กลอนชมธรรมชาติ

เดินทางกลางป่า

ป๋อง สหายปุถุชน


จันทร์กระจ่างพร่างฟ้าเวลาเหงา
น้ำค้างเบาพรมหญ้าสายลมหนาว
มองดูจันทร์ลอยเด่นท่ามกลางดาว
สุกสว่างพร่างพราวกลางพงไพรยามเดินทางกลางป่าเวลาค่ำ
จันทร์ส่องนำดูทางสว่างไสว
คิดถึงหน้าคนรักผู้ห่างไกล
ช่างพาใจให้ชุ่มชื้นในคืนเพ็ญคืนนี้จันทร์ลอยเด่นเห็นดวงหน้า
เดือนดาราสาดส่องยังมองเห็น
หนาวน้ำค้างไอหมอกให้หนาวเย็น
สุดลำเค็ญเดินป่ายามราตรีแว่วเสียงหริงเรไรกลางไพรกว้าง
ต้องอ้างว้างห่างคนรักด้วยหน้าที่
ถึงตัวตายใจยังห่วงน้องคนดี
ด้วยชีพนี้พี่ยอมพลีเพื่อชาติไทย

วิถีชาวนา

คนกรุงศรี


เหลียวเมื่อยัง ครั้งเก่า อยู่เขาป่า
ทำไร่นา พอเพียง เลี้ยงลูกหลาน
หาผักปลา กุ้งปู อยู่ลำธาร
ตั้งแต่กาล ก่อนเก่า เราอยู่มาพอเช้าขึ้น แบกไถ ออกไปทุ่ง
ด้วยใจมุ่ง พร้อมทุย ลุยออกหน้า
สองเราย่ำ กรำไถ สุดปลายนา
จวบแดดแรง แสงจ้า กลับมาเรือนลงสวนผัก หักไม้ ไว้หุงหา
กับถางหญ้า กวาดไผ่ ที่ใบเกลื่อน
หางานทำ ร่ำไป ไม่แชเชือน
บางครั้งเยือน เพื่อนบ้าน เบิกบานใจ
ข้าวล้อลม พรมเขียว ใบเรียวพลิ้ว
แลลิบลิ่ว ขจี สีสดใส
ปล่อยน้ำเข้า เลี้ยงโคน ต้นโยนไกว
มินานได้ รวงกลม รอคมเคียว
พองานว่าง ต่างมา เลี้ยงปลากัด
นั่งเลือกคัด แดงล้ำ น้ำเงินเขียว
อีกไก่ชน เลี้ยงไว้ ตัวใดเปรียว
ประลองเชียว มิพนัน สุขกันดีแลทุ่งทอง เมื่อคราว ลมหนาวล่อง
ชวนพวกพ้อง  ช่วยกัน ขมันขมี
ร่วมลงแขก คว้าเคียว เกี่ยวอีกที
คือวิถี ชาวนา ผ่านมานาน
คนกรุงศรี ฯ
กลุ่มวรรณกวีศรีอยุธยา๑๖/๑๒/๒๕๕๕

ถึงธันวา.. พาไปเที่ยว

ศรีสมภพ


เห็นสีแดง แต้มแต่งพื้นแหล่งน้ำ
ช่างงดงามปานวาด ตัดหลากสี
เขียวแต้มแต่ง แดงสะพรั่งช่างดูดี
ภาพเช่นนี้มีให้ดู.. ภูกระดึง
ใบเมเปิ้ล เกินกว่าสวยด้วยเปลี่ยนสี
ร่วงเต็มที่ มีลำธารเป็นลานผึ่ง
ความเหน็บหนาว เร้าใจให้คะนึง
ภูกระดึง ถึงธันวา ..มาที่เลย
@  ท่องป่าปิด ชมเมเปิ้ลเปลี่ยนสีที่ภูกระดึง จ.เลย
" เมเปิ้ล เปลี่ยนสีอาจมีอยู่หลายแห่งในเมืองไทย แต่จะหาที่ไหนสวยงามไปกว่าเมเปิ้ลในป่าปิดของภูกระดึงนั้นไม่มี ที่นี่จึงเป็นที่สุดแห่งความงาม ทุกฤดูหนาวเมเปิ้ลจะพากันเปลี่ยนสีของใบเป็นสีแดงสดบ้างก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นดินเป็นภาพที่งดงามที่สุด "
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ใต้สุดด้าน อันดามัน สำราญตลอด
พายเรือลอดเจ็ดโค้งถ้ำ งามไม่น้อย
ปากทางเข้า ยาวไกลพายเรือลอย
ชมหินย้อย เผลอลอยข้าม สองอำเภอ
ผจญภัย พายเรือเที่ยว เลี้ยวลัดเลาะ
ช่างเหมาะเจาะ หาด-ทราย-น้ำ งามเสมอ
เที่ยวสตูล ทำบุญใดได้มาเจอ
งามเลิศเลอ เพ้อพร่ำไป ในธันวา..
@ พายเรือลอดถ้ำ ข้าม 2 อำเภอที่ถ้ำเจ็ดคต แหล่งผจญภัยแห่งใหม่ จ.สตูล
" ถ้ำขนาดใหญ่แหล่งผจญภัยด้วย การพายเรือลอดถ้ำที่โค้งถึง 7 โค้ง 7 คด งดงามด้วยหินงอกหินย้อย หาดทราย กลายเป็นที่เที่ยวแห่งใหม่เมืองสตูล ก็ต้องถือว่าสุดยอดเพราะพายเรือลอดถ้ำข้ามมาตั้ง 2 อำเภอ ที่เดียวในเมืองไทยไม่มีที่ไหนทำได้อย่างนี้ "

ร่วมรักษาป่าใหญ่ให้คงอยู่

ป๋อง สหายปุถุชน


<
ต้นไม้ใหญ่กิ่งไกลสูงตระหง่าน
เติบโตนานรากใบแผ่ไกลโข
หลายคนโอบดินดีต้นเติบโต
พุ่งพ้นโผ่รับแสงแห่งตะวันไม้พยุงต้นสักทองของสงวน
มอดรบกวนกัดกินเกือบสูญพันธุ์
อำนาจเงินคนแกร่งแย่งแข่งขัน
ขุดโค้นฟันตัดไม้ให้วอดวายยังมีข่าวจับไม้เถื่อนอยู่เกลื่อนเมือง
พร้อมกับเรื่องไฟป่าไหม้สูญหาย
ฝนฟ้าแล้งเปลี่ยนแปรงสุดบรรยาย
ยังซื้อขายไม้สงวนจวนหมดป่าร่วมรักษาป่าใหญ่ให้คงอยู่
เข้าฤดูแล้งหนาวเฝ้ารักษา
ทั้งไฟป่าคนตัดไม้มีค่า
ช่วยเยียวยาป่าใหญ่ให้ยืนยาว/font>  เป็นอีกหนึ่งแรงนะครับที่ช่วยปลุกจิตสำนึกให้คนรักป่าไม้

มีป่าจึ่งมีซึ่งชีวิต

สุนทรวิทย์


น้ำค้าง  สร่างซา  ฟ้าจรส
บรรพต  งดงาม  ยามอุษา
แดดอ่อน รำไร ไล้เมฆา
ไก่ป่า  ขันขับ  รับอรุณ
พรรณไม้  ลออ  ชูช่อดอก
กระรอก  ลัดเลาะ  เจาะขนุน
เสนาะ  สำเนียง  เสียงสกุนต์
ละมุน  อ่อนหวาน  กังวานไพร
ลมชาย  สายธาร  ม่านน้ำตก
แผ่ปก  นกปลา  พนาศรัย
ธรรมชาติ  มานะ  เจียระไน
ป่าให้  ร่มเย็น  เป็นพิมาน
ดลความ  ชอุ่ม  แหล่งชุ่มชื้น
ดาษดื่น  ชีวา  ผลาหาร
ให้อยู่  ยืนยง  คงกัปกาล
เจือจาน  โลกา  มานานนม
มีป่า  จึ่งมี  ซึ่งชีวิต
สถิต  สงบ  สบสุขสม
สิ้นป่า  สิ้นสินธุ์  คนสิ้นลม
สังคม  ล่มหาย  สลายพลัน

วิถีที่เปลี่ยนไป

สุนทรวิทย์


ตะวัน  หนีพลบ  เตรียมหลบเร้น
สนเอน  ตามลม  โน้มไหวไหว
บึงบาง  จอกแหน  แลรำไร
น้ำใส  พิสุทธิ์  ดุจประปา
ตะเพียน  ผลุบโผล่  ข้างโกเมศ
กะเฉด  เลื้อยทอด  จอดแน่นหนา
ย่างเย็น  เริ่มต้น  สนธยา
นภา  เมฆี  อาบสีทอง
วัวควาย  ทิ้งทุ่ง  มุ่งสู่คอก
คนออก  กรำงาน  คืนบ้านช่อง
วิถี  วี่วัน  ตามครรลอง
ภาพของ  ชนบท  แสนงดงาม
ต่างคน  กินอยู่  รู้ระบบ
สงบ  สันติ  มิผลีผลาม
รักษ์น้ำ  รักษ์ป่า  พนาราม
คล้อยตาม  ธรรมชาติ  ประสาธน์มา
นั่นเป็น  ความหลัง  ครั้งเก่าก่อน
เมื่อตอน  ฉันอยู่  กับปู่ย่า
เดี๋ยวนี้  คนเพี้ยน  เปลี่ยนอัชฌา
หิวหา  แต่เงิน  เกินประมาณ
บึงเน่า  ปลาตาย  วายวิฤกต
มลพิษ  คุกคาม  ลามถิ่นฐาน
โค่นป่า  ประทุษ  อุทยาน
ขายบ้าน  วัวควาย  จำหน่ายนา
ผ่อนรถ  คันโต  อยากโก้เก๋
เที่ยวเตร่ เสพติด  อภิจฉา
พักเดียว  รันทด  หมดเงินตรา
ชีวา  ขัดสน  ผจญกรรม

เช้า-สาย-บ่าย-เย็น

บนข.


ย่ำรุ่งสุริยาลืมตาแล้ว
นกกาเจื้อยแจ้วอยู่แว่วหวาน
ดาวเดือนเกลื่อนฟ้าราตรีกาล
ก็หยุดการสาดส่องท่องราตรี
แดดเช้าย่ำเช้ามาช้าช้า
หยอกเย้ายอดหญ้าลดาสี
น้ำค้างพร่างพราวราวมณี
ติณชาติปฐวีก็ปรีดา
ย่ำสายพรายพรับพะยับแดด
ก็หมายแผดสาดแสงอยู่แรงกล้า
อาทิตย์เกรี้ยวกราดกวาดสายตา
เป็นลำแสงเจิดจ้าทิวาวัน
น้ำค้างพร่างพรายสลายร่าง
ทิ้งยอดหญ้าอ้างว้างระหว่างนั้น
ลมร้อนร่ายร้อนมากำนัล
ดุจจะหยันเยาะอุษาทิพย์วารี
ยามบ่ายข่ายแสงก็แรงฤทธิ์
พระอาทิตย์เจิดจ้ารัศมี
โลกร้อนสะท้อนขุมอเวจี
ทุกเวลานาทีก็เดือดดาล
ปุปผชาติซบกายอยู่ปลายกิ่ง
หมดแล้วทุกสิ่งเคยหอมหวาน
เหี่ยวแห้งกลีบกลายวายปราณ
ร่วงหล่นลับกาลเวลา
ยามเย็นตะวันรอนอ่อนแสง
สุริยาล้าแรงลับเหลี่ยมผา
คืนค่ำย่ำคืนก็ฟื้นมา
เดือนดาวเจิดจ้าแจ่มราตรี
ลมโชยพัดโชยมาอ่อนอ่อน
โลกร้อนผ่อนร้อนได้สุขี
คืนค่ำผ่านค่ำมาย่ำยี
เช้าอีกที...กี่นับ กี่กัปกาล...

พฤศจิกา.. พาเที่ยว

ศรีสมภพ


รุ่งอรุณ..อุ่นตะวันตระการส่อง
ดอกบัวตองแม่อูคอ ล้อเอนลู่
เปล่งประกายไหวสะพรั่งตั้งช่อชู
ลมหนาวพรู อยู่ขุนยวมร่วมชื่นบาน
งามเหลือเกิน.. เต็มเนินเขาในเช้ารุ่ง
ผู้คนมุ่งทุ่งบัวตองท่องสถาน
แม่ฮ่องสอน นอนสั่นหนาวเร้าสราญ
บัวตองบานเต็มลานทุ่ง.. จรุงใจ !
................................................................................
แม่อูคอ ขุนเขาแห่งทะเลดอกไม้สีทอง จ.แม่ฮ่องสอน
"เมื่อลมหนาวเดือนพฤศจิกายนพัดมา นั่นเป็นสัญญาณธรรมชาติว่า
ดอกบัวตองดอยแม่อูคอจะพากันออกดอกสะพรั่งทั้งดอยดั่งทะเลดอกไม้สีทอง
ดอยแม่อูคออยู่ในเขต อ.ขุนยวม เป็นแหล่งของดอกบัวตองที่สวยงามที่สุด
ในเมืองไทย เวลาที่สวยงามที่สุดควรดูในตอนเช้าเมื่อแสงแรกของวันสาดส่องเพราะสีทองของดอกจะเปล่งประกายเป็นทองมากกว่าเวลาอื่นใด "
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
พลับพลึงธาร.. บานไสวในผืนป่า
คลองนาคา ดอกไม้น้ำงามเร้นลับ
หายากยิ่งจริงหนา ประดาประดับ
กิตติศัพท์ลับเร้น เห็นที่เดียว
...
เชื่อมระนองพังงาป่าสุราษฎร์
ช่วงงามจัด ถัดตุลาพฤศจิกาเที่ยว
บานเต็มคลอง ต้องใจไฉนเชียว ?
ชวนเก็บเกี่ยวมาเที่ยวเห็น..ความเร้นงาม
......................................................................................
พลับพลึงธารบานเร้นลับ ที่ผืนป่าคลองนาคา จ.ระนอง
"  พลับพลึงธาร คือ ที่สุดของความเร้นลับอย่างหนึ่งในผืนป่าคลองนาคา
เดือนพฤศจิกายนทุกปีทั้งคลองนา

สุขสมใจไอดินกลิ่นบ้านเก่า

บุญเพิ่ม


สุขสมใจไอดินกลิ่นบ้านเก่า
ทุ่งข้าวงามยามบ่ายคลายเม็ดฝน
นกบินวนบนไม้ใกล้ทุ่งข้าว
เรไรกล่อมลอมฟางข้างหญ้ายาว
ดอกรักขาวพราวช่อล้อเรไร
ฟ้าใสครามงามคุ้งรุ้งโค้งสวย
ริมลำห้วยพวยแสงแห่งฟ้าใส
สายลมโชยโปรยพร่างกลางพงไพร
มาลีไหวให้เห็นเย็นสายลม
สุขสมใจไอดินกลิ่นบ้านเก่า
มิตรหยอกเย้าเฝ้าถามตามสุขสม
กำลังใจให้กันปันคำคม
ยามโศกตรมขมขื่นฟื้นกำลัง!ฯ
อริญชย์
๒๘/๙/๒๕๕๕

นอนดิน นับดาว

คนกรุงศรี


คืนขึ้นค่ำ เมื่อวัน วสันต์สิ้น
เห็นจันทร์บิ่น เหลือเสี้ยว เกี่ยวทิวไผ่
เพียงครู่เดียว พอพลบ ก็หลบไป
ท้องฟ้าใส ด้วยดาว ดูพราวตาอาหารเย็น ยามค่ำ อิ่มหนำแล้ว
ยินเสียงแว่ว ขลุ่ยใคร ร่ำไห้หา
บทเพลงโศก สั่นผิว ลิ่วลมพา
เหมือนหนึ่งว่า คนครวญ รัญจวนใจลมเหนือล่อง ต้องไผ่ กอไหวพลิ้ว
เสียงหวีดหวิว สนโยก โบกไสว
สิ้นเสียงอึ่ง จึ่งเพียง เสียงเรไร
แลแสงไต้ ยิบยับ เทียบกับดาวคิมหันต์เหมือน เยือนย่าน ถิ่นบ้านนอก
สัญญาณบอก ถึงครา ว่าต้องหนาว
แค่ยามต้น ยลฟ้า ดาราพราว
ดูวับวาว สุกใส เรียงรายกันอยากรับลม ชมดาว ที่พราวพร่าง
ดูเวิ้งว้าง สุดตา ยิ่งพาฝัน
ราตรีกาล คืนใด ที่ไร้จันทร์
สร้างสวรรค์ บนดิน ถิ่นดงดอนแคร่ไม้ไผ่ ใต้เงา สะเดาขม
จะชื่นชม นับดาว พราวสลอน
หากคืนนี้ มีใคร ไหนเคียงนอน
จะเอื้อมกร เก็บดาว ให้เขาชม

เมื่อฝนหลั่ง

คนกรุงศรี


พอเมฆกลั่น ตัวกลาย เป็นสายฝน
โปรยลงบน ผืนหล้า พาชุ่มชื่น
หลากหลายพันธุ์ พืชไพร ใกล้ตายยืน
กลับพลิกฟื้น แตกกอ แทงหน่อพลัน
หญ้าใบเรียว เหี่ยวแห้ง แย่งออกยอด
ตำลึงกอด รั้วไม้ ไว้คงมั่น
ต้อยติ่งออก ดอกม่วง หลายช่วงวัน
ฝักของมัน แตกป๊ะ เม็ดกระจาย
ผักบุ้งเลื้อย เลาะสอด ลอดกิ่งไผ่
ยอดหน่อไม้ ไชพื้น ขึ้นมากหลาย
เห็ดโคนแผล่ม โผล่ดอก ออกมากมาย
เห็ดขึ้นชาย ลอมฟาง ช่างน่ากินดอกมะลิ ผลิขาว พราวเต็มต้น
ภู่ผึ้งวน บินล้อม ดมดอมกลิ่น
แมลงปอ โฉบเฉี่ยว เลาะเลี้ยวบิน
เจ้าขมิ้น เหลืองจ้อง มองแต่ไกล
กลิ่นแก้วกรุ่น กอใหญ่ อยู่ใกล้บ้าน
ดอกขาวบาน เต็มกอ ช่อไสว
ลมกระโชก โยกก้าน สะท้านไกว
ดอกร่วงไป เกลื่อนโคน ขาวโพลนตา
แต่ดอกแก้ว คนหนึ่ง ซึ่งสนิท
เป็นยอกมิตร เมื่อครั้ง ยังพบหน้า
เธอโยกย้าย หายห่าง เหมือนร้างลา
ยังห่วงหา อาทร คอยย้อนคืน

ปันสุขสองน้ำ

ศรีสมภพ


เจ้าพระยา,สะแกกรัง     เลียบฝั่งสองน้ำ
ปั่นน่องท่องนำ              วัฒนธรรมสืบสาน
“ ปันสุขสองน้ำ”             สุขล้ำสำราญ
เกาะเทโพตระการ         พื้นบ้านอุทัยฯ
ปันสุขสองน้ำ                 วิถีงามยิ่งใหญ่
ท่วมหนักแค่ไหน          ทำใจให้สุข
สะแกกรัง,เจ้าพระยา     น้ำมาไม่ทุกข์
ใช้ธรรมนำปลุก             ปันสุขสองน้ำ
สองสายสองแม่               น้ำแผ่ใต้ต่ำ
ท่วมมิดมืดน้ำ                 ไม่ช้ำทำใจ
ผสมกลมกลืน                 พลิกฟื้นคืนใหม่
ให้ทำอย่างไร                 เขาใช้แก้มลิง
น้ำปริ่มยิ้มสู้                  เรียนรู้อยู่นิ่ง
ยอมรับความจริง           ไม่ทิ้งไม่ขว้าง
ปั่นน่องท่องเที่ยว          เก็บเกี่ยวเกาะกลาง
สองแม่แผ่กว้าง             โอบร่างสร้างลูก
ขออยู่กับแม่                  ดูแลพันผูก
ไม่โกรธไม่ทุกข์            ยามสุขแบ่งกัน ! ..
..............................................................................................................
"เป้ อารักษ์" ซุปเปอร์สตาร์ผู้หลงใหลในการปั่นจักรยานเป็นชีวิตจิตใจ กับบทบาทการแสดงหนังบนหลังอานจักรยานเป็นครั้งแรก หนังสุดเท่ที่ "เป้ อารักษ์" จะพาคุณปั่น 2 ล้อคู่ใจ แหวกอากาศในบรรยากาศรื่นรมย์ ปั่นไปพร้อมกับจักรยานนับ 100 คัน ทั้งจักรยานโบราณ เสือภูเขา ฟิกซ์เกียร์ ฯลฯ ปั่นไปเที่ยว "เกาะเทโพ" เกาะกลางน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ซึ่งอย

คน ช้าง ป่า

ป๋อง สหายปุถุชน


เวิ้งฟ้าตะวันฉายไกลสุดตา
พงพนากว้างใหญ่ส่องฉายแสง
พืชพันธุ์ไม้พงไพรฟ้านวลแดง
ทั่วทั้งแปลงเติบใหญ่ให้ร่มเงาแสงรำไรส่องผ่านลานโคนต้น
บ้างออกผลแตกหน่อริมโคนเขา
สัตว์น้อยใหญ่อาศัยนอนแนบเนา
มนุษย์เราทำลายป่าไม้งามทั้งไฟป่าเผาผานกันวอดวาย
ไม้ล้มตายสัตว์สูญหายดูรุกราม
ป่าไม้แห้งดินแล้งดูเสื่อมซาม
ก็เพราะความเห็นแก่ได้ของใครกันดูช้างป่าออกหากินพืชไร่
คนถางไถป่าไม้กันทุกวัน
ตัดเตียนโล่งทำลายใช้เลื่อยหั่น
ขุดโค้นฟันปลูกพืชไร่เลื่อนลอยจนมีข่าวอื้อฉาวคนกับช้าง
เดินสวนทางช้างป่าต้องล่าถอย
ต่างต้องกินต้องอยู่ป่าริมดอย
ป่าเหลือน้อยช้างป่าออกหากินรุกแนวป่าเข้าไปทำไร่สวน
ป่าไม้จวนสูญไปเหลือแต่ดิน
ช้างอดหิวต้องออกระลานถิ่น
ฝนหลั่งรินดินโคลนฟังทลาย

คอยอยู่บ้านนา

บุญเพิ่ม


คอยอยู่บ้านนา
ย่ำค่ำเย็นลมพราวกอข้าวไหว
ห้วงดวงใจสุขสมไม่ตรมเศร้า
ลานบ้านนาหญ้างามทั่วลำเนา
ฝันวันเก่ายังซึ้งติดตราใจ
หม่นบนฟ้าครึ้มเมฆเทพเสกสรร
ฝนหล่นพลันเติมหวังธารหลั่งไหล
เอื้อเฟื้อถิ่นพื้นหล้าจากฟ้าไกล
ยิ้มพริ้มในดวงหน้าตั้งตารอ
สุขทุกคราวลมโชยฝนโปรยสาย
ข้าวพราวพรายสดใสคลี่ใบช่อ
หลังหลั่งฝนกบพลันร้องกันออ
รักถักทอนกร้องทำนองครวญ
หวานซ่านเพลงไพรวันชวนหรรษา
ฤกษ์เบิกฟ้าสะกิดให้คิดหวน
ทุ่งคุ้งน้ำลาวัณย์แสนรัญจวน
ตื่นคืนด่วนพ่อแม่เฒ่ายังเฝ้ารอ!ฯ
อริญชย์
๒๕/๘/๒๕๕๕

พาเพลิน

din


แดดอ่อนรำไรโลมลูบ
ลมวูบจูบแก้มแต้มผิว
แมกไม้ไหวอ่อนโปรยปลิว
ดูทิวสนเจ้าเบิกบาน
ผีเสื้อปีกลายทายทัก
เพลงรักแว่วแว่วแผ่วหวาน
ดอกไม้หลากสีคลี่บาน
ซาบซ่านฤดีปรีดา
ใบไม้หวีดหวิวดังแว่ว
เสียงแจ้วเจื้อยเจื้อยปักษา
ใต้ร่มพรรณไม้นานา
ร่มรื่นชื่นตาพาเพลิน

