15 ธันวาคม 2547 14:21 น.

ลูกไม้…หล่นใกล้ หรือ ไกลต้น ดี ?

pigstation

1. 
แดดเริงแรงแสงระยับ สาดแสงลงมากลางลานหญ้าหน้าสถานีอนามัยบ้านบึง  ลมอ้าวพัดมาจากหัวเขาไกวกิ่งไม้ไหวเอน มันเป็นลมแล้ง ดอกคูนบานสะพรั่ง เหลืองจัดจ้านเป็นพวงมาลัยช่องามประดับทุ่ง
ผมคลี่การ์ดสีขาวตัดขอบดำลายเทพพนม ทบทวนดูหมายกำหนด ตระเตรียมไปร่วมงานประชุมเพลิงฌาปนกิจ นายอ่วม ลุงขี้เมาประจำหมู่บ้าน คงไม่มีใครโศกเศร้าเกินความจำเป็น เพราะเป็นไปตามแก่สังขารและวารวัยที่ล่วงมาจน 86 ปีโดยประมาณ
เสียงแม่บ้านเร่งเร้ามาจากครัวบ้านพักของเจ้าหน้าที่ประจำสถานีอนามัยชายเขาดังโหวกเหวกมา ผมตื่นจากภวังค์ที่ว่า..

(.ในภวังค์ที่ว่าวัยหนุ่มฉกรรจ์ การมาบรรจุตำแหน่งเจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชนอย่างผมนั้น เป็นที่ใส่ใจของชาวบ้านร้านถิ่น ทุกคนให้การต้อนรับเป็นอย่างดี จนผมรู้สึกผูกพันตั้งแต่เริ่มแรกชีวิตการทำงานรับใช้แผ่นดินในนามข้าราชการ คนของหลวง เพื่อปวงชน
	จวบจนวันเวลาล่วงเลย จนผมเริ่มต้นชีวิตครอบครัว ชีวิตผมดำเนินไปตามครรลองแห่งสภาพชนบทกาลอย่างไม่หวือหวา เป็นไปตามลำดับขั้นตอนของมันอย่างธรรมดาสามัญ
	ต่างกันตรงที่ว่าแต่ละวัน ลุงอ่วมจะเมาเป๋มาที่สถานีอนามัยทุกวัน มาแต่ละวันก็วันละเรื่อง บางครั้งผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไม ชาวบ้านตาสีตาสาอย่างตาลุงสาวก 40 ดีกรีอย่างตะแกจะมีเรื่องราวอะไรมาถกปาฐะกับหมออนามัยหนุ่มตอนปลายอย่างผมได้ทุกวี่วัน
		หมอออโผมน่ะเบื่อไอ้พวกนักการเมืองเหลือเกิน.. ดีแต่ตอนเลือกตั้ง พอเลือกเสร็จก็ไม่เห็นทำตามนโยบาย อย่างนี้มันไข่แล้วทิ้งนี่นา เอิ้กกก
		แหม..ลุง ไอ้สำนวนไข่แล้วทิ้งมันน่าจะเป็นเรื่องหนุ่มทิ้งสาวนาผมติง
		มันก็ครือกันแหละ
	เป็นอย่างนี้ทุกวี่วัน จนกระทั่งผมมีโอกาสเป็นพ่อคน แกก็ยังรักษาระดับความเมาไว้อย่างสม่ำเสมอ จนลูกผมเข้าเรียนในระดับชั้นประถม
		เด็กวันนี้ คือผู้ใหญ่อัปรีย์ในวันหน้า เอื๊อกก  ลุงอ่วมล่อประเด็นหาเรื่องแต่หัววัน
		อ้าว..ไปกินรังแตนที่ไหนมาลุง เล่นแรงนา 
		นี่ดูสิ ผลงานนังจันทร์ ลูกสาวลุง มันเอาลูกมาทิ้งไว้ ทำไงดีหว่า..ฝากหมอช่วยๆดูหน่อย มันก็คงรุ่นราวคราวเดียวกะลูกชายหมอแหละ เอาบุญนะพ่อคุณ ที่ปลายมือลุงอ่วมมีมือเรียวเล็กบอบบาง พร้อมดวงตาไม่รู้อิโหน่อิเหน่จ้องมายังผมอย่างหวาดๆ ตกลงผมก็เลยต้องอุปการะไอ้แกละหลานตาอ่วม ผลงานของนังจันทร์ลูกสาวคนกลางที่ไปทำงานเมืองกรุง ขายแรงแลกเงินวันต่อวัน ส่วนลูกนั้นคงต้องพลัดพรากจากอ้อมอกก่อนวัยอันควร มันคือผลกระทบสืบเนื่องมาจากการรีบเร่งพัฒนาให้สังคมเราก้าวกระโดดสู่ความเจริญทางวัตถุ  จนละลืมการสร้างคน การสร้างครอบครัว ให้เป็นหน่วยย่อยของสังคมที่ดีพอที่จะเป็นเรี่ยวแรงทั้งกำลังกายและกำลังสติปัญญาในการพัฒนาชาติบ้านเมืองให้สู่ความเป็นอารยะอย่างครบถ้วน สมบูรณ์พร้อม
	แต่ละวันที่ไอ้แกละมาขลุกอยู่กับลูกชายผม จนเติบโตเป็นหนุ่มน้อย ทั้งคู่เป็นเสมือนฝาแฝดอิน-จัน จนใครๆต่างทักว่าผมมีลูกแฝด แต่ที่น่าปลื้มใจคือ ไอ้แกละมันรักดี จนผมอดที่จะภูมิใจไม่ได้ว่า คงเป็นเพราะบทบาทหน้าที่ของหมออนามัยคนเล็กใจโตอย่างพวกเรา นอกเหนือจากหน้าที่ภาระความรับผิดชอบที่ต้องตอบสนองเบื้องบนแล้ว งานชุมชนจิปาถะเราต้องลงไปขลุกอยู่กับชุมชน จนรู้แจ้งแทงตลอดว่า บ้านนี้มีควายตกลูกกี่ตัว มีหนี้ธกส.กี่แสน อะไรทำนองนี้
	สถานีอนามัยเปรียนเสมือนศูนย์กลางที่ไม่จำเพาะเจาะในการรักษาพยาบาลแต่เพียงสถานเดียว ยังมีบทบาทเสริมไม่ว่าจะเป็นแหล่งส่งเสริมข้อมูลการเรียนรู้ด้านสุขภาพ เป็นแหล่งส่งเสริมประชาธิปไตยแบบไม่สังกัดพรรค เป็นทุกสิ่ง คือทุกอย่าง เท่าที่จะทำได้     เท่าที่ชุมชนขอมา
		เป็นบุญของไอ้แกละแท้ ถ้าไม่ได้หมอล่ะแย่ลุงอ่วมก็ยังอ้อแอ้ตลอดศก 
		เด็กมันเอาถ่านด้วยลุง จบหกแล้ว ถ้าสอบอะไรติด ผมยินดีส่งมันจนจบเลย..จะได้เอาวิชาความรู้มาช่วยบ้านเกิด ผมตกปากรับคำ ทั้งที่เงินเดือนจะพอชักหน้าให้ถึงหลังหรือเปล่า อย่างไรก็ตกบันไดพลอยโจนแล้ว ส่งลูกส่งหลานให้ได้ร่ำได้เรียน ให้อนาคตด้วยการให้การศึกษาแก่เด็ก มันดีกว่าส่งดอก ส่งแชร์ เล่นหวยตั้งพะเรอเกวียน ผมคิดในใจตามประสา คนเคยเป็นเด็กวัด เคยอาศัยข้าวก้นบาตรมาก่อน
		โมทนาสาธุนะหมอนะ ไม่เปรี้ยวปากเร้อ เลิกงานแล้ว มะ ซักกรึ๊บ ว่าแล้วลุงอ่วมก็ยื่นน้ำทิพย์มา มีหรือผมจะให้เสียน้ำใจ สักหน่อยจะเป็นไรไป คลายเครียด
	ผลการสอบเอ็นทรานซ์ออกมา เจ้าลูกชายผมติดคณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ส่วนเจ้าแกละ มันออกจะเกรงใจผมอยู่เลยตัดสินใจไปสอบอาชีวะ เรียนด้านออกแบบนิเทศศิลป์ เผื่อลู่ทางทำมาหากินแต่โดยเร็ว จะได้ลดภาระให้ผม ในฐานะพ่อบุญธรรม .ภวังค์ของผมก็ค่อยจางหายไปเมื่อเสียงแปร๋นของภรรยาผมเข้ากรอกเต็มสองหู ระยะประชิด )





