บทที่ ๒๒
ร่วมศึกนาครินทนาคร
ของทหารทั้งสองฝ่าย เวลาผ่านไปนานๆเข้าตั้งแต่ราตรีเข้าจรดเย็นมืดค่ำ
จึงต่างพากันถอยทัพกลับ รวมทั้งทัพต่างๆของเหล่าอสูรมิอาจะทำอาจรุกไปได้
ท่านท้าวนิลกาฬ เมื่อเห็นการสู้รบเป็นไปเช่นนั้น ก็ให้บังเกิดความโกรธ
ขุ่นข้องหมองใจยิ่งนักมิได้เป็นไปในความคาดหมาย ยิ่งได้รับรายงานจากทหารว่า
เหล่าทหารของเมืองสิงหะนครและทันทะกะนคร เฝ้ายืนดูการรบมิได้เข้าไปช่วย
ร่วมรบและช่วยเหลือแก่นครต่างๆของพระองค์ เพียงแต่ส่งเสียงร้องสนับสนุนใน
สถานการณ์เท่านั้น ก็ยิ่งทรงให้ขุ่นเคืองพิโรธโกรธากระทืบพระบาทตวาดเสียง
ดังกึกก้อง จึงหันไปตรัสสั่งให้นายทัพนายกองทั้งหลายว่า
“ เฮ้ย!!! นี่แน่ะท่านนิลพาหุแม่ทัพหน้า ท่านจันทะเสน ท่านอสุระฤทธา
และท่านวิรุเดชะ จงรีบนำกำลังพลแยกเป็นสองทาง ให้ท่านนิลพาหุและ
ท่านจันทะเสนนำทหาร ยกเข้าไปตีกำหลาบฝ่ายสิงหะนคร ส่วนท่านอสุระฤทธา
กับท่านวิรุเดชะ ให้ท่านอสุระฤทธา ท่านนิลพาหุเป็นแม่ทัพคุมกำลังพล
เข้าโจมตีฝ่ายทันทะกะนครเดี๋ยวนี้ อย่าให้มีผู้ใดเหลือรอดชีวิตแม้สักผู้เดียว”
“พ่ะย่ะค่ะ ” เหล่าอสูรที่ได้รับพระบัญชา รับสนองแล้วรีบนำกำลังพล
แบ่งกำลังพลต่างพากันแยกย้ายกันไปทางทิศตะวันออกและทิศใต้ทันที
ครั้นถึงยังแนวสมรภูมิ นิละพาหุและจันทะเสนต่างก็นำทหารเข้ารวมพล
กับทุระคานครและคีตตะระนครแล้วยกพลทั้งสองฝ่ายเข้ารายล้อมสั่งทหารโจมตี
ทัพองค์พระยุพราชสิหะฤทธาทัน โดยมิยอมเจรจาใดๆ เสียงโห่ร้องดังกึกก้อง
องค์พระยุพราชสังเกตเห็นความผิดปกติของทหารนิลกาฬ พระองค์ทรงทราบ
ในท่าทีของทหารกาฬคีรีนครที่มีใบหน้าดุดันส่งกำลังต่างพุ่งรุกเข้ามาหาทาง
ทหารของพระองค์ ก็ทรงรับสั่งให้เหล่าทหารถอยไปตั้งหลักบนขุนเขา
นิละวานรคีรีมาศก่อนแล้ว ทรงสั่งให้ ปรศุเดชะ สุระพยัคฆา สุระติณนะกะ
นิระกำพลและสุระกำพลแบ่งกำลังแยกย้ายกันเข้าต่อสู้กับทหารกาฬคีรีนคร
และเหล่านครต่างๆแบ่งแยกเป็นทางปีกซ้ายและปีกขวาลงมาต่อต้านสู้รบกับทัพ
ของท้าวนิลกาฬและเมืองต่างๆอย่างชุลมุน
โดย ฝ่ายทาง ปรศุเดชะก็เข้าสู้รบกับนิละพาหุ ส่วนทางด้านจันทะเสนก็เข้ารบ
กับสุระพยัคฆา ทหารทั้งสองฝ่ายต่างพุ่งเข้าหาต่อสู้รบกันสนั่นกึกก้องสนั่นหวั่น
ไหวเป็นที่ชุลมุน มิได้หวาดหวั่นเกรงกลัวอย่างไรจนล้มตายกันไปทั้งสองฝ่าย
ทางท่านปรศุเดชะชักขวานเพชรเข้าฟาดฟันนิละพาหุซึ่งมีกระบองเพชรวิเศษ
