8 มกราคม 2547 20:23 น.

From Communism to Technocrats

กวินทรากร

แคว้นไร้น์แลนด์  ประเทศเยอรมัน  คาร์ล มากซ์ ไม่ได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยเบอร์ลินที่เขาศึกษาอยู่ แต่เขาส่งวิทยานิพนธ์ไปให้มหาวิทยาลัยเยน่าในอิตาลีเป็นผู้พิจารณาแทน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความรู้ที่อยู่กับตัวนั้นผู้ที่ไม่รู้จัก
ก็สามารถตรวจสอบและยอมรับได้ว่าเขามีความรู้จริง  วิทยานิพนธ์ของมากซ์นั้นว่าด้วยปรัชญาของเอปิคิวรัส (Epicurus)  นักปราชญ์โบราณของกรีก ซึ่งสอนให้มนุษย์รู้จักหาความสุขสบายจากการมีชีวิตให้มากที่สุดเพราะเมื่อตายไปแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้ วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของมากซ์ ชี้ให้เห็นว่าคำสอนของเอปิคิวรัส มีความเชื่อพื้นฐานว่า กายภาพเกิดจากอนุภาพ จึงควรใฝ่หาความสุขก่อนที่กายภาพจะแตกดับกลับออกไปเป็นอนุภาพตามเดิม แต่แทนที่มากซ์จะแสวงหาความสุขใส่ตนตามความเชื่อแบบเอปิคิวรัส  มากซ์กลับเลือกที่จะใช้ชีวิตครอบครัวแบบอดๆ อยากๆ เพื่อเขียนคัมภีร์ของลัทธิคอมมิวนิสต์ ไว้เป็นอนุสรณ์แห่งโลก ในคัมภีร์ของมากซ์ประกอบด้วยหลัก 3 ประการคือ
	1. ปรัชญา ตรรกวิทยา (Dialectic) ซึ่งพัฒนามากจากแนวคิดของลัทธิเฮเกล (Hegelianism) ซึ่งมากซ์ได้ใช้ 
ตรรกวิทยา วิเคราะห์วิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ เรียกว่าวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ (Historical Materialism) แนวคิดนี้ได้รับอิทธิพลมากจากประเทศเยอรมัน
	2. วิชาเศรษฐศาสตร์การเมือง ซึ่งเน้นเรื่องแรงงานส่วนเกินซึ่ง ชนชั้นกรรมาชีพ  ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายทุน แนวคิดนี้ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอังกฤษ
	3. วิชารัฐศาสตร์ เรื่อง รัฐและการปฏิวัติ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากประเทศฝรั่งเศส
แต่ในทางปฏิบัติแนวคิดของมากซ์ ไปสำเร็จเอาใน รัสเซีย ปี 2460 ซึ่งมากซ์เสียชีวิตไปแล้วถึง 34 ปี แนวคิดของมากซ์สรุปโดยย่อได้ว่า นายทุนจะกดค่าแรงจากชนชั้นกรรมาชีพ เพื่อให้ได้กำไรมากที่สุดทำให้ระบบทุนนิยมเจริญงอกงามขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้อุตสาหกรรมขยายตัว อุตสาหกรรมใหญ่ๆ ก็ค่อยๆ กลืนอุตสาหกรรมเล็กๆ หมด เข้าทำนองปลาใหญ่กินปลาเล็ก นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาเครื่องจักรเพื่อใช้แทนแรงงานคน เพื่อเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น  ในที่สุดก็ต้องไปหาวัสดุนอกประเทศ และขยายตลาดออกไปนอกประเทศทำให้เกิด ลัทธิจักวรรดินิยม  ซึ่งถือเป็นขั้นเจริญสูงสุดของระบบทุนนิยม และบวกกับเมื่อมีการใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคนมากขึ้น การว่างงานก็เกิดขึ้น ค่าจ้างแรงงานก็จำต้องลดลงเพื่อ
สู้กับเครื่องจักร แต่แล้วนายทุนก็ต้องพบปัญหาเพราะเมื่อคนว่างงาน ก็ไม่มีกำลังซื้อผลผลิตที่เกิดขึ้นมากมายก็ขายไม่ออก  
กำไรก็ลดลง  เหตุผลนี้เองมากซ์จึงกล่าวว่า "ลัทธิทุนนิยมเพาะพันธุ์เชื้อร้ายทำลายตัวมันเอง" พอถึงตอนนั้นนายทุนกับชนชั้นกรรมาชีพจะต่อสู้กันเพื่อความอยู่รอด และในที่สุดชนชั้นกรรมาชีพจะลุกขึ้นมาโค่นล้มนายทุนทั้งระบบ ดังในคำประกาศของลัทธิคอมมิวนิสต์ (Communism Manifesto) ที่ว่า "ประวัติศาสตร์ของสังคมที่มีอยู่ในโลกทุกวันนี้คือประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ระหว่างชนชั้น" และมากซ์ยังได้ย้ำเสมอว่า "ชนชั้นกรรมาชีพท่านจงสามัคคีกัน ท่านไม่มีอะไรจะเสียนอกจาก
โซ่ตรวนที่ผูกมัดท่านอยู่" และถ้าเป็นสำนวนของอัศนี พลจันทร (นายผี) ผู้รับอิทธิพลของมากซ์มาใช้ก็ต้องกล่าวไว้เป็นภาษากวีว่า "ในมือเรามีค้อน มีระฆังอันดังดี เพลงไพเราะเรามี  สำหรับขับให้ครื้นเครง คือค้อนแห่งธรรมะ และคือระฆังวังเวง ตี ครางอยู่หง่างเหง่ง เพรียกเป็นเพลงแห่งอิสรา" (ค้อน เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของลัทธิคอมมิวนิสต์) คำประกาศนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์ เรียกร้องให้ชนชั้นกรรมาชีพทั่วโลกรวมตัวกันต่อสู้ เพื่อปลดแอกพันธนาการ ไปสู่เสรีภาพของมวลมนุษยชาติ จากนั้นก็วางโครงการดำเนินงาน เมื่อได้ชัยชนะแล้วดังต่อไปนี้
	1.  ยกเลิกกรรมสิทธิ์ส่วนตัวในที่ดินให้ที่ดินตกเป็นของรัฐให้กิจการธนาคารเป็นของรัฐ ควบคุมการสื่อสารมวลชน บุกเบิกทำประโยชน์ในที่ดินว่างเปล่าและให้การศึกษาฟรีกับประชาชน
	2. ยกฐานะชนชั้นกรรมาชีพให้เป็นชนชั้นปกครอง โดยยกเลิกวิธีเลือกตั้งแบบของนายทุนและให้รัฐเป็นผู้ควบคุมเครื่องมือการผลิตทุกอย่าง ให้ตั้งระบอบเผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพขึ้น  โดยถือเป็นทางผ่านไปสู่ระบบคอมมิวนิสต์ ที่สมบูรณ์คือไม่มีรัฐบาล  และเกิดสังคมที่ไม่มีชนชั้น	แต่ในเชิงปฏิบัติ นั้น แนวคิดของมากซ์ทำได้ยากเต็มที ยกตัวอย่างเช่น จะให้ชนชั้นกรรมาชีพของไทย ไปสามัคคีกับชนชั้นกรรมาชีพของกัมพูชา ก็ทำได้ยาก เพราะจิตสำนึกของความเป็น ชาตินิยม นั้นรุนแรงกว่าจิตสำนึกแห่งการปฏิวัติ (เพราะยังงัยๆ กรรมกรทั่วโลกยังมีสำนึกลึกๆ ว่าเป็นคนละเชื้อชาตินั่นเอง ทำให้ไม่เกิดความสามัคคีและเกิดการแตกแยก เช่นการแบ่งแยกสีผิว แบ่งแยกศาสนา ฯลฯ) ในสภาวการณ์แห่งความเป็นจริงขณะนั้นประเทศรัสเซีย จีน และประเทศเล็กประเทศน้อยที่แสนจะยากจน ในเอเชียอัฟริกา กลับมีการปฏิวัติสังคมจนสำเร็จ   โดยไม่ต้องรอให้ประเทศของตน  กลายเป็นรัฐจักรวรรดินิยมเพราะผู้นำประเทศอย่าง  เลนิน  เหมาเจ๋อตง  โอจิมิน  เนวิน  คาสโตร  เจ้าสุภาณุวงศ์  หรือเมงกิสตู  ล้วนแล้วแต่อ่านคัมภีร์ของมากซ์อย่างจับอกจับใจในคำสอนและเทิดทูนที่มากซ์ยืนอยู่ข้างคนจน  จึงได้อุทิศตนสู้เพื่อการปฏิวัติจนได้รับชัยชนะ  และประกาศใช้การปกครองระบอบสังคมนิยม โดยไม่มีการรอให้สภาพทุนนิยมเจริญถึงขีดสุดเสียก่อนคือเป็นรัฐ     จักรวรรดินิยม  ใช่เพียงเท่านี้สถานการณ์ยิ่งกลับตรงกันข้ามกับที่มากซ์สอน  เพราะปัจจุบันแทนที่ในประเทศทุนนิยมเจริญถึงขีดสุดอย่างสหรัฐอเมริกา  ญี่ปุ่น  เยอรมัน  อังกฤษ  หรือฝรั่งเศส  จะมีการปะทะกันระหว่างนายทุนกับชนชั้นกรรมาชีพ/กรรมกร ก็หาได้มีการปะทะกันจนถึงขั้นปฏิวัติสังคมไม่ สาเหตุเพราะ กรรมกรในประเทศทุนนิยมดังกล่าวมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีกว่ากรรมกรในประเทศด้อยพัฒนา อีกทั้งกรรมกรในประเทศที่มีระบอบทุนนิยมรุ่งเรื่องสุดขีด กลับมีพลังทางการเมืองที่มีอิทธิพลมากกว่าพลังของกรรมกรในประเทศด้อยพัฒนาเสียอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศอังกฤษปี พ.ศ. 2443 ได้มีการจัดตั้งพรรคกรรมกร (British Labour Party) ฉะนั้นการปฏิวัติทางสังคมจึงมักจะเกิดในประเทศกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินาบ้าง กึ่งศักดินากึ่งนายทุนบ้าง 
 ที่เหตุการณ์มันผลิกผันชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้าอย่างนี้ก็สืบเนื่องมาจาก ประเทศนายทุนใหญ่อย่างเช่นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น  เยอรมัน  อังกฤษ อิตาลี แคนาดา  และ  ฝรั่งเศส คงจะอ่านตำรา  ของมากซ์อย่างพินิจพิเคราะห์ เกี่ยวกับพัฒนาการของกฎ 3 ข้อ  ที่นำไปสู่การปฏิวัติล้มล้างนายทุนอยู่หลายครั้ง  จึงหาทางแก้ด้วยการมีกฎหมายป้องกันการผูดขาดหรือที่เรียกว่าแอนตี้ทรัสต์ (Antitrust) โดยเฉพาะในกิจการสาธารณูปโภค เช่นรถไฟ  ไฟฟ้า  โทรศัพท์  การบิน  สื่อสารมวลชน  ยกตัวอย่างเช่น เมื่อปี  2527  ศาลฎีกาสหรัฐสั่งให้บริษัทโทรศัพท์แยกออกเป็นหลายๆ บริษัทเพราะมีลักษณะเขมือบและผูกขาดทั่วประเทศ  อีกทั้งคณะกรรมการแอนตี้ทรัสต์ ก็ไม่อนุญาตให้นายทุนที่เป็นเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์ หลายฉบับซื้อกิจการโทรทัศน์  เพราะจะเท่ากับการผูกขาดสื่อสารมวลชนไว้ในมือคนเดียวอย่างนี้เป็นต้น ดังนั้นจึงเรียกได้ว่า  เรียนมากซ์  เพื่อแก้มากซ์ นับว่านายทุนหัวไวแก้ไขได้ทันควัน
		ประเด็นที่มากซ์คาดไม่ถึงก็คือในปัจจุบันมีชนชั้นเกิดขึ้นใหม่ และเป็นอันตรายต่อนายทุนยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์เสียอีก ชนชั้นนั้นก็คือพวก เทคโนแครท (Technocrat) พวกเทคโนแครทนี้ล่ะครับที่นายทุนปัจจุบันโดยเฉพาะประเทศที่เจริญด้วยอุตสาหกรรมและเทคโนโลยกลัวเหลือเกิน เพราะเขาเหล่านี้คือผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่เป็นสมองกลของบริษัหรือองค์กรด้านความรู้ความสามารถทางเทคโนโลยีขั้นสูง  เพราะนายทุนไม่มีความรู้ความสามารถที่จะควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างทั่วถึง จึงต้องยอมให้พวกเทคโนแครท คุมการบริหารกิจการของตน  ถ้าพวก 
 เทคโนแครทไม่ทำงานเสียอย่างกิจการของนายทุนก็ต้องล้มครืนทันที  เพราะนายทุนใช้เครื่องสมองกลไม่เป็น  สั่งการในกิจการที่กว้างขวางและมีสาขาอยู่ทั่วโลกไม่ได้  ตัวอย่างเช่นในเมืองไทย  ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในธนาคารต่างๆ ก็ดี หรือเครื่องเอทีเอมเสีย ธนาคารนั้นหรือสาขานั้นก็จะเป็นง่อยทางธุรกรรมทันที จะเบิกจะถอน หรือฝากเงินไม่ได้ทั้งนั้น ต้องรอให้ช่างเทคนิค (Technocrat) มาแก้ ถ้าช่างไม่ว่าง หรือไม่มา วันนั้นธนาคารก็ไม่ต้องทำธุรการใดๆ ทั้งนั้น  ทั้งๆ ที่มีพนักงานอยู่นับร้อย อย่างนี้เป็นต้น

		แต่มหันตภัยที่แท้จริงอันเกิดจากชนชั้น เทคโนแครท ก็คือปัญหา อาชญากรทางคอมพิวเตอร์ (Computer Crimy )   หรือเรียกอีกอย่างว่า อาชญากรผู้ดี (White Collar Crime) ซึ่งก็มีด้วยกันหลายจำพวกได้แก่ 1. พวกมือใหม่หรือพวกสมัครเล่น (Novice) คือพวกนี้ชอบอยากทดลองความรู้และส่วนใหญ่จะมิใช่อาชญากรโดยนิสัย 2.นักเจาะข้อมูล (Hacker or Cracker) คือพวกมืออาชีพที่ชอบเจาะเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นเพื่อความท้าทายยิ่งยากยิ่งอยากเจาะ และอาจมีอุดมการณ์ทางการเมือง ศาสนา หรือสิทธิมนุษยชนแฝงอยู่ ปัญหาก็คือรูปแบบการกระทำความผิดที่เปลี่ยนไปและ ไร้พรมแดน (Globalization) จับต้องไม่ได้ ไม่ทราบว่าผู้กระทำผิดอยู่ที่ใด ดังนั้นรัฐจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างกฎหมายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศขึ้นจากความจำเป็นของสังคมอันได้แก่ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ กฎหมายการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ กฎหมายลายมือชื่อทางอิเล็กทรอนิกส์ กฎหมายการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ กฎหมายลำดับรองของกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 78 ว่าด้วยการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศที่ทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ ซึ่งย่อมจะส่งผลกระทบต่อ โครงสร้างพื้นฐานทางสังคม (Infrastructure) และโครงสร้างขั้นสูงทางสังคม (Superstructure)  อีกทั้งย่อมเป็นตัวกำหนดทิศทางความเป็นอยู่ของมวลมนุษยชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับรูปแบบของการกระทำผิดทางอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ก็มีด้วยกันหลายประเภทเช่น
		-Trojan Horse คือการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่แฝงไว้ในโปรแกรมที่มีประโยชน์ เมื่อถึงเวลาโปรแกรมที่ไม่ดีก็จะปรากฎตัวเพื่อปฏิบัติการทำลายข้อมูล วิธีนี้มักจะใช้ในการฉ้อโกงทางคอมพิวเตอร์หรือเพื่อการทำลายข้อมูล
		-Logic Bombs คือการเขียนโปรแกรมคำสั่งอย่างมีเงื่อนไข  โดยโปรแกรมจะเริ่มทำงานเมื่อมีสภาวะหรือสภาพการณ์ตามที่ผู้สร้างโปรแกรมกำหนด  สามารถใช้ติดตามดูความเคลื่อนไหวของระบบเงินเดือน ระบบบัญชี แล้วทำการเปลี่ยนแปลงตัวเลข
		-Salami Techniques คือการเขียนโปรแกรมในรูปหนอนอินเตอร์เน็ต (Internet worm) เพื่อปัดเศษจำนวนเงินทศนิยมตัวที่สามทิ้งให้เหลือแต่จำนวนเงินที่สามารถจ่ายได้ แล้วนำเศษทศนิยมมาใส่ไว้ในบัญชีของตน
นอกจากนี้แล้วยังมีมหันตภัยทางอ้อมที่เกิดจากชนชั้น เทคโนแครท อันได้แก่ สื่อลามกอนาจาร  การสอนทำวัตถุระเบิด  การขายตัวทางอินเตอร์เน็ต ฯลฯ ซึ่งปัญหาเหล่านี้คือปัญหาที่เกิดจากชนชั้น เทคโนแครท อันเป็นชนชั้นที่ถูกสร้างขึ้นจากลัทธิทุนนิยมแทบทั้งสิ้น นอกจากนี้แล้วลัทธิทุนนิยมยังได้สร้างความฟุ้งเฟ้อให้กับสังคมปัจจุบัน ทั้งยังทำลายศีลธรรมอันดีงามทางสังคม จะเห็นได้ว่าปัจจุบันยิ่งมีความแตกต่างระหว่างชนชั้นมากขึ้นเท่าใด ปัญหาสังคมก็ยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นแบบยกกำลังสอง  และนี่อาจจะเป็นไปดังคำพยากรณ์ของมากซ์กระมังที่ว่า "ลัทธิทุนนิยมเพาะพันธุ์เชื้อร้ายทำลายตัวมันเอง" ในที่สุดการปฏิวัติสังคม  ในรูปแบบของมากซ์คงใกล้ที่จะมาถึงอีกแล้วกระมัง แต่ชนชั้นใดล่ะที่จะลุกขึ้นมาทำลายล้างลัทธิทุนนิยม ระหว่างชนชั้นกรรมาชีพกับชนชั้นเทคโนแครทหรือจะเป็นชนชั้นใหม่ที่ยังไม่เกิดขึ้นในตอนนี้  ??
									

 								      	 7  มกราคม 2547				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวินทรากร
Lovings  กวินทรากร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวินทรากร
Lovings  กวินทรากร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟกวินทรากร
Lovings  กวินทรากร เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงกวินทรากร