4 ธันวาคม 2547 21:22 น.

หนี เป็นทางเลือกของเรา

กล่องดนตรี

               เดินสวนกันที่บันได ทางเดินหรือที่ไหน เราจะก้มหน้าแทบติดดิน ถ้าเค้าเข้ามาใกล้ๆเราจะออกไปห่างๆ ถ้าเดินมาอยู่ข้างๆเราก็จะหนี หนี หนี แล้วก็หนี ไม่อยากจะสบตาแบบจังๆ เพราะกลัวว่าสายตาของเธอที่ตอบกลับมาจะเย็นชา ดูถูกหรือรังเกียจเรา มันคงเจ็บถ้าได้รับความรู้สึกแบบนั้น ไม่อยากรับรู้ความรู้สึกแบบนั้น เพราะในตอนนี้เราก็แทบจะไม่รู้สึกดีกับตัวเองเกินพอแล้ว คงไม่โกรธนะ ที่เราหนีเธอทุกครั้ง ทำไมนะ? เราถึงได้รู้สึกว่าเธอเกลียดเรา มากเลยด้วย รู้สึกตัวเองไม่มีค่า เคยถามตัวเองว่าถ้ารักเธอแล้วเจ็บนัก จะรักไปทำไม? เคยพูดว่าเกลียด เกลียด เกลียดเธอ แต่รู้ไม่? ทุกคำที่พูดไปแปลว่ารัก เพราะทุกอย่างไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหนหรือเจ็บปวดแค่ไหน เราก็รู้ดีว่าเธออ่อนโยนและแคร์ความรู้สึกคนอื่น แค่ไม่แสดงออกมาให้เห็น ก็เท่านั้น หรือเราคิดไปเอง ไม่รู้สินะ? แต่เราก็ชอบ ชอบมากเลยด้วย จะลืมก็ทำไม่ได้ ไม่รู้นะ มันยาก ยากมากๆเลย อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้อยากลืมจริงละมั่ง?
               จะตักสินใจอะไรที่เกี่ยวกับเธอก็ทำไม่ได้ ก็ไม่กล้า กลัวมันจะผิด กลัวมันจะแย่ไปกว่าเก่า เราเลยเลือกที่จะไม่ตัดสินใจแทน มันถูกไหม? เราเองก็ไม่รู้ รู้ก็แต่ว่เธอก็ไม่ทำอะไรเหมือนกัน ไม่พูด ไม่คุย ไม่ทัก เพราะเกลียด รังเกียจ หรือไม่อยากเห็นหน้า เราเองก็ไม่รู้ เจ็บนะ ทุกครั้งที่พบก็เจ็บอยู่แบบนี้ นานมากแล้วที่เจ็บช้ำ เธออาจจะไม่รู้ ใช่ไหม?
               เหมือนกับเธอเป็นดวงดาวที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า สูงขึ้นไปทุกที ส่วนฉันก็เป็นคนธรรมดาที่จมลงในดินมากขึ้นทุกที เจ็บนะ ที่ไม่มีแม้โอกาศที่จัรับรู้ถึงแสงระยิบระยับของดวงดาว เจ็บที่ไร้ค่าเกินกว่าจะสัมผัสแสงจากเธอได้ เจ็บปวดขึ้นทุกที แต่แค่ได้รู้ว่าเธอลอยสูงขึ้นสูงขึ้น ฉันก็มีความสุขเกินจะทนแล้ว รู้ไหม? การที่มีแต่ความทุกข์มันเจ็บปวดแต่ก็มีความสุขหลอกปนอยู่นะ ทุกครั้งที่เดินผ่านเธอไง ได้แค่นั้นก็ดีแล้ว
               หน้าหนาวอากาศไม่เย็นจัด แต่ลมพัดมาที่ก็เย็นวูบ เหมือนความรู้สึกเวลาที่เธอเดินเข้ามาใกล้ๆ มันเย็นวูบ ขนลุกไปทั้งตัว สมองหยุดสั่งงาน คำพูดก็ไม่ออกมาจากปาก เอ่อไปเลยมั่ง? แพ้ทางเธอทุกอย่าง พ่ายแพ้ในทุกครั้ง แต่ความสุขเวลาเห็นเธอยิ้ม หัวเราะ หรือสะใจ มันก็ดีแล้วสำหรับเรา
               อย่าเลยนะ อย่าได้ขโมยความสุขไปจากเราเลย อย่าหยุดยิ้ม อย่าหยุดหัวเราะ อย่าหยุดสะใจ จะเกลียดเรา รังเกียจ หรือไม่อยากเห็นหน้าก็ชัง แต่อย่าทำให้เราเป็นทุกข์ไปมากกว่านี้เลย ช่วยพูดออกมา ด้วยตัวเธอเอง ชัดๆ ให้ก้องไปในหูว่าเกลียดกัน แต่ก็จบแล้ว คำตอบของเราก็คือว่างเปล่า ไม่มีใครมาตอบคำถมนี้ อยู่คนเดียวจนถึงวินาทีสุดท้าย โชคดีนะ ขอให้ทุกอย่างของเธอมีความสุข ขอให้เธอยิ้มอย่างนี้ตลอดไป ฉันรักเธอ...				
26 พฤษภาคม 2547 19:57 น.

ได้โปรดอย่าให้มันเป็นแบบนั้น

กล่องดนตรี

สมุดเล่มเก่าที่วางไว้บนโต๊ะ
                                      ฝุ่นแกะเหมือนกับถูกลืมไปนานแล้ว
                                      หน้าหนังสือชีกขาดและด้างเป็นดวงๆ
                                               สิ่งที่ใครๆก็เสียใจที่สุด
                                              สิ่งที่ไม่มีวันได้แก้ไขมัน
                                 *************************************************

          ชาย:ผมเป็นผู้ชายคนนึงที่แอบรักเพื่อนสนิท เธอเป็นเพื่อนผมตอนม.2 เธอบอกผมว่าเธอชอบเพื่อนของผมมาก แล้วขอให้ผมช่วยเธอ ผมชอบเธอและยินดีจะช่วยเธอๆยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

          หญิง:ฉันได้พบกับเพื่อนคนนึงตอนม.2 เค้าเป็นคนดีมากเราสนิทกัน ถึงฉันชอบเค้ามากแต่เค้าไม่เคยคิดกับฉันมากไปกว่าเพื่อน ฉันจึงบอกเค้าไปว่าฉันชอบเพื่อนของเค้าๆตกลงจะช่วยแต่ฉันเสียใจที่ต้อองหลอกเค้า ฉันรักเค้าที่สุด

          ชาย:ตอนนี้เราอยู่ม.3เธอเป็นแฟนกับเพื่อนของผม เธอมีความสุข ผมมีความสุขเพราะเธอมีความสุข เธอยิ้มเมื่อเดินกับเค้า ผมหวังว่าเค้าคนนั้นจะเป็นผมสักวัน

          หญิง:ฉันเป็นแฟนกับเพื่อนของเค้า แต่ฉันกับแฟนรู้กันว่าฉันชอบเค้าเพราะแฟนฉันก็ชอบคนอื่น ฉันหวังว่าคนที่ฉันเดินด้วยจะเป็นเค้าสักวัน เค้ายังคงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดและคงคิดกับฉันแค่นั้น ฉันรักเค้าที่สุด

          ชาย:ม.4เธอเลิกกับเพื่อนผม มันไปมีแฟนใหม่ ผมชกมันเธอโกรธผมและผมเสียใจ เธอไม่คุยกับผมและเดินผ่านไปเธอไม่ยิ้มอย่างอ่อนโยนผมก็ได้แต่เศร้าใจ

          หญิง:เค้าชกแฟนเก่าฉันๆโกรธที่เค้าไม่ถามฉันแต่ฉันดีใจที่เค้าห่วงฉัน ฉันกับแฟนเลิกกันเพราะคนที่เค้าชอบๆเค้าแล้ว ฉันว่าเค้าไปฉันเสียใจเหลือเกิน เค้าไม่ยอมคุยกับฉันเลยเอาแต่ทำหน้าเศร้า ฉันรักเค้าที่สุด

