ลุ่มลึกอิสราวดี 31
“อ้า???.... แล้วข้าหรือจะช่วยเหลือแม่นางได้อย่างไรกันล่ะ ในเมื่อข้าเองก็มีเพียง
แค่หนึ่งคนสามสัตว์เท่านั้นเอง” ชายหนุ่มตอบ
ครั้นแม่นางได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้น พลางเอ่ยขึ้น
“แต่ข้าน้อยพิจารณาแล้วว่า ในเมื่อท่านสามารถผ่านป่าทึบอันอุดมไปด้วยสัตว์น้อย
ใหญ่และล้วนแต่อันตราย พวกเรายังไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไปอาศัยอยู่ได้ ด้วยบรรดาสัตว์
ทั้งหลายหาใช่เหมือนกับแถบบริเวณแถวนี้ไม่ ล้วนแต่ดุร้ายและร่างกายใหญ่โต ก่อนนั้น
ข้าน้อยก็เคยนำพวกหลบหนีไปเป็นจำนวนมาก แต่ต้องพ่ายแพ้แก่สัตว์ที่อาศัยอยู่ในที่นั่น
จนเหลือผู้คนรอดกลับมาได้ไม่มากนัก เจ้าค่ะ”
“อ้อๆๆ??ด้วยเหตุนี้เองหรือ ข้าเองก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอดนับ ตั้งแต่หลงพลัดเข้าไป
ในนั้นและหาทางออกแทบไม่เจอ ต้องอาศัยหนทางของลำธารเป็นหลักมุ่งหน้ามาจึงจะ
สามารถออกมาได้เหมือนกัน แต่ก็ต้องใช้เวลาเนิ่นนานจนเจ้าลิงขนทองยังเล็กๆนักจนกระทั่ง
มันเป็นหนุ่มไปเสียแล้วล่ะ อันที่จริงที่นั่นล้วนแล้วแต่สัตว์ประหลาดๆร่างกายใหญ่โตยังกับ
ภูเขาลูกย่อมๆเลยทีเดียวไม่ใช่ดินแดนของมนุษย์อาศัยอยู่ แต่คงจะยังไม่ถึงฆาตของข้ากระมัง
จึงสามารถพยุงชีวิตรอดออกมากได้นะแม่นาง” ชายหนุ่มกล่าวขึ้น
“ นั่นซิท่านผู้กล้าหาญ เราถึงได้เรียกท่านเช่นนั้นด้วยเราและพวกก็เผชิญภัยจากสัตว์เหล่านี้
มาแล้วขนาดตัวเดียวนะ ยังเหลือทหารรอดกลับมาได้น้อยส่วนคนฝีมืออ่อนๆก็สิ้นชีวิตเป็น
อาหารแก่พวกมันเสียสิ้นจ๊ะ” องค์หญิงตอบแก่ชายหนุ่มพร้อมใบหน้าละห้อยยิ่งนัก
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ไหนๆข้าก็ตัวคนเดียวไร้ที่อยู่อาศัยหากได้พักพิงกับแม่นางและช่วยเหลือได้
เท่าที่จะช่วยได้ ข้าเองหาใช่เก่งกาจอะไรไม่เพียงแต่โชควาสนาค้ำจุนแก่เราหรือว่าดวงยังไม่ถึงที่
ตายก็อาจจะเป็นไปได้ ถ้าหากแม่นางจะให้เราอยู่เราก็ไม่ขอปฏิเสธแม่นางหรอกแต่แม่นางจะให้
เราทำอะไรได้บ้างล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นกับองค์หญิง
“ข้าน้อยดูจากอาวุธของท่านที่เปล่งประกายเจิดจ้ายิ่งนัก และท่าทางองอาจสง่างามการสะพาย
อาวุธก็หาใช่บุคคลไร้ฝีมือก็หาไม่ กลับบ่งบอกถึงลักษณะที่ซ่อนเร้นของท่านผู้กล้าหาญเอาไว้ดุจ
