กลอนชมธรรมชาติ

งามยาม.เช้า

มวลภมร


ตื่นมาแล้ว ในเช้า ที่สดใส
เหลียวหาใคร สักคน มามองหน้า
ตื่นมาแล้ว มองหา คนสบตา
พบเพียงหน้า ในกระจก ก็ตกใจ
....
ตกกะใจ ว่านั่น คือใครหนอ
ดูรูปหล่อ พอไป วัดวาได้
หล่ออย่างนี้ ไหงไม่มี ใครสนใจ
ไร้คนใกล้ ข้างกาย ในค่ำคืน
....
ไม่รู้ว่า คืนนี้ เธออยู่ใหน
อยากให้น้อง มาใกล้ เพื่อใจชื่น
อยากกอดน้อง นั้นไว้ ในค่ำคืน
ในยามตื่น อยากมองหน้า อย่าลาไกล
...
นอนทบทวน ความหลัง เมื่อยามค่ำ
ความทรงจำ ดูดดื่ม กว่าคืนใหน
พี่รุกเร้า ลีลา น้องจับใจ
ขยับใกล้ กายสนิท แนบชิดกัน
...
หากว่าเป็น เพียงนี้ พี่เปี่ยมสุข
ยามเข้าลุก มองน้อง นางในฝัน
หน้าน้องยาม ไร้แต้ม เติมสีสัน
สุดรำพัน สาวสวยยาม ไร้สำอาง
......(คิดเองเนอะ..สภาพใหน)

๐ลูกทุ่งเพลงสวรรค์๐

บุญเพิ่ม


๐ลูกทุ่งเพลงสวรรค์๐
สูงเทือกเขาทิวไพรวิไลแสน
ล้อมกั้นแดนทุ่งข้าวพราวไสว
นกบรรเลงเพลงหวานกังวานไพร
หริ่งเรไรขับขานกล่อมบ้านนา
ประเพณี วัฒนธรรม ประจำถิ่น
ศาสตร์และศิลป์พื้นบ้านสืบสานค่า
โหวด พิณ แคน ซอ ซึง ขลุ่ยตรึงตรา
พลิ้วแผ่วมาหวานหูมิรู้คลาย
มิเคยคิดใฝ่สูงเป็นยูงหงส์
ยังดำรงศักดิ์ชาวนาตั้งหน้าหมาย
รักญาติมิตรเพื่อนพร้อมรายล้อมกาย
รักษ์ต้นไม้ใบหญ้าคุณค่ามี
ยังสืบสานความเป็นไทยเอาไว้มั่น
หวง ผูกพันครรลองธรรมท้องที่
เวิ้งทุ่งข้าวธรรมชาติอากาศดี
ปลุกชีวีให้สดชื่นทุกคืนวัน
แม้เติบใหญ่ในแดนอ้อมแขนทุ่ง
ก็ผดุงแนวทางคิดสร้างสรรค์
ผูกใจรักสามัคคีอยู่นิรันดร์
ในสวรรค์บ้านนาขอบฟ้างาม ฯ
อริญชย์
๓/๑/๒๕๕๕