2.
	คนเราเมื่อพิจารณาดูก็เพียงเท่านี้ ร่างที่เห็นว่าสวยงาม ใจที่เห็นว่ามี ว่าเป็น ตามแต่จิตปรุงแต่ง พอสุดท้าย เหลือเพียงร่างที่ไม่ต่างจากวัตถุ เมื่อจิตดับ ธาตุต่างๆที่มาประชุมเป็นขันธ์ 5 ก็พากันเสื่อมสิ้นสลายคืนสู่ดิน สู่น้ำ สู่ไฟ สู่ลม ตามเดิม เหลือเพียงบุญกุศล เวรกรรมที่สะสมไว้ก่อนเบื้องปลายเป็นเครื่องชี้นำว่าจะ นรก สวรรค์-นิพพาน
	เมรุประดับด้วยดอกไม้พอประมาณ จากแรงรวมของคนละแวกเดียวกัน ที่เคยเห็นหน้าค่าตา งานบาป งานบุญก็คนหน้าเดิมทั้งนั้น
	เสียงพระสวดชักบังสกุลค่อยจบลงตามธรรมเนียมประเพณี ทุกคนเดินขึ้นไปวางดอกไม้จันท์ แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปตามวาระแห่งกาลเทศะ
	สีสุกปลั่งของจีวรใหม่ที่อาบคลุมร่างของเณรหนุ่มทั้งสอง ช่างอร่ามเรืองยิ่ง ผ่องผิวนวลเนื้อของเจ้าพระคุณให้น่าเลื่อมใส เณรแกละ และเณรลูกชายของผมบวชหน้าไฟให้บุพการีตามประเพณีสืบมา
	แม้ชายผ้าเหลืองจะนำพาขึ้นสวรรค์วิมานแมนหรือไม่กับคนขี้เหล้าเมายาอย่างตาอ่วม แต่กับตัวผมแล้ว บัดนี้เณรแกละ ผู้เป็นหลานสืบเชื้อสายได้ก้าวมาถึงปฐมวัยแห่งการเริ่มต้น
	ส่วนตัวผมเมื่อเข้าสู่มัชฌิมวัยล่วงพ้น คงต้องคอยประคับประคองให้หน่อเนื้อนาบุญ ให้เจริญวัย เติบใหญ่เป็นคนรักดี เผื่อว่า ถิ่นฐานบ้านเกิด หรือ มาตุภูมิจะได้มีกำลังของแผ่นดิน คอยรับใช้เบื้องยุคลบาทสืบไปให้ชาติได้วัฒนา

3.
	เสร็จสิ้นจากงานทำบุญร้อยวัน เจ้าหนุ่มน้อยก็ถึงวันเปิดเทอมใหญ่ บทบาทใหม่ของพวกเขาคนรุ่นใหม่หัวใจชนบทกำลังจะเริ่มต้น
	ริมทุ่งนาในเย็นวันหนึ่ง วันที่ไร้เสียง ไร้เงาลุงอ่วมมาทักทาย มาป่วน ขาดหายไปนับแต่นี้จนสืบไป มีต้นยางใหญ่กำลังออกลูก ออกผลสะพรั่งเต็มก้าน สายลมหนาวกรูเกรียวมาอย่างหงอยเหงา และเปล่าเปลี่ยว
	ลูกยางถูกปลิดขั้ว ลอยหมุน ปลิวไปตามแต่แรงเหวี่ยงของกลีบเจ้า จะไปไกลสุดฟ้าไหนก็ตามแต่ใจเจ้า ผมเห็นปีกสีแดงของลูกยาง ดังความงามอันร้อนแรงที่จะเติบใหญ่เป็นต้นกล้าต่อไป
	ย้อนกลับมายังสถานีอนามัยชายเขา ผมเงยหน้าจากเอกสารบนโต๊ะ พบแววตาหมองของน้าศรี ที่ปล่อยเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา
		คุณหมอ..ลูกชั้นติดยาบ้า ทำไงดี
	บางลูกไม้ไม่ทันเติบใหญ่ ก็ถูกแมลงกัดกิน..เสียแล้ว หน้าที่ตรงนี้คงไม่ใช่เรื่องของหมออนามัยคนเล็กหัวใจโตอย่างผมแต่ลำพัง คงเป็นเรื่องของทุกคนที่จะช่วยเป็นร่มเงาให้ลูกไม้ได้หล่นไม่ไกลต้น หรือจะไกลต้นได้เติบโต ได้งอกงามขึ้นมา บนด้ามขวานทองนี้.				
15 ธันวาคม 2547 14:13 น.

ประคอง

pigstation

ประคอง
นายรู้สึกถึงความหมายของคำนี้อย่างไร ? แล้วรู้ไหมทำไมถึงมีคำถามอย่างนี้เกิดขึ้นระหว่างเรา ทั้งที่ผ่านมาเราไม่เคยสงสัย หรือ ซักถาม ต่อกัน ด้วยว่าความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งนั้น ได้เข้าแผ่ซ่านเป็นส่วนหนึ่งระหว่างความสัมพันธ์ที่ผ่านมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง
	เวลานี้ดูนายหดหู่เกินกว่าความจำเป็น อดคิดถึงความร่าเริงที่ดูไร้แก่นสารของนายที่มีต่อโลกรอบตัว ยิ่งทำให้แสนเสียดายมาก หากว่านายยังคงก้มหน้ามุดลงต่ำ วางสายตาแจ่มใสไร้ตะกอนขุ่นสู่พื้นดิน น่าสงสารนายเหลือเกิน เกิดอะไรขึ้นกับคนที่สามารถชักจูงเสียงหัวเราะร่าจากคนรอบข้างอย่างง่ายดาย กลายเป็นคาถาเสื่อมมนต์ขลัง ทั้งที่สิ่งที่นายเผยออกมาจากตัวเอง จากสิ่งต่างๆที่นายรู้จักมากกว่าครึ่งโลกที่ได้มาจากการสะสมข้อมูลด้วยการตะบี้ตะบันอ่าน แต่ละวลีที่ผลิบานออกมาจากวจีนาย ดูจะปลุกเร้าความแช่มชื่น ความมีชีวิตชีวาให้เกิดขึ้น เสียดายไหม
	นั่งลงก่อน ที่นัดมาเจอกันวันนี้ เพียงอยากตรวจสอบดูว่า สิ่งต่างๆที่นายเคยสร้างสรรค์ออกมาโดยไม่ใช่การฝืนความต้องการภายใน สิ่งที่ลุล่วงออกมาจากเบื้องลึกภายในของนาย ที่เพียงจะให้เกิดความรื่นรมย์ รวยริน รายรอบทั้งผู้คน สถานที่ และบรรยากาศ  ซึ่งตอนนี้จากการพลิกกลับ 360 องศาของนายนั้น มันก่อเกิดความรู้สึกห่วงใย เพราะภาพที่นายเป็นผู้ปรุงบรรยากาศนั้น เป็นเสน่ห์ลงตัวอย่างหาตัวจับยาก แล้วทำไมจู่ๆสวิทช์ของนายจึงตัดเองกระทันหัน - - ใจหายจริงๆ
		เอาล่ะ ทบทวนดูดีๆอีกทีสิ ว่ามีคลื่นอะไรมาแทรกซ้อน เลยทำให้อาการแปร่งๆเกิดขึ้น ในขณะที่ควรจะลื่นไหลไปยาวเหยียด เพลงอารมณ์ดี มียิ้มแจกนั้นกลายเป็นเสือปืนฝืด สิงห์อมมุขไปได้ ค่อยๆคิดช้าๆ หายใจลึกๆ เรายังมีเวลาเจรจากันทั้งคืน

	ตกลงสิ่งรบกวนนั้นน่าจะเป็นความมักง่าย ความเห็นแก่เงิน ที่ไร้ยางอาย ที่นายเข้าไปพัวพันเลยสร้างความอับเฉาเข้าปกคลุมจิตใจสว่างไสวของนาย จริงอยู่เคยเห็นนายระเบิดอารมณ์อยู่บ่อยๆ   แต่รับรองได้ว่าอารมณ์ของนายไม่แปรปรวนลับหลังใคร หรือใช้วิธีการสกปรก ใช้การแทงข้างหลัง หรือใช้วิธีสวมหน้ากาก สร้างกลลวง หว่านล้อมให้นายตกเป็นเครื่องมือ สุดท้ายสิ่งที่นายคิดว่าคืองานแห่งลมหายใจ ก็มลายไป ถ้าอย่างนั้นหันกลับมามองภาพสมัยก่อน งานแต่ละชิ้นของนายคือของกำนัล คือของฝาก คือสิ่งที่กลั่นออกมา อาจจะเปรียบเทียบไปเกินเลยกว่าความเป็นจริง แต่คงไม่เกินว่า คือการเสนอความบริสุทธิ์ใจ  แม้ว่าไม่ใช่ของโปรด ของตามธรรมเนียม แต่สิ่งนี้คือตัวแทนของนายในระยะก่อตัว ก่อนไปสู่สถานะที่นายเคยวาดไว้
		คำว่าสูญเสียการทรงตัวด้วยแรงกระทำของคนอื่น ที่เป็นเพียงสวะบางชิ้นลอยมาเกะกะเรา หากเป็นกัลยาณมิตร ย่อมจะเหนี่ยวนำกุศล ย่อมจะชี้ทางประเสริฐ ใช่จะไปคลุกคลีทำอะไรที่พ้นไปจากคำว่าสุจริตเป็นไม่มี ความเคลือบแคลงนั้นคือความเป็นธรรมชาติของเขา เราจะไปตามทันได้หรือ ทุกขณะจิตเราเพียงแต่ว่า ใช้ใจแลกใจ ทำไปทั้งมวลแลกหมัดกันไป ไม่มีคิดคำนวณอะไรให้ซับซ้อน สุดท้ายเมื่อทุกอย่างมันถึงกาล บทพิสูจน์ของผลกรรมย่อมแสดงตัวออกมา ไม่มีใครผิดถูก ต่างเป็นบทเรียนซึ่งกันและกัน ยังมีที่ทางอีกกว้าง ยังมีเส้นทางอีกหลายสาย ค่อยๆลุกยืนอีกหนสิ อย่าซึมเซาอยู่อย่างนี้  เสียดายความบรรเจิดที่นายเคยผลิตออกมาอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย การทดลองย่อมมีบ้างที่ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ พยายาม เชื่อมั่นในสิ่งที่เป็นอยู่ เสียมั่นในคนรอบข้างที่ยังยินดีหัวเราะร่า ใช่จะไปใส่ใจพวกฉกฉวย หรือพวกลอบกัด วิธีการซึ่งๆหน้าของนายนั่นเอง จะเป็นเกราะกันภัย เพราะเท่าที่เห็นมา อะไรๆก็ดูไม่ยากเย็นเท่าความวิตกจริตที่นายมักพลาดท่าให้อยู่เสมอ

ความเงียบลอยตัวเหนือบรรยากาศ แล้วคำว่าประคอง ยังต้องอธิบายความอะไรอีก เข้าใจแล้ว.				
15 ธันวาคม 2547 14:10 น.

บทวิจารณ์ภาพยนตร์ญี่ปุ่น

pigstation

( ภาพยนตร์รางวัล Nippon Motion  Picture  Festival ปี 2003 )
แสดงนำ  อันโดะ  ทาดาโอะ  ,  เนเนโกะ  ซาดาโกะ
กำกับ  กิโตะคุโนะ   โตมัสซึริ
	
	เคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า ครั้งสุดท้ายที่ร้องไห้อย่างเต็มสุขและอิ่มเอมตอนไหน  ไม่ยากคงเป็นตอนที่ได้เห็นลูกชายคนแรกถือกำเนิดออกมาจากคนรักของผมเอง ไม่อายที่ผู้ชายตัวโตๆอย่างผมจะปล่อยน้ำตาไหลปรี่มาเมื่อยินเสียงแรกของเขา ดวงใจ ดวงหนึ่งที่หล่อหลอมจากความรักของผู้เป็นพ่อเป็นแม่
	เช่นกันภาพยนตร์เรื่อง  the  PAINTER  ได้สร้างรอยประทับใจให้กรีดรอยลึกลงกลางรอยหยักสมองว่า ความรัก ความงาม นั้นคือ การลงฑัณฑ์ทรมานอีกอย่างหนึ่ง ในยามสูญเสียซึ่งการครอบครอง ของรัก ไป จะด้วย มัจจุราชแห่งอายุขัย หรือ โรคภัยไข้เจ็บ ล้วนตรงกับคำพระที่ว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย
	อันโดะ  ทาดาโอะ ( นักร้องนำรูปหล่อมากความสามารถแห่งวงร็อคนามกระเดื่องวง ครัวซองต์ )  รับบทเป็น อิจิ จิตรกรวัยเยาว์ผู้กำลังมีอนาคตสดใสกับวิชาชีพของตัว แต่ต้องประสบภาวะความเป็นความตายจากความบกพร่องทางอวัยวะสำคัญ นั่นคือ ภาวะ ลิ้นหัวใจรั่ว
	เพื่อนรักข้างบ้าน คือ นัทซึมิ (แสดงโดย เนเนโกะ) ที่เติบโตมาด้วยกัน เห็นสภาพของ อิจิ แล้ว จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เธอมุ่งมั่นจะเป็นศัลยแพทย์หญิงมือดี เพื่อคอยดูแลเยียวยาเพื่อนรัก (คนรัก ?) ของเธออย่างสุดความสามารถ


