ลูกเสือกับยุวกาชาด...(ตอนที่สุดท้ายที่น่าเศร้า)

กล่องดนตรี

          เมื่อถึงสถานีราชเทวี ผู้คนก็ลงไปนิดนึงเท่านั้น เราจึงยังเบียดกันอยู่แต่ก็ไม่มีใครเริ่มพูดก่อน แล้วเค้าก็พูดขึ้น
	          นี้ลงแล้วไปต่อยังไงหรอ เค้าพูดอย่างเฉยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วยิ้มให้ฉัน
	          ก็เดินไปจนสุดทางอะ...แล้วนั่งรถตู้แล้วก็เดินๆ...แล้วก็นั่งสองแถว...แล้วก็ไปขึ้นวิน แล้วเข้าบ้าน ฉันสาธยายอย่างปกติตามความจริง จนเค้าทำหน้าอึ้ง
	          บ้านเธออยู่ชายแดนปะเนี่ย เค้าพูดแล้วขำอย่างกวนโอ๊ย
	          ก็ชายแดนกรุงเทพ-นนอะ ฉันตอบอย่างประชดๆแต่เค้ากลับขำหนักกว่าเดิม ช่างไม่อายสายตาประชาชีรอบข้างเลย
                                แล้วนายละ ฉันพูดขึ้นขัดการหัวเราะของเค้า ประมาณว่าอยากให้เค้าเบาเสียงหัวเราะลงทีฉันอับอายแทน
                                ก็พ่อมารับอะ เค้าตอบแล้วยิ้มอย่างปกติ อ้อพ่อมารับถึงได้ทำหน้าสบายใจเกินขนาดนี่เอง
แล้วรถไฟก็จอดที่สถานีพยาไท คนลงไปได้เกือบ 10 คน เราจึงไม่ได้ยืนเบียดกัน เค้าหยิบเป้ที่วางไว้บนพื้นขึ้นมาสพาย เค้าคงจะรีบลงสินะ ฉันคิดในใจ เมื่อประตูเปิดที่สถานีอนุเสาวรีชัย กลับไม่มีใครก้าวลงก่อนเลยในเราสองคน สุดท้ายคนที่อยู่ข้างหลังก็ชนฉันกระเด็นออกมา เค้ารีบเดินออกมาแล้วลากฉันออกไปจากบริเวณที่เสี่ยงต่อการรับฝีเท้าผู้คน
	          ทำไมไม่เดินออกมาละ เค้าถามฉันอย่างโกรธๆ
	          แล้วทำไมนายไม่ลงมาละ ฉันถามกลับบ้างด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ทำให้เค้าชะงักไปชั้วครู่ แล้วฉันก็เริ่มเดินออกไป เค้าเดินตามมาไหมนะ ฉันไม่กล้าหันไปมองเลย
	          นี้ๆ ชลิตา เสียงของเค้าทำให้ฉันหันโดยอัตโนมัติเช่นเคย
	          จะบ้าหรอ? เค้าพูดค่อนข้างดังแล้วรีบแทรกฝูงชนบ้าคลั่งที่รีบกลับบ้านมาดึงฉันลงจากบันได
	          ไปยืนขว้างทางคนบนบันได้แบบนั้นอะ เดี๋ยวก็โดนบี้หรอก เค้ากล่าวกึ่งดุๆขณะที่กำข้อมือฉันไว้
	          แล้วใครละที่เรียกฉันน่ะ ฉันตอบกลับอย่างโกรธๆ
	          ขอโทษ... เค้ากล่าวแล้วค่อยๆปล่อยข้อมือฉัน ฉันคิดว่าตัวเองหูฝาด ฉันได้ยินเค้าขอโทษ ไม่ว่าที่ไหนก็ตามเค้าแกล้งใคร หรือทำอะไรให้ใครโกรธ ถ้าไม่ใช่อาจารย์ เค้าไม่เคยขอโทษเลย
(เรารู้ดีอะดิ) แต่เค้าขอโทษฉัน เค้าเคยทำฉันร้องไห้เค้าก็ไม่เคยขอโทษเลยด้วยซ้ำไป
	          มะ...ไม่เห็นต้องขอโทษเลย นายไม่ได้ทำไรซักหน่อย ฉันยืนพูดอยู่กับเค้าด้วยน้ำเสียงกึ่งๆขอโทษขณะที่ฝูงชนบ้าคลั่งออกไปหมดแล้ว ก็คือเรายืนอยู่สองคน ถ้าไม่นับคนในร้ายขายของ เค้าก้มหน้าอยู่ในตอนนั้น
	          เห็นมั้ยๆเชื่ออีกละ เค้าเงยหน้าขึ้นแล้วชี้หน้าฉันอย่างเคยเวลาที่หลอกฉันได้ทุกครั้ง
	          นี้...นาย ฉันมองใบหน้าที่ยิ้มของเค้าด้วยสีหน้าโกรธๆ
	          โอ๋ๆ...อย่าโกรธน้าๆ เค้าพูดขึ้น อันนี้ละแปลกจริงๆเพราะทุกครั้งที่เค้าแกล้งฉันเค้าจะหัวเราะแล้วเดินไปเฉยๆ
	          ใครโกรธเล่า.. ฉันยิ้มบ้าง หลังจากปั้นหน้ามานาน ไม่รู้จะยิ้มเกินไปรึเปล่า แต่เวลาช่างไม่อำนวยเลย มัน 5:15 น.กว่าๆแล้ว
	          เราต้องไปแล้วนะ ฉันเอ่ยขึ้น น่าแปลกที่เค้าชะงักไปเลย
	          อะ...อือๆ เค้าตอบกลับฉันแล้วเอามือลูบต้นคอตัวเอง
	          พรุ่งนี้เจอกันนะ ฉันพูดกับเค้าแล้วเค้าก็มองหน้าฉันอย่างแปลกๆแล้วยิ้มอย่างกวนๆอีกครั้งแล้วเราก็เดินแยกกันไป ในตอนนั้นฝูงชนบ้าคลั่งฝูงใหม่ก็มาอีกแล้ว ฉันเดินไปอย่างช้าๆ ด้วยความรู้สึกอยากหยุดมันไว้เท่านี้ แล้วหันหลังไปมองเค้า เสียดายฉันไม่ได้เห็นใบหน้าของเค้าแต่เห็นแผ่นหลังของเค้าเท่านั้น แต่ทำไมเค้าเดินช้าจังทั้งๆไม่มีคนเดินทางนั้นเลยแท้ๆ??? แล้วฉันก็เดินจากไป
                                                                                  จบแล้วๆ ชอบกันไหมเนี่ย 
                             ปล.วันถัดๆมาเราก็ไม่เคยได้กลับด้วยกันอีกเลย แล้วก็ไม่เคยได้คุยกันอีกเลย-_-
				
comments powered by Disqus
  • ทิกิ _tiki ไม่ลงทะเบียน

    15 พฤษภาคม 2547 21:28 น. - comment id 74200

    น่าสนใจนะ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน