปเพราะความรักนั่นแหละ

       ว่าที่น้องสะใภ้   ที่จริงผมก็รู้จักนิสัยใจคอของเธอไม่น้อย  เธอเรียนเก่งพอใช้ มีความจริงใจจนออกซื่อ  พ่อแม่ของเธอเป็นชาวบ้านธรรมดาทำนาทำไร่ ฐานะไม่จนไม่รวย เธอเป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาลูกสาวทั้งหมดสี่คนที่ออกเรือนแล้วแต่อยู่บ้านติดกันกับพ่อแม่   เธอไปทำงานกรุงเทพฯเพื่อเก็บเงินเก็บทองสร้างฐานะ   แต่ก็มาพลาดท่าอ้ายหนุ่มกรุงชีกอ มันหล่อมันอวดรวย จนน้องนางปักใจเชื่อว่าจะพาชีวิตรุ่งเรืองพ้นไปจากความลำบาก  ครั้นพลาดท่าตั้งท้องขึ้นมามันก็จะให้เอาเด็กออกท่าเดียวจนเธอต้องซมซานคืนเรือน


000

    ผมเคยอ่านในหนังสือแปลเรื่องหนึ่ง ตัวเอกเป็นนักเล่นกายกรรมร่างกายกำยำเขาอยากมีลูกแต่ก็ไม่อาจเป็นไปได้เพราะเป็นหมัน  เขาไม่บอกเรื่องนี้กับภรรยา นานวันเข้าภรรยาก็อดทนไม่ไหวในการที่เขาไม่มีลูกให้ภาคภูมิใจเหมือนคนอื่นจึงให้อ้ายหนุ่มคนหนึ่งนอนด้วยแบบไม่ได้รัก จุดประสงค์ของหล่อนคืออยากได้ลูกให้เขา  คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นเพื่อนของนักกายกรรมเอง  เมื่อหญิงสาวคลอดอ้ายหนุ่มคนนั้นก็พยายามจะแสดงความเป็นพ่อ ทางออกบีบแคบเข้ามากเข้าคนที่เปิดช่องต่อปัญหานี้ก็คือเพื่อนของนักกายกรรม อ้ายหนุ่มถูกกำจัดออกไปจากวงโคจรนี้  แต่ภรรยาของเขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่านักกายกรรมเป็นหมันที่ได้พบหมอเป็นการยืนยันแล้ว   เรื่องนี้น่าชื่นชมก็ตรงที่นักกายกรรมรักเด็กคนนั้นเหมือนลูกของตัวเอง    อืม..เรื่องนี้ยังไงก็คือนิยาย   แต่เรื่องของน้องชายผมล่ะมันจะออกมาอย่างไรนะ

000
     ไม่ทันที่ผมจะไปตาม  น้องชายของผมก็ยิ้มหน้าระรื่นกลับมา

      "ผมสบายใจแล้วพี่   คำถามของพี่ผมได้คำตอบเสร็จสรรพ"

       ผมร้องโอ้โฮในใจ    ทำไมมันไวขนาดนี้  เจ้าน้องชายพูดอย่างกับเวลาสำหรับการพูดเหลือแค่น้อยนิด มันทั้งติดอ่างและรัวสลับกัน 
     
        "เธอตอบรับรักผม  รักผมคนเดียวเท่านั้น  เธอรักลูก ไม่มีทางที่จะทำลายชีวิตที่จะเกิดมาใหม่  ส่วนอ้ายคนนั้น เธอบอกว่าอย่าไปพูดถึงมัน  เธอตัดมันออกไปจากชีวิตแล้ว  ขอเพียงแต่ผมรับปากที่จะรักลูกของเธอด้วย  เธอจะไม่มีวันทำให้ผมเสียใจ"

         เมื่อน้องหยุดพูดผมจึงได้หยุดถอนหายใจยาว

         "แล้วเอ็งจะเอายังไงต่อ"

         "ก็ไม่ต้องเอายังไงยาก  เพียงแค่ผมขอเวลาดูแลเธอให้มากขึ้นเท่านั้น  ผมขอเป็นพ่อคนก่อนพี่แล้วกัน ฮ่าๆ "

         "เออ..ตามสบายเถิดโยม แต่เอ็งโชคดีได้เป็นง่ายแบบไม่ลงทุนเลยนะ"

          "ผมมันคนมีบุญพี่"

          ว่าแล้วน้องชายตัวดำก็ดิ่งเข้าบ้านเก็บข้าวเก็บของเพื่อจะไปอยู่บ้านพ่อตา  ผมมองตามแล้วก็หัวเราะ  และนึกว่าทำไมอะไรมันเป็นไปได้ง่าย ๆ แบบนั้น  แต่ผมก็ไม่อยากคิดอะไรมากไปกว่านั้น   บางทีวันเวลาก็คงตอบคำถามของวันเวลาเอง   ผมไม่มีหน้าที่ที่จะไปหน้านิ่วคิ้วขมวดหาคำตอบใดๆแทน

          ไม่กี่นาที  น้องชายที่รักของผมก็มาลา  อ้ายหนุ่มหน้าดำเดินออกจากบ้านไปพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าใบเดียว

000

            พ่อตาให้ลูกเขยกับเมียไปอยู่กระท่อมกลางนา  ชีวิตของทั้งคู่ไม่ถึงกับยากลำบากนัก เพราะที่นั่นมีบ่อปลา สวนผัก  มียุ้งข้าว และข้าวของเครื่องใช้จำเป็นแล้ว   อ้ายหนุ่มผู้จะเป็นพ่อคนใหม่ ตักน้ำ เก็บผักหักฟืน เตรียมข้าวของไว้สำหรับวันคลอด  ใบหน้านั้นอิ่มเอิบอย่างพระปฏิมา   ผมเห็นแล้วก็เบาใจ   ตอนเราใช้ชีวิตอยู่ในป่าคราเป็นทหารรับจ้างเขาดูแลเกือบทุกคนในกองร้อยให้กินอยู่สบายๆ เมื่อเป็นพ่อเรือนหน้าที่พ่อบ้านของเขาจึงไม่ขาดตกบกพร่อง   ผมมองเห็นสีหน้าของพ่อตาของเขามีความพออกพอใจไม่น้อย

      คนท้องรักษาตัวเองอย่างดีตลลอดหลายเดือนแต่เรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับความหวังของเขาจนได้  น้องสะใภ้ของผมพลาดท่าสะดุดตอไม้หกล้มหัวทิ่มต้องนำส่งโรงพยาบาลอย่างทุลักทุเล เด็กน้อยในท้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ใช่ครับเธอแท้งลูก

      อ้ายหนุ่มถึงกับหงอย  แต่คนที่ซึมเศร้ายิ่งกว่าใครคือแม่ของแม่ผู้สูญเสียลูก   ทุกคนที่เกี่ยวข้องพลอยโศกสลดไปด้วยกันทั้งนั้น    ความหม่นหมองนี้แผ่คลุมไปทั่วกระท่อมกลางนา   นกกาพากันเงียบเสียงไม่เจื้อยแจ้วอย่างวันแรกที่ครอบครัวใหม่มาอยู่

000

ความโศกสลดของครอบครัวนี้มาถึงขีดสุดอีกครั้งในไม่กี่เดือนต่อมาเมื่อลูกสาวคนสุดท้องผู้แท้งลูกป่วยโซลงอย่างหนัก

    "อ้ายพอง   น้องคงบุญวาสนาไม่ถึงอ้าย ขอบคุณหลายๆ ที่ดูแลน้องกับลูกในท้องอย่างดี  วันข้างหน้าขอให้พี่ได้พบผู้หญิงดีๆ และมีลูกที่ว่านอนสอนง่าย มีครอบครัวมีความสุข"

     นั่นเป็นถ้อยคำของหญิงสาวผู้ที่คงรู้ตัวว่ากำลังจะจากไป   เกิดมาผมก็ไม่เคยเห็นน้ำตาของนักรบ แต่วันนั้นน้ำตาของอ้ายพองไหลรดแก้ม  ผมเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อลดความโศกซึมที่ปริ่มๆจะรินออกมาที่ขอบตา

     เมื่อคนรักจากไป  อ้ายพองก็ไม่มีใจจะทำอย่างอื่น    เมื่อช่วยงานศพในบ้านนั้นจนเสร็จ มันก็เอ่ยปากกับผมเพื่อขอบวช  ผมก็ว่าตามใจเถิดน้องเอ๋ยหากน้องคิดที่จะสงบใจซักพัก   แต่ถ้าจะบวชแบบเลื่อนลอยพี่ก็อยากให้คิดให้ดี ไม่อยากให้ศาสนาพลอยเสื่อมเพราะสกุลเรา     น้องชายของผมบอกอย่างหนักแน่นว่าผมไม่ได้หวังบวชพักใจ   แต่ผมต้องการค้นหายาทาใจให้มันขาวแจ้งไม่เจ็บไม่ทุกข์     ผมไม่อยากเชื่อเลยในถ้อยคำและน้ำเสียงที่ได้ยิน   นี่มันเป็นคำของพระนี่นา  ผมได้ฟังพระเทศน์ในสถานีวิทยุมาบ้างเรื่องความทุกข์และการดับทุกข์ของพระพุทธเจ้า   ผมไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากน้อง  นั่นล่ะมั้งที่ทำให้คำว่าสาธุหลุดออกจากปากผมไปเกือบจะไล่เลี่ยกัน

     ผมจัดงานบวชให้น้องชายอย่างเรียบง่ายในวัดใกล้บ้าน   พระใหม่ตั้งใจปฏิบัติจงกรมกรรมฐานอย่างเข้มงวด  เจ้าอาวาสซึ่งรู้จักพวกเราดีก็ให้โอกาสเต็มที่ในวัตรต่างๆที่พระใหม่ควรทำ   ผมก็ได้โล่งใจไปอีกหนหนึ่งในหนทางของน้องชาย

      แต่แล้วเรื่องก็มาถึงจุดหักเหอีกครั้ง  เมื่อมีหญิงนางหนึ่งอุ้มลูกมาร้องกับเจ้าอาวาสว่าพระผู้นี้(น้องชายของผม)คือพ่อของเด็กที่อุ้มมา   เขาไม่มีความรับผิดชอบ  ไม่สมควรต่อการเป็นพระให้ศาสนาเสื่อม  เธอโวยวายมากกว่านั้น  พระน้องชายของผมไม่โต้ตอบด้วยถ้อยคำใดๆ  ดูเหมือนยอมรับต่อวิบากกรรมนี้แต่โดยดี   

       เมื่อสอบถามความจริงยืนยันกันได้ว่าเรื่องราวเป็นตามที่ผู้กระเตงลูกร้องผมก็ช่วยรับผิดชอบเพื่อให้เธอกับลูกได้กลับบ้านกลับช่อง  ส่วนน้องของผมผมถามว่าจะเอาอย่างไร

       คำตอบของนักรบชัดยิ่งกว่าชัด

       "ผมขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียวพี่   ขอบคุณพี่มากที่อบรมสั่งสอนผมอย่างดี  แต่ผมมันไม่ดีเอง  ขอรับกรรมทั้งหมดที่เคยก่อ"

        ผมมองตามน้องชายที่กำลังจะจากไปสู่บ้านอีกหลัง    เขาจะมีความสุขหรือไม่มีความสุขนับจากนี้ไปคงเป็นสิ่งที่เขาเลือกเองล้วน ๆ 

         เพราะผมก็ไม่รู้ว่าที่ไหนที่มียาทาหัวใจให้หายดำด่างได้  ก็ได้แต่อวยพรว่า..

         โชคดีเถิดอ้ายหน้าดำน้องรัก				
3 กันยายน 2557 04:50 น.

::ผมฝันที่จะมีลูกตั้งแต่ยังไม่มีเมีย::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

       จำได้ว่าผมนึกอยากมีลูกครั้งแรกตอนยังเรียนหนังสือไม่จบดี  และตอนนั้นผมก็ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนด้วย   ไม่รู้ว่าคิดบ้าบอไปได้อย่างไรในเมื่อการมีลูกต้องอาศัยการมีแม่ของลูกและต้องอาศัยการเป็นครอบเป็นครัวด้วย ซึ่งผมไม่มีเลยซักอย่าง

       
ความฝันที่จะมีลูก อาจเป็นเพราะผมอ่านหนังสือมาก  ได้สัมผัสความอบอุ่นอ่อนโยนของความรักของแม่ ผูกพันกับแม่ทั้งในตัวหนังสือและแม่ในชีวิตจริง

       
ความรู้สึกวัยเด็กสำหรับผมกับแม่ ผมจำได้ว่าแม่คือผู้หญิงที่ผมต้องปกป้อง แท้จริงแล้วแม่เป็นฝ่ายปกป้องผมต่างหาก  ความรู้สึกกับพ่อเป็นคนละอย่าง  พ่อคือคนที่ผมเคารพและอุ่นใจเสมอเมื่อไปด้วย  จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ผมเคยโกรธพ่อมากที่คราวหนึ่งใช้คำเรียกผมเป็นอย่างอื่นไม่ใช่คำว่าลูก   "ลูก"คำนี้เป็นคำที่น่าซึ้งใจมากสำหรับคนที่เกิดมาจากพ่อแม่

       
เมื่อมีลูก  ผมเรียกลูกว่าลูก  รักเขาด้วยหัวใจ  ถึงแม้ความรักของผมที่มีต่อลูกจะไม่ยิ่งใหญ่เท่าความรักที่แม่ของเขามีต่อเขา ผมก็เชื่อว่าความรักของผมน่าจะเติมเต็มส่วนขาดที่แม่ของเขาไม่สามารถให้ได้ ส่วนนั้นคือส่วนของความเป็นพ่อล่ะ

       
"พ่อคร๊าบ  อาบน้ำหรือยัง"  เสียงใส ๆ ของเขาทำให้ผมเงยหน้าจากงานที่ทำเพื่อดูเวลาสำหรับภาระอื่นๆ เสมอ  แต่ก่อนผมเองเป็นฝ่ายถามว่า"ลูกคร๊าบ..อาบน้ำหรือยัง"  วันเวลาผ่านไปเขาดูแลผม  เหมือนที่ผมเคยดูแลเขา   นี่เองที่ทำให้ผมรู้สึกถึงคุณค่าของการเกิดขึ้นมาในโลกและได้เป็นพ่อเป็นลูกกัน
 

ooo

       
ภาพติดตาฝังใจในวัยเด็กคงส่งผลต่อความนึกคิดของผมไม่น้อย  ทำให้ผมอยากเป็นพ่อแบบพ่อ  อยากแข็งแรงกำยำ  อยากเก่งเวทย์มนต์คาถาแบบพ่อ  แต่ที่ว่ามานั้นผมทำและเป็นได้แค่เศษเสี้ยวเดียวเท่านั้นเอง


       
ตัวพ่อดำเมี่ยม กล้ามเป็นมัด  แกร่งยิ่งกว่าแกร่ง ทำไร่ไถนาได้ทั้งวัน  เวลาไปไหนด้วยกันผมเดินตามพ่อแทบไม่ทัน  1 ก้าวของพ่อคือ  4 ก้าวของผม  ดังนั้นขณะที่พ่อเดินผมจึงเหมือนวิ่งตาม  

       
พ่อว่ายและดำน้ำเก่ง  แต่ผมแค่พอพยุงตัวให้ขึ้นฝั่งได้  พ่อหาปลาเก่งทำปลาร้าปลาเค็มปลาแห้งไว้กินนานๆได้  แต่ผมแค่จับได้ซักตัวสองตัวก็ดีใจแทบแย่

       
อีกมากและอีกมาก  ที่ผมเป็นได้ไม่เท่าพ่อ
ก็คงเหมือนลูกทั้งหลายที่เกิดมาใต้ร่มเงาของผู้บังเกิดเกล้าอยากเป็น อยากเก่งเหมือนพ่อ แต่เป็นได้แค่เสี้ยวกระจี๊ดของความนึกคิดอยากเป็น

       
ถ้าผมเป็นพ่อล่ะ
ในวันนั้นที่ผมนึกคิด
ผมจะเป็นพ่อแบบไหน

       
ผมจำได้ว่า
ผมอยากจะเป็นพ่อแบบเพื่อนของลูก
ที่คุยกันได้ทุกเรื่อง
ที่เรียนรู้ไปด้วยกัน
สร้างงานที่เป็นอนุสรณ์ของการเกิดมาเป็นพ่อลูกกันด้วยกัน


       
และผมก็ยังจำได้ด้วยว่า ตอนนั้นผมขำตัวเองที่นึกว่าเป็นพ่อของใครเข้าแล้ว  ทั้งๆ ที่ยังแทบจะไม่รู้จักความรักจากหญิงสาวคนไหนด้วยซ้ำ


000

       
   แม่ของลูกควรจะเป็นคนแบบไหนหนอ    

       
ผมคิดในแวบสั้น ๆ ไม่นานผ่านเลยไป เพราะชีวิตรอบตัวหลายหลากน่าสนใจมากกว่า   เพื่อนพาทำกิจกรรมการเมืองก็ทำ  เพื่อนพาไปศึกษาวรรณกรรมก็เอา ออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทก็บ่อย   แต่สิ่งหนึ่งที่ทำบ่อยกว่าคืออ่านและเขียนหนังสือในมุมเงียบ ๆ ในห้องสมุด     การได้เข้าห้องสมุดเป็นความสุขที่สงบเงียบดี   ผมได้เรียนรู้การเขียนภาพแบบจีนจากหนังสือภาพภู่กันจีน  จนนำมาสู่การทดลองเขียนจนเกือบช่ำชองเพื่อหาเงินหาทองใช้อยู่พักใหญ่ หรือแม้แต่การอ่านวรรณกรรมก็ทำให้เอาจริงเอาจังในการเขียนทั้งเรื่องสั้นและกลอนจนมีผลงานตีพิมพ์ด้วยในช่วง นั้น  ระหว่างทำกิจกรรมก็แวบไปคิดเรื่องลูกสลับด้วยเป็นช่วง

       
   แม่ของลูกควรจะเป็นคนแบบไหนนะ

       
ผมมีภาพของแม่ชัดเจนมาก   นี่เองที่ทำให้คิดว่าผู้หญิงที่เป็นแม่ของลูก  ต้องเหมือนแม่ของผม    แม่เล่าว่าแม่อ่านหนังสือให้ผมฟังตั้งแต่ผมอยู่ในท้อง   เมื่อคลอดผมแล้วแม่ก็กล่อมนอนด้วยคำกลอนยาว ๆ แม่โอบอุ้มผมเพื่อให้รับรู้หัวใจรักของแม่ เมื่อผมเติบโตรู้ภาษาแม่ก็ไม่เคยใช้ถ้อยคำใดกล่าวว่าให้เจ็บช้ำในความเขลาทีผมมีและเป็น  นี่คือภาพที่แจ่มชัด  แม่ของลูกก็น่าจะเป็นแบบแม่ แต่แหม  นี่ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเลยที่จะรู้ว่า หัวจิตหัวใจของใครลึก ๆ แล้วเป็นอย่างไร    เพื่อนผมบอกว่าเฮ๊ยมึงก็ลองรักใครดูซักคนสิ  คบกันไปนาน ๆ เดี๋ยวก็จะรู้เองว่าหัวใจของเขาเป็นอย่างไร   ผมมองหน้าเพื่อนอย่างเลื่อนลอยจนมันถามผมว่า มึงรู้จักความรักหรือเปล่าวะ  ผมหัวเราะ และว่า  รู้ ...  กูรู้จักความรักมาแต่เกิด   หลังจากวันนั้นมาผมมีแรงจูงใจที่จะรักใครซักคนชัดเจนขึ้นมาก   และก็เริ่มรู้ว่าความรักนี้ยากต่อการทำความเข้าใจน่าดู