ประกายอัญมณีที่ยังไม่กระทบแสงฉันท์ใดฉันท์นั้นแหละ แม้แต่ท่านผู้เฒ่าเองก็ยังตลึงต่อท่านนัก
หากไม่เป็นดังที่ข้าน้อยกล่าวไว้ ท่านผู้เฒ่านี้ยากจะพยายามให้ท่านอยู่ด้วยท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่
แห่งนครอิสราวดี มีความรอบรู้วิชาการต่างๆมากมายรอบด้านทีเดียว
แต่ท่านหากจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอันใหญ่โตก็ได้ไม่ยากนัก แต่ท่านเป็นคนที่ถ่อมตัวรัก
แคว้นยิ่งกว่าชีวิตหาได้ทะเยอทะยานต่อลาภยศชื่อเสียงแต่ประการใด เพียงขอแค่รับใช้พวกเรา
และขอแค่เพียงแม่ทัพใหญ่ไว้เพื่อคอยปกป้องเมืองเท่านั้นอื่นๆใดหาได้ต้องการไม่
เสด็จพ่อเรามิอาจขัดใจท่านผู้เฒ่าได้ด้วยทราบถึงเจตนารมณ์แต่ก็ดีไป เหตุการณ์สงบและยังสามารถ
ทำทุกๆคนเกรงกลัวควบคุมอำนาจที่พวกข้าราชการทั้งหลายไว้ นี่หากเราไม่ให้ท่านผู้เฒ่า
ไปติดตามหาคนๆหนึ่งแล้ว เราเองก็หาได้เป็นดั่งเช่นนี้ไม่หรอกท่าน”
พระนางกล่าวด้วยน้ำเสียงสลดใจเศร้าสร้อยยิ่งนัก พร้อมกับหยาดน้ำตารินหลั่งไหลออกมา
เปื้อนทั้งสองแก้มรินหยดลงบนเสื้อ จนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสงสารครั้นจะไปช่วยเช็ดหยาดน้ำตา
ให้แก้ไม่สมควรยิ่งนัก จึงเอ่ยปากว่า
“ก่อนที่ข้าจะมาหาได้มีฝีมือแต่ประการใดไม่ จนกระทั่งข้าเองพลัดเข้าไปยังป่าทึบนั้นข้าได้
พบสถานที่แห่งหนึ่ง จะด้วยโชควาสนาของข้าก็ไม่รู้จึงได้พบของอันเป็นตำรับตำราใช้ในการ
ฝึกสอน ตลอดจนค่ายกลต่างๆจากผู้ใดก็มิอาจจะทราบได้ จึงได้ร่ำเรียนและฝึกฝนจนใช้วิชาการ
ต่างๆผ่านพ้นมาได้ หากแม้นว่าข้าเองได้อยู่กับท่านก็คิดจะจัดการด้านทหารเสียใหม่และฝึกฝนเขา
ให้เป็นตามหลักวิชาการในตำรา ถึงมาดแม้นว่าคนจะน้อยก็ตามทีหาใช่ว่าจะไร้ประโยชน์อันใดก็
หาไม่ หากประกอบด้วยการวางค่ายกลด้วยแล้ว แม้นข้าศึกมาด้วยจำนวนหมื่นแสนก็มิอาจจะทำ
อันตรายใดๆแก่เหล่าทหารที่น้อยนิดนี้ได้ ตามตำราที่บ่งบอกและข้าเองก็เชื่อมั่นเช่นกัน ตลอดจน
วิทยาคมต่างๆซึ่งยากจะฝึกสอนได้ ข้าคิดว่าหากไม่ขัดใจแม่นางกับท่านผู้เฒ่าแล้ว ข้าเองก็จะขอ
อนุญาตควบคุมสถานการณ์เหล่านี้ด้วยตนเอง และใช้ในการฝึกสอนวิชาการต่างๆซึ่งอาจจะผิดกับ
หลักการฝึกดั่งเดิมด้วยล่ะแม่นาง” ชายหนุ่มเกิดความสงสารและคิดจะช่วยเหลือแม่นาง
