26 ตุลาคม 2551 00:19 น.

...ที่นี่...สถานีไชยา..

ฉางน้อย

" ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้เหลืออีกเวลาอีก 2นาที
 ขบวนรถด่วนพิเศษจากสถานีสุราษฎร์ธานี ไปยังสถานีปลายทางกรุงเทพฯจะ
เข้ามาจอดเทียบชานชลาแล้ว
 ขอให้ท่านที่มีตั๋วโดยสารเรียบร้อยแล้ว โปรดรอรถ
ให้พ้นเส้นขอบขาวด้วยครับ ขอบคุณครับ "

 เสียงประกาศของนายสถานีที่ออกสำเนียงทองแดงนิดหน่อย
ทำให้ผู้โดยสารท่านอื่นๆรวมทั้งยิหวาและพี่เมี่ยง
ต่างชะเง้อชะแง้แลหารถไฟเที่ยวนี้ 

 ญาติๆถามว่า ทำไมไม่นั่งรถทัวร์ ถึงเร็วกว่าด้วย 
วาตอบ เพราะถึงเร็วกว่าไง เลยไม่ชอบ 5555
  อีกอย่างนั่งรถไฟได้ดูวิวสองข้างทางด้วย 
วาไม่ชอบนั่งรถทัวร์กลางคืน ชอบที่จะนั่งไปเรื่อยๆเอื่อยๆ
ปล่อยความคิดไปข้างหน้า อิอิ ฝันบ้าไปแระยัยวา 

 ก็อย่างเวลาไปจองตั๋วรถไฟ วามักบอกพนักงานว่า 
ขอที่นั่งริมหน้าต่างใน หมายถึงการเดินทางไปคนเดียว 
แต่หากไปกันสองคน เพื่อนร่วมทางจะรู้กันดีว่า 
ที่นั่งริมหน้าต่าง เสร็จยัยวาแน่แล้ว อิอิ

 กระเป๋าสะพายใบเล็กๆของวา ภายในมีแค่กล้องถ่ายรูปตัวหนึ่ง 
สมุดบันทึก ปากกาที่ขาดไม่ได้อีก
คือ หนังสืออ่านบนรถไฟคะ
 อย่างน้อย8เล่มที่วามักพาไปด้วยเสมอๆ
 จนพี่เมี่ยงบอกว่า หนอนหนังสือ(เน่าๆ) 555
     รวมทั้งหมากฝรั่งกับยาอมโบตันเป็นกล่องๆด้วย
ยาอม สำหรับให้อม แต่ยัยวาจับได้ใส่ปากก็เคี้ยวๆ 555

 
" พี่เมี่ยง ตั๋วน่ะ ถือดีๆนะ อย่าทำหายก่อนที่พนักงานจะมาตรวจตั๋ว ล่ะ"
วาย้ำพี่เมี่ยง

" อืม ..รุ้แล้วนะ " พี่เมี่ยงเหล่มองยัยวาแบบเคืองๆ อิอิ

 
11.07 น. รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกจากสถานีไชยา
 วากับพี่เมี่ยงหาที่นั่งได้เรียบร้อยแล้ว 
คงไม่ต้องบอกว่ายัยวาแย่งที่พี่เมี่ยงคำนั่งตรงไหน
 พี่เมี่ยงเริ่มมองสำรวจภายในขบวนรถ 

" อืม.. ค่อยน่านั่ง น่าใช้บริการหน่อย เนอะวา ดูท่าทางสะอาดดีด้วย "

" โห  ต้องสะอาด ต้องมีบริการที่ดีซิพี่เมี่ยง วาซื้อตั๋วมาตั้งแพงนะ "
 วาไม่วายออกอาการ งก อิอิ

" ทำเป็นบ่น ใครซื้อๆ ตั๋วน่ะ " พี่เมี่ยงมองตาขวาง

" ก็ วาซื้อเองไง ตั๋วน่ะ "

" นั่นแหละ วาซื้อ แล้วเงินใครหือ ..? " พี่เมี่ยงไม่ยอมวาเล๊ย

" แหะ..แหะ. ก็เงินต่ะเองแหละ แฮ่..แฮ่.." 
วา พูดพลางแลบลิ้น ทำหน้าทะเล้น 

 
  ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ยิหวา กับพี่เมี่ยงคำ มีเรื่องให้ชวนทะเลาะ 
เอ๊ย ชวนคุยกันบ่อยๆ อีกคนช่างซัก 
อีกคนก็เฉไฉไปเรือย 
บ่อยครั้งที่เกือบพามาที่สนามมวยลุมพินี 5555 
มวยคู่เอกระหว่าง  เมี่ยงคำ หนุ่มเมืองจันทร์  
กับ ยิหวา ศิษย์มวยไทยไชยา   

เพราะต่างวัน ความคิดถึงได้ต่างกัน

ต่างก็คิดว่าเหตุผลของตัวเองดีที่สุด
แต่สำหรับสองคนนี้แล้ว แม้ต่างวัย แต่ใจไม่ต่างกัน
แฮ่..แฮ่...

 ดูท่าทางศิษย์มวยไทยไชยาน่าจะได้เปรียบคู่ชกในลีลาแม่ไม้มวยไทย 
ไหว้ครูสวยต่างหาก5555555
 ในขณะเดียวกันหนุ่มเมืองจันทร์ดูจะมีภาษีกว่าตรงที่ผ่านมาหลายเวที  อิอิ 
ได้เปรียบคู่ชกตรงที่น้ำหนักเกินพิกัด(ไม่ปล่อย)

 
" สถานีต่อไปเป็นอะไรละวา "  พี่เมี่ยงถามด้วยอยากรุ้

" สถานีท่าชนะมั้ง ไม่แน่ใจ เพราะรถด่วนพิเศษมักจอดแค่สถานีใหญ่ๆน่ะคะ "

" พี่เมี่ยงรู้ป่าว เมื่อก่อนสถานีไชยาน่ะ เป็นสถานีอันดับ 3 แน่ะ 
แต่เพิ่งเปลี่ยนเป็นสถานีอันดับ 2  เมื่อกลางปี 49 นี่เอง " 
วาชวนพี่เมี่ยงพูดคุย เท่าที่ตัวเองได้รับรุ้มา

" แล้วอันดับ 2 กับ อันดับ 3 ต่างกันไงละวา ? 
" ด้วยความที่พี่เมี่ยงไม่คุ้นเคยต่อสถานที่แปลกๆใหม่ๆ เลยทำให้มีคำถามเรื่อยมา 

" คงเหมือนที่เขาจัดอันดับโรงแรมมั้งพี่เมี่ยง
 ระดับสี่ดาว ห้าดาวอะไรประมาณนั้นะ ว่าคิดว่าอ่ะ "
  วา ตอบแบบ(สู่)รู้อีกแล้วครับทั่น อิอิ

" อ่อ คงจริง น่าจะใช้ เก่งนี่เราน่ะ เจ้าถิ่นนี่นา เนอะ ไม่เก่งได้ไง " 

 
   นั่งคุยได้สักพักเวลาเที่ยงตรง 12.00น.
 มีพนักงานสาวมาถามรับน้ำอะไรดีคะ?
 เพราะว่า เธอเข็นข้าวกล่องมาแจกคนละกล่องๆ

วา  อยากตอบเหลือเกินว่า ขอรับน้ำใจ แหะ..แหะ..
 กลัวพี่สาวคนนั้นมองมาตาเขียวๆ
 เลยบอกว่า  ขอน้ำนางเอกคะ พนักงานยิ้มใจดี 
 วาขอน้ำส้ม พี่เมี่ยงขอน้ำเปล่า หุหุ ผู้ดี กินน้ำ เป-ล่า อิอิ

 ข้าวกล่องมีกับข้าวสองอย่าง มีขนมหวานแยกอีกนิดหนึ่งให้กินกันตาย อิอิ 

 
ยิหวา เขี่ยๆๆ เขี่ยเนื้อหมูให้พี่เมี่ยง 
ตัวเองกินแต่ผักกะน้ำ แหะ.แหะ..โดนดุอีกแระ ตู

ผัก เนื้อทำไมไม่กิน?
 ทำไมไม่กินหมู ทำไมต้องเขี่ยๆให้คนอื่น
 รู้ไหมกินแล้วมีประโยชน์ ฯลฯ
 สารพัดคำถามทำไมจากพี่เมี่ยง เฮ้อ ....

   นั่งได้สักพัก หนาวก็หนาว ปวดเฉ่ ก็ปวด อิอิ 
ฝนข้างนอกก็ยังตกหนักพอสมควร
 ส่งผลให้อากาศข้างในยิ่งหนาวๆขึ้นไปอีก
 โชคยังดี ที่มีเสื้อแขนยาวตัวโปรดไปด้วย
ไม่งั้นสั่นงั่กๆๆ

 
" เป็นไร วา นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ปวดท้องเหรอ ? " พี่เมี่ยงห่วงหา 

" ป่าวคะ ไม่มีไร " วา ตอบ ทั้งๆที่ในใจคิดว่า
 หารู้ไม่ วาปวดเฉ่ แทบกลั้นไม่ไหวแว้วว

 15 นาทีผ่านไป ...

 "  เป็นไรวา หนาวเหรอ ? "  พี่เมี่ยงอาทร รอบสอง
เมื่อเห็นยิหวานั่งบิดซ้ายย้ายขวา

" ป่าวค่ะ นิดหน่อย (ปวดเฉ่นิดหน่อย อิอิ ) "  
วาคงทำหน้าซื่อ(บื้อ)ตาใส ยังคงกลั้นเฉ่ไว้อย่างงั้น 

 
อู๊ยยยยย.. ทนอ่านหนังสือก็แล้ว นอนก็แล้ว 
ยังไม่หายปวดอีกวุ้ย(คะ) จะไม่ไหวแล้วน๊า 
ทนๆ กลั้นๆ ไม่ชอบเข้าใช้บริการห้องน้ำบนรถไฟอ่ะ
 กลัวหลายอย่าง กลัวไม่สะอาด
 กลัวประตูห้องน้ำไม่แข็งแรงด้วย อิอิ 

 " วา เป็นไรไป เห็นนั่งยุกยิกๆครึ่งทางแล้วนะเราน่ะ มีไรไหนบอกซิ ? "  
พี่เมี่ยงคงทนรำคาญไม่ได้เห็นวานั่งยุกยิกๆเกือบ3ชั่วโมงมาแล้ว 

" บอก ก็ได้ เค้าปวดเฉ่ อ่ะ
 พี่เมี่ยงไปยืนรอวาหน้าห้องน้ำหน่อยดิ " 
วาเสียงอ่อยๆ

" อ้าว แล้วกัน แล้วไม่บอก กลั้นอยุ่ได้ เดี๋ยวฉี่แตกตรงนี้หรอก ไปๆๆ"

      ....... เฮ้ออออ... รอดตายไปยัยวาเอ๋ย 

 
" พี่เมี่ยงๆ เดี๋ยวอีกไม่นานคงถึง สถานีหัวหินแล้วละ ประจวบฯไง " 
วารุ้ดีอีกแล้ว

" เหรอวา หัวหินที่เป็นทะเลเป็นหาดดังๆน่ะเหรอ 
ผ่านด้วยเหรอ อยากเห็นจัง " 

" งั้นเราลงสถานีหัวหินไหมวา คงสวยเนอะ"
 พี่เมี่ยงแกล้งถามแหย่วาเล่น เพราะรู้ว่าวาชอบทะเลเป็นชีวิตจิตใจ

" ใครพูดแล้วเอาคืน มะรืนเป็นหมัน 
ใครพูดแล้วทำไม่ได้ อย่าพูดน๊า "   วาเหน็บพี่เมี่ยงนิดๆ อิอิ

"  พี่ไม่ได้พูด แค่ถามเฉยๆ 5555 อยากไปทะเลซิท่า รอหน่อยนะ "

     เวลาบ่าย 15.00 น. ได้เวลาอาหารว่างอีกแล้วคะ  เป็นขนมปัง
หรือแล้วแต่เจ้าหน้าที่จะจัดให้มา รวมทั้งกาแฟด้วย ฮื่อ ..น่าทานจัง

      รถไฟวิ่งผ่านสถานีต่างๆ จนกระทั่งสถานีศาลายา เรื่อยๆๆ 
ไปจนถึงสถานีปลายทางหัวลำโพง  หรือ สถานีกรุงเทพฯนั่นเอง 

 
"  จะถึงหัวลำโพงแล้วนะวา อย่างัวเงีย ตื่นๆ"  
" รู้แล้วน่ะ ปลุกทำไมเล่า คนกำลังหลับสบาย " 
ยัยวา ยังอิดออด ไม่อยากตื่น 

 
      "....ท่านผุ้โดยสารโปรดทราบ  ที่นี่สถานีปลายทางกรุงเทพฯ 
การรถไฟขอกราบขอบพระคุณท่าน
ที่ให้การสนับสนุนการเดินทางในครั้งนี้
 กรุณาอย่าลืมนำกระเป๋า สิ่งของ และสัมภาระของท่าน(และของผู้อื่น)ติดตัวลงมาด้วย
 ....ติ๊งต่อง...ขอกราบขอบพระคุณครับ...."  

               ...... จบเถอะคะ คุณผู้อ่านทั้งหลาย.....


 ปล..... ฉางน้อย ขอโทษเพื่อนๆทุกท่านนะคะ ที่จริงเรื่องนี้ มีข้อมูลและภาพประกอบด้วยคะ แต่พอฉางน้อยนำมาใส่แล้วมักเป็นรูปกากบาท เลยเซ็งจัด  ท้อใจ

ทำให้เพื่อนๆอดชมภาพสวยๆงามๆ ใครมีวิธีการใส่รูปที่ไม่เป็นกากบาทบ้างไหมคะ
ขอบคุณล่วงหน้ามากๆค่ะ 				
1 ตุลาคม 2551 14:31 น.

ชวนพี่เมี่ยงไปชิงเปรต

ฉางน้อย

00475_0.jpg..ภาพนี้เป็นขนมลา.. 


  " พี่เมี่ยง อย่าลืมล่ะ เช้าวันพฤหัสฯที่ 25 พี่มารอรถที่บ้านวานะ ไปพร้อมกัน " 
วาย้ำพี่เมี่ยงถึงการเดินทางไปต่างจังหวัด
เพื่อร่วมงานประเพณีสาร์ทเดือน 10 หริอว่าประเพณีชิงเปรต นั่นเอง

" จ้า...ไม่ลืมหรอกนะ นานๆได้เที่ยวเดินทางไกล ไม่ตื่นสายด้วย รับรองจ๊ะ " 
พี่เมี่ยงรับปากมั่นเหมาะ

.........เช้าวันเดินทางก็มาถึง พี่ชายเอารถส่วนตัวไปเอง ออกจาก กทม.ประมาณ 6โมงเช้า วากับพี่เมี่ยงนั่งเบาะหลัง คุยกันเบาๆ
" อืม..ไหนวาลองเล่าซิ ประเพณีชิงเปรตที่วาบอกนั่นน่ะ 
มีจริงเหรอ แล้วเป็นยังไง " พี่เมี่ยงยังคงสงสัย

" ฮั่นแน่ะ อยากรู้ใช่ไหมล่ะ จ่ายมาก่อน 300 แล้วจะเล่าให้ฟัง " 
วา ไม่ค่อยงกสักเท่าไหร่ อิอิ
" เออ..น่ะ เล่าดิ ถ้าพี่เชื่อถือได้ จ่ายอีก 200 โอเค๊." พี่เมี่ยงคำต่อรอง

" คืองี้นะพี่เมี่ยง ประเพณีชิงเปรต หรือ สาร์ทเดือน 10 ห
รือว่า ประเพณีรับส่งตายายอ่ะนะ มักเป็นชื่อเรียกทางภาคใต้กันนี่เอง " 
วา เริ่มพูดคุย เล่าเรื่องราวถึงสิ่งที่ตัวเองได้รับรุ้และสืบทอดกันมาช้านาน

" ประเพณีชิงเปรต เป็นความเชื่อเก่าแก่ที่สืบทอดมาแต่บรรพบุรุษที่ยังคงดำรงรักษามาจนถึงทุกวันนี้
ปรเพณีนี้ถือเป็นการทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว " วาเล่าได้โดยไม่ติดขัด ทำให้พี่เมี่ยงที่นั่งฟังนั้นชักมีอาการทึ่งในความมีสาระของยิหวาในวันนี้ 

" ญาติผู้ล่วงลับนั้นหมายถึง ผู้ที่มีบาปหนา ตกนรกด้วยนะพี่เมี่ยง ตกนรก เลยกลายเป็น..เปรต..ไงคะ "

" หือ..พี่เมี่ยงอ่ะ ฟังวาอยุ่ไหมเนี่ยะ "
 วา เอ่ยถามเมื่อเห็นพี่เมี่ยงนั่งเงียบเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
" อืม...ฟังซิ เล่าต่อนะวา พี่แค่คิดเล่นๆว่า หน้าตาของ เปรต จะน่ากลัวสักแค่ไหนเชียว " 
" แหม.. ยังไง พี่เมี่ยงก็หล่อกว่าอยู่แล้วล่ะคะ อิอิ "
 วา พูดพลางเอี้ยวคอหลบรัศมีของมะเหงกพี่เมี่ยง

...... รถยังคงแล่นไปเรื่อยๆพี่ชายคนขับ ยังคงมีสมาธิในการขับรถ 
คนนั่งข้างพี่สาวคนโต หรือเจ๊ใหญ่นั่นเอง เป็นเพื่อนนั่งคุยกับพี่ชาย
" อ่ะ วาเล่าต่อนะ พี่เมี่ยงห้ามเขกกะโหลกวาด้วย
 เดี๋ยวอดฟังเรื่องเปรตไม่รุ้ด้วยน๊า " วาเริ่มมาไม้อ่อน อิอิ

" .... เปรตน่ะนะพี่เมี่ยงจะได้รับการปล่อยตัวจากยมบาลให้มาพบลูกหลานและญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์ใน แรม 1 ค่ำ เดือน 10 
และ ให้อยู่ในเมืองมนุษย์ได้เพียง 15 วัน "

" อืม...แล้วไงต่อ เล่าซิ "
 พี่เมี่ยงเอ่ยถาม หลังจากที่วา นั่งเงียบไปซะเฉยๆ 

" วา คิดว่าวา เห็นเปรตริมทางเข้าแล้วล่ะพี่เมี่ยง " 
และแล้วก็เป็นจริงดั่งที่วาคาดคิด เพราะรถของพวกเราเข้าเขตจ.เพชรบุรีแล้ว มี
ตำรวจทางหลวงเรียกโบกมือให้พี่ชายแอบรถไหล่ทาง ชิดริมถนน
ไม่มีด่านตรวจ ไม่มีอะไรที่จะส่อว่า จะมีเจ้าหน้าที่เรียกตรวจ

" คุณจะไปไหนกันเนี่ยะ ไหนขอดูใบขับขี่หน่อยซิ " ตำรวจทางหลวงนายนั้นถามพี่ชายด้วยวาจา และ ท่าทางที่วางอำนาจ
" รับใบสั่งนะ คุณขับรถเลนขวา " 
วาคิดในใจ ผิดตรงไหน(วะ)รุถว่างๆก็วิ่งเลนขวาได้นี่(หว่า)

" พี่ครับ ไม่ต้องเขียนใบสั่งหรอกครับ 100 พอไหมครับ "
 พี่ชายถามโดยไม่ต้องการคำตอบยื่น100บาทแนบกับใบขับขี่
 หมอนั่นยังมีหน้าบอกว่า ขับรถดีๆนะครับ .....

" อ้อ พี่คะ หนูยังไม่ได้ตอบพี่เลยนะคะ ว่าจะไปไหนกัน คือว่า พวกหนูกะพี่ๆจะกลับบ้านไปทำบุญให้เปรตน่ะค่ะ"
" เปรตริมทางที่อดอยาก หิวโหยไงคะ หนูสบายใจแล้วคะ ทำบุญแล้ว ..."
 วา ยังมีหน้าไปแจ๋นใส่ตำรวจทางหลวงผู้นั้นอีก ทำให้พี่ชายต้องรีบออกรถโดยเร็ว ก่อนที่จะโดนคดีเรื่องไม่เป็นเรื่อง 55555

" เห็นไหมล่ะพี่เมี่ยง พี่ชายทำบุญให้เปรตไปแล้ว 1 ตัว คงสบายใจแล้วเนอะเฮียเนอะ " วาพูดพลางพยักเพยิดให้กับพี่ชายคนโต
" โห ยัยวานี่ ไปว่าเค้า ปากจัดนะเรานี่ ไม่เบา แหมๆๆๆ " พี่
เมี่ยงหันมองดุๆ

" อ่ะ ฟังต่อดีกว่า เนอะพี่เมี่ยง เมื่อเปรต มาอยู่ในเมืองมนุษย์ได้แค่ 15 วัน ฉะนั้นเมื่อถึงแรม 15 ค่ำเดือน 10 พวกเค้าก็กลับไปภูมินรกเหมือนเดิม " 
" การมาเยื่อมเยือนของเปรตผู้ล่วงลับ ทางภาคใต้ถึงได้เรียกว่า รับ ส่งตายายไงคะพี่เมี่ยง "
" อ่อ...... พี่พอจะเข้าใจแล้วล่ะ " ดูท่าทางพี่เมี่ยงฉลาดขึ้นมานิดนึง อิอิ


  " แล้วที่บ้านวาต้องเตรียมอาหาร กับข้าว ขนมไปวัดไหมละ เหมือนที่กรุงเทพฯไหมวา ?" พี่เมี่ยงถาม เพราะไม่เข้าใจประเพณีทางใต้จริงๆ
" แล้ววาต้องไปเป็นเปรต เอ๊ย ไปชิงเปรตด้วยป่ะ " 
พี่เมี่ยงถามแต่ แอบอมยิ้มในหน้า

" นี่แน่ะ...หาว่าเค้าเป็นเปรต หยิกซะ" วา เอาปลายเล็บเหน็บที่สีข้างพี่เมี่ยงพองาม แต่ทำให้พี่เมี่ยงบิดตัวหนีเล็บยัยวา 
" แหะ..แหะ..โอเค จ๊ะ พี่ไม่แหย่วาแล้ว นะคนดี 
เล่าต่อๆจ๊ะ อยากฟัง " นายเมี่ยงคำออดอ้อน
" อ่ะๆ.. เล่าต่อก็ได้ ห้ามขัดคออีกละ เดี๋ยวโดนๆ " 

" ก็พอถึงงานประเพณีสำคัญ แต่ละบ้านก็จัดเตรียมอาหาร
 คาวหวานใส่สำรับเป็นชุดๆ ซึ่งจะมีสามชุดน่ะค่ะ 

ชุดที่ 1... จัดอาหารคาวหวาน ของกินของใช้ต่างๆสำหรับพระภิกษุสงฆ์ 
เพื่อใช้ในการกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล

ชุดที่ 2 ...จัดให้เปรตกินในวัด เป็นเปรตชั้นดี ที่สามารถเข้าออกวัดวาได้
 จะมีการสร้างร้านหรือ ปลูกเป็นศาลาสูงๆไว้ตั้งสำรับสำหรับเปรตกิน 
ภาคใต้เรียกว่า หลาเปรต " วาสาธยายได้โดยไม่ติดขัด

" อะไรนะวา หลาเปรต แปลว่าอะไร ไม่เข้าใจ "
 พี่เมี่ยงทำสีหน้างุนงงแบบเล็กๆ อิอิ

" หลาเปรต ก็ คือ ศาลาไง ศาลาที่ไว้วางขนมแหละ
 ชาวบ้านก็จะนำมาวางบนนี้ ไว้ให้เปรตกินเสร็จ ค่อยไปแย่งไงคะ " 
วา เล่ามาถึงตรงนี้ด้วยสีหน้าอมยิ้ม 
ดูท่าทางเธอคงอดขำไม่ได้ว่า ชิงเปรต อิอิ 

" ส่วนสำรับชุดที่ 3 นะคะพี่เมี่ยง....
ชุดที่ 3 เราจะจัดให้เปรตกินนอกวัด 
ส่วนมากเป็นเปรตที่เข้าวัดเข้าวาไม่ได้คะ 
แต่ละบ้านจะจัดทำกระทง หรือ กรวยใบเล็กๆ ไว้ใส่กับข้าว 

เพื่อทำทานให้แก่เปรต โดยจะนำอาหารที่ใส่กรวยนี้ ไปวางริมทางเดิน 
ริมถนน ทางเข้าวัด หรือโคนต้นไม้ แล้วแต่คะ 
แต่เราต้องกล่าวคำเชิญให้เปรตได้มารับส่วนบุญที่เรานำมาวางให้เขาด้วยนะคะ เขาจะได้ไม่อดอยาก จะได้ไม่ทนทุกข์ทรมาน "

" ว่าแต่ว่า พี่เมี่ยงจะเลือกอาหารสำรับไหนดีน๊า อิอิ "
 วา ถามพลางหัวเราะคิกๆชอบใจ
" พี่ก็กิน อย่างที่วากินแหละ 5555 " พี่เมี่ยงเอาคืน 

" นอกจากอาหารคาวหวานในสำรับแล้วนะคะพี่เมี่ยง 
ยังมีขนมอีกนะคะ เป็นขนมประเพณีทางใต้โดยเฉพาะค่ะ " 
วา เริ่มเล่าต่อ เมื่อเห็นพี่เมี่ยงยังอยากรุ้อยากฟัง

" เหรอ วา เปรตกินขนมได้ด้วยเหรอ พี่เคยได้ยินว่า 
เปรตน่ะ ปากเท่ารูเข็มนี่นา " พี่เมี่ยงซักถามจริงๆด้วย

" นั่นแหละ เพราะเปรตมีปากที่เท่ารูเข็มไงคะ
 ขนมแต่ละอย่างแต่ละชื่อ เลยมีที่มาแตกต่างกันไงค
ะ อีกทั้งขนมแต่ละอย่างยังแทนสัญญลักษณ์ต่างๆด้วยนะคะ "

" ขนมที่วาบอก จะมี 5 อย่าง คะ เช่น ขนมกง ขนมลา
 ขนมพอง ขนมดีซำ ขนมสะบ้า "
 วา พูดพลางยิ้มน้อยๆ
 เมื่อเห็นพี่เมี่ยงของเธอทำสีหน้า งง หนักมากขึ้นกว่าเดิม

" 1...ขนมพอง ทำจากแป้งข้าวเหนียว 
นำนึ่ง ตากให้แห้ง ทอดด้วยน้ำมัน โรยหน้าด้วยน้ำตาลให้หวานๆ 
พี่เมี่ยงรู้ไหม ขนมพอง แทนสัญญลักษณ์ของอะไร ?
" วาถามพี่เมี่ยง ซึ่งได้แต่ทำหน้างง

" ขนมพอง แทนสัญญลักษณ์ ของแพ คะ
 ไว้ให้เปรตนั่งตอนขากลับ เพื่อข้ามห้วงมหรรณพ
 เป็นความเชื่อของคนโบราณแหละพี่เมี่ยง " 
พี่เมี่ยง ได้แต่พยักหน้ากึกๆ

" 2...ขนมกง หรือขนมไข่ปลานั่นเอง
 อย่าถามว่าทำยังไง วาไม่ค่อยรู้หรอก
 รู้แต่ว่า ขนมกง แทนความหมายของเครื่องประดับ 
รู้แค่นี้แหละคะ 55555 "

" 3...ขนมลา แทนความหมายของเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มคะ
 อีกอย่าง เปรตกินได้สะดวก
 เพราะเป็นตาข่ายเล็กๆ เป็นเส้นยาวๆ ที่
เปรตปากเท่ารูเข็มก็กินได้ไงคะ
 ทำจากแป้งมัน ผสมน้ำมันมะพร้าว ใส่ไข่ไก่ด้วย
 แต่อย่าถามว่า ทำยังไง ไม่ทราบคะ อิอิ " 

" อ่อ งั้นมีเปรตมีชีวิตได้ รอดด้วยขนมลามั้ง 
เพราะขนมอื่น เขาคงกินยากน่ะมั้ง เนอะ วา " 
พี่เมี่ยงเริ่มออกความเห็น 

" 4...ขนมดีซำ แทนความหมายของเงิน เบี้ยสมัยก่อน
ให้เปรตเพื่อใช้สอยในเมืองนรก

และ 5...ขนมสะบ้า แทนลูกสะบ้าที่ใช้เล่นในงานสงกรานต์ 
งานรื่นเริงต่างๆค่ะ จบแล้วววว " 

  " เดี๋ยวก่อนวา วาจบ แต่พี่ยังไม่จบ อิอิ พี่ยังสงสัยนี่ ว่า ชิงเปรต กันตรงไหน ยังไง ? "

" อ่อ ... ใช่ๆ วาลืมไปได้ไงน๊า จุดสำคัญของงาน อิอิ
 คือ เมื่อเราจัดสำรับวางบนหลาเปรต 
หรือศาลาเปรตแล้วนะพี่เมี่ยง 
บนหลาเปรคจะมีสายสิญจ์พันยาวๆๆรอบๆศาลานั้นไปยังพระสงฆ์ที่นั่งทำพิธีกรรมบังสุกุลอัฐ
 หรือ เขียนชื่อญาติผู้ล่วงลับในแผ่นกระดาษนำมาวางไว้ตรงนั้นแหละ 
พระท่านก็จะทำพิธีกรวดน้ำไปให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว "

" และเมื่อเสร็จพิธีกรรม ต่อไปก็เป็นการชิงเปรต 
นั่นก็คือ การที่เด็กๆหรือลูกหลาน แม้แต่ผู้ใหญ่ไปแย่งชิงสิ่งของ
 ขนมบนศาลาเปรตไงคะ
 งานนี้มีแต่ความสนุกสนานคะ ไม่มีว่าแย่งแบบเอาเป็นเอาตาย 
แต่แย่งเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวด้วยไงคะ 

อีกทั้งเปรต หรือญาติๆที่ตายไปก็จะได้ดีใจว่าลูกหลานมาร่วมงาน โดยไม่คิดรังเกียจพวกเขาไง
 บางที่เขามีการโยนกำพฤก หรือบางที่เรียก กำพริก 
เด็กๆก็เข้าไปแย่งกันคะ "
 วา เล่าต่อด้วยสีหน้ามีความสุขเมื่อนึกถึงวันเก่าครั้นเยาว์วัย

" กำพฤก หรือ กำพริก แปลว่า อะไรล่ะวา "
 พี่เมี่ยงสงสัยอีกแล้วซิ 

" ก็เป็นเงิน เหรียญ หรือ แม้แต่หมายเลขที่จะนำมาจับสลาก
 เพื่อได้สิ่งของไงคะ " 

" อ่อ .. พี่เข้าใจแล้วละ วันนี้วาเก่งนะ มีสาระดีด้วย
 เออ... ว่าแต่ว่า พี่ขอร้องอะไรวาสักอย่างได้ไหม หือ ? "

" อะไรคะพี่เมี่ยง " คราวนี้ ตัววาเองเป็นฝ่ายที่มีสีหน้าสงสัย

" ว่างๆ วาก็หัดให้พี่พูดภาษาใต้บ้างซิ "
 พี่เมี่ยงพูดพลางทำตาหวานเยิ้มยิ่งกว่าขนมเมืองเพชร อิอิ 

" อ่ะ ทำไมจู่ๆอยากพูดใต้ละคะ ? " 
" อ๊าววว... พี่จะไปเป็นลูกเขยใต้ พี่ต้องหัดพูดซิ จริงไหมละ "

งานนี้วาไม่ขอตอบคะ ว่าผลที่ออกมาเป็นยังไง อิอิ 

รู้แต่ว่าที่แน่ๆวันนั้น ที่ไปร่วมงานบุญกับยิหวาที่วัดนั้น 
ยัยวาก็ไปแย่งชิงขนมเปรตด้วย 
ชวนพี่เมี่ยงก็ไม่ยอมออกไป อ้างว่าเขิน อายเด็ก 

แต่ปรากฎว่า หันมาอีกที พี่เมี่ยงเข้ามาแย่งยัยวาด้วยซิคะ 

" อ้าว พี่เมี่ยง ไหนว่าไม่มาแย่งด้วยไง มาได้ไงเนี่ยะ " 

" พี่ก็ไม่อยากเข้ามาแย่งกับเขาหรอกนะ 
ใครก็ไม่รู้ซิ ถีบพี่เข้ามาในวงนี้แหละ "

วาไม่ตอบกระไร นอกจากเสียงฮาก๊ากกกก 5555555

...........................................................................

( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น ) 

00475_1.jpgภาพขนมต้มห่อด้วยใบกะพ้อ				
1 ตุลาคม 2551 00:28 น.

หมาก พลู และคุณยายข้างบ้าน

ฉางน้อย

สวัสดีค่ะเพื่อนๆทุกๆท่าน 

อิอิ อย่าแปลกใจคะ วันนี้อาจไม่ใช่เรื่องสั้น 

ฉางน้อยเพียงต้องการบอกเล่ากล่าวขานอาชีพหนึ่ง

อาชีพที่ใครบางคน หรืออีกหลายๆคนไม่เคยได้สัมผัสด้วยตนเอง

นั่นคือ อาชีพของคนที่อยู่ชนบท 

....ทายซิคะ อาชีพอะไรเอ่ย ? ....ติ๊ก..ต่อก..ติ๊ก..ต่อก..

.....แต๊น...แต่น...แต๊นนนน.....

..........การทำสวนหมาก สวนพลูไงคะ .....

       พอดีว่า ฉางน้อยกลับไปใต้มาค่ะ เลยถ่ายรูปเก็บไว้คะ

เก็บไว้ก่อนที่จะไม่มีให้เก็บ อิอิ 

        พลูก็ต้องคู่กับหมากใช่ไหมคะ คนรุ่นปู่ย่าตายายคะ ชำนาญ

ท่านชำนาญการเคี้ยวหมาก เป็นสิ่งที่มีติดตัวทุกบ้านทุกครัวเรือน

ฉางน้อยกลับไปเยี่ยมคุณยายท่านหนึ่ง ชื่อ  คุณยายเปี้ยน

อายุ90กว่าแล้วคะ  แต่แกยังแข็งแรงนะคะ รดน้ำต้นไม้สบายมาก

.....ฉางน้อยคิดว่า ต่อไปอีกไม่นาน อาชีพของคนชนบทเหล่านี้

คงเลือนหายไปตามกาลเวลา เพราะไม่มีใครสืบทอดเจตนารมณ์

....จะสืบทอด หรือ สืบปิ้งหรือย่างก็แล้วแต่นะคะ แหะ..แหะ..

ไปดูกันคะ .......ฟิ้ววววววววววววว				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 1 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฉางน้อย