ยามเข้าปะทะเกิดประกายไฟของอาวุธเพชรทั้งสอง ยามปะทะกันพลันบังเกิด
เป็นอสุนิบาศก์เสียงดังประกายแวบวับไปทั่วบริเวณ ส่วนจันทะเสนนำอาวุธ
กระบองโลหะสีดำสนิทเข้าสู้รบกับสุระพยัคฆาที่ใช้ดาบเป็นอาวุธต่างเข้าต่อสู้
กันพัวพัน ด้วยแรงปะทะระหว่างอสูรกับมนุษย์เทพกึ่งราชสีห์ต่างมิตกเป็นรอง
ซึ่งกันและกัน พากันล้มลุกคลุกคลานตกตายไปเลือดไหลนองไปจนทั่วบริเวณ
ท่านปรศุเดชะครั้นได้ทีก็ฟันขวานเพชรเข้ายังทรวงอกนิละพาหุจนขาด สะพายแล่ง
ขาดแยกจากกันล้มลงถึงแก่ความตายทันที ทางสุระพยัคฆาที่เข้าประชิดติดพันกับ
จันทะเสน ก็ถูกกรงเล็บราชสีห์ตระปบใส่ใบหน้าของจันทะเสนจนศีรษะยุบขาดหาย
แตกกระจายเลือดไหลนองล้มลมสิ้นชีวิตไปอีก ส่วนทางสุระพยัคฆาก็ถูกกระบอง
สีดำฟาดเข้าระหว่างด้านข้างจนทรุดลงไปกองกับพื้นหาแต่หาได้เป็นอันตรายใดไม่
เมื่อทหารทางฝ่ายกาฬคีรีนครเห็นแม่ทัพนายกองเสียชีวิตก็พากันเสียขวัญกำลังใจ
รีบพากันวิ่งหนีหายลงเขาไป ส่วนทางด้านตันติยะนครและทุระคานครซึ่งสู้รับติดพัน
ต่างก็โดนกรงเล็บราชสีห์ของท่านสุระพยัคฆาและขวานเพชรของท่านปรศุเดชะเข้า
ฟาดกันและถูกตระปบด้วยฝ่ามือกรงเล็บราชสีห์จนถึงแก่ชีวิตในเวลาถัดต่อมา
ส่วนทางด้านท่านสุระติณนะกะ นิระกำพลและสุระกำพลต่างพากันชักอาวุธวิเศษ
ของตน รีบนำทหารเข้าต่อสู้กับฝ่ายไพร่พลต่างๆของเหล่าอสูรจนแตกพ่ายยับเยิน
ในระหว่างนั้นก็ถูกเหล่าฝูงทโมนไพรซึ่งนำโดยทโมนไพรร่างยักษ์ทั้งสองตัวซึ่ง
นำไพร่พลทโมนที่ดุดันเข้าทำลายทหารอสูรอีกทางหนึ่งจนทหารฝ่ายนิลกาฬ ยิ่ง
ล้มตายแทบจะไม่เหลือเป็นกองทัพอีกต่อไปจะมีหนีเล็ดรอดไปได้บ้างเพียงเล็กน้อย
แล้วรีบเข้าไปรายงานกับท่านท้าวนิลกาฬให้ทราบในการเข้าต่อสู้รบพุ่งกันครั้งนี้
ทางด้านกองทัพที่นำโดย ท่านอสุระฤทธาและท่านวิรุเดชะซึ่งนำกำลังรี้พล
เข้ามาทางทิศใต้ เมื่อมองแลเห็นสภาพสะบักสะบอมของทหารเหล่าปัจฉิมนคร
และวิรุราคินนคร ก็เกิดความโกรธแค้นยิ่งนักรีบนำกำลังพลทั้งสองรีบดาหน้า
เข้ารบพุ่งกับทหารทันทะกะนครที่เฝ้ายืนดูอยู่ทันที ครั้นองค์พระยุพราช
โกเมศกุมารที่ทรงเฝ้าเหตุการณ์อยู่ จึงสั่งให้แม่ทัพใหญ่วะสินธุนาคะนำแม่ทัพ
นายกองประกอบไปด้วยท่าน นาคียะ ทาระกะ สินาระและ นาศยะ แบ่งกำลังพล
เป็นปีกซ้ายและปีกขวา ท่านนาคียะและทาระกะก็เข้าสกัดต่อสู้กับอสุระฤทธา
ส่วนทางด้านท่าน สินาระและนาศยะเข้าต่อสู้กับวิรุเดชะอย่างดุเดือดชุนมูล
ทั้งสองฝ่ายต่างเข้ารบพุ่งกันเป็นพัลวันประกายอาวุธแวบวับสนั่นหวั่นไหว
ทางฝ่ายทหารของทันทะกะ ซึ่งมีกำลังกำลังใจดีกว่าทางด้านฝ่ายกาฬคีรีนคร
ซึ่งต้องรีบเร่งเดินทางมาก็ตกเป็นรองทหารของฝ่ายทันทะกะต่างพ่นไฟออก
เป็นไฟประลัยกัลป์เข้าเผาผลาญทหารของเหล่าอสูรลุกไหม้ตกตายไปตามๆกัน
อสุระฤทธาอสูรเห็นดังนั้นก็โกรธยิ่งนัก ชักคทาแก้วประจำตัวพลางร่ายมนต์
ขว้างเข้าใส่ทหารทางฝ่ายทันทะกะทันที คทาแก้วพลันกายเป็นปักษียักษ์มหึมา
จำนวนมากพุ่งลงจิกตีขย้ำด้วยกรงเล็กอันแหลมคม ยังให้ทหารทันทะกะแตกพ่าย
ไปด้วยอำนาจปักษีกริ่งกลัวในตัวของปักษียักษ์หนีจนชุลมุนวุ่นวายไปทั่วกองทัพ
ครั้นนาคียะเห็นปักษีมนต์เข้าทำลายทหารของตนก็รีบล้วงหยิบศรแก้ววิเศษ
ออกมาพลางร่ายมนต์แล้วโยนใส่ฝูงปักษีมนต์ทันที ปรากฏเป็นลูกศรจำนวนมาก
มหาศาลพากันเข้าทิ่มแทงเหล่าปักษียักษ์ล่วงหล่นวอดวายไปสิ้น แล้วพุ่งตรงเข้า
ใส่เหล่าทหารของท่านอสุระฤทธาทันที แต่ศรแก้วไม่สามารถเข้าทำร้ายอสุระฤทธา
ได้ศรแก้วถูกตีหักแหลกละเอียดไปเป็นจำนวนมาก ศรแก้วก็ลอยกลับคืนสู่เจ้าของ
นาคียะเห็นดังนั้นก็คืนร่างเป็นพญานาคตัวมหึมาเกล็ดสีเขียวขจี หงอนสีแดงเพลิง
สอง ตาเขียวดั่งมรกต สูงใหญ่ยาวเท่าภูเขาพุ่งเข้าโอบรัดท่านอสุระฤทธาทันที
ฝ่ายอสุระฤทธาเห็นดังนี้ก็กลับคืนเป็นอสูรร่างกายใหญ่โตเท่าภูเขาตีด้วยคทาแก้ว
แต่หาได้ทำลายร่างเกล็ดสีเขียวได้ ร่างที่ถูกรัดมัดแน่นพลาดท่าก็ถูกปากพญานาค
ขบกัดเข้าตรงศีรษะหายเข้าปากพญานาคไปซ้ำยังถูกไฟกรดที่พ่นออกมาเข้าเผาผลาญ
ร่างของอสุระฤทธาก็ถึงกาลสิ้นชีพแล้วร่างกายมอดไหม้เป็นผุยผงทันที ทางด้านฝ่าย
วิรุเดชะครั้นเห็นอสุระฤทธาเสียชีวิตก็ตกใจนัก ครั้นมองไปยังทหารฝ่ายตนล้มตายแทบ
จะไม่เหลือ พอได้จังหวะถอยออกจากการรบกับท่านสินาระและนาศยะที่กำลังรุมต่อสู้
ก็มองเห็นเหล่าอสรพิษร้ายแห่งขุนเขาสินธุคีรีมาศที่เข้ามาช่วยรบในการครั้งนี้เลื้อย
เพ่นพ่านไปทั่ว แต่ละตัวขนาดใหญ่กว่าลำแขน ต่างพากันช่วยขบกัดทหารฝ่ายตนล้มตาย
เป็นจำนวนมากมายซึ่งไม่อาจทนต่อ ฤทธิ์พิษร้ายของอสรพิษมีฤทธิ์กว่าอสรพิษธรรมดา
พอได้โอกาสก็รีบนำกำลังพลที่เหลือเหาะหนีกลับทันที องค์พระยุพราชทรงควบคุม
ทัพหลังจากชำนะศึกครั้งนี้ พระองค์รีบแบ่งทัพออกเพื่อไปช่วยเหลือทางด้านสิงหะนคร
โดยมอบให้แม่ทัพใหญ่วะสินธุนาคะคุมกำลังไปพำนักอยู่ที่ขุนเขาสินธุคีรีมาศเสียก่อน
ส่วนพระองค์จะนำทัพไปช่วยเหลือท่านองค์พระยุพราชสิงหะฤทธาต่อไป
ครั้นเสด็จมายังบริเวณการต่อสู้ เห็นเหล่าทหารสิงหะนครกำลังสาระวนอยู่ช่วย
กันทำความสะอาดบริเวณภูเขานิละวานรคีรีมาศอยู่ ก็เสด็จตรงไปเข้าเฝ้าองค์พระยุพราช
สิงหะฤทธาทันที ครั้นทั้งสองพระองค์พบก็ทรงเข้าสวมกอดกันและเล่าเรื่องราวต่างๆ
ให้ทราบซึ่งกันและกัน ต่างพากันทรงพระสรวล ครั้นแล้วองค์ยุพราชสิงหะฤทธาก็ทรง
แนะนำเจ้าหญิงเฌอมาลย์แห่งนิละวานรนครให้เจ้าชายโกเมศกุมารทรงรู้จักเจ้าหญิง
เจ้าชายโกเมศกุมารก็ทรงน้อมพระวรกายเข้าบังคมคาราวะแด่เจ้าหญิงเฌอมาลย์ทันที
เจ้าหญิงเฌอมาลย์ทรงแลเห็นรีบน้อมพระวรกายรับการคาราวะตอบจากเจ้าชาย
ครั้นแลเห็นพระวรกายของเจ้าชายโกเมศกุมารก็ทรงพอพระราชหฤทัยในองค์เจ้าชาย
ถึงกับเอ่ยพระโอษฐ์ชมเจ้าชายโกเมศกุมารแห่งทันทะกะนครทูลแก่องค์พระยุพราช
สิงหะฤทธาทรงตรัสว่า เจ้าชายโกเมศกุมารที่จะมาเป็นพระขนิษฐภาดาในพระองค์นั้น
ช่างสง่างามสมเป็นชายชาตรียากหาใครเปรียบเทียบได้ยิ่งนัก บุคลิกช่างองอาจห้าวหาญ
ไม่แตกต่างไปกว่าองค์พระยุพราชสิงหะฤทธาแต่ประการใดก็หาไม่ แล้วทรงแย้มยิ้ม
ทำให้ทั้งสองพระองค์ถึงกับทรงพระสรวลลั่นเป็นที่ถูกพระราชหฤทัยเป็นยิ่งนัก
หลังจากนั้นทั้งหมดก็เข้าไปที่ประทับยังพลับพลาทรงร่วมกันปรึกษาหารือเพื่อ
ที่จะเข้าไปยังนครนาครินทนาครแจ้งจะขอเข้าร่วมการศึกครั้งนี้ต่อไป
เจ้าหญิงเฌอมาลย์ตรงตรัสว่าเป็นหน้าที่ของพระองค์เองที่จะส่งพระราชสาสน์ครั้งนี้
ด้วยติดต่อกันอยู่เนืองๆ และทรงกล่าวว่าหากยึดที่มั่นเหล่านี้ไว้ก็จะเป็นการดีกว่าที่จะ
นำกองทัพเข้าไปอยู่ในนครนาครินทนาคร เพราะภูมิประเทศเหมาะแก่การเข้าสนับสนุน
ดีกว่า สามารถช่วยกันตีกระหนาบทัพของท่านท้าวนิลกาฬได้อีกทาง องค์พระยุพราช
ทั้งสองก็ทรงเห็นชอบด้วยตกลงในความคิดอ่านของเจ้าหญิงเฌอมาลย์และไต่ถามทุกข์สุข
กันและกันทั้งสามพระองค์เป็นที่ทรงพระเกษมสำราญยิ่ง
จะย้อนกล่าวถึงทางเมืองรัตนานคร ครั้นเดือนเพ็ญศิวะราตรีบรรลุมาถึงวันมีศึก
เจ้าหญิงมณีกานต์ พระองค์ก็ทรงมอบหมายให้เอกอัครเสนาบดี สุระบดินทร์แม่ทัพใหญ่
และท่านปุโรหิต หิตตายะเป็นผู้รักษาเมืองรัตนานคร โดยให้ท่านสุระบดินทร์เข้า
ควบคุมดูแลฝ่ายทหารมีอำนาจเต็ม ส่วนท่านปุโรหิต หิตตายะเป็นฝ่ายควบคุม
ดูแลฝ่ายพลเรือน หากเกิดปัญหาใดๆจงรีบส่งข่าวไปยังทางเมืองนาครินทนาครทันที
เพื่อพระองค์จะได้รีบเสด็จกลับมาช่วยอีกแรงหนึ่ง
เมื่อพระองค์ทรงมอบหมายการดูและนครแล้ว ก็ทรงให้เจ้าหญิงปทุมวดีรีบตรง
ไปยังหุบเขาลับ ให้รีบนำเหล่าทหารหญิงชายที่ทรงฝึกฝนไว้เป็นพิเศษ พร้อมราชพาหนะ
อันมีพระยาราชสีห์และพระยาคชสีห์มาเพื่อใช้ในการเดินทางนำกองทัพเพื่อเข้าสู่ยัง
นครนาครินทนาครต่อไปเพื่อช่วยเหลือพระราชสวามี ครั้นลุล่วงฤกษ์อันเป็นมหามงคล
แล้วพระองค์ทั้งสองก็คุมเหล่าทหารหญิงและชาย องค์เจ้าหญิงมณีกานต์ทรงพระยาราชสีห์
องค์เจ้าหญิงปทุมวดีทรงพระยาคชสีห์ทรงนำเหล่าทหารหญิงชายที่ทรงสร้างไว้เป็นพิเศษ
เหาะไปในทางอากาศผ่านแมกไม้ทิวเขานานาตลอดมหาสมุทรเข้าสู่อาณาเขตนาครินทนาคร
บรรลุยังเทือกเขานิละวานรคีรีมาศ พลันพระองค์ทรงแลเห็นบนยอดเขาถูกประดับประดา
ด้วยทิวธงต่างๆพลิ้วไสวไปมาก็ให้บังเกิดความสงสัยแก่เจ้าหญิงมณีกานต์เป็นยิ่งนัก
พระองค์จึงตรัสถามแก่เจ้าหญิงปทุมวดีว่า
“นี่แน่ะน้องหญิง พี่เองให้รู้สึกสงสัยเหลือเกินว่าอันยอดเขานิละวานรคีรีมาศเมื่อ
27 พฤศจิกายน 2549 10:44 น. - comment id 75357
อ่านมาหลายตอนแล้ว รู้สึกเหมือนกับว่าคุณลุงเป็นทหารมาก่อนค่ะ รู้สึกจะชำนาญด้านแผนการรบนะคะ

27 พฤศจิกายน 2549 12:51 น. - comment id 75358
คุณชายชรา....ปทุมวดีเข้าราย.. งานตัวเจ้าค่ะ

28 พฤศจิกายน 2549 09:53 น. - comment id 75853
คุณ เพียงพลิ้ว เพียงแค่เป็นนักเรียน รด. แค่ปี 3 เท่านั้น แหละครับเมื่อสมัยก่อนเขาฝึกการทฤษฎีและปฎิบัติ เท่านั้นเองแหละครับ เมื่อก่อนเขาสอนเกือบๆทุกๆอย่างครับ เมื่อจบออกมาก็เกือบไปเป็น ทหารเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้เป็น หันมาทำงานอาชีพ รับราชการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆแหละครับ ความรู้ ก็อาศัยของเก่าๆแหละครับ อิอิ
แก้วประเสริฐ.

28 พฤศจิกายน 2549 09:59 น. - comment id 76042
คุณ ทางแสงดาว จ๊ะมารายงานตัวแล้วหรือจ๊ะ เก่งจริงๆนะครับ
แก้วประเสริฐ.

28 พฤศจิกายน 2549 10:01 น. - comment id 76043
คุณ เฌอมาลย์ ครับผมเองก็มัวแต่งๆจะเร่งให้จบเสียทีครับ สมองจะได้เบาบางเสียบ้างอิอิ ไม่ว่างเหมือนกันนิ
แก้วประเสริฐ.

28 พฤศจิกายน 2549 20:37 น. - comment id 93965
คุณ นางฟ้า..แสนซน ขอบคุณครับในน้ำใจไมตรีด้วยของฝาก ถึงแม้จะเพียงแค่นี้ แต่ในส่วนลึกยิ่งใหญ่มากครับ ยิ่งเป็นห่วงเป็นใยยิ่งสุดซึ้งเชียวครับ ขอบคุณ
แก้วประเสริฐ.