เมื่อแม่นางแห่งอิสราวดีและท่านแม่ทัพใหญ่ได้ยินคำกล่าวของชายหนุ่มเช่นนี้ ต่างก็พากัน
ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ถึงกลับน้อมกายลงคาราวะแก่ชายหนุ่มทันทีพร้อมๆกัน พร้อมกับท่านผู้เฒ่าเอ่ยว่า
“หากมาดแม้นได้ท่านมาช่วยเหลือและช่วยอบรมวางระบบการปกครองใหม่ก็ถือได้ว่าเป็นบุญ
วาสนาต่อพวกเรามาก ตกลงข้าพเจ้าจะเรียกมวลทหารที่นี่ทั้งหมดมาให้ท่านฝึกฝนรับรู้วิชาการต่างๆ
จากท่าน เพื่อใช้ในการปกป้องข้าศึกที่ข้าได้รับรายงานมาว่า เรื่องของที่นี่ได้ถูกรายงานไปในเมือง
ที่ไอ้มหาอำมาตย์ตอนนี้มันเพียงแค่รักษาการณ์อยู่ แต่คงไม่นานหรอกมันก็จะเถลิงตัวเองเป็นกษัตริย์
แทนเพื่อครอบครองอาณาเขตเมืองขึ้นทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วยเจ็ดแคว้นหรืออาจจะเป็นแปดแคว้น
ก็อาจจะเป็นไปได้ในไม่ช้าไม่นานนี้ ซึ่งลุ่มน้ำอิรวดีเป็นแม่น้ำใหญ่ใช้หล่อเลี้ยงเหล่าแคว้นต่างๆไว้
ตลอดจนเมืองอิสราวดีด้วย แต่ด้วยบารมีของเจ้าเหนือหัวองค์ก่อนจึงได้รวบรวมปกครองไว้ อันได้แก่
แคว้น กะฉิ่น แคว้นกะยา แคว้น กะเหรี่ยง แคว้นฉาน แค้วนรัฐชิน แคว้นรัฐมอญ แคว้นยะไข่
ซึ่งเราทราบว่าเมืองตองอูซึ่งอยู่ในแคว้นดังกล่าวกำลังคิดแยกตัวออกมา หากไอ้มหาอำมาตย์มันขึ้น
เป็นกษัตริย์ได้ก็ย่อมจะมี พลานุภาพอำนาจการเมืองยิ่งขึ้น แต่ไม่ทราบเหตุผลกลใดถึงยังไม่กล้าขึ้น
ดำรงตำแหน่งก็ไม่อาจจะรู้ได้ท่านผู้กล้าหาญ” ชายชรากล่าวขึ้น
“ โอ้โฮ???.....สามารถปกครองได้มากมายเช่นนี้นับว่าย่อมมีทหารที่เก่งกล้าสามารถตลอดจน
เชี่ยวชาญการศึกยิ่งนัก นั่นนะซิท่านเองมองการไกลถึงขอควบคุมเหล่าทหารไว้ทั้งหมดนี่เอง”
ชายหนุ่มอุทานแล้วกล่าวขึ้น
“ถูกแล้วพ่อหนุ่มหากเราไม่ทำแบบนี้ป่านนี้บรรดาแคว้นต่างๆซึ่งตลอดเวลา
พร้อมจะแยกตัวออกไปกัน แต่เนื่องจากมันเกรงใจเรานั่นเองจึงยังคงมิกล้าที่จะทำการ
ใดๆขึ้นมา แต่ตอนนี้เมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่เสียแล้ว ข้าคิดว่าอีกไม่นานนักหรอกบรรดาแว่นแคว้นต่างๆ
ก็จะแยกตัวออกจากเมืองอิสราวดีแน่นอนพ่อหนุ่ม” ชายชรากล่าวตอบชายหนุ่ม
“ช่างเถอะท่านผู้เฒ่าแม่นางเอย เราไม่ต้องคำนึงถึงกาลนี้หรอก เพียงแต่เรารับปากพวกท่าน
เมื่อรวบรวมเหล่าทหารและนำกำลังเข้ายึดเมืองอิสราวดีคืน
ให้แก่แม่นางได้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนแว่นแคว้นอื่นค่อยๆปราบปรามไป
ตั้งแต่เล็กไปหาใหญ่ก็คงไม่ยากเท่าไหร่นัก หากเราได้เมืองมาแล้วจัดฝึกฝนยุทโธปกรณ์ให้แก่เหล่าทหาร
จนแก่กล้าก่อน ตลอดไพร่ฟ้าประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุขเรียบร้อยแล้วนั่นแหละถึง จะไปรวบรวมกันใหม่
อีกครั้งหนึ่ง ท่านผู้เฒ่าและแม่นางเห็นเป็นประการใดเล่า” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยความกระตือรือร้นยิ่งนัก
“พวกเราเชื่อมั่นว่าท่านเองสามารถจัดการได้ ด้วยหากไม่มีความสามารถคงไม่ผ่านด่านป่าทึบอันร้ายกาจ
นี้ออกมาได้หรอก และยิ่งได้ฟังท่านกล่าวถึงวิชาการต่างๆอีกตลอดจนรับหน้าที่ช่วยในการฝึกสอนก็ยิ่งทำให้
พวกเราเกิดกำลังใจมากยิ่งขึ้น เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เช้าเราจะเรียกทหารทั้งหมดให้มาสลับผลัดเปลี่ยนการฝึกอาวุธ
และจะนำท่านไปตรวจดูภูมิประเทศต่างๆก่อนเพื่อจะได้หาทางวางค่ายกลตามที่ท่านกล่าวไว้” แม่นางกล่าว
“ตอนนี้ขอเชิญท่านเข้าไปพักผ่อนและรับทานอาหารก่อนเถิด แต่บอกก่อนว่าเสบียงอาหารเรามีไม่มาก
นักพอแค่ประทังท้องไปวันๆหนึ่งเท่านั้นเอง” ท่านผู้เฒ่ากล่าว
“หามิได้เรื่องอาหารนั้นเราทานแค่ผลไม้หาได้แตะต้องเนื้อสัตว์ใดๆไม่ จึงไม่ต้องรบกวนท่านทั้งหลาย
หรอก เพียงเราจะให้เจ้าลิงทั้งสองไปค้นหาผลไม้เอาเองแหละท่าน” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นบ้าง
“อ้าวๆ????....ท่านไม่ทานเนื้อสัตว์เลยหรือ” ทั้งหมดถามด้วยความสงสัย
“ใช่แล้วท่านผู้เฒ่าแม่นางเราเว้นจากเนื้อสัตว์มานานเสียนานแล้ว ด้วยอยู่ในป่าลึกทานแต่ผลไม้จนเคย
ชิน ครั้นเราทำลายบรรดาสัตว์มีเนื้อเราก็หาได้ทานมันไม่ ท้องข้าจึงเคยชินแต่ผลไม้เท่านั้นเอง” ชายหนุ่มกล่าว
“ถ้าอย่างงั้นเราจะให้ทหารไปเก็บผลไม้มาให้เองไม่ต้องให้ลิงทั้งสองท่านต้องเหนื่อยยากหรอก”
ผู้เฒ่ากล่าว ขึ้นและ ณ ที่นี้ข้าขอแต่งตั้งท่านขึ้นบัญชาการทหารทั้งหมดมอบให้แก่ท่านดูแลก็แล้วกัน ตลอดจน
จะแจ้งข่าวให้ท่านเหมี่ยวนรธานายกองที่แฝงตัวอยู่ในเมืองปลอมตัวเป็นพ่อค้าและมีสาขาอีกมากมายด้วย อ้อๆๆ
เราขอมอบตราประจำตัวให้ท่านรับไว้เสียเลย หากมาดแม้นท่านเดินทางไปในเมืองบรรดาทหารที่ปลอมตัวหาก
เห็นดวงตรานี้ก็จะยินยอมอยู่ในอำนาจท่านทั้งสิ้น “ พร้อมๆชายชราก็ปลดสายสร้อยออกมาจากคอมอบให้แก่
ชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มเมื่อยินยอมรับหน้าทีแล้วก็ยื่นมือขึ้นไปรับ แล้วกล่าวว่า
“ในระหว่างที่ก่อนเราจะออกจากป่านี้มาเราได้พบชายชราอาศัยอยู่ในปราสาทแห่งหนึ่งท่านซึ่งเป็นเจ้าของ
ลิงขาวนั้นได้มองข้าเองและหลับตา ครั้นลืมตาขึ้นมาจึงได้มอบสร้อยดวงตราให้แก่ข้าไว้ว่าเป็นของประจำตัวข้า
แต่ข้าเองก็งุนงง เพียงกล่าวเป็นนัยๆไว้เท่านั้นเองแล้วจากมา ต่อมาได้เดินทางมาอีกและพบกับเจ้าชายชรา
โฉดชั่วยิ่งนักมันคิดทำร้ายข้า แต่ก็พ่ายแพ้ไปหนีไปแต่มันได้เสียแขนไปข้างหนึ่ง ข้าจึงได้ทำลายปราสาม
หรือบ้านก็ไม่เชิงแต่เราได้ค้นพบของสิ่งหนึ่งเป็นดวงตรากับกระบองสีดำจะว่าดำก็ไม่เชิงนัก แต่เรามอบให้
แก่เจ้าขนทองเป็นอาวุธประจำตัวมันไว้ เราจึงมีดวงตราสองดวงเราจะมอบให้ ท่านลองพิจารณาดู
ซิว่าเป็นของอะไรเราเองก็ไม่รู้เพียงแต่ติดตัวมาเท่านั้น ท่านเป็นผู้ใหญ่ทีกว้างขวางในบรรดา
แคว้นทั้งหมดอาจจะล่วงรู้ความเป็นมาเป็นได้ก็ได้ “ ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับปลดสายสร้อยทั้งสอง
ส่งให้แก่ชายชราพิจารณาดูทันที มอบตราดวงแรกให้ชายชราก่อน
“ผู้ที่บอกให้ข้าไปเอาบอกว่าเป็นของประจำราชวงศ์มานมนานแล้ว และไม่ใช่ของประจำตัวดังชายชรา
คนแรกกล่าวหรอก หากมีคนที่รู้จักเห็นก็จะแจ้งให้แก่ข้าทราบเองได้แหละ”
ครั้นชายชราและแม่นางกษัตริย์เห็นดวงตรานั้นก็ถึงกับตลึงทั้งหมด
พลางทรุดกายลงนั่งทันทีพร้อมยกมือพนม กล่าวอุทานเสียงขึ้นพร้อมกันเกือบเป็นเสียงเดียวกันว่า
“ท่านมหาอุปราชพระเจ้าข้า นี่คือตราประจำตัวของท่านมหาอุปราบแห่งแคว้น “ศิระสุริยันต์” ก่อนนั้นเป็น
เมืองที่ควบคุมอำนาจแถบนี้ทั้งหมดดังที่กล่าวรวมทั้งแคว้นอิสราวดีด้วยพระเจ้าข้า ไม่คิดเลยว่าข้าติดตามหามา
นานแสนนาน เวลาจะพบก็พบได้โดยมิได้คาดฝัน” ชายชรากล่าว พร้อมกับผายมือมาทางแม่หญิงที่ก็ยกมือไหว้
อยู่ กลางกล่าวว่า
“นี่คือแม่นาง “ อิสรวดีนารี” อันเป็นคู่หมั้นหมายของพระองค์พระเจ้าข้า” ผู้เฒ่ากล่าวด้วยความยินดีดีใจ
เป็นที่สุด ส่วนแม่นางนั้นก็ก้มหน้าเขินอายไปมิอาจจะกล่าวใดๆทั้งสิ้น ส่วนอีกดวงตราหนึ่งเป็นดวงตราแผ่นดิน
ประจำเมืองอิสราวดีที่หายสาบสูญไปหลังจากพระเจ้าแผ่นดินสิ้นพระชนม์ชีพ เราได้ติดตามค้นหาเช่นเดียวกัน”