ตามวิถีแห่งฝันคนสัญจร

บุญเพิ่ม


ตามวิถีแห่งฝันคนสัญจร
แสงแดดส่องลอดลายเงาไม้ร่ม
หญ้าพร่างพรมลมพัดสะบัดไหว
นกกากล่อมบรรเลงบทเพลงไพร
ท้องฟ้าใสจางปางกระจ่างงาม
สะเดาแตกช่อใหม่พลิ้วไหวลู่
ขี้เหล็กชูดอกมาเหลืองอร่าม
อินทนิลม่วงขาวสกาวงาม
ดอกมะขามเหลืองอมสีชมพู
สำโรงสูงลิบลิ่วเคียงทิวสัก
โตช้านักตะเคียนคล้ายเตียนอยู่
แคนาออกดอกยื่นพอชื่นชู
ต้นตะกูยังสั้นรอวันคืน
ร่มเงาไม้ชายป่ามีค่ายิ่ง
ได้พึ่งพิงความอุดมแสนร่มรื่น
หลายชีวิตมีความหวังอยู่ยั่งยืน
ด้วยกลมกลืนธรรมชาติอากาศดี
เหนื่อยจากการงานหนักมาพักผ่อน
เดินนั่งนอนสดชื่นใต้พื้นที่
เติมใจจินต์กลั่นมาบทกวี
ตามวิถีแห่งฝันคนสัญจร!ฯ
อริญชย์
๗/๕/๒๕๕๕
บ้านหนองสองห้อง  ต.ห้วยแห้ง  อ.แก่งคอย จ.สระบุรี
http://www.youtube.com/watch?v=k8Pxh1FwEpE

ธรรมชาติกับความรัก.....รอยคลื่น กับผืนเล......

ทิพย์โนราห์ พันดาว


เก็บเปลือกหอย มาร้อย เป็นสร้อยสาย...
มิอาจหมาย เก็บดาว ที่พราวฟ้า
คลื่นเบาเบา ใจเก่า ในกาลเวลา
ปิดเปลือกตา ฟังสะอื้น ของคลื่นลม....
เอนหลังอิง หินผา อุ่นสาแสง
ไอแดดแรง กรุ่นเล เห่ผสม
ลมทะเล เล้าไล้ ในอารมณ์
ภวังค์จม ข่มใจ ให้ลบลืม....
รอยอดีต บนทางร้าว ที่ก้าวผ่าน
ชั่วกัปกาล ข่มใจ ไม่ใฝฝืน
คลื่นยังซัด หาดซับ แล้วกลับคืน
ลมยังยืน ไม่ลาลับ กลับฝั่งเล....
แต่รอยร้าว เมื่อคราวก่อน ตอนจะจาก
เป็นรอยฝาก จากบางใคร เพราะใจเขว
คอยตอกย้ำใจเรา ..เขาโลเล
ดุจทะเล กับรอยทราย คล้ายคล้ายกัน....
เก็บเปลือกหอย มาร้อย เป็นสร้อยสาย....
เฝ้ามั่นหมาย วอนลมพัด ซัดความฝัน
สู่ฝั่งใจ ในเขา ..เนาว์นิรันด์...
ไม่คลาดกัน เหมือนรอยคลื่น กับ...ผืนเล....
ทวดเขานายแรง..สงขลา 55
ทิพย์โนรา์ห์ พันดาว

ปลวกมอด

เชษฐภัทร วิสัยจร


ปลวกมอดกอดไม้ไว้แน่น
กลวงแกนแค่ไหนไม่สน
ฝืนยึดต้านลมถล่มตน
ห่าฝนกระทืบใหญ่ให้มลาย
รากต้นถูกถอนก่อนขาด
ธรรมชาติกฏเปลี่ยนเวียนว่าย
รากเน่าเก่าไปใกล้ตาย
ลมร้ายยิ่งซ้ำกระหน่ำดิน
มอดปลวกนกกาบ้าคลั่ง
ฝืนรั้งเรื่องราวด่าวดิ้น
เกลียดโกรธหมดท่าหากิน
หมดสิ้นคุณธรรมสำรวม

ยามรุ่งอรุณ

ธันวันตรี


ฟ้าทึมทึบทึมเทาเงาพระจันทร์
ค่อยผ่อนเพลาลงพลันเช้าวันใหม่
ไก่ฟ้าขันกู่ร้องเสียงก้องไกล
ปลุกชาวนาเร็วไวไปท้องนา
แสงระวีส่องเกล็ดเพชรน้ำค้าง
ที่ใบบางเขียวไพรของใบหญ้า
เสียงบทเพลงขับร้องของนกกา
แว่วจากฟ้าเมืองแมนสู่แดนดิน
แม่หุงข้าวหอมใหม่ใส่บาตรพระ
รับธรรมะจากสงฆ์ผู้ทรงศีล
วิเวกเดินดงมาเป็นอาจิณ
ตามท้องถิ่นท้องทุ่งทุกรุ่งเช้า
ตะวันพริ้มยิ้มพรายบนปลายฟ้า
บอกเวลาอรุณเยือนเหมือนก่อนเก่า
ความสันโดษร่มเย็นทอดเป็นเงา
ความสุขคราวเรียบง่ายทักทายรอ
ยามเช้า ณ ท้องนา เป็นเวลาที่อากาศเย็นสดชื่น ด้วยสายลมและสายหมอก
น้ำค้างพร่างพรมบนยอดหญ้า และดอกไม้ป่า ระยิบระยับงดงามคราต้องแสง
รอเวลาเหือดหาย ตามธรรมดาของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป อยู่เป็นนิรันดร์
แม้ในท่ามกลางกระแสโลกาภิพัฒน์อันเร่าร้อน ตามอำนาจของความอยาก ที่กำลังกลืนกินสังคมไทย เราอาจจะพบทางเลือก ที่สันโดษ เรียบง่าย เงียบงามในสมดุลของธรรมชาติ ดังคำสอนของพระศาสดา
ด้วยความสงบ ความสมดุล และแสงสว่าง
ૐ ธันวันตรี ૐ

วิมานดิน

คนกรุงศรี


ตะวันรอน อ่อนแรง ลดแสงจ้า
แลทุ่งนา ขจี ด้วยสีเขียว
สายลมแล้ง แกว่งไกว ข้าวใบเรียว
เดินลัดเลี้ยว คันนา มาเพิงไพรข้ามคันคลอง น้ำเย็น แลเป็นสาย
เห็นปลาว่าย แหวกดำ เพราะน้ำใส
ลำธารา นี่หรือ คือสายใย
หล่อเลี้ยงให้ เราอยู่ คู่แดนดง
มองกระท่อม ซอมซ่อ แค่พออยู่
ไม่เลิศหรู แต่ใน ใจประสงค์
หลังคาจาก ฟากใช้ ลำไผ่ตง
ดูมั่นคง อยู่ย่าน วิมานดิน
สงบเงียบ เรียบง่าย อยู่ชายทุ่ง
มิเคยมุ่ง ลาไกล ไปจากถิ่น
ธรรมชาติ บ้านป่า น่ายลยิน
มิใช่ถิ่น ขาดแคลน แคว้นกันดาร
เสร็จงานหนัก พักกาย พอหายเหนื่อย
คลายจากเมื่อย เตรียมหา หุงอาหาร
ลวกสะเดา เผากุ้ง มุ่งจัดการ
น้ำปลาหวาน ต้มโคล้ง ซดโล่งดี
แค่พออิ่ม เอียงหลัง ขอนั่งพัก
มินานนัก ตะวัน นั้นก็หนี
คืนเดือนแรม ดารา แต้มราตรี
ตะเกียงหรี่ เรไรขับ ...ก็หลับไป
คนกรุงศรี ฯ
กลุ่มวรรณกวีศรีอยุธยา

วิมานบ้านทุ่ง

สุนทรวิทย์


จากบ้านทุ่ง  ไร่,นา  มานานเนิ่น
จนห่างเหิน  ขนบ  อันอบอุ่น
กรำอยู่แดน  ศรีวิไล  เมืองนายทุน
ชุลมุน  วุ่นวาย  นับหลายปีแทบลืมเลือน  อดีต  จารีตเก่า
ภูมิลำเนา  เคยอุ้ม  คุ้มเกศี
สบโอกาส  กลับเคหา  มาอีกที
พบวิถี  ดั้งเดิม  ให้เคลิ้มใจ
สายลำธาร  ห้วย,หนอง  คลองยังอยู่
ต้นประดู่  นกยูง  ยิ่งสูงใหญ่
บ้านฉันสิ  คร่ำคร่า  เก่ากว่าใคร
เหมือนมิได้  แตกต่าง  จากปางบรรพ์
สังคม  ธารณะ  ชนบท
ดำรงกฎ  เผื่อแผ่  มิแปรผัน
การร่วมจิต  ร่วมแรง  ร่วมแบ่งปัน
สานสัมพันธ์  สืบทอด  ตลอดมานั่น“ละไม”  ใส่งอบ  หอบผักบุ้ง
ทักทายลุง“สมชาย”  กับ“ยายสา”
หนึ่งให้ผัก  อีกฝ่าย  ก็ให้ปลา
ยิ้มเฮฮา  เหลียวแล  มีแก่ใจตา“ทองดี”  ปวดน่อง  เดินย่องแย่ง
กล่าวขอแรง  “เจ้านวย”  ช่วยถางไร่
ส่วน“เฉลา”  เยาวพา  ชวนน้าไพ
ขึ้นรถไป  เยี่ยมหลาน  ป้ากานดาความเป็นอยู่  เรียบง่าย  ในหลักแหล่ง
ไร้ขันแข่ง  แบ่งแยก  แตกปัญหา
มิต้องสวม  หน้ากาก  มากมารยา
ดูสุขกว่า  เมืองกรุง  ที่รุ่งเรือง

หนุมานฤาชาญเท่า

ฟ้าฟื้า ธรรมชาติ


หนุมานฤาชาญเท่า
พี่ยิ่งกว่าการหาวเป็นดาวได้
หนุมานยกให้พี่เป็นเจ้า
เห็นไหมพลธนูเป็นหมู่ดาว
พี่เคยหาวทิ้งไว้เมื่อปลายปี
กลุ่มของแพะทะเลพี่ก็หาว
ขึ้นเป็นกลุ่มดาวเมื่อเดือนยี่
ดูกลุ่มดาวปลาตรงนั้นซี
หาวไว้เดือนสี่แต่นานมา
นั่นดูนั่นเขาเรียกกลุ่มดาวแกะ
พี่หาวออกเยอะแยะแต่เดือนห้า
จำได้เดือนหกพฤษภา
หาวออกมาเป็นกลุ่มดาววัว
หนุมานฤาชาญเท่า
เดือนเจ็ดพี่ก็หาวดาวคนคู่
ลักเล่นเช่นชู้อยู่ถ้วนทั่ว
ดูดาวปูพี่หาวคราวละตัว
อยู่เหนือหัวเดือนแปดเป็นกลุ่มดาว
ดูนั่นดูกลุ่มดาวสิงโต
พี่หาวโห่ไว้ให้ในเดือนเก้า
พี่หาวต่อเดือนสิบกระพริบพราว
เป็นกลุ่มดาวหญิงสาวพรมจารี
เดือนสิบเอ็ดเคยหาวดาวคันชั่ง
ก่อนจะนั่งหาวให้เดือนอ้ายยี่
กลุ่มดาวคนแบกหม้อขอโทษที
ลืมว่าหาวดาวนี้ที่เดือนสาม
พี่นั้นหาวเป็นดาวได้กว่านี้
อันตัวพี่มีดีมิได้พล่าม
หากแต่คืนนั้นหนาใต้ฟ้างาม
พี่นอนหาวไม่กี่ยามก็หลับไป....
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ

คนบ้านนา ฟ้าบ้านนอก

คนกรุงศรี


เมื่ออยู่นา ป่าเขา ลำเนาหนอง
ลงบึงคลอง งมปลา เป็นอาหาร
กับปลูกผัก หักไม้ ไว้ใช้งาน
ทั้งเผาถ่าน ขุดเผือกมัน แบ่งกันกิน
ถึงหน้านา กล้าหว่าน งานเริ่มต้น
เหมือนทุกคน มุ่งหน้า หาทรัพย์สิน
ขอแรงควาย ช่วยฟื้น พลิกผืนดิน
พอฝนริน นำกล้า ดำนากัน
มีน้ำหล่อ กอใหญ่ อีกไม่ช้า
ทั่วท้องนา เขียวขจี เป็นสีสัน
วัชพืช รกมาก ถากถางมัน
เพลี้ยหนอนนั้น สมุนไพร ฉีดไล่ดี
ข้าวตกรวง น้ำลด ดูสดใส
มองออกไป ทุ่งทอง ดูผ่องสี
พอลมล่อง ร่วมงาน กันอีกที
ของแรงพี่ น้องนำ มารำเคียว
จะลงแขก พอบอก ออกร่วมด้วย
หนุ่มสาวสวย แข็งขัน ช่วยกันเกี่ยว
เพลงกังวาน บ้านนา น่าฟังเชียว
บทเพลงเกี้ยว แก้กัน นั้นลอยลม
บนลานนวด ควายย่ำ เดินนำหน้า
ข้าวจากนา เข้าฉาง ช่างสุขสม
ฟ้าบ้านนอก คนบ้านนา น่าชื่นชม
ความทุกข์ตรม สักครั้ง ยังไม่เคย
คนกรุงศรี ฯ
๑๖/๓/๒๕๕๕

ฤดูกาล

ร้อยฝัน


ฤดูร้อน
อากาศร้อนด้วยแดดที่แผดจ้า
ท้องทุ่งนาดินแยกแตกระแหง
ปลาดิ้นตายด้วยน้ำลดจนหมดแรง
ไร้สรรพสิ่งสำแดงแข่งตะวัน
ฤดูร้อน ร้อนดั่งไฟใจร้อนรุ่ม
เหมือนโดนสุมด้วยกองไฟกองใหญ่นั่น
กายก็ร้อนใจก็แล้งแห้งโดยพลัน
รอเพียงฝันน้ำจากฟ้ามารดริน
ฤดูฝน
เมื่อเม็ดฝนหล่นฟ้ามาสู่ทุ่ง
ชาวนามุ่งหว่านไถไปทั่วถิ่น
พลิกชีวิตฟื้นชีวามาจากดิน
เหมือนได้ยินเพลงหวานผ่านท้องนา
เพลงชีวิตบรรเลงเพลงชาวทุ่ง
หวังผดุงแม้เปลี่ยนกาลโบราณว่า
น้ำมีปลานามีข้าวยาวนานมา
เลี้ยงชีวาชาวไทยได้ร่มเย็น
ฤดูหนาว
ยามลมหนาวพัดผ่านสะท้านหนาว
บอกเรื่องราวผ่านมาคราทุกข์เข็ญ
ทั้งร้อนแล้งฝนเปียกปอนตอนรำเค็ญ
เหมือนดั่งเป็นฤดูกาลเพียงผ่านมา
สิ้นเก็บเกี่ยวข้าวปลามาพร้อมพรัก
ให้ประจักษ์ทุ่งแห่งทองของมีค่า
ถึงหน้าหนาวมาเยือนเตือนทุกครา
ถึงเวลาแห่งสุขถ้วนทุกคน
***********************
ฤดูกาลผันเปลี่ยนเวียนเป็นรอบ
ดั่งตีกรอบให้เปลี่ยนผันกันทุกหน
เหมือนชีวิตสับเปลี่ยนเวียนหมุนวน
จึงขึ้นชื่อว่าเป็นคน ปน ปนกัน

ชมไพร

คนกรุงศรี


ชมไพร
ตะวันชาย บ่ายคล้อย เมฆลอยล่อง
ชวนนิ่มน้อง ท่องไพร ไปป่ากว้าง
เลี้ยวลัดเลาะ ล่วงล้ำ นำนวลนาง
ชมแมกไม้ สำอาง ไม่วางตา
งามกุหลาบ พันปี สีสดใส
สนสามใบ เด่นนัก สักสง่า
ดุเหว่าร้อง ก้องกู่ ตามคู่มา
หมู่นกกา โผผิน บินท้าลม
ชะนีโหย หวนหา คราพลัดคู่
แต่สองเรา สุขอยู่ เปรียบคู่สม
ยอดประยงค์ ไหวแกว่ง แข่งมะยม
เธอชี้ให้ ฉันชม พรมไมตรี..                           ยุคนธร
ภุมรินทร์ บินล้อม ดอมเกสร
เดี๋ยวเดียวร่อน ผกผิน โบยบินหนี
ความหวานลด หมดไป เลิกไยดี
เกรงว่าพี่ จะเป็น เช่นภมร
เห็นรักเร่ เรียงราย มิวายคิด
คนใกล้ชิด เคียงเรา ที่เฝ้าอ้อน
จะรักเร่ หรือรักซ้อน ซ่อนบังอร
กลัวร้าวรอน เหมือนกลุ่ม พุ่มลั่นทม
มาชมไพร ใจน้อง หวั่นต้องช้ำ
เห็นระกำ กอใหญ่ ใจขื่นขม
ฤๅจะเป็น เปรียบเรา เศร้าโศกตรม
เพราะหนามคม ทิ่มตำ .....จนช้ำใจ      ...    ..ดอกแก้ว ดวงฤทัย

เพียงความอ่อนไหว

din


ฉันก็ยังเป็นฉันทุกวันนี้
ผ่านชีวีร้อนหนาวยาวนานเนิ่น
เหนื่อยแสนเหนื่อยทุกข์ยากลำบากเกิน
ยังมุ่งเดินสร้างสรรถักฝันทอ
กำลังใจมีไหมให้กันบ้าง
คนอ้างว้างหม่นหมองมาร้องขอ
แค่ปรายตามองเมียงก็เพียงพอ
นานแสนนานยังรอมิท้อใจ
บนทางเดินแสนกว้างเมื่อย่างเท้า
พบแต่เงาเหงางันของวันใหม่
ยังดุ่มเดินดายเดียวเปลี่ยวฤทัย
ล้มลุกคลุกคลานไปในเส้นทาง
อรุณรุ่งของชีวีจะมีไหม
ฤๅหัวใจใกล้ดับกับรักหมาง
เพียงสายหมอกหยอกไล้ไอบางบาง
พื้นที่ว่างกลางใจก็ไหวเอน

ท่องเที่ยวไป ที่ไหนดี?

ศรีสมภพ


อลังการดาวอยู่บนดิน เทศกาลแห่ดาว
จ.สกลนคร
เมอรี่ ! เมอรี่ ! ..คริสต์มาส
จินตนาการสานกระดาษวาดสีสัน
โน้มกิ่งฟ้ามาแต่งแต้มแซมดินกัน
ดึงสวรรค์และดวงดาว พราวพรมดิน
ขบวนรถ งดงามตามความคิด
ต่างประดิษฐ์ คริสต์มาสจัดแจงสิ้น
เทศกาลแห่งดาว  เร้าใจจินตน์
สมถวิล ไปงานแห่.. ท่าแร่สกล
" ค่ำคืนวันฉลองเทศกาลคริสต์มาส ไม่มีที่ไหน
จะตื่นตาตื่นใจได้เท่าที่นี่ คนเมืองสกลนครเขา
จินตนาการดาวบนท้องฟ้าเอามาแห่อยู่บนดิน
เป็นเทศกาลรื่นเริงสนุกสนานกว่าคริสต์มาสที่ไหนๆ
ในเมืองไทย ต.ท่าแร่ อ.เมือง จ.สกลนคร "
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
ตระการตา พิพิธภัณฑ์มังกรทองล้ำค่า
หนึ่งเดียวในเมืองไทย    จ.สุพรรณบุรี
มังกรยักษ์.. ยิ่งใหญ่ทะยานฟ้า
อหังการ์ กล้าแกร่งแห่งเขตขันธ์
รวมน้ำใจ เชื้อสายจีนถิ่นสุพรรณ
ตรึงตระหง่านตระการตา ท้าคนชม
ไฟยามค่ำ ทำกลายร่าง ตั้งเทียมฟ้า
งามสง่า ท่าผยอง ทองสวยสม
พิพิธภัณฑ์แห่งเผ่าพันธุ์ อันชื่นชม
ชาตินิยมอุดมเด่น..เช่นมังกร
" พิพิธภัณฑ์รวมเผ่าพันธุ์คนไทยเชื้อสายจีน
เมืองสุพรรณบุรีนั้นความยิ่งใหญ่ไม่เหมือนใครคือ
สร้างเป็นมังกรยักษ์โลดแล่นทะยานฟ้า คราเมื่อใกล้ค่ำ
มังกรยักษ์ตัวนี้จะกลายร่างได้เป็นมังกรทองล้ำค่า
ถ้าไม่ไปไม่เห็น ไม่รู้ไม่เชื่อ "
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
อลังการมรดกโลกเมืองเก่าอยุธยา ยามราตรี
จ.พระนครศรีอยุธยา
อลังการ.. งานศิลป์ ถิ่นอยุธย์
บริสุทธิ์ สมสถาน โบราณค่า
ต้องแสงไฟ ในค่ำคืน

เพลงในฝัน

เปลวเพลิง


ลมรำเพยคีตกานท์ผ่านขุนเขา
แว่วสำเนียงแผ่วเบามาเข้าฝัน
ฝ่าต้นตึกตระหง่านกลางม่านควัน
เพียงรำพันฝากเมืองที่เฟื่องฟู“เหนื่อยบ้างไหมคนกรุงผู้มุ่งหวัง
ตั้งหน้าตั้งตาทำงานสราญหรู
กลางความเสี่ยงครอบรุกทุกอณู
คิดหาดูน้ำใจแทบไม่มีควันพิษมาคลี่ม่านปิดน่านฟ้า
ชีพร้าวรอนอ่อนล้าแรงราศี
ตึกคอนกรีตสูงระหงกว่าพงพี
ความเครียดรี่สุมหัวถ้วนทั่วไปเชิญลองมาชื่นฉมอารมณ์ฉ่ำ
ขับลำนำดีดสีดีหรือไม่
ป่าพร้อมเสกเวทย์มนตร์ดลหัวใจ
เมื่ออยู่ในธรรมชาติพิลาสพรรณเพลงดอกไม้  วารี  และผีเสื้อ
สดสวยเอื้อประคองคลายหมองขวัญ
ทะเลหมอกห่มเช้ายอดเขานั้น
ลบภาพควันหวั่นผวาแห่งนาครโสตเสนาะรมณีย์ดนตรีนก
กล่าวสาธกหวานซึ้งถึงแดดอ่อน
กล่อมเหล่าผู้เหนื่อยหนักจงพักนอน
หนุนแนบหมอนใบหญ้าทอดอาลัยเพลงขุนเขาแว่วหวานกังวานเสียง
หากแค่เพียงลองสดับกลับสดใส
ป่าจึงฝากถ้อยถามความห่วงใย
สื่อสู่จิตนิมิตไว้ในคืนนี้”คีตกานท์แผ่วหายราวสายรุ้ง
คนสะดุ้งตื่นจากฝันเหมือนขวัญหนี
เมืองเริ่มเร่งวันวัยใหม่อีกที
ขณะที่ม่านควันยังตันเมือง

เปิดฟ้า เพื่อปิดฟ้า

"ลุงรอง


เปิดฟ้า...เพื่อปิดฟ้า
นโยบาย  บรรเจิด  รัฐเปิดฟ้า
เปิดการค้า  สู่โลกกว้าง  อย่างอาจหาญ
เปิดสู่ความ  ศิวิไลซ์  ในจักรวาล
เปิดขยาย  กิจการ  ด้านอุตสาหกรรม
มีทุกอย่าง  ทุกสิ่ง  ที่ยิ่งใหญ่
มีปล่องไฟ  ปล่องควัน  วันยังค่ำ
มีค่าเงิน  ฟูเฟื่อง  เมืองชั้นนำ
วัฒนธรรม  นำเข้า  สู่เยาวชน
เกิดสังคม  อมทุกข์  คลุกขี้เถ้า
ไฟกามกร่อน  ร้อนเร่า  เข้าขุมขน
แฟชั่นเปิด  โชว์ร่าง   ทั้งล่างบน
สูบควันพ่น  กลางแสงไฟ  ในราตรี
หมู่ชาวนา  ยังทำนา  ฝ่าแดดฝน
เคยสู้ทน  ก็ยังทน  ทุกท้องที่
กำไรข้าว  ไม่พอกิน  เมื่อสิ้นปี
ยังพอกหนี้  พูนเพิ่ม  เติมทุกวัน
ฟ้าเคยใส  ป่าไม้สวย  ด้วยฝนฉ่ำ
บัดนี้คล้ำ  หม่นมัว  ทั่วเขตขัณฑ์
รองน้ำฝน  ใส่ตุ่มใส  ไว้แบ่งปัน
บัดนี้นั้น  เป็นฝนกรด  หยดหลั่งริน
รัฐเปิดฟ้า  เศรษฐกิจ  มาปิดฟ้า
ปิดผืนหล้า  แผ่ขยาย  ไปทั่วถิ่น
มลภาวะ  เคล้าเมฆมัว  ทั่วแดนดิน
ใครจะดิ้น  ชักตาย  ไปก่อนกัน
นายฐปกรณ์  โสธนะ (ลุงรอง)

ท่องไพร

สุนทรวิทย์


เมื่ออรุ-โณทัย  ทาบไพรสณฑ์
ภูวดล  เฉิดฉัน  รับวันใหม่
บุปผชาติ  ผลิดอก  ออกช่อใบ
ลำธารใส  ฉ่ำเย็น  เห็นปูปลา
สกุณา  จำเรียง  เสียงเสนาะ
ฟังไพเราะ  จับใจ  ในภาษา
ดุจเพลงพิณ  สวรรค์  พรรณนา
สะท้านป่า  สิงขร  ตอนอรุณ
ต้นยี่เข่ง  ยี่โถ  โอ้อวดสี
บานบุรี  เลื้อยเลี้ยว  เกี่ยวขนุน
หอมกุหลาบ  มะลิ  ดอกพิกุล
กลิ่นละมุน  กระดังงา  จำปาดง
เก้งคู่เก้ง  กวางคู่กวาง  เยื้องย่างเหยาะ
เดินลัดเลาะ  ริมธาร  ผ่านฝูงหงส์
โน่นกระรอก  กระแต  แลกระจง
อยู่ยืนยง  คู่ป่า  มาช้านาน
ธรรมชาติ  เนรมิต  ชีวิตให้
สัตว์น้อยใหญ่  พึ่งพา  ได้อาหาร
สืบดำรง  พงศ์เผ่า  เนาสำราญ
คือพิมาน  นิรมล  บนแผ่นดิน
ยามเที่ยวดง  พงไพร  ใจแสนสุข
ที่เคยทุกข์  สลด  พลันหมดสิ้น
จงพิทักษ์  รักษา  เป็นอาจิณ
ผดุงถิ่น  ป่าไม้  ไว้ถาวร
หน้า / 5  
ทั้งหมด 78 กลอน