          ชาย:เธอคงเกลียดมากผมๆจึงไม่กล้าคุยกับเธอ เธอมองผมเหมือนรังเกียจผม เพื่อนของเธอมาบอกว่าชอบผมๆจึงคบกับเธอเพราะผมกำลังเสียใจ เธอไม่ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

          หญิง:เค้าคบกับเพื่อนฉันๆกลับไปร้องไห้ เราดีกันแล้วฉันก็กลับไปคุยกับเค้าแบบเดิม แฟนเค้าหึงฉันๆจึงไม่ได้คุยกับเค้า แต่เค้ายังคงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดและฉันรักเค้าที่สุด

          ชาย:ม.5เธอถูกแฟนใหม่หลอกแล้วมาร้องไห้กับผม ผมจะชกมันเธอห้ามแล้วร้องไห้ต่อไป ผมเสียใจที่เธอเป็นทุกข์ ผมจึงเลิกกับแฟนแล้วเป็นเพื่อนที่ดีกับเธอ เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ผมทั้งน้ำตา

          หญิง:แฟนฉันมีคนอื่นฉันจึงร้องไห้กับเค้า คนดีคนเดียวที่ฉันรักที่สุด เค้าเลิกกับแฟนแล้วเป็นเพื่อนที่ดีเช่นเคย ฉันเสียใจที่เค้าต้องเลิกกับแฟน ฉันรักเค้าที่สุด

          ชาย:ผมไม่มีแฟนเธอไม่มีแฟน ผมมองเธอด้วยสายตาของเพื่อนเธอยิ้มตอบ เธอไม่พูดเช่นกันผมจึงทำได้แค่เป็นเพื่อนที่ดีต่อไปเพื่อไม่ให้เธอเกลียดผม เธอยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

          หญิง:ฉันไม่มีแฟนเค้าไม่พูดอะไร ฉันยิ้มอย่างปกติให้เค้าแล้วเค้าก็ยิ้มเช่นกัน ฉันไม่กล้าเพราะเค้าพูดว่าฉันคือเพื่อนที่ดีที่สุดฉันกลัวเค้าจะเกลียดฉันแต่ฉันรักเค้าที่สุด

          ชาย:เราจบม.6เธอยังคงเป็นคนที่ผมรักที่สุดแต่เธอไม่พูดอะไร ผมไม่พูดอะไรเพราะกลัวเธอจะเกลียดผม เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนที่สุดให้ผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนผมจะหมดโอกาศ

          หญิง:เราจบมหาลัยฉันแต่งงานกับผู้ชายที่รักฉันๆก็รักเค้าแต่ไม่ใช่ที่สุดฉันเสียใจ เค้ามีแฟนแต่ฉันก็รักเค้าที่สุด ฉันมีลูก 1 คนเค้าเป็นพ่อทูนหัว เพราะฉันจะรักเค้าเพียงคนเดียวและที่สุดตลอดไป

          ชาย:เมื่อเธอแต่งงานเธอยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนในชุดสีขาวมันแปลว่าสายเกินไป แล้วเธอก็มีลูกผมได้เป็นพ่อทูนหัวเธอยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนเช่นเคย ผมเลิกกับแฟนเพราะผมรักเธอคนเดียวและที่สุด แต่ทุกอย่างสายเกินไปเธอถูกรถชน ผมรีบไปโรงพยาบาลเธอยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนในชุดสีเลือดก่อนจะหายเข้าไปในห้องผ่าตัดแล้วเธอก็ไม่ได้ยิ้มให้ผมอีกเลย งานศพของเธอผมนั่งน้ำตาซึมมองดูโรงศพที่มีรูปของเธอ ที่ยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยให้ผม สามีของเธอเดินมาแล้วยื่นสมุดเล่มนี้ให้กับผม ผมอ่านมันแล้วเริ่มร้องไห้ แล้วผมก็ตัดสินใจเขียนทุกอย่างลงไปเพื่อบอกให้เธอรู้ แต่มันสายเกินไป ผมเสียใจ มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้เพราะผมรักเธอมากที่สุด ถ้าผมกล้าที่จะพูดไป เธออาจจะแต่งงานกับผม ผมอาจจะไม่ใช่แค่พ่อทูนหัว ผมเสียใจ ผมนั่งร้องไห้เมื่อเผาศพของเธอ ดอกไม้จันทร์อันสวยงามที่แฝงไปด้วยความเศร้าค่อยๆถูกเปลวไฟแล้วลุกไหม้ ภาพรอยยิ้มอันอ่อนโยนของเธอโผล่เข้ามาในหัวผม ภาพเธอยิ้มอย่างอ่อนโยนทั้งน้ำตาเวียนเข้ามาอีก ภาพวันแต่งงานที่เธอยิ้มให้ผมยังคงเหมือนเดิม ภาพวันแรกที่เราเจอกันโผล่เข้ามา เธอยืนอยู่ใกล้ๆผมในวันนั้นแล้วเธอก็หันมายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนแล้วทำท่าอายๆ เรารู้จักกันตอนนั้นในวันเปิดภาคเรียนม.2เธอยังมีเหล็กดัดฟันสีชมพูอยู่เลย น่าเสียดายเมื่อควันกลุ่มสุดท้ายลอยห่างออกไปจากยอดเมรุ ผมก็นึกได้ว่าแค่คำพูดคำเดียวที่ผมไม่กล้าพูด ..ผมรักเธอ..


                                               ผมเสียใจที่มันสายเกินไป
                                           ผมรักเธอที่สุดและเธอรักผมที่สุด
                                                     แต่ก็ยังสายเกินไป
                                           ผมน่าจะพูดหรือไม่เธอก็น่าจะพูด
                                            แต่ถึงยังไงมันก็สายเกินไปแล้ว
                                 ..................................................................

                สรุปแล้วเธอจะพูดมันไหม..............เพราะเราเองก็ไม่กล้าเหมือนกัน				
13 พฤษภาคม 2547 21:47 น.

ลูกเสือกับยุวกาชาด...(ตอนที่สุดท้ายที่น่าเศร้า)

กล่องดนตรี

          เมื่อถึงสถานีราชเทวี ผู้คนก็ลงไปนิดนึงเท่านั้น เราจึงยังเบียดกันอยู่แต่ก็ไม่มีใครเริ่มพูดก่อน แล้วเค้าก็พูดขึ้น
	          นี้ลงแล้วไปต่อยังไงหรอ เค้าพูดอย่างเฉยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วยิ้มให้ฉัน
	          ก็เดินไปจนสุดทางอะ...แล้วนั่งรถตู้แล้วก็เดินๆ...แล้วก็นั่งสองแถว...แล้วก็ไปขึ้นวิน แล้วเข้าบ้าน ฉันสาธยายอย่างปกติตามความจริง จนเค้าทำหน้าอึ้ง
	          บ้านเธออยู่ชายแดนปะเนี่ย เค้าพูดแล้วขำอย่างกวนโอ๊ย
	          ก็ชายแดนกรุงเทพ-นนอะ ฉันตอบอย่างประชดๆแต่เค้ากลับขำหนักกว่าเดิม ช่างไม่อายสายตาประชาชีรอบข้างเลย
                                แล้วนายละ ฉันพูดขึ้นขัดการหัวเราะของเค้า ประมาณว่าอยากให้เค้าเบาเสียงหัวเราะลงทีฉันอับอายแทน
                                ก็พ่อมารับอะ เค้าตอบแล้วยิ้มอย่างปกติ อ้อพ่อมารับถึงได้ทำหน้าสบายใจเกินขนาดนี่เอง
แล้วรถไฟก็จอดที่สถานีพยาไท คนลงไปได้เกือบ 10 คน เราจึงไม่ได้ยืนเบียดกัน เค้าหยิบเป้ที่วางไว้บนพื้นขึ้นมาสพาย เค้าคงจะรีบลงสินะ ฉันคิดในใจ เมื่อประตูเปิดที่สถานีอนุเสาวรีชัย กลับไม่มีใครก้าวลงก่อนเลยในเราสองคน สุดท้ายคนที่อยู่ข้างหลังก็ชนฉันกระเด็นออกมา เค้ารีบเดินออกมาแล้วลากฉันออกไปจากบริเวณที่เสี่ยงต่อการรับฝีเท้าผู้คน
	          ทำไมไม่เดินออกมาละ เค้าถามฉันอย่างโกรธๆ
	          แล้วทำไมนายไม่ลงมาละ ฉันถามกลับบ้างด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ทำให้เค้าชะงักไปชั้วครู่ แล้วฉันก็เริ่มเดินออกไป เค้าเดินตามมาไหมนะ ฉันไม่กล้าหันไปมองเลย
	          นี้ๆ ชลิตา เสียงของเค้าทำให้ฉันหันโดยอัตโนมัติเช่นเคย
	          จะบ้าหรอ? เค้าพูดค่อนข้างดังแล้วรีบแทรกฝูงชนบ้าคลั่งที่รีบกลับบ้านมาดึงฉันลงจากบันได
	          ไปยืนขว้างทางคนบนบันได้แบบนั้นอะ เดี๋ยวก็โดนบี้หรอก เค้ากล่าวกึ่งดุๆขณะที่กำข้อมือฉันไว้
	          แล้วใครละที่เรียกฉันน่ะ ฉันตอบกลับอย่างโกรธๆ
	          ขอโทษ... เค้ากล่าวแล้วค่อยๆปล่อยข้อมือฉัน ฉันคิดว่าตัวเองหูฝาด ฉันได้ยินเค้าขอโทษ ไม่ว่าที่ไหนก็ตามเค้าแกล้งใคร หรือทำอะไรให้ใครโกรธ ถ้าไม่ใช่อาจารย์ เค้าไม่เคยขอโทษเลย
(เรารู้ดีอะดิ) แต่เค้าขอโทษฉัน เค้าเคยทำฉันร้องไห้เค้าก็ไม่เคยขอโทษเลยด้วยซ้ำไป
	          มะ...ไม่เห็นต้องขอโทษเลย นายไม่ได้ทำไรซักหน่อย ฉันยืนพูดอยู่กับเค้าด้วยน้ำเสียงกึ่งๆขอโทษขณะที่ฝูงชนบ้าคลั่งออกไปหมดแล้ว ก็คือเรายืนอยู่สองคน ถ้าไม่นับคนในร้ายขายของ เค้าก้มหน้าอยู่ในตอนนั้น
	          เห็นมั้ยๆเชื่ออีกละ เค้าเงยหน้าขึ้นแล้วชี้หน้าฉันอย่างเคยเวลาที่หลอกฉันได้ทุกครั้ง
	          นี้...นาย ฉันมองใบหน้าที่ยิ้มของเค้าด้วยสีหน้าโกรธๆ
	          โอ๋ๆ...อย่าโกรธน้าๆ เค้าพูดขึ้น อันนี้ละแปลกจริงๆเพราะทุกครั้งที่เค้าแกล้งฉันเค้าจะหัวเราะแล้วเดินไปเฉยๆ
	          ใครโกรธเล่า.. ฉันยิ้มบ้าง หลังจากปั้นหน้ามานาน ไม่รู้จะยิ้มเกินไปรึเปล่า แต่เวลาช่างไม่อำนวยเลย มัน 5:15 น.กว่าๆแล้ว
	          เราต้องไปแล้วนะ ฉันเอ่ยขึ้น น่าแปลกที่เค้าชะงักไปเลย
	          อะ...อือๆ เค้าตอบกลับฉันแล้วเอามือลูบต้นคอตัวเอง
	          พรุ่งนี้เจอกันนะ ฉันพูดกับเค้าแล้วเค้าก็มองหน้าฉันอย่างแปลกๆแล้วยิ้มอย่างกวนๆอีกครั้งแล้วเราก็เดินแยกกันไป ในตอนนั้นฝูงชนบ้าคลั่งฝูงใหม่ก็มาอีกแล้ว ฉันเดินไปอย่างช้าๆ ด้วยความรู้สึกอยากหยุดมันไว้เท่านี้ แล้วหันหลังไปมองเค้า เสียดายฉันไม่ได้เห็นใบหน้าของเค้าแต่เห็นแผ่นหลังของเค้าเท่านั้น แต่ทำไมเค้าเดินช้าจังทั้งๆไม่มีคนเดินทางนั้นเลยแท้ๆ??? แล้วฉันก็เดินจากไป
                                                                                  จบแล้วๆ ชอบกันไหมเนี่ย 
                             ปล.วันถัดๆมาเราก็ไม่เคยได้กลับด้วยกันอีกเลย แล้วก็ไม่เคยได้คุยกันอีกเลย-_-
				
12 พฤษภาคม 2547 23:39 น.

ลูกเสือกับยุวกาชาด...(ตอนที่2)ช่วยติหน่อยนะคะเพิ่งหัดคะ

กล่องดนตรี

ฉันเดินตามสองคนนั้นไปอย่างเงียบๆ เมื่อขึ้นสะพานลอยที่เชื่อมกับทางขึ้นBTS เค้าก็เห็นฉันในทางเลี้ยงของบันได
	          อ่าว...มาแต่เมื่อไหร่เนี่ย เค้าเอ่ยเมื่อสบตากับฉัน
	          ก็นานแล้วละ...ติดคนเดินช้าอยู่ข้างหน้าเนี่ย ฉันตีหน้าโกรธ ทั้งๆที่ในใจอยากจะยิ้มแทบบ้า
             	          ก็เจ็บก้นอะ...แดดมันร้อนขนาดนั้นคิดดู เราเลยเดินช้าๆไม่ให้มันแสบไง เค้าทำท่าใส่อารมณ์อย่างไม่จริงจังเท่าไหร่ แล้วเพื่อนเค้าก็แยกไปอีกทางนึง ตอนนี้เราอยู่กันสองคนหรือนี้? ไม่อยากจะเชื่อ 
	          ทุเรศ...ไม่เห็นต้องมาบอกเลย ฉันตอบแล้วก้าวเท้าเร็วๆผ่านเค้าไปอย่างไม่อยากแสดงให้เห็นว่าฉันหยุดคุยกับเค้า
	เมื่อผ่านที่กันตรงชั้นล่างของรถไฟฟ้าฉันก็เดินอย่างช้าๆไปที่บันไดเลื่อน แล้วเค้าก็เดินตามมาอย่างช้าๆเช่นกัน ฉันเห็นน้องชายของเพื่อนอยู่ข้างหน้า
	          อ่าวนิว...พี่ทิ้งหรอ? ฉันทักน้องชายเพื่อนอย่างเป็นกันเอง
	          ป่าว..แต่ไม่ได้กลับกับมันเท่านั้นเอง เดินที่ยืนอยู่ข้างหน้าไปซักสองสามขั้นบันไดตอบอย่างใส่อารมณ์ ประมาณเกลียดพี่มันมาเป็นชาติ
	          จีบเด็กหรอ? เสียงคุ้นๆดังมาจากข้างล่างไปซักสิบขั้นได้ แล้วเค้าก็เดินขึ้นบันได้มายืนข้างฉันอย่างเร็วๆ
	          จะบ้าหรอ...น้องเพื่อนต่างหาก ฉันพูดอย่างเซ็งๆแล้วเดินเร็วไปยังบันไดเลื่อนอันถัดไป ในตอนนั้นน้องของเพื่อนฉันก็แยกไปอีกละ
	          กลับทางไหนอะ เค้าซึ้งขึ้นบันไดตามมาถามขึ้น
	          ก็ทางเดียวกะนายไง ฉันตอบอย่างเร็วแล้วมองไปข้างบน
	          รู้ได้ไงว่าเรากลับทางไหน เค้าถามอีกด้วยน้ำเสียงออกจะวอนโดนถีบลงบันได
	          ก็เคยถามไง ฉันตอบพร้อมกับวิ่งขึ้นบันไดไปเพราะรถไฟมาแล้ว ฉันวิ่งไปยังประตูที่ใกล้ที่สุด คนในนั้นแน่นมาก ฉันจึงยืนอยู่เกือบนอกสุด ฉันมองออกไปยังบันไดเลื่อนที่มีคนวิ่งลงเต็มไปหมดจนแทบจะไม่เห็นคนขึ้นเลย 
	          ติ๊ด...ติ๊ด เสียงเตือนดังขึ้นแล้วประตูก็ปิดไป ฉันยังคงมองออกไปยังบันได้เลื่อนที่ว่างเปล่า เค้าคงไม่ได้วิ่งขึ้นมาฉันคิด การได้กลับพร้อมเค้าอดอีกแล้ว
	          นี้ๆ ชลิตา เสียงคุ้นๆที่อยากได้ยินดังขึ้นจากข้างหลัง
	          โห...วิ่งไม่รอเลยนะ เกือบไม่ทันเลย เค้านั้นเองที่เดินแทรกฝูงชนมายังที่ๆฉันยืน อ้อเค้าขึ้นประตูหลังฉันนี้เอง
	          แล้วนี้เดินมาทำไมอะ ฉันหันไปแล้วช่วยจับกระเป๋าที่ไปเกี่ยวคนที่ยืนอยู่ของเค้าออกมา
	          ก็ทางนี้มันใกล้บันไดกว่านี้ เค้าตอบแล้วยืนตรงข้ามกันฉัน คนเยอะมากจนเราสองคนยืนห่างกันแค่ 3 นิ้วเอง ตอบคำถามได้ดีจริงๆแต่ไม่ได้อยากได้ยินแบบนี้นี่นา
	          นี้ลงทางไหนอะพอเดินออกไปแล้วอะ ฉันถามเค้าที่ถูกคนเบียดมาจนแทบจะติดหน้าฉัน เค้าสูงจนแทบจะบังทุกอย่างที่ฉันเห็น เสื้อของเค้ามีรอยเหงื่อที่เพิ่งแห้งหลังการทำโทษนั่งตากแดดหนึ่งชั่วโมงมาใหม่ๆ
	          ก็พอลงไปก็เลี้ยวขวาอะ... เค้าตอบแล้วมองมาที่ฉันตรงหน้าเค้า
	          เธอละ เค้าถามด้วยรอยยิ้มปกติของเค้า
	          ก็คนละทางกันอะ ฉันตอบแล้วหลบสายตาเค้าโดยมองออกไปนอกหน้าต่างตรงประตูที่ยืนอยู่ เค้าก็เลยหันไปมองคนข้างหลังที่ชนเค้าด้วยสีหน้าไม่พอใจนิดหน่อย พอเค้าหันมาฉันก็มองแว่นตาของเค้าแล้วค่อยๆจับมันอย่างช้าๆ
	          อะไรหรอ เค้าถามอย่างงงๆ เมื่อฉันถอดแว่นกรอบเหลี่ยมๆออกจากหน้าของเค้า(มือมันไปเอง)
	          เช็ดล้าสุดเมื่อไหร่เนี่ย ฉันถามเค้า แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดแว่นของเค้า
	          ก็อาทิตย์ที่แล้วมั่ง เค้าหัวเราะ แล้วหยุดชะงักเมื่อฉันใส่มันกลับเข้าไปที่เดิม ฉันจึงมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง แล้วทุกอย่างก็เงียบไป
                                                                             จบตอนสองคะ
				