	ในที่สุดแม้จะคาดเดาได้ว่า สุดท้าย ความตายอันเป็นนิรันดร์จะต้องพรากทั้งสองจากกัน และทั้งสองไม่อาจจะครองรักกันเช่น คู่อื่นๆได้ แต่วิธีการดำเนินการทางความรักของทั้งสองนั้น มันช่างนุ่มนวลต่อเนื้อเยื่อหัวใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยรู้ว่า อิจิ มีความเปราะบาง และไวต่อความเจ็บปวด    ซึ่งนัทซึมิ คือ ยาใจคุณภาพเยี่ยม ที่หล่อเลี้ยงสภาพคล่องของการเต้นเพื่อยังชีพของ อิจิ ในการลงมือสร้างงานอันงามล้ำ
	ด้วยการประคับประคอง ชีวิต อันแตกต่างไปจากผู้อื่นของ อิจิ มันแสดงให้เห็นถึง การเต้นของหัวใจที่เค้นเอาแต่ความเจ็บปวดเท่าทวี ช่างต่างจากคนอื่นที่หัวใจเต้นเพื่อเสพสุข สายตาของ อิจิ จึงเห็นความงามอันแตกต่าง และรู้ซึ้งถึงทุกอะตอมของออกซิเจน  และเข้าใจว่าเลือดแต่ละหยดคือคุณค่าที่แลกมาอย่างปวดปร่า
	ในวัยเด็กแทนที่ อิจิ จะได้ไปวิ่งเล่นกระโดดโลดแล่นกลางแจ้ง เขาต้องเฝ้ามองเพื่อนอยู่ห่างๆ ด้วยสภาพร่างกายไม่เอื้อให้ เขาจึงหันมา เล่น บนแผ่นกระดาษ แต่ละเส้นคือตัวแทนของความรู้สึกทั้งมวลที่อัดแน่น กระดาษเป็นกองๆในฉากที่ อิจิ ขีดเขียน ลงสีนั้น มันช่างสื่อความหมายให้เห็นถึง แรงเค้นทางชีวภาพ เมื่อพละกำลังทางกายภาพไม่อนุญาติให้ได้มีโอกาสเลือกกระทำ
	ส่วน นัทซึมิ นั้น ได้แต่เฝ้าเพียรพับนกกระสา นับแต่จำความได้ ตัวแล้วตัวเล่า พร้อมคำอธิษฐานให้ ปาฏิหารย์สักวันว่า อิจิ จะหายเป็นปลิดทิ้ง
	ทั้งสองคือ หัวใจสองดวงที่เต้นจังหวะเดียวกัน แต่ต่างกันที่หัวใจหนึ่งเต้นเพื่อพออยู่ได้บนความสาหัส แต่อีกดวงเต้นเพื่อส่งผ่านความหวังให้กันและกัน
	กาลเวลารุดหน้าผ่านไป จากรอยแผลแรกจากการผ่าตัดซ่อมลิ้นหัวใจที่กรีดประทับแหวกทรวงอกของ อิจิ ในวัยเด็ก จนยามวาระอันแสนทรมานใจกว่าเมื่อ รอยกรีดมีดจากอาจารย์หมอนารุฮิโต้ ศัลยแพทย์มือหนึ่งแห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ริวกิว และ เธอ นัทซึมิ ศัลยแพทย์หญิง ผู้ประสบอุบัติเหตุบนเส้นทางการจราจรในสภาพโคม่า และก่อนดับสูญ เธอยินดีมอบหัวใจเธอ เพื่อ อิจิ  และการเร่งรีบดำเนินการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายหัวใจ ตัดสลับกับภาพปลายภู่กันตวัดลงเส้นระบายสีบนผ้าใบ มันช่างตัดบาดอารมณ์ให้แยกขาดเป็นริ้ว ทั้งความงามแห่งเนื้อเยื่อ และ เนื้อสี มันกระทบเอาทั้ง ความประณีต ความปวดแปลบ ในคาบเกี่ยวเวลาเดียวกัน 
ทั้งสองร่างเคียงคู่กันในขณะที่หัวใจดวงหนึ่งที่บกพร่องกำลังจะได้รับการเปลี่ยนถ่ายจากหัวใจอีกดวงที่เปี่ยมรัก สองคน แต่ต่อจากนี้จะมีเพียงหัวใจเดียวเท่านั้นที่จะต้องเต้นอยู่ต่อไปตามลำพัง
แม้อิจิจะฟื้นคืนมาพร้อมดวงใจของ นัทซึมิ มาอยู่ในทรวงอกของเขาแล้วก็ตาม แต่เมื่อสิ้นเธอไป ทุกอย่างก็ล้วนพร่าเลือนลงไป กี่เรี่ยวแรงที่มี เขาถาโถมลงสู่งานจิตรกรรมอย่างไม่รู้วันรู้คืน จนกระทั่ง ลมหายใจห้วงสุดท้ายในเรือนร่างที่ทรุดโทรมของเขา
 ณ หัวใจนัทซึมิ ใจกลางร่างกายอันบอบบางของเขาหยุดนิ่งลงแล้ว สายใยความรักพุ่งตัวม้วนบรรจบเข้าหากันไปสู่ความนิรันดร์เบื้องปลาย ณ สัมปรายภพ


	ฉากสุดท้ายที่มีแต่นิทรรศการศิลปะอันมีเพียงผลงานเท่านั้น ส่วนจิตรกรได้อำลาจากไปแล้ว ส่วนบนพื้นเต็มไปด้วยนกกระเรียนกระดาษ มันคือความงามที่บาดลึกเร้นลงไป ความงามไม่อาจสูญเสียตัวมันเองไปได้ และความเจ็บปวดนั้นก็ไม่คงทนเท่าความรักที่หนาแน่นอันมีไว้เป็นเกราะกันภัย ซึ่งทั้งสองได้ประคับประคองมาด้วยกันแต่เยาว์วัย
	ระหว่าง หัวจิต หัวใจนั้น  ความเป็นศัลยแพทย์ และจิตรกร ต่างใช้มันได้อย่างละเอียดอ่อนวิจิตรบรรจง ผ่านทาง มือ ออกมาแต่งเสกสรรค์ปั้นแต่งสร้างผลงาน ผ่านความคิด ผ่านปัญญา เราจึงไม่อาจเจ็บปวดถาวรได้ เพราะความงามมันไม่เคยสูญเสียตัวมันเองให้กับอุปสรรคหรือความเลวร้ายใดๆ หากมีความรักเป็นที่ตั้ง
	แล้วคนที่หัวใจแข็งแรงสมบูรณ์ทุกประการอย่างเรา นอกจากการเต้นเพื่อหล่อเลี้ยงชีพตัวเองให้คงอยู่แล้ว เคยเผื่อแผ่น้ำใจออกไปสู่คนรอบข้างบ้างหรือเปล่า ลองตั้งคำถามกับตัวเองดู

	หมายเหตุ  ในนัยยะแห่งถ้อยคำ กลับสืบพบว่าเมื่อออกเสียง PAIN/PAINT คือ ความเจ็บปวด / การระบาย  ซึ่งล้วนถูกบีบออกมากโพรงประสาท/กรวยความรู้สึก   จึงมีแรงดาลใจเขียน กวีให้แก่ภาพยนตร์เรื่องนี้ สักบท

		น้ำตาระบายไหลออกมาพร้อมความเจ็บช้ำ
		กาลเวลาส่งผ่านความแข็งแกร่งสู่จิตใจ
		แม้เธอจักเจ็บปวดปานใด
		หัวใจฉันเจ็บปวดปานนั้น
		เรารับรู้ เรียนรู้ ร่วมกัน
		
		มือหนึ่งของเธอจักระบายโลก
		มือหนึ่งของฉันจักรักษาร่าง

		แล้วหัวใจของเราก็เต้นพร้อมกัน
		แม้นเธอเจ็บปวด ระบายมันออกมา
		หัวใจฉันพร้อมรับ และรู้สึกตามได้
		เพราะเรามีหัวใจที่บรรจุรักไว้เต็มเปี่ยม
จึงไม่มีความทุกข์ใดมาแผ้วพาลได้ นิรันดร์.				
14 ธันวาคม 2547 14:11 น.

RED COFFEE

pigstation



เธอเคยเห็นกาแฟสีแดงไหม สีแดงเหมือนเลือดสด  แดงกว่าที่เธอเคยเห็นมา ในถ้วยกาแฟใบใดก็ตามแต่ เท่าที่เธอเคยเห็นมา ไม่ว่าจะเป็นกาแฟประเภทใด  คงแปลกตากว่า ดอกไม้สีน้ำตาล ที่แห้งกรอบ หงิกงอ ด้วยถูกกาลเวลาแผดเผาเอาความสดใหม่ พรากเอาน้ำทิพย์อันชื่นเอี่ยม มลายไป เหลือไว้เพียงซากของมัน เอาไว้เพื่อทบทวนความเก่าครั้งก่อน

แล้วรสชาติของมันล่ะกาแฟสีแดง เป็นอย่างไร เคยลิ้มลองบ้างไหม ? กล้าพอหรือไม่ ?
แล้วดอกไม้ดอกใหม่ก็เริ่มแย้มกลีบบานรอท่า รอเธอไปคว้ามา จะจากลำต้นโดยตรง หรือผ่านมือเกษตรกร ก็ตามแต่ แล้วแจกันเธอจะได้พบรักใหม่เรื่อยไป มันต่างจากหัวใจของเธอไหม ? เคยพอกับคำว่ารักบ้างหรือเปล่า?

ควันลอยกรุ่นออกมาจากกาแฟถ้วยนี้ มันเป็นควันสีแดงฉาน ลอยอ้อยอิ่งก่อนม้วนตัวขึ้นสูง แล้วค่อยแผ่ขยายเรือนร่างกลุ่มควันสีแดงของตัวเองให้เจือจางลงไปทีละนิดจนกลืนหายไปในบรรยากาศรอบตัว ทว่าภาพมันยังเด่นชัดแจ่มแจ้งคาตา ว่า มันแดงพอๆกับเลือดสดๆ เธอเคยเห็นไหม

 คนใหม่ของเธอหรือนั่น ดูดีนะ เหมือนกรอภาพกลับไปจุดเดิมที่รู้จัก ที่คุ้นตา จะเป็นรอยยิ้มลึกลับและลึกล้ำของเธอนั้น กับท่วงท่าการพลิกหนังสือเล่มโปรดในมือ จะบทบรรยายเรื่องราวสารพัด สาระพัน  เหมือนตาน้ำทีมีน้ำผุดออกมาไม่ขาดสาย

ไม่ได้จำจารึกไว้จนเจียนจบสิ้นชีวิต เพียงแต่เธอคงไม่เคยผิดหวังเลยสักครั้ง กาแฟถ้วยนี้คงเป็นสักขีพยานให้เธอรู้ว่า ความเป็นอื่นนั้นไม่ได้อยู่ไกลจากตัวเรา นอกเสียจากว่า เราไม่อาจยอมรับความจริงได้ ผัสสะทั้งมวลเราจึงปร่าแปร่งออกไป

คัตเตอร์มันคมไม่หยอกนะ แล้วหลอดเลือดที่ข้อมือก็ไม่เหนียวพอ - - - กาแฟสีแดงนี้คงเป็นกาแฟที่ชงมาจากลิ้นหัวใจฉันแท้ๆ

เธอจะไม่ลองชิมดูหรือไร ?  



( ความจริง เป็นเพียงกาแฟเย็นชืดในถ้วยใบโปรดวางอยู่ข้างแจกันเหงา ในวันที่เกิดความรู้สึกบางอย่างย้อมสี ยังคิดถึงเธออยู่ แม้เธอเปลี่ยนไป แต่ความรู้สึกที่เคยมีมันช่าง เหมือนเดิม  คงไม่มีอะไรมาทำร้ายเราได้ - - - ว่างๆมาที่นี่อีกครั้งสิ  
เธออาจได้ดื่มกาแฟสีแปลกๆดูบ้าง แต่ดอกไม้นั้นปล่อยมันอยู่อย่างนั้น ดีแล้ว บางทีสีน้ำตาลก็ดูอบอุ่นดีนะ )




อุทิศให้ผู้กล้าพลีชีพเพื่อความรัก แต่ขี้ขลาดเกินที่จะมีชีวิตอยู่  แรงบันดาลใจจากข่าวหน้าหนึ่ง เมืองพุทธ				
14 ธันวาคม 2547 14:04 น.

หัวใจและไกปืน 2

pigstation

IN   THE  HEART  OF  GUN

หัวใจและไกปืน 2


1. สถานีรถไฟหัวลำโพง บางจุดเริ่มแห่งชีวิตจากภาคชนบทที่ไหลหลั่งละลิ่วปลิวสู่เมืองหลวง  บางจุดจบของชีวิตที่แบกบรรจุหัวใจอัมพาตสองห้องหอบหิ้วสังขารอันราโรยล้าแรงถอยทัพกลับสู่มาตุคาม
2. ไสว วัยรุ่นมองเลิกลั่กไปทั่วในความพลุ่กพล่านของสถานีรถไฟหัวลำโพง ความใหญ่โตของมันเกินกว่าโรงสีที่ว่ายักษ์ในสายตาเขานัก
3. ในมือกำกระดาษที่ซุกแน่นิ่งในกระเป๋า มาเกือบ 10 ชั่วโมง จากวารินชำราป เมืองอุบลคนดอกบัว ก่อนตัดสินใจวานตำรวจประจำป้อมยามช่วยเหลือ แล้วเขาก็ไปถึงที่คุ้มหัว ในนามบ่อนป๋าเหลิม พญาไท
4. ขนส่งสายใต้ รถสีส้มเขยื้อนตัวอย่างเกียจคร้าน หวังกลืนกินเก็บเอาผู้โดยสารระหว่างทางมาใส่ตัวถังให้มากที่สุด สายลมอู้ร้อนของเดือนมีนาคม มันช่างเหมือนนั่งในเตาตีเหล็ก  ทิดจ้อย หนุ่มกำยำจากเมืองเพชรกำลังครุ่นคิดถึงโฉนดในมือของเถ้าแก่มนูญ นายก อบจ. ที่มีกิจการนานานัปการ รวมทั้ง ไฟแนนซ์ ลิซซิ่ง (การเก็บดอกทบต้นอัตราพอกหางหมูในนามของกฏหมายคุ้มครอง) ตอนนี้เขามาถึงเมืองกรุงหวังหาเงินสักก้อนไปผ่อนผันมรดกแปลงสุดท้ายของอดีตเกษตรกรที่ล้มเหลวทางวิชาชีพ เนื่องจากสู้ราคาปุ๋ยเคมีไม่ได้ อีกทั้งกลไกตลาดโลกที่ผันผวนราวกระแสน้ำในคาบสมุทรลึกโพ้น
5. จำเนียรกาล ไสวฝึกปรือฝีมือของตัวเองจนก้าวมาเคียงบ่าเคียงไหล่สมุนคนโปรดของป๋าเหลิม พญาไท
6. ส่วนทิดจ้อย ยังคงหน้ามืดตาลายอยู่แถวย่านปากคลองตลาด กี่เที่ยวรถเข็นพืชผักผลไม้ ดอกไม้ ในนามกองทัพมดอย่างนี้ ถึงจะมีเงินเป็นกอบเป็นกำ เห็นคนวาดรูปนั่งสบาย เขี่ยเส้นไปมา ระบายสีไปมา นั่งเฉยๆ คนก็มานั่งเฉยๆ ให้วาดรูปอะไรหนักหนา แผ่นหนึ่งตั้งสองสามร้อย มันพอที่จะซื้อข้าวสารกินได้กว่าครึ่งเดือน แล้วทำไมกระดาษแผ่นเดียวนี้ คนถึงทำท่าหลงใหลได้ปลื้มหนักหนา ฤาโลกเรามันถ่วงสมดุลไว้ให้อีกคนแบกหามเข็นครกขึ้นภูเขาพระสุเมรุ ทว่าอีกคนนั่งอยู่บนเสลี่ยงทองคำ
7. ชะตาชักใยให้ทิดจ้อยมาปะหน้าไสว มือปืนหนุ่มหน้าใหม่เขย่าวงการ ที่ดิ โอลด์สยามพลาซ่า
8. ความเป็นคนนอกของเมืองกรุง ความเป็นคนที่ยังติดในอัธยาศัยไมตรี นำพาให้ทั้งคู่ต้องโคจรมาเจอกันหน้าร้านปืนเกษม ขณะที่ไสวกำลังคลำเครื่องมือทำกินอยู่อย่างชื่นชมในอำนาจแสนยากร ส่วนทิดจ้อยกลับเมียงมองผ่านทางตู้กระจกโชว์ จนกระทั่งสายตาความซื่อที่เคยมีมาบรรจบกัน ไสวพยักหน้ายิ้ม แล้วพระพรหมก็ขีดเส้นให้ทั้งสองได้รู้จักมักจี่ พร้อมวิญญาณเพชรฆาตของทิดจ้อยที่มีปู่เป็นมือปืนร้อยศพเริ่มแผ่ซ่านเข้าครองหัวใจเดิมที่มีแต่คำว่า สุจริตเป็นที่ตั้ง หลังจากบวชเรียนมา 3 พรรษาของทิดจ้อย
9. จากนั้น ทั้งคู่ก็เริ่มสนิทสนม กี่ปืน กี่กระสุน ทั้งคู่เล่นกับมันราวเด็กได้รถวิทยุบังคับ จากร้านปืน มาสู่ร้านเหล้า ร้านคาราโอเกะ จนทิดจ้อยเริ่มสนใจเงินในกระเป๋าของไสวที่หนา และมีมาง่ายราวกอบเอาใบไม้รายทางมา
10. ป๋าเหลิม เริ่มระแคะระคายอะไรบางอย่าง จึงสั่งการณ์ ไอ้วุฒิ หัวเสธฯ ประจำกองทัพเถื่อน ที่สุดแล้วคนเราลองได้คลุกคลีสิ่งใด ผิว่าเกลือกกลั้วสิ่งนั้น ตนแลมิอาจต้านทานกระแสได้ ทิดจ้อยตัดสินใจรับคำเชิญชวนเข้าสู่อาณาจักรมืดของป๋าเหลิม พญาไท และงานปลิดชีพแรกคือ.
11. โกดังท่าเรือ ไสวมาซุ่มรอสังหาร ใคร ตามใบสั่งเก็บอย่างนิ่งเฉย เป็นทองไม่รู้ร้อน รอนาทีสำคัญนาทีเดียวเป็นจบกัน
12. ที่ตรงนั้น บรรยากาศอึมครึม สายฝนโปรยปรายจากเบาเม็ดเป็นหนาตา เทลงมาราวฟ้ารั่ว ทิดจ้อยค่อยรวบรวมความกล้ากระชับปืนในมือ
13. ไสวยังคงนั่งรอ เมื่อทิดจ้อยปรากฏตัว ทำเอาแทบผงะ หรือต้องใช้ถึงสองแรง สงสัยฝ่ายอริมีดีเกินรับมือได้คนเดียว
14. แต่แว่บของเปลวไฟ กระตุกสัญชาติญาณของนักฆ่าให้โผนตัวหลบวิถีกระสุนอย่างเฉียดฉิว มันเรื่องอะไร ทำไมทิดจ้อยถึงเล่นอย่างนี้
15. ป๋าเหลิมยิ้มกริ่ม มือถือแก้วบรั่นดีคลึงไปมา ไอ้วุฒิ หัวเสธฯ บอกเล่าถึงเกมส์ปั่นหัวคนบ้านนอก หากทิดจ้อยจัดการไสวได้ นั่นคือการผ่านการทดสอบ หากไสวจัดการทิดจ้อยได้ นั่นหมายถึงการสอบตกภาคปฏิบัติของทิดจ้อยเอง อีกอย่าง มีข่าวลือมาแต่ไกลว่า ฝ่ายตรงข้ามชอบใจในฝีไม้ลายมือของไสวที่ว่าแม่นเหมือนจับวาง เลยเตรียมซื้อตัว ถ้าเป็นจริง ยืมมือทิดจ้อยจะได้ไม่เหนื่อย เพราะเห็นว่าทั้งคู่ไว้เนื้อเชื่อใจกันอยู่แล้ว
16. ฝนฟ้าคะนอง ฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้าง ไฟดับทั่วเขตราชเทวี เสียงปืนดังก้องคำรามติดๆกัน
17. เลือดแดงฉานกลางหลังของคนทั้งสอง  ดวงวิญญาณสัญจรออกจากร่างไปสู่เขตแดนพิพากษาชะตากรรม
18. หัวรถจักรเคลื่อนตัวออกจากหัวลำโพง รางรถไฟมองไปจนทิ่มสู่เส้นขอบฟ้า
19. ล้อขนาดใหญ่หมุนตัวเอี๊ยด พร้อมเสียงแตรแปร๋น ตัวถังรถสีส้มแจ๋น
20. เท้าที่ก้าวลงย่างเหยียบบนถิ่นฐานบ้านเกิด แม้ห่างกันคนละโยชน์ แต่มันก็แนบแน่น  ไสวยิ้มให้ทุ่งกว้างนาไกล ส่วนทิดจ้อยก็โบกมือทักทายดงตาลตามประสา

21.  ประพันธ์โดย กิตติคุณ  ธรรมศิริ (หมู  ปั๊มหนังสือ)  เพื่อบอกเล่าถึงภาวะย้อนแย้งทางพฤติกรรมสังคม ที่ถูกครอบงำโดยอำนาจทุนนิยม ทำให้เกิดอาชญากรรมกัดกินโครงสร้างของสังคม(วัณโรคร้ายทางสังคมอีกหนึ่งอาการ) ซึ่งมีผลกระทบต่อความเป็นชนบทนับสืบเนื่องมาจากแผนพัฒน์ ฉบับแรกๆ แต่บอกผ่านทางน้ำเสียงของภาพยนตร์แอ๊คชั่น-ดราม่า  .				
Lovers  0 คน เลิฟpigstation
Lovings  pigstation เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟpigstation
Lovings  pigstation เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟpigstation
Lovings  pigstation เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงpigstation