26 พฤษภาคม 2547 19:57 น.

ได้โปรดอย่าให้มันเป็นแบบนั้น

กล่องดนตรี

สมุดเล่มเก่าที่วางไว้บนโต๊ะ
                                      ฝุ่นแกะเหมือนกับถูกลืมไปนานแล้ว
                                      หน้าหนังสือชีกขาดและด้างเป็นดวงๆ
                                               สิ่งที่ใครๆก็เสียใจที่สุด
                                              สิ่งที่ไม่มีวันได้แก้ไขมัน
                                 *************************************************

          ชาย:ผมเป็นผู้ชายคนนึงที่แอบรักเพื่อนสนิท เธอเป็นเพื่อนผมตอนม.2 เธอบอกผมว่าเธอชอบเพื่อนของผมมาก แล้วขอให้ผมช่วยเธอ ผมชอบเธอและยินดีจะช่วยเธอๆยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

          หญิง:ฉันได้พบกับเพื่อนคนนึงตอนม.2 เค้าเป็นคนดีมากเราสนิทกัน ถึงฉันชอบเค้ามากแต่เค้าไม่เคยคิดกับฉันมากไปกว่าเพื่อน ฉันจึงบอกเค้าไปว่าฉันชอบเพื่อนของเค้าๆตกลงจะช่วยแต่ฉันเสียใจที่ต้อองหลอกเค้า ฉันรักเค้าที่สุด

          ชาย:ตอนนี้เราอยู่ม.3เธอเป็นแฟนกับเพื่อนของผม เธอมีความสุข ผมมีความสุขเพราะเธอมีความสุข เธอยิ้มเมื่อเดินกับเค้า ผมหวังว่าเค้าคนนั้นจะเป็นผมสักวัน

          หญิง:ฉันเป็นแฟนกับเพื่อนของเค้า แต่ฉันกับแฟนรู้กันว่าฉันชอบเค้าเพราะแฟนฉันก็ชอบคนอื่น ฉันหวังว่าคนที่ฉันเดินด้วยจะเป็นเค้าสักวัน เค้ายังคงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดและคงคิดกับฉันแค่นั้น ฉันรักเค้าที่สุด

          ชาย:ม.4เธอเลิกกับเพื่อนผม มันไปมีแฟนใหม่ ผมชกมันเธอโกรธผมและผมเสียใจ เธอไม่คุยกับผมและเดินผ่านไปเธอไม่ยิ้มอย่างอ่อนโยนผมก็ได้แต่เศร้าใจ

          หญิง:เค้าชกแฟนเก่าฉันๆโกรธที่เค้าไม่ถามฉันแต่ฉันดีใจที่เค้าห่วงฉัน ฉันกับแฟนเลิกกันเพราะคนที่เค้าชอบๆเค้าแล้ว ฉันว่าเค้าไปฉันเสียใจเหลือเกิน เค้าไม่ยอมคุยกับฉันเลยเอาแต่ทำหน้าเศร้า ฉันรักเค้าที่สุด

          ชาย:เธอคงเกลียดมากผมๆจึงไม่กล้าคุยกับเธอ เธอมองผมเหมือนรังเกียจผม เพื่อนของเธอมาบอกว่าชอบผมๆจึงคบกับเธอเพราะผมกำลังเสียใจ เธอไม่ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

          หญิง:เค้าคบกับเพื่อนฉันๆกลับไปร้องไห้ เราดีกันแล้วฉันก็กลับไปคุยกับเค้าแบบเดิม แฟนเค้าหึงฉันๆจึงไม่ได้คุยกับเค้า แต่เค้ายังคงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดและฉันรักเค้าที่สุด

          ชาย:ม.5เธอถูกแฟนใหม่หลอกแล้วมาร้องไห้กับผม ผมจะชกมันเธอห้ามแล้วร้องไห้ต่อไป ผมเสียใจที่เธอเป็นทุกข์ ผมจึงเลิกกับแฟนแล้วเป็นเพื่อนที่ดีกับเธอ เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ผมทั้งน้ำตา

          หญิง:แฟนฉันมีคนอื่นฉันจึงร้องไห้กับเค้า คนดีคนเดียวที่ฉันรักที่สุด เค้าเลิกกับแฟนแล้วเป็นเพื่อนที่ดีเช่นเคย ฉันเสียใจที่เค้าต้องเลิกกับแฟน ฉันรักเค้าที่สุด

          ชาย:ผมไม่มีแฟนเธอไม่มีแฟน ผมมองเธอด้วยสายตาของเพื่อนเธอยิ้มตอบ เธอไม่พูดเช่นกันผมจึงทำได้แค่เป็นเพื่อนที่ดีต่อไปเพื่อไม่ให้เธอเกลียดผม เธอยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

          หญิง:ฉันไม่มีแฟนเค้าไม่พูดอะไร ฉันยิ้มอย่างปกติให้เค้าแล้วเค้าก็ยิ้มเช่นกัน ฉันไม่กล้าเพราะเค้าพูดว่าฉันคือเพื่อนที่ดีที่สุดฉันกลัวเค้าจะเกลียดฉันแต่ฉันรักเค้าที่สุด

          ชาย:เราจบม.6เธอยังคงเป็นคนที่ผมรักที่สุดแต่เธอไม่พูดอะไร ผมไม่พูดอะไรเพราะกลัวเธอจะเกลียดผม เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนที่สุดให้ผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนผมจะหมดโอกาศ

          หญิง:เราจบมหาลัยฉันแต่งงานกับผู้ชายที่รักฉันๆก็รักเค้าแต่ไม่ใช่ที่สุดฉันเสียใจ เค้ามีแฟนแต่ฉันก็รักเค้าที่สุด ฉันมีลูก 1 คนเค้าเป็นพ่อทูนหัว เพราะฉันจะรักเค้าเพียงคนเดียวและที่สุดตลอดไป

          ชาย:เมื่อเธอแต่งงานเธอยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนในชุดสีขาวมันแปลว่าสายเกินไป แล้วเธอก็มีลูกผมได้เป็นพ่อทูนหัวเธอยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนเช่นเคย ผมเลิกกับแฟนเพราะผมรักเธอคนเดียวและที่สุด แต่ทุกอย่างสายเกินไปเธอถูกรถชน ผมรีบไปโรงพยาบาลเธอยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนในชุดสีเลือดก่อนจะหายเข้าไปในห้องผ่าตัดแล้วเธอก็ไม่ได้ยิ้มให้ผมอีกเลย งานศพของเธอผมนั่งน้ำตาซึมมองดูโรงศพที่มีรูปของเธอ ที่ยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยให้ผม สามีของเธอเดินมาแล้วยื่นสมุดเล่มนี้ให้กับผม ผมอ่านมันแล้วเริ่มร้องไห้ แล้วผมก็ตัดสินใจเขียนทุกอย่างลงไปเพื่อบอกให้เธอรู้ แต่มันสายเกินไป ผมเสียใจ มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้เพราะผมรักเธอมากที่สุด ถ้าผมกล้าที่จะพูดไป เธออาจจะแต่งงานกับผม ผมอาจจะไม่ใช่แค่พ่อทูนหัว ผมเสียใจ ผมนั่งร้องไห้เมื่อเผาศพของเธอ ดอกไม้จันทร์อันสวยงามที่แฝงไปด้วยความเศร้าค่อยๆถูกเปลวไฟแล้วลุกไหม้ ภาพรอยยิ้มอันอ่อนโยนของเธอโผล่เข้ามาในหัวผม ภาพเธอยิ้มอย่างอ่อนโยนทั้งน้ำตาเวียนเข้ามาอีก ภาพวันแต่งงานที่เธอยิ้มให้ผมยังคงเหมือนเดิม ภาพวันแรกที่เราเจอกันโผล่เข้ามา เธอยืนอยู่ใกล้ๆผมในวันนั้นแล้วเธอก็หันมายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนแล้วทำท่าอายๆ เรารู้จักกันตอนนั้นในวันเปิดภาคเรียนม.2เธอยังมีเหล็กดัดฟันสีชมพูอยู่เลย น่าเสียดายเมื่อควันกลุ่มสุดท้ายลอยห่างออกไปจากยอดเมรุ ผมก็นึกได้ว่าแค่คำพูดคำเดียวที่ผมไม่กล้าพูด ..ผมรักเธอ..


                                               ผมเสียใจที่มันสายเกินไป
                                           ผมรักเธอที่สุดและเธอรักผมที่สุด
                                                     แต่ก็ยังสายเกินไป
                                           ผมน่าจะพูดหรือไม่เธอก็น่าจะพูด
                                            แต่ถึงยังไงมันก็สายเกินไปแล้ว
                                 ..................................................................

                สรุปแล้วเธอจะพูดมันไหม..............เพราะเราเองก็ไม่กล้าเหมือนกัน				
13 พฤษภาคม 2547 21:47 น.

ลูกเสือกับยุวกาชาด...(ตอนที่สุดท้ายที่น่าเศร้า)

กล่องดนตรี

          เมื่อถึงสถานีราชเทวี ผู้คนก็ลงไปนิดนึงเท่านั้น เราจึงยังเบียดกันอยู่แต่ก็ไม่มีใครเริ่มพูดก่อน แล้วเค้าก็พูดขึ้น
	          นี้ลงแล้วไปต่อยังไงหรอ เค้าพูดอย่างเฉยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วยิ้มให้ฉัน
	          ก็เดินไปจนสุดทางอะ...แล้วนั่งรถตู้แล้วก็เดินๆ...แล้วก็นั่งสองแถว...แล้วก็ไปขึ้นวิน แล้วเข้าบ้าน ฉันสาธยายอย่างปกติตามความจริง จนเค้าทำหน้าอึ้ง
	          บ้านเธออยู่ชายแดนปะเนี่ย เค้าพูดแล้วขำอย่างกวนโอ๊ย
	          ก็ชายแดนกรุงเทพ-นนอะ ฉันตอบอย่างประชดๆแต่เค้ากลับขำหนักกว่าเดิม ช่างไม่อายสายตาประชาชีรอบข้างเลย
                                แล้วนายละ ฉันพูดขึ้นขัดการหัวเราะของเค้า ประมาณว่าอยากให้เค้าเบาเสียงหัวเราะลงทีฉันอับอายแทน
                                ก็พ่อมารับอะ เค้าตอบแล้วยิ้มอย่างปกติ อ้อพ่อมารับถึงได้ทำหน้าสบายใจเกินขนาดนี่เอง
แล้วรถไฟก็จอดที่สถานีพยาไท คนลงไปได้เกือบ 10 คน เราจึงไม่ได้ยืนเบียดกัน เค้าหยิบเป้ที่วางไว้บนพื้นขึ้นมาสพาย เค้าคงจะรีบลงสินะ ฉันคิดในใจ เมื่อประตูเปิดที่สถานีอนุเสาวรีชัย กลับไม่มีใครก้าวลงก่อนเลยในเราสองคน สุดท้ายคนที่อยู่ข้างหลังก็ชนฉันกระเด็นออกมา เค้ารีบเดินออกมาแล้วลากฉันออกไปจากบริเวณที่เสี่ยงต่อการรับฝีเท้าผู้คน
	          ทำไมไม่เดินออกมาละ เค้าถามฉันอย่างโกรธๆ
	          แล้วทำไมนายไม่ลงมาละ ฉันถามกลับบ้างด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ทำให้เค้าชะงักไปชั้วครู่ แล้วฉันก็เริ่มเดินออกไป เค้าเดินตามมาไหมนะ ฉันไม่กล้าหันไปมองเลย
	          นี้ๆ ชลิตา เสียงของเค้าทำให้ฉันหันโดยอัตโนมัติเช่นเคย
	          จะบ้าหรอ? เค้าพูดค่อนข้างดังแล้วรีบแทรกฝูงชนบ้าคลั่งที่รีบกลับบ้านมาดึงฉันลงจากบันได
	          ไปยืนขว้างทางคนบนบันได้แบบนั้นอะ เดี๋ยวก็โดนบี้หรอก เค้ากล่าวกึ่งดุๆขณะที่กำข้อมือฉันไว้
	          แล้วใครละที่เรียกฉันน่ะ ฉันตอบกลับอย่างโกรธๆ
	          ขอโทษ... เค้ากล่าวแล้วค่อยๆปล่อยข้อมือฉัน ฉันคิดว่าตัวเองหูฝาด ฉันได้ยินเค้าขอโทษ ไม่ว่าที่ไหนก็ตามเค้าแกล้งใคร หรือทำอะไรให้ใครโกรธ ถ้าไม่ใช่อาจารย์ เค้าไม่เคยขอโทษเลย
(เรารู้ดีอะดิ) แต่เค้าขอโทษฉัน เค้าเคยทำฉันร้องไห้เค้าก็ไม่เคยขอโทษเลยด้วยซ้ำไป
	          มะ...ไม่เห็นต้องขอโทษเลย นายไม่ได้ทำไรซักหน่อย ฉันยืนพูดอยู่กับเค้าด้วยน้ำเสียงกึ่งๆขอโทษขณะที่ฝูงชนบ้าคลั่งออกไปหมดแล้ว ก็คือเรายืนอยู่สองคน ถ้าไม่นับคนในร้ายขายของ เค้าก้มหน้าอยู่ในตอนนั้น
	          เห็นมั้ยๆเชื่ออีกละ เค้าเงยหน้าขึ้นแล้วชี้หน้าฉันอย่างเคยเวลาที่หลอกฉันได้ทุกครั้ง
	          นี้...นาย ฉันมองใบหน้าที่ยิ้มของเค้าด้วยสีหน้าโกรธๆ
	          โอ๋ๆ...อย่าโกรธน้าๆ เค้าพูดขึ้น อันนี้ละแปลกจริงๆเพราะทุกครั้งที่เค้าแกล้งฉันเค้าจะหัวเราะแล้วเดินไปเฉยๆ
	          ใครโกรธเล่า.. ฉันยิ้มบ้าง หลังจากปั้นหน้ามานาน ไม่รู้จะยิ้มเกินไปรึเปล่า แต่เวลาช่างไม่อำนวยเลย มัน 5:15 น.กว่าๆแล้ว
	          เราต้องไปแล้วนะ ฉันเอ่ยขึ้น น่าแปลกที่เค้าชะงักไปเลย
	          อะ...อือๆ เค้าตอบกลับฉันแล้วเอามือลูบต้นคอตัวเอง
	          พรุ่งนี้เจอกันนะ ฉันพูดกับเค้าแล้วเค้าก็มองหน้าฉันอย่างแปลกๆแล้วยิ้มอย่างกวนๆอีกครั้งแล้วเราก็เดินแยกกันไป ในตอนนั้นฝูงชนบ้าคลั่งฝูงใหม่ก็มาอีกแล้ว ฉันเดินไปอย่างช้าๆ ด้วยความรู้สึกอยากหยุดมันไว้เท่านี้ แล้วหันหลังไปมองเค้า เสียดายฉันไม่ได้เห็นใบหน้าของเค้าแต่เห็นแผ่นหลังของเค้าเท่านั้น แต่ทำไมเค้าเดินช้าจังทั้งๆไม่มีคนเดินทางนั้นเลยแท้ๆ??? แล้วฉันก็เดินจากไป
                                                                                  จบแล้วๆ ชอบกันไหมเนี่ย 
                             ปล.วันถัดๆมาเราก็ไม่เคยได้กลับด้วยกันอีกเลย แล้วก็ไม่เคยได้คุยกันอีกเลย-_-
				
12 พฤษภาคม 2547 23:39 น.

ลูกเสือกับยุวกาชาด...(ตอนที่2)ช่วยติหน่อยนะคะเพิ่งหัดคะ

กล่องดนตรี

ฉันเดินตามสองคนนั้นไปอย่างเงียบๆ เมื่อขึ้นสะพานลอยที่เชื่อมกับทางขึ้นBTS เค้าก็เห็นฉันในทางเลี้ยงของบันได
	          อ่าว...มาแต่เมื่อไหร่เนี่ย เค้าเอ่ยเมื่อสบตากับฉัน
	          ก็นานแล้วละ...ติดคนเดินช้าอยู่ข้างหน้าเนี่ย ฉันตีหน้าโกรธ ทั้งๆที่ในใจอยากจะยิ้มแทบบ้า
             	          ก็เจ็บก้นอะ...แดดมันร้อนขนาดนั้นคิดดู เราเลยเดินช้าๆไม่ให้มันแสบไง เค้าทำท่าใส่อารมณ์อย่างไม่จริงจังเท่าไหร่ แล้วเพื่อนเค้าก็แยกไปอีกทางนึง ตอนนี้เราอยู่กันสองคนหรือนี้? ไม่อยากจะเชื่อ 
	          ทุเรศ...ไม่เห็นต้องมาบอกเลย ฉันตอบแล้วก้าวเท้าเร็วๆผ่านเค้าไปอย่างไม่อยากแสดงให้เห็นว่าฉันหยุดคุยกับเค้า
	เมื่อผ่านที่กันตรงชั้นล่างของรถไฟฟ้าฉันก็เดินอย่างช้าๆไปที่บันไดเลื่อน แล้วเค้าก็เดินตามมาอย่างช้าๆเช่นกัน ฉันเห็นน้องชายของเพื่อนอยู่ข้างหน้า
	          อ่าวนิว...พี่ทิ้งหรอ? ฉันทักน้องชายเพื่อนอย่างเป็นกันเอง
	          ป่าว..แต่ไม่ได้กลับกับมันเท่านั้นเอง เดินที่ยืนอยู่ข้างหน้าไปซักสองสามขั้นบันไดตอบอย่างใส่อารมณ์ ประมาณเกลียดพี่มันมาเป็นชาติ
	          จีบเด็กหรอ? เสียงคุ้นๆดังมาจากข้างล่างไปซักสิบขั้นได้ แล้วเค้าก็เดินขึ้นบันได้มายืนข้างฉันอย่างเร็วๆ
	          จะบ้าหรอ...น้องเพื่อนต่างหาก ฉันพูดอย่างเซ็งๆแล้วเดินเร็วไปยังบันไดเลื่อนอันถัดไป ในตอนนั้นน้องของเพื่อนฉันก็แยกไปอีกละ
	          กลับทางไหนอะ เค้าซึ้งขึ้นบันไดตามมาถามขึ้น
	          ก็ทางเดียวกะนายไง ฉันตอบอย่างเร็วแล้วมองไปข้างบน
	          รู้ได้ไงว่าเรากลับทางไหน เค้าถามอีกด้วยน้ำเสียงออกจะวอนโดนถีบลงบันได
	          ก็เคยถามไง ฉันตอบพร้อมกับวิ่งขึ้นบันไดไปเพราะรถไฟมาแล้ว ฉันวิ่งไปยังประตูที่ใกล้ที่สุด คนในนั้นแน่นมาก ฉันจึงยืนอยู่เกือบนอกสุด ฉันมองออกไปยังบันไดเลื่อนที่มีคนวิ่งลงเต็มไปหมดจนแทบจะไม่เห็นคนขึ้นเลย 
	          ติ๊ด...ติ๊ด เสียงเตือนดังขึ้นแล้วประตูก็ปิดไป ฉันยังคงมองออกไปยังบันได้เลื่อนที่ว่างเปล่า เค้าคงไม่ได้วิ่งขึ้นมาฉันคิด การได้กลับพร้อมเค้าอดอีกแล้ว
	          นี้ๆ ชลิตา เสียงคุ้นๆที่อยากได้ยินดังขึ้นจากข้างหลัง
	          โห...วิ่งไม่รอเลยนะ เกือบไม่ทันเลย เค้านั้นเองที่เดินแทรกฝูงชนมายังที่ๆฉันยืน อ้อเค้าขึ้นประตูหลังฉันนี้เอง
	          แล้วนี้เดินมาทำไมอะ ฉันหันไปแล้วช่วยจับกระเป๋าที่ไปเกี่ยวคนที่ยืนอยู่ของเค้าออกมา
	          ก็ทางนี้มันใกล้บันไดกว่านี้ เค้าตอบแล้วยืนตรงข้ามกันฉัน คนเยอะมากจนเราสองคนยืนห่างกันแค่ 3 นิ้วเอง ตอบคำถามได้ดีจริงๆแต่ไม่ได้อยากได้ยินแบบนี้นี่นา
	          นี้ลงทางไหนอะพอเดินออกไปแล้วอะ ฉันถามเค้าที่ถูกคนเบียดมาจนแทบจะติดหน้าฉัน เค้าสูงจนแทบจะบังทุกอย่างที่ฉันเห็น เสื้อของเค้ามีรอยเหงื่อที่เพิ่งแห้งหลังการทำโทษนั่งตากแดดหนึ่งชั่วโมงมาใหม่ๆ
	          ก็พอลงไปก็เลี้ยวขวาอะ... เค้าตอบแล้วมองมาที่ฉันตรงหน้าเค้า
	          เธอละ เค้าถามด้วยรอยยิ้มปกติของเค้า
	          ก็คนละทางกันอะ ฉันตอบแล้วหลบสายตาเค้าโดยมองออกไปนอกหน้าต่างตรงประตูที่ยืนอยู่ เค้าก็เลยหันไปมองคนข้างหลังที่ชนเค้าด้วยสีหน้าไม่พอใจนิดหน่อย พอเค้าหันมาฉันก็มองแว่นตาของเค้าแล้วค่อยๆจับมันอย่างช้าๆ
	          อะไรหรอ เค้าถามอย่างงงๆ เมื่อฉันถอดแว่นกรอบเหลี่ยมๆออกจากหน้าของเค้า(มือมันไปเอง)
	          เช็ดล้าสุดเมื่อไหร่เนี่ย ฉันถามเค้า แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดแว่นของเค้า
	          ก็อาทิตย์ที่แล้วมั่ง เค้าหัวเราะ แล้วหยุดชะงักเมื่อฉันใส่มันกลับเข้าไปที่เดิม ฉันจึงมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง แล้วทุกอย่างก็เงียบไป
                                                                             จบตอนสองคะ
				
12 พฤษภาคม 2547 18:41 น.

ลูกเสือกับยุวกาชาด...(ตอนที่1)

กล่องดนตรี

แสงแดดยามบ่ายอ่อนๆ แต่ร้อนแรงส่องข้ามตึกเรียนไปกลางสนาม นักเรียนลูกเสือชายล้วนม.2นั่งอยู่เต็มสนาม เพราะมีคนโดนทำโมษมากที่สุด ส่วนฉันที่เรียนยุวะอาจารย์ปล่อยนานแล้วนั่งอยู่บนระเบียงชั้นสองของตึกเรียน กำลังมองนักเรียนลูกเสือคนนึง โดนทำโทษโดยให้นั่งตากแดดเพราะใส่เข็มขัดนักเรียนมาแทนเข็มขัดลูกเสือ เค้าหันมามองฉันอย่างพิจารนา แล้วทำปากพูดว่า
	           เป็นไง แล้วเค้าก็หันหลังไปเพราะแดดที่ส่องหน้าเค้ามันแรงมากฉันจึงเดินไปนั่งด้านที่จะเห็นหน้าของเค้าแล้วถามเค้าว่า
	          ทำไรผิดละ...ถึงได้โดนตากแดด เค้าถอดรองเท้าแล้วเอาไปรองนั่งเพราะความร้อนบนพื้น ซึ้งฉันอดขำไม่ได้ 
	          ก็เข็มขัดอะดิ เค้าเงยหน้าตอบ ขณะที่เพื่อนๆของฉันเดินมาแล้วชวนฉันไปซื้อขนมหน้าโรงเรียน ฉันจึงหันไปมองเค้าอย่างไม่เจาะจงเพราะไม่อยากให้เพื่อนล้อ 
	          แปปนะ...เดี๋ยวเราไปเก็บกระเป๋าก่อน ฉันพูดแล้วรีบเดินไปยังห้องเรียน โดนที่เค้าก็ยังคงหันมาคุยกับนักเรียนหญิงคนอื่นๆ ซึ้งทำให้ฉันหมดความสนใจไปทันที
	          ฉันกับเพื่อนๆเดินลงมาข้างล่างในตอนที่ลูกเสือปล่อยแล้ว ฉันรอเพื่อนอยู่ที่หน้าตึก1 ฉันกวาดตามองหาลูกเสือคนนั้นแต่ก็หาไม่พบ ฉันจึงเริ่มตัดใจ ฉันแค่อยากกลับบ้านโดยเห็นเค้าเท่านั้น แต่ฉันก็ไม่เคยทำได้เลย เพราะเมื่อเลิกเรียนเค้าก็เหมือนหายไปทันที
	          แสบตูดวะ...ร้อนเป็นบ้าเลย เสียงคุ้นๆที่ดังมาจากข้างหลังทำให้ฉันหันไปโดยอัตโนมัติ เค้านั้นเองกำลังเดินกับเพื่อนเตี้ยๆคนนึง ทั้งคู่สพายกระเป๋าเป้แล้วเดินตรงไปยังประตูโรงเรียน
	          นี้ ฉันพูดออกไปด้วยเสียงที่เบาจนตัวเองแทบไม่ได้ยิน เท้าของฉันเกือบจะก้าวไปแล้ว แต่เพื่อนๆของฉันก็เดินมาข้างหลังแล้วเรียกฉันไป ฉันหันไปยิ้มอย่างรวดเร็วแล้วมองนาฬิกา ตายแล้วมัน  4:30 น. แล้ว
	          เราต้องกลับแล้วอะ ฉันเดินไปคุยกับเพื่อนๆสองคนที่ต้องเรียนพิเศษจึงกลับเย็น
	           อยู่เป็นเพื่อนอีกแปปดิ เพื่อนคนสูงๆพูดขึ้น
	           ไม่ได้แล้วอะ เราไม่อยากถึงบ้านเย็นๆ บ้านเราไกลนะ ฉันพูดกับเพื่อนแล้วทำท่าอ้อนวอน
	           ก็ได้ๆเดี๋ยวเราเดินไปส่งประตูหลังละกัน เพื่อนทั้งสองยิ้มแล้วเดินไปส่งฉัน ในใจฉันก็คิดว่าอาจจะเจอเค้าตอนเค้าเดินผ่านหลังโรงเรียนก็ได้
	           บะบาย...พรุ่งนี้เจอกันนะ ฉันกล่าวลาเพื่อนๆแล้วเดินออกไปอย่างช้าๆแล้วก็คิดได้ว่าเค้าคงเดินไปแล้วละ ฉันจึงเดินเร็วขึ้นด้วยความอยากกลับบ้าน 
	ฉันเดินผ่านหน้าโรงเรียนเตรียม ผ่านโรงบาลสัตว์ แล้วก็ผ่านทันตะ ไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็ต้องหยุดฝีเท้าเมื่อเห็นลูกเสือสองคนเดินอยู่ข้างหน้าฉันไปประมาณ 4 เมตรได้ ฉันนึกในใจอย่างดีใจปนวิตก และสุกท้ายฉันก็ตัดสินใจเดินตามสองคนนั้นไป...........................


                                                                                 จบตอนแรก 				
12 พฤษภาคม 2547 18:38 น.

ลูกเสือกับยุวกาชาด...(ตอนที่1)

กล่องดนตรี

แสงแดดยามบ่ายอ่อนๆ แต่ร้อนแรงส่องข้ามตึกเรียนไปกลางสนาม นักเรียนลูกเสือชายล้วนม.2นั่งอยู่เต็มสนาม เพราะมีคนโดนทำโมษมากที่สุด ส่วนฉันที่เรียนยุวะอาจารย์ปล่อยนานแล้วนั่งอยู่บนระเบียงชั้นสองของตึกเรียน กำลังมองนักเรียนลูกเสือคนนึง โดนทำโทษโดยให้นั่งตากแดดเพราะใส่เข็มขัดนักเรียนมาแทนเข็มขัดลูกเสือ เค้าหันมามองฉันอย่างพิจารนา แล้วทำปากพูดว่า
	           เป็นไง แล้วเค้าก็หันหลังไปเพราะแดดที่ส่องหน้าเค้ามันแรงมากฉันจึงเดินไปนั่งด้านที่จะเห็นหน้าของเค้าแล้วถามเค้าว่า
	          ทำไรผิดละ...ถึงได้โดนตากแดด เค้าถอดรองเท้าแล้วเอาไปรองนั่งเพราะความร้อนบนพื้น ซึ้งฉันอดขำไม่ได้ 
	          ก็เข็มขัดอะดิ เค้าเงยหน้าตอบ ขณะที่เพื่อนๆของฉันเดินมาแล้วชวนฉันไปซื้อขนมหน้าโรงเรียน ฉันจึงหันไปมองเค้าอย่างไม่เจาะจงเพราะไม่อยากให้เพื่อนล้อ 
	          แปปนะ...เดี๋ยวเราไปเก็บกระเป๋าก่อน ฉันพูดแล้วรีบเดินไปยังห้องเรียน โดนที่เค้าก็ยังคงหันมาคุยกับนักเรียนหญิงคนอื่นๆ ซึ้งทำให้ฉันหมดความสนใจไปทันที
	ฉันกับเพื่อนๆเดินลงมาข้างล่างในตอนที่ลูกเสือปล่อยแล้ว ฉันรอเพื่อนอยู่ที่หน้าตึก1 ฉันกวาดตามองหาลูกเสือคนนั้นแต่ก็หาไม่พบ ฉันจึงเริ่มตัดใจ ฉันแค่อยากกลับบ้านโดยเห็นเค้าเท่านั้น แต่ฉันก็ไม่เคยทำได้เลย เพราะเมื่อเลิกเรียนเค้าก็เหมือนหายไปทันที
	          แสบตูดวะ...ร้อนเป็นบ้าเลย เสียงคุ้นๆที่ดังมาจากข้างหลังทำให้ฉันหันไปโดยอัตโนมัติ เค้านั้นเองกำลังเดินกับเพื่อนเตี้ยๆคนนึง ทั้งคู่สพายกระเป๋าเป้แล้วเดินตรงไปยังประตูโรงเรียน
	          นี้ ฉันพูดออกไปด้วยเสียงที่เบาจนตัวเองแทบไม่ได้ยิน เท้าของฉันเกือบจะก้าวไปแล้ว แต่เพื่อนๆของฉันก็เดินมาข้างหลังแล้วเรียกฉันไป ฉันหันไปยิ้มอย่างรวดเร็วแล้วมองนาฬิกา ตายแล้วมัน  4:30 น. แล้ว
	          เราต้องกลับแล้วอะ ฉันเดินไปคุยกับเพื่อนๆสองคนที่ต้องเรียนพิเศษจึงกลับเย็น
	           อยู่เป็นเพื่อนอีกแปปดิ เพื่อนคนสูงๆพูดขึ้น
	           ไม่ได้แล้วอะ เราไม่อยากถึงบ้านเย็นๆ บ้านเราไกลนะ ฉันพูดกับเพื่อนแล้วทำท่าอ้อนวอน
	           ก็ได้ๆเดี๋ยวเราเดินไปส่งประตูหลังละกัน เพื่อนทั้งสองยิ้มแล้วเดินไปส่งฉัน ในใจฉันก็คิดว่าอาจจะเจอเค้าตอนเค้าเดินผ่านหลังโรงเรียนก็ได้
	           บะบาย...พรุ่งนี้เจอกันนะ ฉันกล่าวลาเพื่อนๆแล้วเดินออกไปอย่างช้าๆแล้วก็คิดได้ว่าเค้าคงเดินไปแล้วละ ฉันจึงเดินเร็วขึ้นด้วยความอยากกลับบ้าน 
	ฉันเดินผ่านหน้าโรงเรียนเตรียม ผ่านโรงบาลสัตว์ แล้วก็ผ่านทันตะ ไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็ต้องหยุดฝีเท้าเมื่อเห็นลูกเสือสองคนเดินอยู่ข้างหน้าฉันไปประมาณ 4 เมตรได้ ฉันนึกในใจอย่างดีใจปนวิตก และสุกท้ายฉันก็ตัดสินใจเดินตามสองคนนั้นไป...........................


                                                                                 จบตอนแรก 				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกล่องดนตรี
Lovings  กล่องดนตรี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกล่องดนตรี
Lovings  กล่องดนตรี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกล่องดนตรี
Lovings  กล่องดนตรี เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกล่องดนตรี