12 พฤษภาคม 2547 18:41 น.

ลูกเสือกับยุวกาชาด...(ตอนที่1)

กล่องดนตรี

แสงแดดยามบ่ายอ่อนๆ แต่ร้อนแรงส่องข้ามตึกเรียนไปกลางสนาม นักเรียนลูกเสือชายล้วนม.2นั่งอยู่เต็มสนาม เพราะมีคนโดนทำโมษมากที่สุด ส่วนฉันที่เรียนยุวะอาจารย์ปล่อยนานแล้วนั่งอยู่บนระเบียงชั้นสองของตึกเรียน กำลังมองนักเรียนลูกเสือคนนึง โดนทำโทษโดยให้นั่งตากแดดเพราะใส่เข็มขัดนักเรียนมาแทนเข็มขัดลูกเสือ เค้าหันมามองฉันอย่างพิจารนา แล้วทำปากพูดว่า
	           เป็นไง แล้วเค้าก็หันหลังไปเพราะแดดที่ส่องหน้าเค้ามันแรงมากฉันจึงเดินไปนั่งด้านที่จะเห็นหน้าของเค้าแล้วถามเค้าว่า
	          ทำไรผิดละ...ถึงได้โดนตากแดด เค้าถอดรองเท้าแล้วเอาไปรองนั่งเพราะความร้อนบนพื้น ซึ้งฉันอดขำไม่ได้ 
	          ก็เข็มขัดอะดิ เค้าเงยหน้าตอบ ขณะที่เพื่อนๆของฉันเดินมาแล้วชวนฉันไปซื้อขนมหน้าโรงเรียน ฉันจึงหันไปมองเค้าอย่างไม่เจาะจงเพราะไม่อยากให้เพื่อนล้อ 
	          แปปนะ...เดี๋ยวเราไปเก็บกระเป๋าก่อน ฉันพูดแล้วรีบเดินไปยังห้องเรียน โดนที่เค้าก็ยังคงหันมาคุยกับนักเรียนหญิงคนอื่นๆ ซึ้งทำให้ฉันหมดความสนใจไปทันที
	          ฉันกับเพื่อนๆเดินลงมาข้างล่างในตอนที่ลูกเสือปล่อยแล้ว ฉันรอเพื่อนอยู่ที่หน้าตึก1 ฉันกวาดตามองหาลูกเสือคนนั้นแต่ก็หาไม่พบ ฉันจึงเริ่มตัดใจ ฉันแค่อยากกลับบ้านโดยเห็นเค้าเท่านั้น แต่ฉันก็ไม่เคยทำได้เลย เพราะเมื่อเลิกเรียนเค้าก็เหมือนหายไปทันที
	          แสบตูดวะ...ร้อนเป็นบ้าเลย เสียงคุ้นๆที่ดังมาจากข้างหลังทำให้ฉันหันไปโดยอัตโนมัติ เค้านั้นเองกำลังเดินกับเพื่อนเตี้ยๆคนนึง ทั้งคู่สพายกระเป๋าเป้แล้วเดินตรงไปยังประตูโรงเรียน
	          นี้ ฉันพูดออกไปด้วยเสียงที่เบาจนตัวเองแทบไม่ได้ยิน เท้าของฉันเกือบจะก้าวไปแล้ว แต่เพื่อนๆของฉันก็เดินมาข้างหลังแล้วเรียกฉันไป ฉันหันไปยิ้มอย่างรวดเร็วแล้วมองนาฬิกา ตายแล้วมัน  4:30 น. แล้ว
	          เราต้องกลับแล้วอะ ฉันเดินไปคุยกับเพื่อนๆสองคนที่ต้องเรียนพิเศษจึงกลับเย็น
	           อยู่เป็นเพื่อนอีกแปปดิ เพื่อนคนสูงๆพูดขึ้น
	           ไม่ได้แล้วอะ เราไม่อยากถึงบ้านเย็นๆ บ้านเราไกลนะ ฉันพูดกับเพื่อนแล้วทำท่าอ้อนวอน
	           ก็ได้ๆเดี๋ยวเราเดินไปส่งประตูหลังละกัน เพื่อนทั้งสองยิ้มแล้วเดินไปส่งฉัน ในใจฉันก็คิดว่าอาจจะเจอเค้าตอนเค้าเดินผ่านหลังโรงเรียนก็ได้
	           บะบาย...พรุ่งนี้เจอกันนะ ฉันกล่าวลาเพื่อนๆแล้วเดินออกไปอย่างช้าๆแล้วก็คิดได้ว่าเค้าคงเดินไปแล้วละ ฉันจึงเดินเร็วขึ้นด้วยความอยากกลับบ้าน 
	ฉันเดินผ่านหน้าโรงเรียนเตรียม ผ่านโรงบาลสัตว์ แล้วก็ผ่านทันตะ ไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็ต้องหยุดฝีเท้าเมื่อเห็นลูกเสือสองคนเดินอยู่ข้างหน้าฉันไปประมาณ 4 เมตรได้ ฉันนึกในใจอย่างดีใจปนวิตก และสุกท้ายฉันก็ตัดสินใจเดินตามสองคนนั้นไป...........................


                                                                                 จบตอนแรก 				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกล่องดนตรี
Lovings  กล่องดนตรี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกล่องดนตรี
Lovings  กล่องดนตรี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกล่องดนตรี
Lovings  กล่องดนตรี เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกล่องดนตรี