ลุ่มลึกอิสราวดี 36
เมื่อเคลื่อนพลเข้ารายล้อมเมืองหล่อยก่อแล้ว ชายหนุ่มก็ออกตรวจดูภูมิประเทศครั้นเห็น
ว่าไม่เหมาะสม ด้วยมีต้นหญ้าสูงเกือบเอวล้วนแล้วแต่แห้งทั้งสิ้นหากข้าศึกเพียงแค่จุดไฟ
เท่านั้นก็สามารถทำลายกองทัพได้ จึงได้สั่งให้ทหารทั้งหมดถอยทัพทันทีไปยังด้านที่มี
ต้นไม้สดล้อมรอบแล้วจัดตั้งค่ายหอประตูรบ พร้อมจัดตั้งค่ายกลอำพลางไว้หลายๆค่าย
ทางด้านเมืองหล่อยก่อนั้น เจ้าเมืองปกครองแคว้นกะยะ ครั้นได้ทราบว่ามีกองทัพที่ไม่
ทราบว่าเป็นของแคว้นใดมาล้อมเมืองเช่นนี้ เหมี่ยวสุรินทร์นราก็หัวร่อลั่นเมื่อได้รับรายงาน
ว่าทหารทั้งหมดมารายล้อมยังทุ่งหญ้า พลางหันไปทางนายทัพนายกองที่ปรึกษาด้านทหาร
ว่าหากมันเข้ามายังลานทุ่งหญ้านี้ก็เปรียบเสมือนมันเข้าสู่ทางตายเท่านั้นเอง ให้พวกเราจัด
เตรียมน้ำมันสนไว้ให้มากๆเพื่อจะได้เผาทหารทั้งหมดให้ตกอยู่ในกองเพลิงยากจะหลบหนี
รอดไปได้
สักครู่หนึ่งทหารก็เข้ามารายงานอีกว่าพวกมันได้ถอยทัพไปหมดสิ้นแล้ว ทำเอา
เหมี่ยวสุรินทร์นราถึงกับอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ด้วยความเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายมันกล่าวว่า
อันเมืองเรานั้นตั้งอยู่บนที่ราบสูงเป็นเนินเขาล้อมรอบยากแก่การเข้าโจมตี ถึงหากจะโจมตีเรา
ก็ยากจะฝ่าเข้ามาได้ให้ตระเตรียมเชื้อเพลิงไว้ ด้วยมันต้องขึ้นเขามาถึงจะถึงเมืองเราหากเรา
ตั้งรับไว้ ยากนักมันจะตีเมืองเราได้ แล้วก็หัวร่อดังลั่นพลางหันไปสั่งแม่ทัพใหญ่ทันที
“ท่านมังกะยอ....ให้ท่านจัดทัพออกไปหยั่งเชิงฝ่ายศัตรูก่อนว่ามันมีความสามารถประการใด”
เมื่อแม่ทัพใหญ่ทราบเช่นนั้นจึงหันไปสั่งแม่ทัพอีกนาย
“ท่านมังสุระ....ท่านจงนำกำลังพลออกไปทดสอบกำลังฝ่ายศัตรูก่อน หากเหลือกำลังก็ให้รีบ
นำทัพกลับมา”
“ขอรับท่านแม่ทัพใหญ่” ข้าจะรีบนำทหารออกไปเดี๋ยวนี้แหละ” แล้วรองแม่ทัพใหญ่ก็ออกมา
จัดไพร่พลทหารยกกำลังออกนอกเมืองไปทันที
ด้านเจ้าเมืองหล่อยก่อก็จัดวางกำลังพลโดยนำแผนทีอาณาเขตล้อมรอบเมืองมาตั้งจัดวางกำลัง
ร่วมกับแม่ทัพใหญ่ หากแม้นว่าข้าศึกอ่อนล้าลงเมื่อใดก็จะได้ยกทัพออกไปเข่นฆ่าทันที หากจะอาศัย
แว่นแคว้นต่างๆก็ไม่ได้ ด้วยมันทราบว่าถูกฝ่ายข้าศึกยึดครองไปทั่วหมดแล้ว หากสิ้นเมืองหล่อยก่อ
เมื่อใดแว่นแคว้นทั้งหมดก็ตกไปในเงื้อมมือพวกนั้นทันที
ทางด้านมังสุระครั้นนำทหารประมาณห้าพันนายออกจากเมืองแลไปยังท้องทุ่งกว้างก็หาได้พบ
เหล่าทหารข้าศึกแต่อย่างไรในลานทุ่งหญ้าไม่ ก็ให้ฉงนจึงนำเหล่าทหารยกพลฝ่าทุ่งหญ้าเพื่อค้นหา
ทันที ครั้นมาถึงกลางลานทุ่งหญ้าก็แลเห็นค่ายทหารต่างๆได้ตั้งอยู่ในดงไม้รอบข้างหลายๆสิบค่าย
ก็ชักเอะใจยิ่งนัก ความคิดอ่านที่จะใช้ลานแห่งนี้เผาทหารข้าศึกบัดนี้เราก็มาอยู่ในทุ่งนี้เสียเองก็รีบ
สั่งให้ทหารถอยกลับเมืองทันที แต่ก็ต้องตกใจยิ่งนักด้วยเกิดไฟลุกท่วมสกัดด้านกลับเมืองเสียแล้ว
เมื่อเหตุดังนี้จึงต้องนำเหล่าทหารหนีไฟมาทางค่ายกลที่วาง ก็ให้ฉงนยิ่งนักด้วยค่ายนี้ได้เปิดกว้าง
มีทหารเรียงรายรักษาไว้ไม่มากนัก หรือว่าจะเป็นเพียงสร้างค่ายต่างๆหลอกพวกเรากระมัง แต่เมื่อมี
เหตุคับขันเกิดขึ้นก็จำเป็นต้องฝ่าเข้าไปค่ายเพื่อหลบหลีกไฟที่ไล่ตามหลังเหล่าทหารมา ทหารด้านหลัง
ก็ถูกเปลวเพลิงจากทุ่งหญ้าไหม้ตามตัว ร้องโหยหวนครวญคร่ำระงมไปทั่ว ที่เหลือก็พากันฝ่ายตีฝ่าเข้า
ไปในค่ายที่แลเห็นทันที ก็พบว่าเหล่าทหารที่รักษาค่ายต่างได้หลบหนีไปหมดแล้วครั้นเมื่อเข้าไปยังใน
ค่ายก็พบหมอกควันอันมากมายและมีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นคล้ายเสียงปีศาจมิผิด
ทำให้มังสุระตกใจยิ่งนักด้วยเหล่าทหารก็เกิดชุลมุนต่างสู้รบกันเองอลหม่านไปสิ้น เมื่อตวาดห้าม
ปรามอย่างไรพวกทหารก็ไม่ฟัง กลับหันมาทางมังสุระฟาดฟันและแทงมายังมังสุระทันที ต้องทำให้
มังสุระปัดป้องกันตัวและคิดจะหนีออกจากค่ายที่เต็มไปด้วยหมอกควันเสียงร้องคร่ำครวญก็มองหาทาง
ออกมิได้ ทำให้เกิดการฆ่ากันขึ้นเนื่องจากเหล่าทหารของตนได้ต่างเข้าล้อมรอบตัวเองโดยคิดว่าเป็น
ศัตรูหรือปีศาจไม่ปาน ดังนั้นมังสุระจึงจำเป็นต้องป้องกันตัวและฆ่าทหารเหล่านั้นเพื่อรักษาตัวให้รอด
แม้แต่ทหารคนสนิทที่เคียงข้างก็กลายเป็นศัตรูไปเสียสิ้น จึงควบม้าฝ่าหมอกควันมาก็ชนกับกำแพง
ของค่ายวกวนค้นหาทางออก จนพบก็พุ่งม้าออกมาได้เพียงผู้เดียว พลางหันไปทางในค่ายก็มองเห็นเหล่า
ทหารของตนกำลังเข่นฆ่ากันเอง จนล้มตาย มังสุระให้แปลกใจยิ่งนักด้วยมองจากนอกค่ายทางประตูกลับ
แลเห็นภายในค่ายได้ชัดเจนหาได้มีหมอกควันหนาทึบแต่ประการใดไม่ เมื่อเหล่าบริวารของตนห้าพันนาย
เข่นฆ่ากันเองล้มตายลงหมดสิ้น ก็รีบขี่ม้ากลับทางเดิมเนื่องจากไฟได้สงบลงไปคงเหลือเพียงแต่เปลวเพลิง
เพียงเล็กน้อย รีบเดินทางฝ่าทางที่เป็นช่องให้พอจะไปได้ พอเข้าเมืองแล้วเข้าไปรายงานแก่เจ้าเมืองทันที
ฝ่ายเหมี่ยวสุรินทร์นราครั้นทราบเหตุจากรองแม่ทัพใหญ่เช่นนี้ก็ให้ตกใจและสงสัยยิ่งนัก ไม่คิดว่าการณ์
ครั้งนี้หวังอาศัยลานหญ้าแห้งทำลายข้าศึก กลับเป็นฝ่ายทำลายพวกไปเสียเอง แต่ก็ให้นึกสงสัยถึงค่ายที่มังสุระ
กล่าวก็ยิ่งฉงนใจว่าจะมีเหตุเช่นนี้ได้หรือ นี่หากตัวรองแม่ทัพใหญ่ที่รอดมาเพียงคนเดียวมารายงานมันก็คงจะ
ไม่เชื่อถือหากเป็นรายงานจากทหารอื่น ดังนั้นมันจึงรีบเรียกประชุมเหล่าทหารทันทีเพื่อปกป้องเมืองอย่างเดียว
เมื่อชายหนุ่มหรือมังสุริยะชัยครั้นได้รับรายงานจากเหล่าทหารที่เฝ้าค่ายกลดังกล่าวทราบก็ดีใจ แล้วแจ้งให้
เหล่าทหารช่วยกันเผาหญ้าแห้งที่ยังเหลืออีกมากมายนัก เขาตรวจดูทิศทางของสายลมทราบว่าเป็นทางที่ต้องผ่าน
มายังทางกองทัพเขา ถ้าหากคอยเวลาให้ทิศทางลมเปลี่ยนไปอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จึงจำเป็นต้องใช้พระเวทย์ของ
ท่านพญานาคาเสียแล้ว เพื่อจะได้เปลี่ยนทิศทางลมให้หวนไปยังเมืองของเจ้าเหมี่ยวสุรินทร์นราทันที เมื่อคิด
ได้เช่นนี้เขาจึงรีบสั่งให้ทหารรีบเผาไฟในทุ่งหญ้าทันที แม้จะได้รับการคัดค้านจากเหล่าแม่ทัพนายกองของเขา
ว่าหากเผาหญ้าแล้วหมอกไฟก็จะหวนกลับมาทางพวกเราเผาทำลายพวกเรากันเอง
มังสุริยะชัยหัวร่อ พลางปลอบใจว่าให้คอยดูและฟังคำสั่งเขาก็เพียงพอแล้วสิ่งอื่นใดไม่ต้องกังวลศึกคราวนี้
ข้าจำเป็นต้องทำให้อย่างรวดเร็ว ด้วยหากคอยลมเปลี่ยนทิศทางและจะคอยเสบียงอาหารจากเมืองมิจินา
ก็คงจะไม่ทันการณ์หรอก หากใครขัดคำสั่งเขาจะถูกลงโทษตามกฎทหารทันที
เหล่าแม่ทัพนายกองได้ฟังเช่นนั้นมิอาจจะขัดอีกต่อไปไม่ จึงได้รีบนำทหารออกจัดการเผาลานทุ่งหญ้า
ชายหนุ่มพลันหันมาสั่งทหารม้าคนสนิทว่าให้ลำเลียงอาวุธใหม่ที่เขาประดิษฐ์ไว้ออกมาเตรียมพร้อมด้วย
ครั้นเมื่อทุ่งลานหญ้าลุกโชติช่วงด้วยควันไฟไปเต็มลานก็เกิดพายุลมพัดกระหน่ำเพิ่มขึ้นอีกเหล่าต้นไม้ทั้ง
หลายก็ต่างเป็นเชื้อเพลิงที่ดี ชายหนุ่มหลับตาลงยกมือร่ายพระเวทย์ของท่านพญาธิบดีนาคราชทันที ทันใด
นั้นเองท้องฟ้าก็เกิดมืดครึ้มพายุพัดขึ้นอย่างรุนแรง กระแสลมกับยอกย้อนให้เปลวหมอกควันไฟทั้งหลายย้อน
กลับไปทางเหมืองหล่อยก่อ ทำให้เมืองหล่อยก่อเกิดความวุ่นวายขึ้นประชาชนและเหล่าทหารที่รักษา
กำแพงเมืองต่างยกผ้าขึ้นปิดจมูกมิอันทำหน้าทีได้ประกอบกับเปลวความร้อนก็ระดมพัดเข้าหาเมืองจนร้อนระอุ
ไปทั่วๆเมือง
ฝ่ายเจ้าเหมี่ยวสุรินทร์นราก็ตกใจด้วยแม้แต่ฝ่ายในก็เต็มไปด้วยความร้อนและควันอันมากมายจน ฝ่ายสนม
นางกำนัลทั้งหลายต่างร้องหวีดว้ายระงมไปทั่ง มันรีบออกมาเอาผ้าปิดจมูกแต่ไม่อาจปิดตาได้น้ำตาได้รินไหล
ออกมาสั่ง เหล่าทหารแม่ทัพใหญ่ให้คอยระวังเมืองไว้อย่าให้ข้าศึกบุกเข้ามาได้เป็นอันขาด ทันใดนั้นเองเสียง
ระเบิดได้ดังกระหึ่มไปทั่วเมือง มันตั้งแต่ปกครองแว่นแคว้นมาก็ยังไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้ได้ว่าการระเบิด
นั้นมีมาแต่อย่างใด ทันใดนั้นทหารองครักษ์ก็เข้ามารายงานทันทีว่าประตูเมืองทั้งสี่ได้ถูกอะไรไม่รู้
เป็นดวงไฟใหญ่ๆพุ่งเข้าชนและแตกระเบิดดังกึกก้องประตูได้ถูกทำลายไปแล้ว
พวกข้าศึกได้ทยอยเข้าเมืองมาแล้วขอให้ท่านเจ้าเมืองหาทางหลบหนีออกไปเถิด ด้วย ศัตรูกำลังใกล้เข้า
มาแล้วพระเจ้าข้า เหมี่ยวสุรินทร์นรายิ่งตกใจคว้าดาบออกนำทหารองครักษ์ด้วยมันมิคิดจะหลบหนีไปแจ้ง
รู้แก่ใจว่าหากหนีไปก็ไม่สามารถเล็ดรอดไปอาศัยแคว้นใดๆได้อีก ด้วยบัดนี้ตกอยู่ในอำนาจของศัตรูไปหมด
สิ้นแล้ว ไหนๆก็เป็นชายชาติทหารก็ขอสู้ตายในหน้าทีมันคิดได้เช่นนี้ก็นำเหล่าทหารองครักษ์ทั้งหมดออกมา
ยืนคอยอยู่ สักครู่ใหญ่มันแลเห็นชายหนุ่มขี่ม้าสีเทานำหน้าทหารเข้ามาและเข้าเผชิญหน้ากับมันทันที
ชายหนุ่มน้อมคาราวะเหมี่ยวสุรินทร์นราพลางหัวร่อว่าบัดนี้เมืองของท่านถูกข้าได้ยืดหมดสิ้นแล้ว เหตุใด
ท่านถึงไม่หนีไปล่ะ เหมี่ยวสุรินทร์นราเห็นผู้นำทัพมานี้เป็นชายหนุ่มก็ให้สงสัยนัก จึงกล่าวว่า
“นี่แน๊ะมึงไปแจ้งแก่หัวหน้ามึงให้มาต่อสู้กับกู ด้วยหากปะมือกับมึงกูก็จะไม่สมฐานะกัน”
“ฮ่าๆๆๆ???.....แล้วท่านว่าผู้ที่ควบคุมทัพทั้งหมดนี้มาตียึดเมืองท่านได้เป็นใครอีกล่ะท่าน” ชายหนุ่มกล่าว
“ข้าเองป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าใครบังอาจมาตีแว่นแคว้นของข้าได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก มึงอย่ามาต่อริมฝีปาก
กับกูให้รีบไปเรียกนายมึงมาเถิด” เจ้าเมืองหล่อยก่อกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราดนัก
“หากข้าบอกท่านว่า ผู้ที่เข้าตีแว่นแคว้นและเมืองท่านเป็นข้าล่ะ เจ้าจะเชื่อหรือไม่” ชายหนุ่มชักไม่พอใจ
ในคำพูดเจ้าเมือง อะไรๆก็มึงอะไรๆก็กูช่างยโสโอหังนัก
“ฮ่าๆๆๆ???.....น้ำหน้าอย่างมึงหรือจะมีสติปัญญามาตีแว่นแคว้นเมืองของข้าได้เจ้าเด็กปากยังไม่สิ้น
กลิ่นน้ำนม” มันแหกปากหัวร่อลั่น แล้วถามว่า
“ ไหนๆมึงกล่าวเช่นนี้แล้วมึงชื่ออะไรหรือว๊ะ ไอ้หนุ่มน้อย”
“เอาล่ะไหนๆเมื่อก่อนจะตายข้าก็จะบอกให้ว่า ข้าเองมีชื่อว่า “มังสุริยะชัย” แห่งเมืองศิระสุริยันต์”
เจ้าเมืองหล่อยก่อถึงกับหัวร่อดังลั่นอีกครั้งหนึ่ง
“ อันเมืองศิระสุริยันต์นั้นใช่อดีตรวบรวมแว่นแคว้นต่างๆรวมทั้งแผ่นดินของกูไว้ บัดนี้ล่มสลายไปนาน
แล้ว ใยมึงจึงมาอ้างว่าเป็นคนเมืองศิระสุริยันต์อีกล่ะ”
“ในเมื่อท่านไม่เชื่อก็ตามใจท่านที่ข้าบอกว่าไหนๆก็จะสังหารเจ้าแล้วจะได้ เวลาตายไปไม่ต้องกังวล
สงสัยอะไรอีก” ชายหนุ่มกล่าวพลางชักดาบออกมา
ทันใดนั้นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายชายหนุ่มก็เข้ามาคาราวะ พร้อมรายงานการยึดครองเมืองหล่อยก่อได้เรียบร้อยแล้ว
และได้วางกำลังตลอดจนปลอบขวัญชาวเมืองไม่ให้ตื่นตกใจ พร้อมกำชับทหารทุกๆคนอย่าได้เบียดเบียนชาวบ้าน
โดยเด็ดขาด ชายหนุ่มกล่าวขอบใจพร้อมแจ้งให้ไปคอยตรวจดูหน้าที่นี้ข้าจัดการได้
แม่ทัพใหญ่ของชายหนุ่มนาม “มังสุรเดชเดชา” กล่าวว่า
“ ขอให้เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันก็แล้วกันพระเจ้าข้า อย่าได้ถึงมือพระองค์เลย”
“ เอาล่ะข้าขอขอบใจท่านมังสุรเดชเดชามาก ให้ท่านไปทำตามที่เราสั่งไว้ไปตรวจดูภายในวังแล้วปลอบ
ขวัญเหล่านางสนมกำนัลตลอดจนมเหสีด้วยเถิดนะ”
“ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จะจัดการให้เป็นที่เรียบร้อยพระเจ้าข้า” แม่ทัพใหญ่กล่าวแล้วน้อมคาราวะ
แล้วนำทหารออกฝ่าเดินเข้าไปเข่นฆ่าเหล่าทหารองครักษ์จนหมดสิ้น เพื่อไปควบคุมฝ่ายในทันที
บัดนี้เจ้าเมืองหล่อยก่อเชื่อแล้วว่า ชายหนุ่มคนนี้คือแม่ทัพที่นำทหารเข้าโจมตีแว่นแคว้นของมัน มันเจ้าเล่ห์
เห็นว่าหากทำท่าอ่อนน้อมก็อาจจะรักษาชีวิตไว้ได้แล้วอาจจะได้กลับคืนครอบครองเมืองต่อไป ดังนั้นมันจึงได้
ทิ้งดาบแล้วทรุดกายลง กล่าวขอชีวิตต่อชายหนุ่มทันที แต่ด้วยเคยได้ยินคำกล่าวของท่านลุงมาก่อนว่าเจ้าเมือง
นี้มันเล่ห์เหลี่ยมมากมายนักประดุจดังงูอย่าไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอันขาด ดังนั้นเขาจึงทำเป็นใบหน้ายิ้มแย้มแล้ว
กล่าวว่า
“หากแม้นว่าท่านกระทำแต่แรกแล้วเราก็ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อเหล่าทหารหรอกขอให้ท่านสั่งทหารท่าน
ทุกๆคนวางอาวุธได้แล้วล่ะ”
เมื่อเจ้าเมืองหล่อยก่อได้ฟังเช่นนั้นคิดว่าชายหนุ่มคงหลงกลมันแล้วจึงสั่งให้ทหารองครักษ์ทุกๆคนวาง
อาวุธให้หมด บรรดาทหารองครักษ์ครั้นวางอาวุธหมดสิ้นแล้ว ชายหนุ่มก็เดินไปถึงร่างของเจ้าเมืองทันที
พลางกล่าวขึ้นว่า
“ อันกิติศัพท์ของท่านเลื่องลือไปไกลเช่นนี้ ทำให้ข้าเองก็รู้สึกว่าให้บังเกิดนับถือในความคิดอ่านท่าน
ยิ่งนัก เอาล่ะไหนๆแล้วข้าขอบอกแก่ท่านด้วยว่า ข้าเองหาได้เชื่อในน้ำคำท่านก็หาไม่ โบราณกล่าวไว้ว่า
หากจะตีงูก็อย่าแค่เพียงหลังหักมันจะกลับหวนมากัดเราได้ หรือ อย่าปล่อยเสือเข้าป่าไป ดังนั้นข้าเองคิด
ว่าหากปล่อยให้ท่านมีชีวิตต่อไปไม่ช้าก็จะแว้งต่อข้าเองได้ อโหสิแก่กันและกันนะ”
เหมี่ยวสุรินทร์นราครั้นพอได้ฟังคำเช่นนั้น มันสะดุ้งเฮือกพลันคว้าดาบข้างตัวพุ่งเข้าแทงชายหนุ่มทันที
แต่ช้าไปเสียแล้ว คมดาบของชายหนุ่มตวัดตัดคอมันขาดกระเด็น เลือดไหลพุ่งดั่งพะเนียงแตก ทำเอาพวก
เหล่าองครักษ์ต่างหน้าซีดตกใจไปตามกัน ชายหนุ่มหันมากล่าวกับเหล่าองครักษ์ว่าหาใช่ความผิดของ
พวกเจ้าก็หาไม่ เราจะปล่อยพวกเจ้าไปละชีวิตให้เสียแต่ก็จะให้ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ตามหน้าที่ต่อไป
มิต้องกังวลใดๆทั้งสิ้น ทำเอาหัวหน้าองครักษ์และเหล่าองค์รักษ์ทั้งหลายทรุดตัวลงกราบชายหนุ่มทันที
พร้อมให้คำปฏิญาณตนว่าจะเชื่อฟังคำสั่งชายหนุ่มทุกประการ ที่ไว้ชีวิตแก่พวกเขาตลอดลูกเมียที่ไม่
ต้องเดือดร้อน ชายหนุ่มกำชับว่าขอให้ทุกๆคนจะเอื้ออารีต่อกันและอย่าได้หยิ่งยโสโอหังถือตนเองว่าเป็น
ข้าราชการฝ่ายในเป็นอันขาด การมีเมตตาช่วยเหลือกันและกันย่อมก่อเกิดประโยชน์แก่พวกเจ้า คนเขาก็จะ
เคารพเอง และย่อมจะพึ่งอาศัยในต่อไปข้างหน้า เจ้าเมืองของพวกเจ้ากิติศัพท์เลื่องลือที่ข้ามาตีแว่นแคว้นต่างๆ
ได้ก็ด้วยความมีน้ำใจมิได้รุกรานเพื่อหวังจะในอำนาจก็หาไม่ เลยทำให้ข้ามีกำลังนับมหาศาลหากมาดแม้นว่า
พวกเจ้าที่คิดสวามิภักดิ์และมวลทหารในเมืองนี้ทั้งหลาย ล้วนแล้วมีความสัตย์ซื่อต่อเรา
เราก็จะละเว้นชีวิตหากยังมิเชื่อฟังขัดขืนต่อไปข้าเองก็จะไม่ไว้ชีวิตพวกมันหรือเสแสร้งก็ตาม
ขอให้เจ้าจงไปบอกแก่พรรคพวกทั้งหลายไว้ด้วย และให้แจ้งไปยังบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลายให้มา
หาข้ายังที่ท้องพระโรงด้วย บรรดาเหล่าทหารองครักษ์ได้ยินเช่นนั้นก็ซาบซึ้งในน้ำใจชายหนุ่มยิ่งนักถึงกับ
บางคนน้ำตาไหลริน ล้วนแล้วให้ความนอบน้อมพร้อมให้คำสัตย์สาบานไว้ หลังจากชายหนุ่มกำจัดเจ้าเมือง
เสร็จสิ้น ก็เข้าไปยังฝ่ายในอันเป็นท้องพระโรงทันทีซึ่งเต็มไปด้วยบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลายที่ควบคุมตัว
บรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารแม่ทัพนายกองของเมืองหล่อยก่อมา เพื่อให้ชายหนุ่มตัดสินคดีความ.............
* แก้วประเสริฐ. *

3 มีนาคม 2553 16:39 น. - comment id 115443
ลุงแก้วหนอลุงแก้วจบอย่างนี้ทุกที
คุณลุงค่ะกระต่ายส่งของเล็กๆน้อยไปให้คุณลุงแทนคำขอบคุณที่ส่งของที่ล้ำค่ามาให้คงอีกหลายวันถึง ยังไงของถึงแล้วรบกวนคุณลุงโทรกลับมาบอกกระต่ายทีค่ะ
รักและเคารพคุณลุงเสมอ
กระต่ายใต้เงาจันทร์

3 มีนาคม 2553 18:22 น. - comment id 115444
คุณ กระต่ายน้อย เหตุด้วยที่จบแบบนี้มีหลายกรณีย์แต่เขียน กำลังเพลินๆไปก็ยาวเลยกำหนดที่ตั้งใจไว้มากแล้ว จึงจบแบบนี้แหละจ้า อ้อๆ....เรื่องนั้นลุงไม่ได้คิดอะไรหรือหวัง อะไรหรอกให้ด้วยความรักที่นับถือพระเท่านั้นเอง และมิได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆทั้งสิ้น แต่เมื่อมอบ มาให้แล้วก็แล้วกันไปขอให้หลานรักเราจงประสบ แต่ความสุขความเจริญพ้นจากเคราะห์กรรมที่ มีให้หมดสิ้นไปด้วยนะ เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้น ส่วนเบอร์โทรฯหลานเรา ลุงไม่มีหรอกจะทำได้ ก็เพียงแจ้งทางนี้แหละจ้า รักหลานเราเสมอ
แก้วประเสริฐ.

6 มีนาคม 2553 11:13 น. - comment id 115538
ฉากที่สู้รบกันเองนี่น่ากลัวนะคะ แก้วประเสริฐ

6 มีนาคม 2553 13:58 น. - comment id 115544
คุณ โคลอน ต่อไปยิ่งน่ากลัวกว่านี้อีกครับ รักเสมอ
แก้วประเสริฐ.