ทุกข์ทนเพราะฝนแล้ง

ดาวระดา


เอื้องหมายนาอ้าดอกออกรับแดด
ยามฟ้าแสดส้มแดงส่องแสงฉาน
วาดวันใหม่ในอู่ฤดูกาล
และมอบความร้าวรานนับล้านครั้ง
กลางสิงหาหน้าฝนต้องทนแล้ง
เหมือนถูกแช่งแล้งกดให้หมดหวัง
ลมโรยรินหมิ่นหมายเหมือนหน่ายชัง
พัดเมฆเทาเงาตั้งให้พังลง
เหลือเพียงแดดแผดผลาญประหารหั่น
พื้นดินพลันหลั่นลดปรากฏผง
ใบข้าวเขียวเซียวซีดสละทรง
บิดเกลียววงกงกรอบจนรอบแล้ว
น้ำขาดเขินขอดแห้งความแล้งผลัก
ชนชาวนาจำพักหายใจแผ่ว
จะปักดำทำต่อก็ใช่แนว
ด้วยไร้แววฝนพรำกระหน่ำเท
แทบจะนับเม็ดฝนที่หล่นได้
มหาภัยพื้นชนสุดสนเท่ห์
โอ้ชาวนาพาหวังล้มพังเพ
ฤดูลักหักเหเล่นเล่ห์ลวง
แล้งหลงทางขวางทิศทำผิดหมด
ไม่ตามกฎกติกาแสนน่าห่วง
ฝนเจ้าเอ๋ยเฉยชาไม่มาทวง
จวนถึงช่วงข้าวท้องยิ่งหมองตรม
เอื้องหมายนาอ้าดอกและออกผล
แต่ตัวคนปลูกข้าวยังร้าวขม
จะเด็ดเอื้องดอกดื่นมาชื่นชม
แต่ฝันจมพรหมพื้นไม่ฟื้นฟู
ดาวระดา
23 สิงหาคม 2555

คิดถึงบ้าน

เปลวเพลิง


ที่ท้องทุ่งถิ่นฐานบ้านเรานั้น
ไร้สิ่งสรรพ์เจริญหลามตามสมัย
ไร้ร้านรวงสะดวกเข้าเอากำไร
ไร้ดวงไฟแสงสีราตรีกาลเราจำได้แต่ว่าคราพลบค่ำ
วัวควายย่ำยาตรากลับมาบ้าน
พ่อแบกจอบเก่าคร่ำจากทำงาน
การไถหว่านกล้าเรียวเขียวขจีแม่ตั้งเตาเตรียมไฟไว้หุงข้าว
ตำหรับสาวบ้านนาสมราศี
เราลงคลองเล่นน้ำฉ่ำกายี
ก่อนเร็วรี่รุดหน้ากลับมาเรือน
โอ้หอมหวนไข่เจียวฝีมือแม่
เรียบง่ายแต่อิ่มใจหาใดเหมือน
พ่อนอนหงาย ประแป้ง ชมแสงเดือน
ยามดาวเยือนหลังคาฟ้าแพรวพรายเพื่อนไพรพฤกษ์ยามนี้มีหริ่งหรีด
ขับสังคีตมโหรีดนตรีหลาย
ราตรีกรุ่นกลิ่นย้อมหอมกำจาย
ลมหนาวกายแต่อุ่นรักประจักษ์ทรวงโอ้บ้านทุ่งถิ่นเก่าของเรานั้น
คือภาพฝันอาบแดนสุดแหนหวง
สุขสบาย กาย ใจ ไร้เล่ห์ลวง
ท่ามกลางปวงธรรมชาติพิลาสพิไลคืนนี้ส่งใจฝากข้ามฟากฟ้า
กับดาราระยิบแข่งแสงสดใส
คิดถึงทุ่ง บ้านเรา เนาหทัย
อีกเมื่อไหร่จะได้กลับไปเยือน
หน้า / 5  
ทั้งหมด 78 กลอน