000

       
ผมทำความเข้าใจความรักอยู่นาน นานจนคิดล้มเลิกที่จะหาแม่ของลูก    สิ่งที่ผมหวาดจนขลาดก็คือความผิดหวัง   ผมมองเห็นเพื่อนหลายคู่หันหลังให้กัน เห็นคนหลายคนเปลี่ยนความรักเป็นความชัง  หน่ายแหนงและหน่ายหนี  เมื่อขัดใจกัน  หัวใจของคนที่ชังกันแล้วต้องอยู่ร่วมโลกกันมันเป็นความขื่นขมเหลือรับ  ผมไม่ต้องการเป็นอย่างนั้น  

       
นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมขลาดที่จะรัก
และชักช้าที่จะตกลงปลงใจกับหญิงสาวคนไหน


       
เพื่อนว่า

       
"อ้ายห่อ มึงก็อย่ารักแบบทุ่มเทนักซีวะ
รักแบบนั้นก็พอดีช้ำใจตาย  มันต้องรัก ๆ หลอก ๆ เผื่อเลือกไว้บ้าง  ไม่ใช่พอเขาเลือกที่จะคบกับคนอื่นดูบ้างมึงก็ซึมเหมือนบ้า"

       
ผมฟังแล้วก็ยิ้มขื่นๆในความไม่ประสีประสาในรัก

       
ผมเป็นแบบนั้นจริง ๆ 
คือพอเขายิ้มหวานกับคนอื่นผมก็ขื่นขม
เศร้าหัวใจอย่างสุดเศร้า

       
ผมถามตัวเองว่า
แบบนี้มึงจะรักใครได้หรือ
และ
มึงเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่าวะ

       
คำถามข้อหลังผมตอบไม่ได้

       
ผมรู้แต่ว่า
รักนี้ทุกข์หนอ

       
ดังนี้แล้วผมจึงพับความฝันที่จะมีลูกไว้นาน
นานจนผมคิดว่าลืมสนิทว่าผมเคยฝันที่จะมีลูก


       
ลูกเอ๋ย  หรือเราไม่มีวาสนาต่อกัน

       
พ่อคงอาภัพต่ำต้อยเกินไปที่จะได้ใช้คำนี้เรียกใครซักคนที่เกิดมาจากเลือดเนื้อเชื้อไขและชีวิตจิตใจของพ่อ



000

       
ช่วงเรียนหนังสือชั้นอุดมศึกษาเป็นช่วงที่ผมมีเวลาทำสิ่งที่อยากทำมาก  อยากเล่นดนตรีก็ไปเรียนกับพรรคพวกที่อยู่ในชมรมดนตรี   อยากเป็นนักเขียนก็ไปเข้าชมรมวรรณศิลป์  อยากศึกษาธรรมะก็ไปเข้าชมรมพุทธศาสนา  อยากถ่ายภาพเป็นก็ไปเข้าชมรมถ่ายภาพ  อยากเล่นยูโดได้ ก็ไปเข้าชมรมยูโดอยากปลูกพืชผักเลี้ยงสัตว์เก่งก็เข้าชมรมเกษตร สารพัดที่สนใจก็มีสารพัดที่จะให้เรียนรู้  การเรียนในชั้นอุดมศึกษามีอิสระและหลากหลายกว้างขวาง   แม้แต่วิชาเรียนผมอยากเรียนวิชาใดก็ขอเข้าไปนั่งเรียนได้โดยไม่ต้องลงทะเบียนเรียน  ผมได้ฟังประสบการณ์ของบุคคลมากมายที่สถาบันการศึกษาเชิญมาเป็นอาจารย์พิเศษและผู้สอน หรือแม้การอบรมหลักสูตรสั้น ๆ เกี่ยวกับอาชีพการงานหรือความรู้เฉพาะทางก็มีเยอะแยะที่ให้ผมได้ลงทะเบียนเรียนรู้  จนผมรู้สึกว่า การศึกษาในชั้นอุดมศึกษานี่คือการตกลงไปในขุมทรัพย์ของความลุ่มลึกของความรู้  มีความสุข สนุกและมีโอกาสสร้างสรรค์    ถ้ามีลูกผมจะให้เข้าได้รับโอกาสที่ดีนี้  เหมือนที่เด็กชายชาวนาคนหนึ่งที่ฝันอยากจะมีลูกได้รับจากพ่อแม่ของเขา


       
      ผมเขียนที่ปกในของหนังสือทุกเล่มที่เริ่มสะสมไว้ให้ลูกที่ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด ว่า

       
       แด่ลูก...ผู้เป็นหัวใจของพ่อ

       
       หนังสือเหมือนเพื่อน   เพื่อนที่ทำให้ผมได้ยิ้ม  ยิ้มแบบเข้าใจไม่ใช่แสร้งยิ้มตามมารยาท   หนังสือทำให้ผมได้ท่องไปในโลกแม้ไม่มีเงินค่าโดยสารซักบาท   หนังสือทำให้ผมเข้าใจและทำใจได้เร็วต่อความทุกข์ที่ขบกัดชีวิต   หนังสือทำให้ผมเห็นคุณค่าของสรรพสิ่งที่เอื้อเฟื้อและแม้แต่เป็นคู่ห้ำหั่นกันผมอยากอ่านหนังสือให้ลูกฟัง   ผมอยากฟังเสียงลูกอ่านหนังสือ  ผมอยากเห็นลูกสร้างสรรค์สิ่งที่เขารักขึ้นมามีคุณค่าต่อเขาเองและโลก

       
     หัวใจของผมดูเหมือนพองโตขึ้นเท่าตะวันเมื่อผมฝันและเห็นนิมิตรอันเลือนรางว่ามีลูกแล้ว


       
      "พ่อครับ...ผมรักพ่อ"

       
       นั่นเป็นน้ำเสียงที่ได้ยินในความฝันยามหลับ  แหมช่างชื่นเย็นหัวใจดีแท้   

       
       พระท่านว่า ผู้คนมีความฝันถึงสิ่งใดมักมีใจเกี่ยวพันและเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น

ถ้าเช่นนั้นก็หมายเอาได้ว่า  ผมย่อมเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับผู้ที่จะเกิดมาเป็นลูก


       
       แค่คิดหัวใจก็เอิบอิ่ม  เอมใจอย่างกับเพิ่งละจากสมาธิเมื่อหัวอรุณ


000

       
    ความฝันของผมมาเป็นจริงเมื่อเดินทางมาไกลถึงค่อนชีวิต   เวลานี้ผมได้ยินน้ำเสียงที่ผมเคยได้ยินในความฝัน   ทุกวัน    มากกว่านั้นคือผมได้โอบกอดคนที่ผมฝันถึง      ใช่ครับ  เขาคือลูกของผม

       
   " พ่อครับ  ตอนพ่อเป็นเด็กคุณปู่พาทำอะไรบ้าง"

       
   ผมได้เล่าเรื่องยาว สลับกับฟังความเห็นของเขา ถ้อยคำวิพากษ์วิจารณ์แบบตรงไปตรงมาแบบเด็กทำให้ผมยิ้ม ยิ้มในความช่างคิด   

       
   "พ่อจนจังเลยนะตอนนั้น"

       
   "อาจจะใช่ครับหรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้   ถ้าความจนหมายถึงไม่มีอะไรจะกิน    พ่อก็ไม่ถึงขั้นนั้น   เรามีข้าวปลา มีนามีน้ำ  มีพืชผัก มีหมากไม้  ของพวกนั้นคือสิ่งที่ทำให้เรามีกิน  แบบนี้พ่อว่าไม่ใช่ความจน   แต่ถ้าความจนคือการมีบ้านหลังเล็ก  ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่มีรถยนต์ขับ แบบนั้นอาจจะว่าจนในความคิดของคนทั้งหลาย"

       
      "ทุกวันนี้พ่อรวย.."

       
       ผมยิ้ม

       
       "ไม่ใช่แค่รวย   เรียกว่ามั่งคั่งเลยทีเดียว"

       
       เขาทำหน้างง ๆ

       
       "พ่อมั่งคั่ง ความสุข"

       
       "อ๋อ..."

       
        เขายิ้ม


       
        เราคุยกันไม่รู้เบื่อ  ผมสนุกที่จะตอบคำถามเขา   นานๆจึงฟังถ้อยคำตอบที่ผมเป็นคนถาม

        "ลูกไปเรียนรู้การเล่นคีย์บอร์ดเพลงพวกนี้มาจากไหน"   ผมถามแล้วนิ่งฟัง  เขาวางมือจากแป้นคีย์บอร์ดอันเล็ก ๆ ราคาไม่กี่ตังค์แล้วตอบผม

       
         "ลูกชายของลุงเป็นคนสอนครับ ผมจำเอามาเล่นต่อ  เพราะไหมครับ"

       
          "เยี่ยมมาก   พ่ออยากเล่นเป็นจัง"

       
          "ไม่ยากเลยครับ  เล่นตามโน้ต ดอรอมอก็ได้ หรือจะจำเสียงเอาก็ได้"

       
           ว่าแล้วเขาก็เล่นเพลงหมอลำที่เขาจำมาจากลูกชายของลุงให้ผมฟัง    มันเป็นเพลงที่ดังมากเพลงหนึ่ง  ชื่อเพลง บางทีหลายคนอาจจำได้  ใช่แล้วเพลงนั้นคือโบว์รักสีดำ

       
           ตอนเรียนอุดมศึกษาผมไม่ได้ฝึกหัดเล่นคีย์บอร์ด   ได้วิธีเล่นกีตาร์แบบงู ๆ ปลา ๆ มาจากเพื่อนที่เล่นแบบเกาสาย  แล้วมาฝึกต่อจนชำนาญในเพลงที่ตัวเองชอบ   เวลาผมเล่นเขานิ่งฟังแล้วก็ขอเล่นต่อจากผม   เพลงชะตาชีวิตเป็นเพลงที่เขาเล่นกีตาร์แบบดันสายแล้วผมถึงกับอึ้ง   สำนวนนักวิจารณ์เพลงก็คงว่าคล้ายว่า  แหมมันช่างบาดลึกดีแท้   

       
           "ผมแต่งเพลงได้นะพ่อ  ฟังซีครับผมจะร้องให้ฟัง"

       
            เขาเคาะนิ้วช้า ๆ เมโลดี้นี้ผมไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน   


       
             "..พวกเราคือเอ็กซ์ บาร์เบอร์ ช่างตัดผมยุคทอง   ผองเราชอบบินไกล   ไปตัดผมฟากตะวัน   เธอจะไปกับฉันไหม......"

       
             "เยี่ยมมาก..."  ผมปรบมือให้เขา"เก่งจริง ๆ   พ่อโชคดีจังเลยที่ได้ฟังเพลงนี้ก่อนใคร"

       
             "ผมร้องให้เพื่อนที่โรงเรียนฟังบ้างแล้วครับ แต่ไม่จบเพลงดี   แต่ที่ร้องมานี้พ่อได้ฟังจบเพลงเป็นคนแรก"

       
              เสียงเพลงของเขาเริ่มขึ้นอีก ผมยิ้มให้กับเพลงเอ็กซ์บาร์เบอร์  นักตัดผมที่เดินทางไกลไปตัดผมให้ใครต่อใครแม้ต้องข้ามตะวัน


       
              ผมพินิจน้ำเสียงและแววตาของเขา  แล้วคิดคำนึง ผมรู้แล้ว  ว่า วันนี้ผมคือคนที่มั่งคั่งอย่างที่สุด คนหนึ่งในโลก

ใช่ครับ  ผมมีความสุขล้นเหลือ  ผมคือคนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในชีวิต  ในการที่ได้เกิดขึ้นมามีรอยบนโลกใบนี้


     
               ความสำเร็จของผมมีหลักฐานอ้างอิงแล้วในโลก

				
25 กุมภาพันธ์ 2551 00:32 น.

::คนหน้าเหมือนไอน์สไตน์ที่นาตง::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์



   ลุงพอล วัยราว70 เศษ เป็นฝรั่งที่มาได้เมียไทยที่บ้านนาตง  ผมรู้จักไอน์สไตน์เพราะครูที่สอนวิทยาศาสตร์เคยอธิบายเรื่องทฤษฎีการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งของนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก  สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อมั่นมากว่าลุงพอลมีใบหน้าและท่าทางเหมือนไอน์สไตน์มากก็คือรอยยิ้มและท่าแลบลิ้นล้อเด็ก ๆ วันที่ผมได้เห็นลุงพอลแลบลิ้นครั้งแรกเป็นวันที่เมียแกทำส้มตำให้กินแล้วลุงพอลเผ็ดน้ำหูน้ำตาเร็ด

   เพื่อนของผมที่เคยถามครูว่าทฤษฎีการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งของไอน์สไตน์มีคนเข้าใจมากแค่ไหน ถ้าได้มาเห็นสีหน้าท่าทางของลุงพอลวันนี้ก็คงคิดเหมือนผมว่าไอน์สไตน์ ยังไม่ตาย

    ลุงพอล เล่นไวโอลินได้ครับ  แต่แกชอบซอมากกว่า   แคนก็เล่นได้ไม่เลว    เวลาที่ลุงพอลดวดสาโทได้ที่ พวกเรามักได้ฟังเพลงแคนของลุงพอลประจำ

    เมียของลุงพอลไม่ใช่คนอื่นไกลเลยครับ เป็นป้าของผมเอง  แกไปทำงานที่พัทยาแล้วก็ได้ลุงพอลนี่แหละมาเป็นของแถม  ลุงพอลเป็นคนไม่มีลูกเมียครับ แกว่าลูกเมียแกเสียหมดแล้วเพราะเครื่องบินตกตั้งแต่แกอายุ 60 เศษ  ลุงพอลก็คงเหมือนฝรั่งคนอื่นที่มาเอาเมียคนไทย คือชอบที่คนไทยเอาใจใส่ ดูแลอย่างพิเศษที่ฝรั่งด้วยกันเองก็ทำไม่ได้อย่างนั้นกับคนไทยส่วนใหญ่ก็เอนดูฝรั่งแบบคนต่างบ้านต่างเมืองด้วย

    ลุงพอลกินส้มตำ ลาบงัว คั่วไก่ ปลาร้าสับ ได้เก่งกว่าผมอีก  ผมเคยถามว่าระหว่างลาบควายกับไส้กรอกตับบดอิหยังอร่อยกว่ากัน ลุงพอลตอบผมว่าแซบคือกัน แซบคนละแบบ  สำเนียงของลุงพอลเหน่อกว่าเสียงของคุณแอนดรูบิ๊กในทีวีอีกนะครับ  แกพูดภาษาอีสานได้แจ๋วกว่าผม  สำเนียงของผมออกไทยกลางเสียมากเพราะเข้าโรงเรียนโดนครูจับสอนภาษากรุงเทพฯตั้งแต่เล็กแต่น้อย

   ครั้งหนึ่งผมถามลุงพอลว่า มีคนเคยทักลุงไหมว่า สวัสดีครับคุณไอน์สไตน์ ลุงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากและว่า บ่อยไปที่คนทักอย่างนั้นโดยเฉพาะเวลาที่เข้าไปหาซื้อหนังสือในร้านหนังสือในมหาวิทยาลัย  

   "มีคนมาชวนไปสอนหนังสือด้วยนะ แต่ลุงก็บอกว่าลุงไม่ถนัดที่จะสอน ลุงถนัดที่จะสอยมากกว่า"  
    
     เราหัวเราะกันครืน  เพราะคำว่าสอยที่ลุงพูดถึงมันคือการกล่าวสร้อยต่อท้ายหมอลำกลอนที่ค่อนข้างตลกโปกฮา ลามกก็ว่า

   "มากกว่านั้นก็มีเด๊ะ  เขามาชวนไปแสดงหนัง เรื่องคนหน้าเหมือน  เขาจะให้ลุงแสดงเป็นฝาแผดของนักวิทยาศาสตร์แต่หัวสมองทึ่มมาก  ลุงบอกว่ากูไม่เอาเดิ๊ก(สำเนียงหลวงพ่อคูณ) กูหัวสมองดีจะตาย"  พวกเราหลานๆ ก็ได้ฮากันอีก

   "เด็ก ๆ บักหำ อีนางเอ๊ย  อย่าให้ลุงฝอยหลาย เดี๋ยวสิเหมิดน้ำลายและแรงข้าวต้มดอก แกเฒ่าใกล้สิตายแล้ว"

    เสียงป้าร้องบอกออกมาจากข้างในตึกหลังใหญ่แบบขำแกมขู่ให้เราห่างๆ ออกจากลุงพอลบ้าง แกจะได้มีเวลานอนพักงีบบ้างช่วงบ่าย  ลุงพอลหัวเราะหึ ๆ ไม่โกรธไม่เคือง  พวกเราก็ยิ้มแห้ง  ๆ เสียดายโอกาสที่ได้ฟังเรื่องสนุก ๆ ของฝรั่งใจดี

     ป้าของผมมักพูดลับหลังลุงพอลว่า ถ้าเฒ่านี่ตายข้อยก็สิเอาผัวใหม่ เด็กน้อยหนุ่ม ๆ กระชุ่มกระชวยมาส่งยิ้มส่งหัวอยูหลายหน  ผมฟังแล้วก็นึกสงสารลุงพอลคนหน้าเหมือนไอน์สไตน์อยู่ไม่น้อย ถึงแม้ผมจะรู้ว่าป้าแกพูดที่เล่นทีจริง

     เมื่อเด็ก ๆ ห่างจากลุงฝรั่งออกมา ป้าก็เข้าไปนวดเฟ้นให้ลุงเฒ่า ความเอาอกเอาใจนี่ล่ะมั้งที่เป็นเสน่ห์ให้ฝรั่งมายึดที่นาผืนน้อยผืนใหญ่ของไทยเป็นเมืองขึ้นแล้วไม่เว้นแม้แต่ตำบลขอบแคว้นแดนดงที่ผมอยู่