ชายหนุ่มตกตลึงทันทีหรือว่าเราอาจจะเป็นเหมือนคำเหล่านี้ หรือว่าเราหลงมาในมิติลี้ลับขึ้นมาแล้วกระมัง
เราเองนั้น สมัยก่อนแค่สามัญชนธรรมดาเท่านั้นนี่นา หรือว่า?????....เอาเถอะเข้าเมืองตาหลิ่วแล้วก็หลิ่วตาตาม
ก็แล้วกันชายหนุ่มคิด ด้วยเหตุการณ์มันก็แตกต่างกันสิ้นเชิงอยู่แล้วนี่นา พลางชายหนุ่มอุปโหลกขึ้นกล่าวทันที
“นี่หรือดวงตราท่านมหาอุปราชแห่งแคว้นศิระสุริยันต์นคร แต่หาใช่ของเรามาก่อนไม่ เพียงแต่มีคนเขาบอก
เราไว้อีกทีหนึ่งนะ ท่านลองทบทวนใหม่ซิท่าน”
“คงไม่ผิดหรอกพระเจ้าข้า ด้วยใบหน้าตลอดลักษณะท่าทางรูปร่างเสมือนเป็นบุคคลเดียวกัน จึงเชื่อมั่น
ยิ่งนัก ตอนที่เห็นพระองค์ครั้งแรกแล้วก็ให้นึกฉงนจนตกตลึงไป” พลางหันมาทางแม่นางเคียงข้างพลันกล่าว
แก่แม่นางกษัตริย์ทันที
“พระองค์ทรงทอดพระเนตรเหมือนข้าพเจ้าคิดหรือไม่พระเจ้าข้า”
“ไม่ผิดหรอกท่านแม่ทัพใหญ่ เราเองก็ตกใจแต่แรกที่เห็นใบหน้าเขาเต็มๆแล้วล่ะ คงไม่ผิดหรอก” แม่นาง
กษัตริย์ตรัสขึ้น
“เอาล่ะๆ??.... จะเป็นมหาอุปราชหรือไม่ก็ตามทีแต่ตอนนี้ การเรียกของพวกท่านทำให้ข้าเขินใจยิ่งนัก
ขอให้พวกเราเรียกกันแบบธรรมดาดีกว่า ท่านเรียกข้าว่าหลานชายก็ได้ ส่วนแม่นางก็คือลูกสาวท่านก็แล้วกัน
ต่อไปนี้ มิควรจะใช้คำเหล่านี้เพราะจะทำให้เป็นที่สงสัยแก่ศัตรูเราได้ และอย่าได้ลืมตัวไปเสียล่ะ”
ชายหนุ่มตัดบทความเสีย
ครั้นเวลารุ่งเช้าของวันใหม่ ชายชราก็พาชายหนุ่มออกตรวจดูบริเวณทั่วๆไป พร้อมสั่งให้
ทหารใกล้ชิดไปแจ้งแก่บรรดาทหารทั้งหลายให้มารวมตัวกัน
ที่ลานหน้าถ้ำทั้งหมด เพียงให้เหลือไว้คอยดูแลต้นทางบางทีเท่านั้น ดังนั้นเมื่อทหารทั้งหมด
ที่แต่งกายแบบชาวบ้านมารวมตัวขึ้นยืนแบบอย่างทหาร จัดเป็นหมวดหมู่ตามระเบียบทหารแล้ว
ชายชราก็ประกาศเสียงดังลั่นแก่เหล่าๆทหารทั้งหลายว่า
“บัดนี้เราขอมอบอำนาจสั่งการทั้งหมดให้แก่ ชายหนุ่มหลานเราคนนี้ที่พึ่งมาถึงเพื่อช่วยเหลือในการกอบกู้
เอกราชกลับคืนมา ฉะนั้นทุกๆคนจงเชื่อฟังคำสั่งเขาประดุจคำสั่งเราเช่นกัน หากคนใดฝ่าฝืนจะถูกลงโทษตาม
กฎของทหารไม่ยกเว้นทั้งสิ้น” กล่าวจบก็หันมาทางชายหนุ่มพร้อมให้ชายหนุ่มกล่าวแก่มวลทหารทั้งปวงด้วย
“เอาล่ะทหารอันเป็นที่รักของข้าทั้งหลาย มาดแม้นว่าข้าเองพึ่งจะมาถึงก็ตามทีแต่หากผิดพลาดอะไรไปบ้าง
ก็ขอท่านที่ปกครองบรรดาทหารตามชั้นๆช่วยบ่งบอกชี้แจงแนะแก่ข้าได้ ข้าถือเสมือนว่าพวกท่านทั้งหลายหาใช่
ใครอื่นใดไม่ ข้าคิดว่าเรามาเป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกันจะดีกว่าช่วยกันรักษาบ้านเรือนเราให้เรียบร้อย ถึงแม้
ว่าจะต้องอยู่ในระเบียบกฎข้อบังคับบ้าง ก็อย่าได้คิดอะไรมากผิดกันก็ต้องว่าเป็นผิด ถูกก็ว่าเป็นถูก อภัยให้กัน
ได้ก็อภัยให้แก่กัน ฉะนั้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปให้หัวหน้าหมู่ นายกองทั้งหลายคัดพี่น้องเราออกมาฝ่ายละ
ยี่สิบคน ข้าเองจะทำการฝึกสอนด้วยตัวข้าเองเมื่อสำเร็จแล้วพวกเราก็จะผลัดเปลี่ยนกันไปจนครบกันทุกๆคน
ท่านหัวหน้ากอง หัวหน้าหมู่หรือว่าพี่น้องคนใดจะคัดค้านหรือแสดงความคิดเป็นอย่างอื่นใด
ก็ให้แสดงออกมาได้ไม่ต้องเกรงใจเรา” ชายหนุ่มกล่าวแก่มวลทหารทั้งปวง
เสียงไชโยโห่ร้องดังกังวานป่า เสียงทหารทั้งหมดกล่าวพร้อมเพรียงกันว่าจะเคารพเชื่อฟังชายหนุ่ม ต่างก็
ไม่มีปัญหาจะสอบถาม บรรดานายกองนายหมู่ต่างก็เข้าไปคัดเลือกเหล่าทหารตามที่ชายหนุ่มสั่งทั้งสิ้น โดย
แยกออกมาต่างหาก เป็นกลุ่มใหญ่ๆทีเดียว ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงกล่าวให้นายกองและหัวน้าหมู่แจ้งแก่ทหาร
ที่เหลือกลับไปทำหน้าที่ต่อไปได้ และยังกำชับให้หัวหน้ากองและหัวหน้าหมู่ไม่ต้องกลับให้ฝึกฝนกับชายหนุ่ม
อีกด้วย ดังนั้นเมื่อทหารกลับไปหมดแล้วชายหนุ่มก็เริ่มฝึกสอนวิชาการต่างๆให้แก่เหล่าทหารฝึกซ้อมกัน
โดยมิชักช้าทันที ด้วยเขาคิดว่าเวลาคงจะไม่มีมากนัก ส่วนการขว้างก้อนหินเขาก็ให้ลิงทั้งสองช่วยฝึกฝนทำเป็น
ตัวอย่างให้ดูอีกทางหนึ่งด้วย โดยแยกหมวดออกเป็นหน่วยขว้างปา หน่วยใช้ดาบ หน่วยใช้หอก ใช้ธนู ตาม
ลำดับไป หมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ
ระหว่างนั้นผู้เฒ่ากับแม่นางยืนมองดูการฝึกฝนของชายหนุ่มก็ให้แปลกใจยิ่งนัก ด้วยท่าร่างการฝึกฝนช่าง
แตกต่างไปกับเหล่าทหารหาญในแว่นแคว้นทั้งปวงเกือบจะหมดสิ้น เป็นท่าร่างแปลกๆใหม่ๆผสมผสานความ
รวดเร็วเป็นหลัก การหลบหลีกการเข้ากระทำช่างแปลกประหลาดมากนัก ทำให้ผู้เฒ่าถึงกับสะอึกระทึกใจนัก
นี่เองที่ทำให้ชายหนุ่มคนนี้รอดพ้นจากป่าดิบที่ร้ายกาจยิ่งนักมาได้ หากมาดแม้นว่าเหล่าทหารทั้งหมดนี้
สามารถฝึกจนเชี่ยวชาญก็ยิ่งง่ายต่อการสู้รบกับบรรดาเมืองแว่นแคว้นต่างๆได้อย่างง่ายดาย
เวลาผ่านไปๆในไม่ช้าเหล่าทหารทั้งมวลที่สับเปลี่ยนมาฝึกฝนก็เชี่ยวชาญการฝึกใหม่ๆและต่างสำนึกในบุญ
คุณของชายหนุ่ม ต่างพากันเรียกว่าท่านอาจารย์ทุกๆนายไปหมด เกิดความรักใคร่สามัคคีกลมเกลียวกันยิ่งขึ้น
ชายหนุ่มในยามว่างๆ ก็พาบรรดาเหล่าทหารที่ฝึกจนเชี่ยวชาญแล้วมาจัดตั้งกระบวนค่ายกลต่างๆ โดยเรียงราย
ทั้งภายนอกและภายในจนเป็นค่ายกลหลายๆค่าย แต่ที่สำคัญนักคือเหล่าทหารที่ชายหนุ่มคิดคือเรื่องม้าที่จะจัด
ตั้งกองกำลังไว้เป็นพิเศษ
ดังนั้นชายหนุ่มจึงไปหาเจ้าสีเทาและกล่าวกับมันพร้อมทำมือประกอบ เจ้าสีเทาเสมือนมันจะรู้ความหมาย
ของชายหนุ่มพร้อมๆกับร้องขึ้นยกขาหน้าทั้งสอง แล้วก้มหัวมาหาชายหนุ่มเลียไปตามใบหน้าเขาแล้วก็วิ่งออก
จากหุบผาเขาทันที ชายหนุ่มทราบว่ามันจะไปที่ใด แต่ท่านผู้เฒ่าและแม่นางมิทราบเจตนาของชายหนุ่มนี้
จึงกล่าวขึ้นว่า
“พ่อหนุ่มท่านใช้ม้าของท่านไปที่ใดหรือ”
“อ้อๆ...พ่อเฒ่าเราให้มันไปเรียกพวกพ้องของมันที่อยู่ในป่าดงดิบกลับมาเพื่อใช้ในสงครามข้างหน้าซึ่งเรา
จำเป็นต้องมีกองกำลังม้า บรรดาม้าที่เป็นลูกน้องของเจ้าสีเทาล้วนแต่เป็นม้าที่ดีและวิ่งรวดเร็วมากคะนองดุร้าย
มิเกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น หากได้มาฝึกและมีเจ้าสีเทากำกับด้วยเห็นทีเราจะได้กองกำลังม้าหลายร้อยตัวไว้เป็น
กำลังสำคัญจ๊ะท่านพ่อเฒ่า”
“ด้วยเหตุนี้หรือ โอ้วๆๆ...ข้าเห็นการฝึกปรือทหารและเปลี่ยนแปลงวิธีการแล้วก็ให้ซาบซึ้งใจยิ่งนักผิดแผก
จากเหล่าทหารทั้งหลายในภูมิภาคนี้ไปเสียสิ้นเชิง..............
* แก้วประเสริฐ. *
26 กุมภาพันธ์ 2553 17:33 น. - comment id 115315

27 กุมภาพันธ์ 2553 08:34 น. - comment id 115326
มาติดตามต่อครับครูแก้ว

27 กุมภาพันธ์ 2553 10:54 น. - comment id 115327
คุณ ฉางน้อย ขอบใจหลานรักมากจ้า รักเสมอ
แก้วประเสริฐ.

27 กุมภาพันธ์ 2553 10:56 น. - comment id 115328
คุณ กิ่งโศก ศิษย์รัก ครูก็ไปเรื่อยๆจ้า รักศิษย์เราเสมอ
แก้วประเสริฐ.

27 กุมภาพันธ์ 2553 15:25 น. - comment id 115337

27 กุมภาพันธ์ 2553 19:23 น. - comment id 115339
คุณ โคลอน จบเรื่องป่าไปก็เกิดการต่างๆคอยติดตามก็ แล้วกันนะครับ สนุกไหมเอ่ย???....คุณฝน รักเสมอจ้า
แก้วประเสริฐ.