     000


       ที่ตำบลของผมมีฝรั่งเดินกันขวักไขว่ก็เกือบจะว่าได้นะครับ  ทั้งรุ่นหนุ่มรุ่นเดอะ น้อยนักที่จะไม่มีสาวไทยควงแขน   เด็ก ๆ หลายคนได้ใกล้ชิดฝรั่ง จนบางคนสามารถฟุดฟิดฟอไฟกับเขาได้   ผมเคยอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเก่า ๆ มีคนเคยวิจารณ์ว่าการสอนภาษาประกิตในบ้านเราไม่ได้ผลเพราะคนไทยไม่ได้ใช้คราวหน้าอาจจะมีคำวิจารณ์ใหม่เป็นอย่างอื่นก็ได้ เพราะเด็กรุ่นหลังรุ่นผมนี่แม่นสำเนียงแบบแอนดรูบิ๊กและสำเนียงลุงพอลอย่างกับอะไร  คำบางคำพวกคำขอบเตียง  ครูไม่กล้าสอน ป้า อา น้าที่ได้ผัวฝรั่งบอกพวกเราหมดแหละ  เพื่อนผมหลายคนบอกโตขึ้นสิเอาผัวฝรั่งเพราะเงินดกใจดี เพื่อนผู้ชายของผมบางคนก็บอกว่าสิเอาเมียฝรั่ง เพราะเงินก็ดกด้วย  เมียฝรั่งในความหมายของมันคือเมียของฝรั่งที่ผัวมันตายน่ะครับ  พวกเราก็ได้ฮากันในเรื่องนี้

ลุงพอลคนหน้าเหมือนไอน์สไตน์เรียนรู้วิถีชีวิตชาวบ้านได้เก่งและไวนะครับ  แกไถนาใช้ควายได้  ใช้วัวก็ได้  ปีที่แล้วแกเก็บเงินค่าดูฝรั่งไถนาได้ตั้งเกือบสองหมื่น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะคนไทยตื่นเต้นมากที่เห็นฝรั่งไถนา  แกลงทุนโฆษณาทางสถานีวิทยุชุมชนที่มีอยู่เกลื่อนตั้งแต่สมัยนายกทักษิณไม่กี่ตังก็ได้เงินคืน   สถานีวิทยุนักบวชก็โฆษณาให้แกนะลองฟังดูไหมครับ

       FM 107.27 เม็กกะเฮิร์ต สถานีนักบวชเพื่อชุมชน และคนรักบุญ  ขอเชิญพ่อแม่พี่น้องไปเยี่ยมชมหมู่บ้านฝรั่งเฮ็ดนา   ในวันที่ ซาวสองพฤษภานี่ ฝรั่งพอลจากอเมริกาสิพาพ่อแม่พี่น้องกลับคืนสู่วิถีดังเดิมของบ้านเฮา ไถนาโดยใช้ควายกับงัว  ชมการสาธิตการปักดำนา การหลกกล้าถอนกล้า เป่าแคน สีซอ ลำเต้ย  ค่าชมคนละ  30 บาท  อย่าลืมเด้อ...ซาวสองพฤษภานี่  เจอกันที่บ้านนาตง ไปเบิ่งฝรั่งเฮ็ดนา  ล่ะเบ๋อ....

    ผมทั้งฟังทั้งยิ้ม   ส่วนหนึ่งที่ยิ้มคือนึกภาพพวกนี้ออก เพราะฝรั่งคนที่ว่าก็คือลุงพอลของป้าหมานบ้านผมนั่นแหละ  ผมนึกถึงท่าเป่าแคนทั้งเด้งทั้งเด้าของแกแล้วก็หัวเราะ  คิดว่าคงขายท่าทางแบบนี้ได้อีกหลาย 

    เชื่อผมไหมครับ ปลาแดกต่อนของลุงพอลที่ขายในวันงานป้าหมานจกไหแทบไม่ทัน  ทุกคนต้องการซื้อไปเป็นที่ระลึกคนละต่อนสองต่อน  ต่อนนี่คือตัวนะครับ  ปลาร้าพวกนี้แกใช้ปลกยี่สกในบ่อของแกทำ ปลานี้เนื้อแน่นมาก  เก็บไว้กินได้นาน  ทำกับข้าวได้หลากหลาย  ส้มปลา  หม่ำปลานั้นไม่ต้องพูดถึง ขายดิบขายดีเหมียนกันครับ


       000

     ฝรั่งที่นาตง มี 2 แบบ  คือแบบอยู่ติดที่กับแบบไปๆมาๆ อย่างละครึ่ง  แบบที่ไปๆมาๆนี่ ปีหนึ่งจะแวะมาอยู่กับเมียคนไทยซักสักสัปดาห์สองสัปดาห์แล้วก็บินกลับ  มาสร้างบ้านหลังโตๆ มีรั้วรอบขอบชิด จ้างเด็กดูแลไม่ให้ปลวกขึ้นทำรัง  แม่บ้านคนเดียวไม่มีทางดูแลได้ทั่วหรอกครับ และบ้านหลังใหญ่ ๆ แบบนั้นเจ้าของก็อยู่เพียงไม่กี่ห้อง ใช่จะอยู่คืนละสองห้องสามห้องที่ไหน  ฝรั่งแบบไปๆมาๆนี่ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวสูง  ผิดกับลูงพอลที่มีความเป็นส่วนรวมมาก   แกคุยกับทุกคนในหมู่บ้านได้ แบบชอบพูดชอบคุยชอบถาม  คนที่ได้พูดคุยกับลุงพอลมักพูดเหมือนกันว่าเฒ่าพอลนี่เป็นคนอัธยาศัยดี ดีกว่าฝรั่งตนอื่น ๆที่ดูเย่อหยิ่งแบบอารยัน วรรณะสูงส่งอะไรทำนองนั้น    นี่ถ้าไม่มีคนแบบลุงพอล ผมก็คงไม่ได้เขียนถึงฝรั่งในแง่พอรับได้แบบที่ผมเขียนอยู่นี่

      หลายวันก่อน ผมเคยถามฝรั่งที่ไปๆ มา ๆ คนหนึ่งว่าแกอยู่ประเทศอะไร  ถามเป็นภาษากรุงเทพนะครับ ฝรั่งคนนั้นอยู่บ้านหลังถัดจากบ้านลุงพอลไปนิดหน่อย  ฝรั่งคนนั้นพูดผ่านลุงพอลว่า เขาไม่อยากบอก   ผมก็เลยหยุดคิดที่จะซักถามต่อ  ลุงพอลยักคิ้วให้ผม หรี่ตาด้วย คงมีความหมายทำนองว่าฝรั่งตนนั้นขอปิดเป็นความลับ  ก็ไม่ว่าอะไรนะครับ   แต่อย่ามาถามผมก็แล้วกันว่า ส้มตำทำอย่างไร จ้างผมก็ไม่บอกความลับของของกินแสนอร่อยนี้แก่ฝรั่งตนใด ๆ

    ลุงพอลเล่าให้ผมฟังว่าอ้ายขี้เก็กที่ผมถามแล้วไม่ตอบนั้นเป็นคนเยอรมัน   พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่ง  มีลูกเมียที่เยอรมันด้วย มาเที่ยวพัทยาแล้วก็เลยมาแวะบ้านเมียไทยอีกคน อีกหน่อยก็จะกลับแล้ว   ผมก็ฟังไปยังงั้นแหละครับ  ผมไม่ยอมรับคนขี้เก็ก   ลุงพอลก็คงเข้าใจผมจึงหาเรื่องอื่นมาชวนคุย

    "ลุงเคยไปกราบหลวงตาที่วัด  ท่านให้ลุงลองนั่งสมาธิ  แหมนั่งสมาธินี่ไม่สบายเหมือนนอนสมาธิเลยเนาะ"  แกว่าหัว ๆ 

    " มันก็ของแน่ล่ะเฒ่าผีบ้า"   อันนี้ไม่ใช่คำของผม  แต่เป็นคำของป้าหมาน  คนนั่งอยู่เคียงข้างฝรั่งหน้าเหมือนฯ  

    " นอนสมาธิ   ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะครับลุง  แต่นั่งสมาธิผมเคยทำ ครูพาไปฝึกที่วัด ตอนนั้นผมนั่งแล้วรู้สึกว่าตัวเองตัวใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นเท่าพระธาตุพนม  ผมตื่นเต้นมาก ไม่อยากออกจากสมาธิเลย   แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยรู้สึกตัวใหญ่แบบนั้นอีก"

     "โอ้โห   มึงก็เก่งปานนั้นเนาะบักหำ   แบบนี้บ่ต้องไปเรียนต่อมหาวิดทะยาลัยดอกเด้อ  ไปบวชเป็นเณรก็จะได้ดิบได้ดีเด่นดังได้คือกัน"   ป้าทั้งว่าทั้งหัว ส่วนลุงพอลยิ่งกว่าหัว ยิ้มแบบมีเสียงของแกลั่นทุ่ง คงชอบอกชอบใจมาก

    "ก็เข้าท่าดีล่ะวะเนาะหำ  ทำอีหยังก็ให้มันเก่งสุด ๆ ไปเลย  แล้วอย่างอื่นจะตามมาทั้งเงินทั้งงาน    ว่าแต่ว่าจะเรียนต่ออีหยังล่ะเจ้า"

   "ผมอยากเรียนเป็นฝรั่ง"  ผมตอบห้วน ๆ แต่ยิ้ม

    ฝรั่งเฒ่าหัวเราดังยิ่งกว่าดัง

   "เป็นหยังจึงคิดอยากเรียนเป็นฝรั่ง"  ป้าถาม   ลุงพอลก็คงอยากถามอย่างนั้นด้วยเพราะจ้องหน้าผม

   "จั๊กแลว   อยู่บ้านเฮา  ไผ ๆ ก็อยากดมดากฝรั่งกันทั้งนั้น   ไผ ๆ ก็นับถือฝรั่งปานเทวดา  แม่นบ่ลุงพอล"

    ลุงพอลไม่ตอบแต่หัวเราะก๊าก ๆ    ป้าหมานหน้าม้าน ที่ได้ยินคำหลานอย่างนั้น  ผมว่าแล้วก็เดินหนีเสียให้ไว  กลัวโดนตีนป้าที่เคารพรักถีบเข้าให้ที่กลางหลัง ที่บังอาจจี้จุดแทงใจดำ  ผมห่างมาซักสิบยี่สิบคืบลุงพอลก็ร้องตามหลัง

  "  แล้วมาคุยกับลุงอีกเด้อหมักหำน้อย.."

  ผมไม่ตอบออกเสียง   แต่ตอบรับในใจไว้แล้ว

000

นับตั้งแต่วันนั้นที่ผมวิ่งหนีตีนของป้า ผมได้คุยกับฝรั่งใจดีคนนั้นอีกสองสามหน    มาห่างเหินลุงเฒ่าเอามากเมื่อผมสอบโควต้าเข้ามหาวิทยาลัยใกล้บ้านได้    ในมหาวิทยาลัยมีอะไรให้ทำเยอะแยะไปหมด  บางอย่างไม่คิดว่าเขาจะพาทำก็ได้ทำ  เดี๋ยวผมจะเก็บไว้เล่าในเรื่องสั้นเรื่องอื่น

หนหลังที่ผมได้คุยกับฝรั่งหน้าเหมือนไอน์สไตน์เป็นหนที่ผมประทับใจเขามากที่สุด  เขาเปลี่ยนไป  สงบมาก แววขี่เล่นซ่อนไว้เกือบมิดในดวงตา แววกระจ่างใสของการเข้าใจสัจธรรมแลเห็นได้แจ่มกว่า

ใช่แล้วครับ

ฝรั่งคนนั้นบวชเป็นเณรอยู่ที่วัดใกล้บ้านนั่นเอง  ท่าทางแบบนักบวชเป็นท่าที่สง่าที่สุดของฝรั่งหน้าเหมือนฯเท่าที่ผมเคยเห็น

ผมถอนหายใจโล่งอก
ในการที่ผมได้เกี่ยวข้องกับฝรั่งแบบนับญาติกันเป็นป้าเป็นลุง

ขอท่านถึงธรรมเถิดท่านฐิตธัมโม

ฝรั่งหน้าเหมือนไอน์สไตน์ผู้ทำให้ความรู้สึกที่ผมมีต่อฝรั่งดีขึ้นมาอีกไม่น้อย				
2 พฤษภาคม 2550 12:47 น.

::วงรุ้งเลือนไปแล้ว ตอนจบ::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

(ตอนที่ 3 ตอนจบ)

	เสียงหมู่นกเรียกกันกินหมากไม้สุกบนต้นไม้ที่น้ำตกคงติดหูจี๊ดและวงรุ้ง  สองสาวพูดคุยกันว่าน่าจะได้มาที่นี่นานแล้ว  และกลับไปสำนักงานจะเล่าให้พรรคพวกที่นั่นฟัง

	จะไปบ้านพี่ชิดกันหรือยังครับ  ผมไม่ได้บอกพี่เขาไว้เลย   เราน่าจะได้แวะไปที่นั่นช่วงบ่ายโมงเศษ   เขาจะได้ไม่ยากลำบากเรื่องอะไรต่าง ๆ เกี่ยวกับพวกเราจนเกินไป

	ก็ดีค่ะ   ไปเหอะจี๊ด    

	สองสาวปีนขึ้นซ้อนท้ายเจ้ายามาฮ่าดีทีคู่ชีพของผมอย่างคุ้นเคย  เราออกมาจากผาน้ำตกด้วยความรู้สึกอิ่มเอม

	รุ้งเคยพักบ้านพี่ชิดแล้วนี่ใช่ไหม

	ช่าย   ก็ตอนมาคราวก่อนไง  แฟนพี่ชิดใจดีมากสอนเราทำกับข้าวตั้งหลายอย่าง   น้ำพริกงี้เราก็เป็นแล้วนะ  แต่คงไม่เก่งอย่างคนข้างหน้ามั้ง

	เออจริงสินะ  ยังจำรสชาติน้ำพริกของเขากับไข่ขมของเธอได้

	นี่ ๆ อย่าพูดถึงมันอีกนะ  อาย.....อายเจ้าของบ้านเขา

	คนขับรถเครื่องฟังไปยิ้มไป   ครู่เดียวเราก็มาถึงบ้านชาวบ้านที่หญิงสาวสนิทสนมด้วยมากที่สุด  เจ้าของบ้านทั้งสองคนนั่งอยู่ที่แคร่ไม้ไผ่ใต้ถุนบ้าน
	ผมชะลอรถและจอดที่ ใต้ร่มขนุนข้างเรือน  หญิงสาวปีนลงแล้วเข้าไปไหว้เจ้าบ้านอย่างคุ้นเคย

	สวัสดีค่ะพี่ชิด พี่บัวเผื่อน   นี่จี๊ดเพื่อนของรุ้งเองค่ะ  เขาได้ยินที่รุ้งเล่าให้ฟังแล้วอยากมา   รบเร้าให้พามาเยี่ยมหมู่บ้านหลายวันแล้ว   เพิ่งสบโอกาสค่ะ   

	อ๋อ  คุณรุ้งนั่นเอง   จ้า  หวัดดีจ้า..เจ้าของบ้านรับไหว้ผู้มาใหม่  เมื่อกี๊พี่ชิดก็กำลังพูดถึงอยู่พอดี    มาก็ดีแล้วจะได้พาไปดูปลาและปูที่บ่อ  กำลังโตเชียว

	สายฟ้า  เอาข้าวของขึ้นเก็บให้เพื่อนก่อนนะ  แล้วเราออกไปที่บ่อปลากัน   พี่ชิดบอกผมอย่างคุ้นเคยแบบน้องนุ่ง เดี๋ยวเย็นนี้จะทำปูภูเขาให้กิน  คุณรุ้งยังจำรสชาติของปูภูเขาได้ไหม  คนถามหันไปทางเพื่อนของจี๊ดที่ตอนนี้สีหน้าแช่มชื่นมาก

	เยี่ยมยอดมากเลยค่ะพี่ชิด  หวาน ๆ เค็ม ๆ กินที่น้ำตกด้วยแหม  บรรยากาศส่งให้รสชาติดีเหลือเกิน   ผมเชื่อว่าคนได้ยินก็คงเป็นปลื้ม      

	งั้นเราออกไปที่นั่นกันเถอะ

	วงรุ้งเดินตามพี่ชิดออกไปกลางนา  จี๊ดตามวงรุ้ง  ส่วนผมเดินปิดท้าย   เสียงทั้งสามคนสนทนากันออกรส  หัวเราะร่วน  โดยเฉพาะเมื่อมีเจตนาจะแซวคนที่เดินรั้งท้ายสุด

	คร๊าบ  เชิญท่านหลังหลายเผาข้าพเจ้าเถิด  ท่านหารู้ไม่ว่าข้าพเจ้านั้นมีสุขยิ่ง ๆ แล้ว ในถ้อยนินทานั้น ๆ ฮ่า ๆ

	ภูมิทัศน์รอบบ่อปลาและบ่อเลี้ยงปู  ผมพูดถึงไปแล้วในตอนก่อน ๆ   วงรุ้งชี้ให้เพื่อนชมพืชผักและปูกับปลาอย่างกับเป็นเจ้าของพื้นที่นี้เอง   เจ้าภาพกล่าวเสริมคำอธิบายของวงรุ้งสอดรับอย่างกับเป็นคู่วิทยากร   ไม่น่าเชื่อว่าฝ่ายการเงินที่แต่ละวันยุ่งอยู่กับบัญชีและตัวเลขจะทำหน้าที่อย่างผู้ประสานงานสนามด้วยก็ได้   รู้อย่างนี้ผมชวนมาช่วยผมจัดประชุมผู้นำชุมชนตั้งนานแล้ว

	พี่ชิดหยิบเอาคันเบ็ดไม้ไผ่ที่ยาวราววาเศษ ๆ มาใส่มือวงรุ้งและว่า

	หนก่อนผมทึ่งฝีมือตกปลาของคุณรุ้งนะ  วันนี้ต้องแสดงฝีมืออีก

	วงรุ้งยิ้มยินดีรับเบ็ดและถุงเหยื่อไปถือไว้

	คุณจี๊ดกลัวไส้เดือนหรือเปล่า  พี่ชิดหันมาถามสาวอีกคนที่คงทึ่งในความสามารถของเพื่อนร่วมงานที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน

	นี่เธอไปหัดมาตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะรุ้ง   ฉันไม่ยักรู้เลยว่าเธอตกปลาได้

	ก็เคยตกปลากะเตี่ย   พี่สาวรู้เข้า  เขาไม่ยอมให้กินข้าวด้วย  เราต้องปลาที่ตกได้มาคลุกเกลือเผากินกันสองพ่อลูก  นึกถึงตอนเป็นเด็ก ๆ แล้วก็ขำพี่สาว  ป่านนี้ไปแต่งงานกับเสี่ยที่บ้านนอก  เขาคงพากินปลิงแล้วมั้ง

	เนี่ยแหละเขาถึงว่า  คนเราถ้าไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันก็ไม่รู้จักกัน   นั่นเป็นถ้อยคำของจี๊ดครับ

	ปลา  ๆ   ปลาฮุบเหยื่อ  สงสัยโตมาก   พี่ชิดช่วยด้วยค่ะ  ปลาดึงแรงมาก   อุ๊ย  ๆ  ลื่น  จัง

	โครม....   

	มือเบ็ดสาวของเราพลาดลื่นลงน้ำครับ  แต่ความลาดเทของบ่อปลาไม่มากนัก   เธอจึงประคองตัวไม่ให้ลื่นลึกไปมากกว่านั้น

	ไม่เป็นไรนะครับ   ทั้งเจ้าของบ่อและคนขับรถเครื่องขยับเข้าไปจะยื่นมือช่วย   แต่คนเก่งของเราเก่งกว่า  เธอกลับขึ้นมายืนที่ตลิ่งได้อีกครั้ง   เพียงแต่เปียกและมอมแมมบ้างเท่านั้น

	โอ๊ะโอ๋...เหมือนหมาน้อยตกน้ำเลยเพื่อนเรา  จี๊ดทั้งปลอบแซวเพื่อน

	เหมือนกันเลย   เมื่อพี่สาวที่บ้านเลย  แทนที่จะปลอบให้กำลังใจก็ว่าเราเป็นหมาน้อยตกน้ำ  เดี๋ยวเถอะจะผลักลงน้ำให้สายฟ้าไปช่วยขึ้นมาบ้าง

	อย่าพูดเล่น ๆ  นารุ่ง   เป็นจริงขึ้นมาจะทำใจยังไงน่ะเธอ   เพื่อนของจี๊ดค้อนแขว็บ   ( ไม่ถึงกับขวับ   แว้บเดียว   ไม่ช่างสังเกต ไม่เห็น)

	วงรุ้งได้ปลาหลายตัว  พอสำหรับมื้อเย็น   พี่ชิดกับผมช่วยกันจับปู  ที่บ่อเลี้ยงปูข้าง ๆ  บ่อปลา   เราเด็ดเอายอดบวบ  ฟัก และผักอื่น ๆ อีกเพื่อเตรียมทำมื้อเย็น  สีหน้าของทุกคนเปี่ยมไปด้วยความสุขและสดชื่น   ผมหยิบกล้องมาเก็บภาพเหล่านั้นไว้   อืม..สองสาวช่างสดใสและสดสวยเป็นธรรมชาติเหลือเกิน   วี่แววแบบสาวออฟฟิสผู้หยิ่งยะโสแทบไม่ปรากฏให้เห็นบนวงหน้ากับเสื้อผ้าที่มอมแมมของหญิงสาวคู่นั้นเลย

	วันนี้สายฟ้าแสดงฝีมือทำกับข้าวนะ  พี่ชิดยักคิ้วหลิ่วตา  ผมรู้ความหมายว่าพี่เขาอยากให้ผมคำคะแนน ตีตื้น  ผมนึกขำในใจ   ในความปรารถนาดีนั้น   แต่ผมก็ได้บอกพี่บัวเผื่อนไว้แล้วว่า  ขอให้ดึงลูกมือสองสาวช่วยทำกับข้าวมื้อเย็นนี้ให้ได้   เหอะน่าพี่ชิด   อนาคตจะเป็นอย่างไร   ผมไม่ได้คาดหวังมากหรอก   ขอมีความสุขกับปัจจุบันก็พอ  ผมนึกบอกพี่ชิดอยู่ในใจ

	เย็นนั้นคนทำกับข้าวมื้อเย็นคือพี่บัวเผื่อนกับสองสาวตามที่ผมแอบแพลน     จนเช้าวันใหม่ที่เราออกจากหมู่บ้าน ผมจึงได้รับรู้ว่า  สองสาวทั้งอายทั้งเขินที่ไม่ประสีประสาเรื่องชนิดและขนาดของเครื่องปรุงเอาเสียเลย  เธอว่า  คอยดูเถอะ  ถ้าสายฟ้าเข้าเมืองไปเมื่อไหร่จะคิดบัญชีแค้นให้สาสม  ผมได้แต่หัวเราะฮา

	คืนนั้นเราคุยกันอยู่จนดึก  พี่ชิดเล่าให้วงรุ้งและจี๊ดฟังว่า  ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านเป็นอย่างไรบ้าง   สังคมหมู่บ้านเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง   พี่บัวเผื่อนก็นั่งฟังอยู่ด้วย   จนดึก   สองสาวบอกเจ้าของบ้านว่าดีใจมาก ๆ  ที่ได้แวะเข้ามาในหมู่บ้านในหุบเขา  ประทับใจเกือบทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่  วันข้างหน้าถ้ามีโอกาสจะกลับมาเยี่ยมอีก

	เราออกจากหมู่บ้านตอนสาย ๆ เมื่อธนาเอารถมารับ

	เป็นไงจ๊ะสองสาว    นอนที่บ้านชาวบ้านสบายใจไหม
	สบายมากจ้ะ   คุยกันอยู่จนดึก   พอล้มตัวลงนอนก็หลับเป็นตาย

	เออนี่  พี่ได้ทราบจากรองผู้อำนวยการนะว่าเธอทั้งสองคนได้งานใหม่ที่สถานทูตอเมริกันประจำประเทศไทย   ไม่เห็นบอกกันเลย

	หญิงสาวทั้งคู่อึ้ง พยายามจะอธิบาย แต่คนมารับก็ชิงตัดบท

	ไม่เป็นไรหรอก  น้อง ๆ ได้งานที่ดีกว่าพวกพี่ก็ดีใจด้วย

	ผมอึ้ง ..ต่อสิ่งที่ได้ยินชัดเต็มสองหู    ขับรถเครื่องไปหัวใจก็แทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

	สายฟ้าคงไม่โกรธนะคะ  ที่เหมือนเราปกปิดอะไรบางอย่าง   แต่อยากจะบอกให้รู้ว่า  รุ้งชอบคุณมาก   ประทับใจ  ประทับใจชาวบ้าน  ประทับใจงานของคุณ  วันข้างหน้ารุ้งหวังว่าจะได้กลับมาเยี่ยมคุณและหมู่บ้านอีก

	3 ปีที่ผมทำงานในหมู่บ้าน  ไม่เคยมีเช้าไหนที่เหงาหงอยอย่างเช้านี้อีกเลย     เมื่อกลับไปถึงสำนักงานสนาม   รถโฟร์วีลล์จากสำนักงานใหญ่ก็จอดรอยู่ตรงนั้นแล้ว   พนักงานขับรถบอกว่า   ผู้อำนวยการสั่งเขาให้มารับสองสาว

	ขอบคุณครับ    วงรุ้งที่มาวาดฟ้าให้ผมฝัน   ผมจะจดจำยิ้ม น้ำเสียงและถ้อยคำของคุณไว้ตราบเท่าที่หัวใจของผมยังคิดฝัน				
1 พฤษภาคม 2550 06:57 น.

::วงรุ้งเลือนไปแล้ว-ตอนที่ 1( ต่อ)::

ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

เราไปถึงหมู่บ้านแห่งนั้นตอนสาย ๆ ผู้นำกลุ่มออมทรัพย์รออยู่นั้นพร้อมหน้าแล้ว  ที่ทำการกลุ่มออมทรัพย์ของหมู่บ้านตั้งอยู่กลางชุมชนเชิงเขา  นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯมาออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทสร้างเป็นเพิงถาวรไว้ให้  ความจริงก็สามารถใช้ได้แบบอเนกประโยชน์ คือใช้ประชุมก็ได้  อบรมก็ได้  หรือแม้แต่เป็นที่ทำการของกลุ่มออมทรัพย์


ชาวบ้านทักทายและผมอย่างเป็นกันเอง แต่แขกของผมเป็นไงนะ  ก็หน้าแดงซีครับ


แฟนคุณสายฟ้าสวยจัง


ใช่  ๆ สมกันจังเลยแหละ


นึกว่าไม่มีแฟน  เห็นตะลอนๆ อยู่คนเดียวมา 3 ปีแล้ว
ผมยิ้ม ๆ และแนะนำวิทยากรของเราว่าเป็นฝ่ายการเงินคนเก่งขององค์กร  ผู้อำนวยการมอบหมายให้มาแนะนำเรื่องระบบบัญชี   วงรุ้งจะพูดคุยด้วยแบบง่าย ๆ ซักถามกันสบาย ๆ และเย็นนี้ก็คงพักอยู่ในหมู่บ้านด้วย


ขอโทษนะจ๊ะ   นึกว่าเป็นแฟนคุณสายฟ้า   เขาเป็นคนดีมากเลยนะ  เป็นกันเอง  ลุยไหนลุยกัน


ไม่เป็นไรดอกจ้ะ    ไม่เป็นไร   หญิงสาวว่าและขยับไปนั่งเสื่อในวงของชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแม่บ้าน ผมนั่งร่วมวงพูดคุยด้วยเพื่ออำนวยความสะดวกและต่อประเด็นเสวนาซักถาม   ชาวบ้านคุ้นเคยกับวิธีการแบบนี้ค่อนข้างดี  เพราะเราไปศึกษาดูงานกันมาหลายที่    เมื่อเข้าใจกันและกันพอสมควร ผมก็ขอตัวเอาของมาเก็บที่บ้านของพี่ชิด ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก   บ้านของพี่ชิดเป็นบ้านใต้ถุนสูง   ถ้าแวะมาที่หมู่บ้านนี้ ส่วนใหญ่ผมก็พักที่บ้านพี่ชิด   หรือไม่ก็บ้านผู้ใหญ่บ้าน   บ้านลุงเทิด   ป้าถำ   ซึ่งก็อยู่ต่างคุ้ม  ห่างกันออกไปมีเนินสูงและหมู่ไม้บังทั้งบ้านและเส้นทาง


พี่ชิดขุดบ่อเลี้ยงปลาในนา  ชาวบ้านส่วนใหญ่มีบ่อเลี้ยงปลากินพืชพวกปลานิลและปลาตะเพียนกัน คันคูบ่อปลาก็ปลูกพืชผักสารพัดชนิดเพื่อเป็นอาหาร  ชาวบ้านส่วนใหญ่มีรายได้จากการปลูกพืชไร่  และเลี้ยงวัว   องค์กรของเราเข้ามาศึกษาเรียนรู้กับชาวบ้านแล้วสนับสนุนการศึกษาดูงานด้านการพัฒนารวมทั้งให้ความช่วยเหลือเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อประกอบอาชีพด้วย



สายฟ้าพาใครมาด้วยล่ะ พี่ชิดถามคำแรกเมื่อผมไปถึง


เพื่อนในสำนักงานใหญ่ครับ มาช่วยกลุ่มแม่บ้านเรื่องบัญชีออมทรัพย์ที่เกริ่นๆ กับผู้ใหญ่บ้านเมื่อวานนั่นแหละครับ


อ๋อ..นึกว่ามีแฟนกับใครเขาแล้ว
ใครจะอยากเป็นแฟนคนเร่ร่อนอยางผมล่ะครับ  พรรคพวกผู้หญิงที่ทำงานหมู่บ้านด้วยกันก็เอางานเป็นอุดมคติทั้งนั้นไม่มีใครพูดถึงเรื่องแฟนเลยซักคน   ผมคงพักกับพี่ชิดซักคืนนะครับ  เพื่อนผมที่มาด้วยเธอก็จะพักค้างด้วย


ไม่มีปัญหาดอกสายฟ้า  ว่าแต่ว่าเขากินอาหารแบบเราๆได้หรือเปล่า   อาบน้ำบ่อได้หรือเปล่า  เดี๋ยวพ่อแม่เขาจะหาว่าพาลูกสาวเขามาทรมานทรกรรมนา  เจ้าของบ้านลากเสียงเย้าผม


ก็นึกอยู่เหมือนกัน  แต่เธอว่าเธอเตรียมใจมาแล้วนะ  ดูท่าทางจะลุยมากว่าที่ผมคิดอีก


พี่ชิดคนที่ผมพูดถึงเป็นหนุ่มใหญ่ที่พาผมขึ้นเขาลงห้วยไปดูน้ำตก  หน้าผา  ป่าไม้ที่บัดนี้ป่าแถวนี้กลายเป็นป่าที่ชาวบ้านช่วยกันอนุรักษ์  จนสภาพของป่าดีขึ้น คือไม้น้อยเริ่มเบียดกันขึ้นสูงรับแดด  ไม่มีควันจากการเผาป่าอีก   ผมกับชาวบ้านได้เคยไปเห็นมาแล้วที่ชัยนาทที่ชาวบ้านรักษาป่าของชุมชนได้  บนเขาจึงมีความชุ่มชื้นกักน้ำไว้นำลงมาใช้ในชุมชนได้  พี่ชิดก็หวังให้ป่าที่นี่คงอยู่และทุกคนเห็นค่าแบบนั้น


เมื่อเก็บข้าวของไว้ที่บ้านพี่ชิดเสร็จแล้ว   เราก็กลับมาที่เพิงที่ทำการของกลุ่มออมทรัพย์   พี่ชิดชวนผมและวงรุ้งไปดูน้ำตกเปิดใหม่ในเขตป่าชุมชนอนุรักษ์ท้ายหมู่บ้านซึ่งอยู่ลึกเข้าไปติดหน้าผาของภูเขาที่โอบล้อมหมู่บ้าน


ที่เพิงที่ทำการกลุ่มออมทรัพย์ ฝ่ายการเงินขององค์กรยังพูดคุยกับกลุ่มแม่บ้านอย่างเป็นกันเอง   หัวเราะกันบ้าง  เย้าแหย่กันบ้าง  


คุยกันเสร็จแล้วใช่ไหมครับ   ผมถามทั้งกลุ่มแม่บ้านและวงรุ้ง


คุยกันเรื่องคุณสายฟ้านั่นแหละ   ป้าคนหนึ่งแซว เมื่อไหร่จะมีแฟนซะที


เหอ..เหอ..  หาแฟนได้ง่ายแบบหาเห็ดหาหนูก็ดีซิครับป้าเพ็ง เหอ ๆ    


คุยเสร็จแล้วค่ะ   แม่บ้านเก่งมาก   และสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์ก็มีสัจจะยอดเยี่ยม   เอ่อ   พวกเราคงคุยกันแค่นี้ก่อนนะคะ  ถ้ามีอะไรค่อยนัดกันอีก   บอกผ่านคุณสายฟ้าของป้านี่ก็ได้  วงรุ้งตอบคำถามของผมและหันไปพูดคุยกับชาวบ้าน


น้าชิดไม่พาคุณวงรุ้งกับสายฟ้าไปดูน้ำตกใหม่หรือ   ป้าอีกคนเสนอแนะ


ก็กำลังว่าจะไปกันอยู่พอดีล่ะ    กลุ่มออมมีเงินเท่าไหร่แล้วตอนนี้   พี่ชิดถามคนที่นั่งอยู่ในเพิงแบบรวม ๆ


โอ้ย  หลายแล้ว


มันเจ็บหรือถึงโอย   หนุ่มใหญ่แซว


มันจี๊ดสะใจแล๊ว   สามปีเรามีเงินออมกันแล้วสามแสน   น้ำเสียงนั้นฟังได้ว่าปลื้ม   วงรุ้งก็ยิ้ม   พี่ชิดและกลุ่มแม่บ้านต่างก็ยิ้ม   เงินก้อนนี้ได้ช่วยเหลือสมาชิกแล้วพอสมควร


คุณวงรุ้งไปเที่ยวน้ำตกใหม่นะ   ที่นั่นสวยมาก   พวกเรานี่แหละช่วยกันดูแล    หลายเดือนมานี้มีพวกในเมืองมาเที่ยวบ้างเหมือนกัน    หัวหน้ากลุ่มแม่บ้านออกความเห็นสนับสนุนความคิดของพี่ชิด      เราสามคนกับรถเครื่องวิบากสองคันจึงได้แยกจากกลุ่มแม่บ้านที่ก็เตรียมจะแยกย้ายจากเพิงที่ประชุมนั้นด้วย ไปยังที่ที่ทุกคนอยากให้ไป


พี่ชิดขี่รถเครื่องนำหน้าไปช้า ๆ  วงรุ้งซ้อนท้ายผม   ตามไปห่าง ๆ   ยิ่งใกล้ภูเขายิ่งได้รับไอเย็นของป่า   วงรุ้งขยับมาชิดผมโดยไม่ได้ตั้งใจ


อากาศเย็นมากเลยนะ   คุณรู้ไหมกลุ่มแม่บ้านพูดถึงคุณว่าดียังโนดียังงี้แยะเลย   เชียร์กันจังเลยนะ ว่าให้เป็นแฟนกัน  ฉันล่ะเขิ้ลเขิน    ไม่เคยโดนคุณน้าคุณป้าจีบรุกแบบนี้มาก่อน  ตั้งตัวไม่ติดเลย   ได้แต่ค่ะค่ะ และค่ะ


ผมได้ยินแล้วก็ยิ้ม   


คุณวงรุ้งสนุกไหมครับกับงานที่ได้พูดคุยกับชาวบ้นแบบนี้


แหมฉันไม่เคยสัมผัสแบบนี้มาก่อนเลย  มันท้าทายมาก ๆ     คนที่ทำงานกับชาวบ้าน จนเขารวมกันเป็นกลุ่มก้อนได้นี่ฉันทึ่งจริงๆ  และก็....ทึ่งคุณด้วยหละ   เอ่อ ..น้ำตกอยู่อีกไกลไหมคะ

อีกไม่ไกลครับ  โค้งขวาข้างหน้าแล้ววกซ้ายอีกตงไปอีกห้าร้อยเมตรก็เข้าเขตหน้าผา   น้ำตกเปิดใหม่ที่ชาวบ้านพูดถึงคงเป็นตรงนั้น  ผมไม่ได้เข้าที่นั่นนาน   ก็เคยสำรวจกันไปเมื่อสามปีที่แล้ว   พี่ชิดบอกว่าผู้ใหญ่บ้านกับกลุ่มผู้นำไปติดต่อกับทางกรมป่าไม้ให้มาสำรวจและประกาศให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์    ชาวบ้านกลุ่มนี้เก่งนะครับ   ผมเองได้เรียนรู้จากเขาเยอะ   โน่นไง   คุณวงรุ้งมองเห็นหน้าผานั้นไหมครับ   ข้างล่างนั่นเป็นน้ำตก


อืม...สวยมากค่ะ   ดีจริง ๆ   ไม่ออกมาก็ไม่รู้เลยว่ามีอะไรดี ๆ ในหมู่บ้านแยะมาก


ผมดีใจนะครับที่ได้เห็นคุณวงรุ้งมีความสุข   โน่นไงพี่ชิดจอดรถรออยู่ตรงนั้นแล้ว  อา..ที่นี่เปลี่ยนไปมากจากที่ผมเคยเข้ามา  ผมจะจอดรถตรงนั้นแล้วเดินเท้าเขาไปกัน


อืม...อยากให้เพื่อนของวงรุ้งมาด้วยจัง   เดี๋ยววันหลังเราขอมาเที่ยวแบบไม่เกี่ยวกับงานได้ไหมคะ



"ยินดีต้อนรับล่วงหน้าเลยครับคุณวงรุ้ง"




(มีต่อ)				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  1 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์
Lovings  ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์