29 กันยายน 2551 22:04 น.

...ปลูกต้นรักกันเถอะ...

ฉางน้อย

00474_1.gif"  พี่เมี่ยง วาอยากซื้อต้นไม้ไปปลูกบ้างแล้วล่ะ 
พี่เมี่ยงว่าต้นอะไรดีล่ะ "  
ยิหวาเอ่ยปากถามพี่เมี่ยงในเย็นวันหนึ่งขณะที่เขาเปิดก๊อกลากสายยางรดน้ำต้นไม้บริเวณบ้าน

" หือ..พี่เมี่ยงว่าต้นอะไรดีละ ที่ปลูกง่ายๆโตไวๆน่ะ " 
แน่นอน ยิหวาพูดกับพี่เมี่ยงคำของเธอ มักจะไม่ค่อยมีคะขา 
นานๆจะผ่านออกจากปากเธอสักครั้ง พี่เมี่ยงก็ชาชินกับคำแบบนี้ของเธอมานานแล้ว 

   พ่อยอดชายนายเมี่ยงคำของยัยวา ยังคงทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ยิหวาเอ่ยปากถามออกไป แต่เขาคงทนรำคาญของยัยวาไม่ได้ เลยบอกออกไปแค่คำเดียวสั้นๆ แต่มีความหมายชัดเจน

" ถั่วงอก " แน่นอน พี่เมี่ยงฟันธงแล้วว่า ถั่วงอก อิอิ  พี่
เมี่ยงพูดจบก็รดน้ำต้นไม้ต่อหน้าตาเฉยมากๆ

" บ้าซิพี่เมี่ยง ถั่วงอกเอามาทำอะไร วาไม่ได้อยากกินก๋วยเตี๋ยวหรือว่า
ผัดไทสักหน่อยน่ะ " ยัยวา แว้ดเข้าให้

'  อ้าว ก็ไหนวา บอกพี่เองไม่ใช่เหรอว่า ปลูกต้นอะไรก็ได้ที่
โตไวๆไม่ต้องดูแลรักษา แล้วหน้าตาอย่างวาน่ะ 
พี่มองออกว่า เพาะเมล็ดถั่วเขียวให้กลายเป็นถั่วงอกได้ แค่นี้วาก็เก่งแล้วล่ะ หุหุ" พี่เมี่ยงเหมือนพูดไม่ค่อยให้กำลังใจยัยวาเล๊ย เฮ้อ..

" โอ๊ย..ไม่คุยกะพี่เมี่ยงแระ พูดไม่รุ้เรื่อง 
วาพูดจริงๆนะ ไม่ได้พูดเล่นซะเมื่อไหร่ "  
นางสาวยิหวา พยายามเก๊กสีหน้าให้จริงจังกว่าทุกครา

" เอ..ต้นอะไรดีน๊า เหมาะกับวามากที่สุด 
อ่อ..นี่เลย คุณนายตื่นสายเป็นไง  " 
พี่เมี่ยงคำพูด แต่ก็กลั้นยิ้มในใบหน้า ก
ลัวโดนแว้ดเป็นรอบที่สอง 555

" จริงๆนะเหมาะกับวามากที่สุด
 ยิ่งเสาร์อาทิตย์พากันตื่นสายทั้งบ้าน ทั้งต้นไม้ทั้งเจ้าของ "
  พี่เมี่ยงคำพยายามทำสีหน้าจริงจังทั้งๆที่กลั้นหัวเราะแทบตาย 
ขืนหัวเราะออกมาดังๆตอนนี้ซิ ยัยวาจะได้โดดงับหูเข้าให้ อิอิ

" พอเลยๆ พี่เมี่ยง ไม่ต้องเสนออะไรทั้งนั้นนะ วาคิดเองดีที่สุดมั้ง " 

" นี่ไง รู้แล้วๆ วาจะปลูกต้นอะไรดี ต้นรักไงพี่เมี่ยง ดีป่าว " 

" จ๊ากกกก ก๊ากกกกก.. ...ฮ่า ฮ่า ..."
 ว่าแล้ว ต่อมขำของพี่เมี่ยงยังคงทำงานเป็นปกติ 
หลังจากที่พี่เมี่ยงตกตะลึงชั่วขณะตดยังไม่ทันหายเหม็น
 พี่เมี่ยงถึงกับอดกลั้นหัวเราะไม่ได้ 
 เพราะเสียงหัวเราะของพี่เมี่ยงนี่แหละ 
ทำให้ไส้เดือนดินตัวน้อยๆตกอกตกใจพากันแหงนหน้ามองหาที่มาของเสียง 
แล้วพากินคลานกระดื๊บๆหลบลงรูไป อิอิ

 "  ยัยวาเอ๊ย ไม่รู้จักโต ตัวเท่าลูกหมาริอ่านจะปลูกต้นรัก 
รู้เหรอ ต้นรักเป็นยังไง ไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดาๆนะ  " 

" วาพร้อมเหรอ ที่จะเรียนรู้ ดูแลรักษาทนุถนอมความรัก "

" วาพร้อมเหรอ ที่จะใส่ปุ๋ยรดน้ำพรวนดิน 
กว่าดอกรักจะเติบโตแข็งแรงไม่ใช่ง่ายๆนะยัยวา " 
คราวนี้ สีหน้าท่าทางของพี่เมี่ยงจริงๆจังๆมากวุ้ย(คะ) 

     พี่เมี่ยงคำ เดินเลี่ยงไปปิดก๊อกน้ำแล้ว
วางสายยางรดน้ำบนพื้นสนามหญ้าไว้อย่างงั้น
 วา ได้แต่นั่งฟัง ครุ่นคิดตาม

 " วา มาดูนี่ซิ เห็นอะไรไหม ? " 
พี่เมี่ยงชี้นิ้วให้วาดูอะไรบางสิ่งบางอย่าง
ที่วางบนโต๊ะตัวเตี้ยๆริมสนามหญ้าใต้ชายคา

" ก็เห็น..ต้นไม้เป็นกลากเกลื้อนมั้ง 
เห็นเป็นด่างๆดวงๆนี่นา สงสัยไม่ชอบอาบน้ำ 
เนอะ พี่เมี่ยงเนอะ "  ยิหวายังคงเฉไฉไปตามเรื่อง 

" นี่น่ะ เขาเรียกว่า พลูด่าง พี่นำมาปลูกในขวดโหลแก้วไง " 
พี่เมี่ยงพยายามใจเย็นกับยัยวา 
เขาพูดพลาง(แอบ)ส่ายหน้าด้วยความระอา
(ระอา ดีกว่า ระราน นะคะ อิอิ)

" ว่าไงนะคะ พลูด่าง เหรอ ? "
 คราวนี้ยัยวาทำสีหน้าเหมือนลิงที่โดนลูกมะพร้าวหล่นใส่หัว
 (ก็ มึนงุนงง ไงคะ อิอิ )

" อืม..นั่นแหละ พี่จะคุยให้ฟังนะ " 
พี่เมี่ยงคำพูดพลางก็ยกขวดโหลแก้วที่ใส่พลูด่าง
มาวางตรงหน้ายิหวา เพื่อให้เธอได้พินิจพิจารณาอะไรบางอย่าง

" พลูด่างในขวดโหลแก้วนี้น่ะนะ วา 
พี่เพียงแค่เอารากแช่น้ำ แล้ววางไว้ในที่ร่ม 
ให้โดนแดดโดนลมพอประมาณ 

แต่ต้นรัก หรือความรักของใครบางคน
หรือระหว่างคนสองคนนะวา
ต้องดูแล ห่วงใย เอาใจใส่
มากกว่าต้นไม้ที่วาจะปลูกอีกนะ เข้าใจไหม ? "

พลูด่างไม่มีวันตายถ้าไม่ขาดน้ำ 
แม้แต่ความรักยังต้องมีสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจให้เข้มแข็ง
 เชื่อมั่น เชื่อใจกันและกัน ห่วงใยกันตลอด

     วา ได้แต่นิ่งฟังพี่เมี่ยงคำพูด
 ตาก็จ้องมองต้นพลูด่างของพี่เมี่ยงที่เห็นรากขาวๆลอยปริ่มๆน้ำ

" แล้ววารู้ไหม ทำไมพลูด่างไม่ตายทั้งๆ
ที่ไม่มีดินให้รากชอนไช ? " 
พี่เมี่ยงตั้งคำถามปวดกะโหลกให้ยัยวาอีกแล้วซิ

" ไม่ทราบคะ "
 ไม่ต้องรอให้ถามย้ำอีกที ยิหวาคนดีตอบทันทีทันใด

" ตอบง่ายจังนะวา ไม่ทราบค๊ะ "
 พี่เมี่ยงคำดัดเสียงเล็กเสียงน้อยเลียนแบบยิหวา

" ที่พี่ถาม เพราะอยากให้วาหัดคิดตาม 
ไม่ใช่ฟัง แล้วค่ะๆๆ อย่างเดียว "

" ค่ะ เอ๊ย รู้แล้วน่ะ แต่วากำลังจะบอกว่า ไม่รู้ ไม่ทราบค่ะ "

" ไม่รู้ แล้วทำไมไม่ถาม " พี่เมี่ยงรุก 

" โดนอีกแระตู ทั้งขึ้นทั้งล่อง "
 เปล่าคะ ประโยคนี้วาไม่ได้พูดออกไป 
วาทำได้เพียงแค่คิดในใจ 
ขืนคิดนอกใจคำนี้ให้พี่เมี่ยงได้ยินล่ะก็เป็นเรื่องแน่  .
.แฮ่..แฮ่..

"  ที่พลูด่างไม่ตายทั้งๆที่ไม่มีดินให้รากชอนไช
 เป็นเพราะว่า พลูด่างหรือต้นไม้บางพันธ์
สามารถหยั่งรากได้ทั้งในน้ำและบนดิน " 
พี่เมี่ยงพยายามอธิบายด้วยความรุ้เท่าที่มี 

" อ่อ...ครึ่งบกครึ่งน้ำ.."
 วาเชิดหน้าตอบทำสู่รู้ว่าตัวเองก็ฉลาดเหมือนกัน แต่ผิดคาดคะ

" บ้าซิ วา ต้นไม้นะ
 ไม่ใช่สัตว์หรือกบหรืออึ่งอ่างที่จะได้กลายพันธ์เป็นครึ่งบกครั่งน้ำ 
แหมๆ เราน่ะ เหลือเกินจริงๆเลยน่ะ  
พี่เมี่ยงคำทำได้เพียง(แอบ)ส่ายหน้าอีกแล้วครับทั่น 
เป็นรอบที่ 2 อิอิ  
  ส่วนยัยหวา จ๋อยสนิท

" คืองี้นะวา พี่กำลังจะบอกว่า
 ต้นไม้บางชนิดอาจต้องมีรากไว้ยึดเหนี่ยวลำต้น  
แต่ความรักระหว่างคนสองคนน่ะ ต้องมีรากฐานของความเข้าใจกัน 
มีความเชื่อใจ เชื่อมั่นซึ่งกันและกัน "

" พอจะเข้าใจที่พี่พูดไหมเนี่ย..หือ..
 เราน่ะยิ่งเข้าใจอะไรยากๆอยู่ด้วยซิ " 
พี่เมี่ยงคำไม่ยอมเปิดโอกาสให้วาได้แสดงความฉลาดออกมาหนที่สอง  อิอิ

" รู้แล้วนะ แหมๆๆ...." ประโยคนี้ติดปากยัยวาเสมอๆ 
แต่ติดใจพี่เมี่ยง อิอิ เธอมักพูดเพื่อตัดบท หรือ 
เพื่อตัดความรำคาญนั่นเอง แฮ่..แฮ่..

 
"  อ่อ ..พี่ถามอะไรนิดซิ
 ทำไมจู่ๆอยากจะปลูกต้นม้งต้นไม้กะเขาล่ะ ? "
 พี่เมี่ยงทำสีหน้างุนงง เล็กน้อยถึงปานกลาง 
บวกกับความสงสัยที่กำลังแผ่ปกคลุมกระจายเป็นหย่อมๆ  5555

" ก็ไม่มีอะไรนี่นา วา แค่อยากปลูกอยากถามเฉยๆแหละ " 
ยัยวาตอบพลางทำหน้าแอ๊บแบ๊ว 
เอ หรือว่า แอ๊บบ๊องส์ ชักไม่แน่ใจคะ
 วันนี้เธอคงเขินจัด เลยยืนบิดตัวไปมาๆ เหมือนหอยทากโดนน้ำร้อนลวก 
น่ารักหรือน่าถีบ คิดเองเองคะ อิอิ

" เอ่อ... พี่เมี่ยงคะ ถ้า...ถ้าวาจะปลูกต้นรักจริงๆสักต้น 
พี่เมี่ยงจะช่วยวาดูแลรักษาต้นรักของเราไหมคะ ? " 
เอาละวุ้ย(คะ)ยัยวาเริ่มหวานแระ อิอิ

" สำหรับพี่เมี่ยงคนนี้นะวา 
พี่นะเตรียมกระถางเตรียมดิน
ไว้ตั้งแต่วายังไม่คิดที่จะปลูกต้นรักเลยนะ 

ตอนนั้นวาเพิ่งจะเริ่มปลูกอะไรก็ได้ที่โตง่าย ตายไว 
เอ๊ย ดูแลง่าย โตไว 
วามองเห็นเพียงแค่ต้นถั่วงอก  
ว่าแต่วาเถอะ เมื่อไหร่จะลงมือปลูกวสักทีละ หือ ว่าไง "

  วี๊ดดดดวิ้วววว....หวานจัด มดดำ มดแดง มดคันไฟ
ต่างพากันหนีความหวานพากันลงรูหมดแระ 555

" ไม่ใช่เพียงคำว่า พี่ หรือ แค่คำว่า วา 
แต่จะมีคำว่า เรา .

.เราสองคนจะหมั่นถนอมดูแลรักษาน้ำใจกันยามยาก 
ไม่ทอดทิ้งกัน ต้องเชื่อใจกันและกัน
 สองเราจะหมั่นรดน้ำพรวดดิน
ให้ต้นรักเจริญเติบโตเป็นลำต้นที่ใหญ่แข็งแรง
พร้อมที่จะออกดอกออกผลในวันข้างหน้
า วาทำได้ไหมละ ช่วยกัน "
 พี่เมี่ยงยังคงทำซึ้งๆ 555

" ค่ะ...พี่เมี่ยง " 

" งั้น วากลับก่อนนะคะ " 
วา รับปาก แต่ลุกลี้ลุกลนอย่างผิดสังเกตุ

" อ้าว วา ไปไหนทางนั้นน่ะ ประตูรั้วบ้านพี่อยู่ด้านนี้นะ " 
โห สงสัยยัยวาเขินจัด 55555

" อ้าวเหรอคะ โทษทีคะ วา เก๊าะ ..รีบออกไปซื้อ ต้นรักมาปลูกไงคะ "
 วา พูดจบก็รีบวิ่งจู๊ดดด ไม่เหลียวหลังอีกเลย  

 
                    จบเหอะ  ชักมีนๆเหมือนกัน 5555

             ..............................................................................

                         ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )

                     00384_42.jpg				
18 กันยายน 2551 14:28 น.

..นิทานโคมไฟ..

ฉางน้อย

00384_38.jpg" เป็นไรไปอีกเราน่ะ หือ ? เห็นทำหน้างอเหมือนตะขอสอยมะพร้าว " เมี่ยงคำเอ่ยทักยัยวาหลังจากได้เจอหน้ากันที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา

" พี่เมี่ยงแหละ ไม่ต้องมาทำพูดดี ก็วาโทรไปไม่ค่อยรับสาย ไม่ว่างเรื่อยเลย "วาพูดพลางทำหน้าเหมือนตูดอูฐอาหรับ 

" อ๊าววว ก็พี่มีงานยุ่งจริงๆ อย่าขี้น้อยใจหน่อยเลยน่ะ ยังไงพี่ก็โทรกลับหาวาอยุ่แล้วนี่นา จริงไหมล่ะ ยัยวาหน้าโคมไฟเอ๊ย " เมี่ยงคำแซว 

" อะไร ใครหน้าโคมไฟ เกี่ยวไรกะวาด้วย   เชอะ.." วายังคงทำปากดี

" อ้าว.. วาไม่เคยได้ยินนิทานเหรอ นิทานโคมไฟขี้น้อยใจไง "

" แต่จะมีใครอยากฟังนิทานโคมไฟหรือเปล่าไม่รุ้ เนอะวาเนอะ.." เมี่ยงคำเริ่มขุดหลุมอ่อยเหยื่อ อิอิ

" ทำไมเหรอพี่เมี่ยง ทำไมเจ้าโคมไฟต้องน้อยใจด้วยล่ะ  ? " ได้ผล วาตกลงไปในหลุมที่เจ้าเมี่ยงคำดักไว้ อิอิ

" อยากรู้ใช่ไหมล่ะเราน่ะ ..อืมม์.. พี่จะเล่าให้ฟังนะ แต่ต้องสัญญากับพี่ก่อนว่าจะไม่งอแง ไม่ขี้น้อยใจ ไม่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่...."

" โอ๊ยยย...ข้อห้ามของพี่เยอะจัง อะไรๆก็ไม่ๆๆๆ ..." ยิหวาโอดครวญอ้อนออดเหมือนมอดกัดไม้ หุหุ 

"จะฟังไหม นิทานโคมไฟน่ะ " นายเมี่ยงคำยื่นไม้หน้าสาม เอ๊ย ยื่นไม้ตาย

" ไป..เราไปนั่งที่เก้าอี้ใต้โคมไฟดวงนั้นดีกว่านะ มีแสงสว่างด้วย ยุงจะได้ไม่กัดเราน่ะ " พี่เมี่ยงคำของยัยวาละเอียดอ่อนเสมอแม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตาม

" พี่เมี่ยงเล่าซิ ทำไมโคมไฟต้องขี้น้อยใจด้วย " วารุกกะพี่เมี่ยง

" อ่อ ..เพิ่มสัญญาอีกข้อแล้วกัน พูดคะ..ขา..เป็นกะเขาบ้างไหมเราน่ะ เป็นผู้หญิงต้องหัดพูดให้เพราะๆรู้ไหม จะได้น่ารัก " เมี่ยงคำยังคงร่ายยาว 

" รู้แล้วน่ะ เอ๊ย ..รุ้แล้วค่ะ " วาจำต้องเปลี่ยนคำพูดเมื่อเห็นสายตาดุๆของพี่เมี่ยงมองมาอย่างจับผิด 

     วา พูดแล้วก็หันหน้าหนีทำไม่รุ้ไม่ชี้ เสมองบรรยากาศรอบๆตัว ภาพที่เห็น ดวงอาทิตย์เริ่มที่จะลับขอบฟ้า แต่วาเห็นเป็นภาพเจ้าดวงอาทิตย์ตัวดีกำลังเอาตูดหย่อนลงน้ำอย่างช้าๆ แค่คิดวาก็ขำในใจ 

โน่นอีก นกกากำลังบินกลับรัง นั่นเจ้านกตัวพ่อคาบถุงไก่ย่างเคเอฟซีไปฝากลูกน้อยที่รังด้วย แต่เจ้าแม่นกนั่นเล่าปากก็คาบขนมครกไปฝากเช่นกัน สงสัยยังอนุรักษ์ขนมไทยๆ อิอิ

     แม้ความมืดกำลังจะมาเยือน แต่ทว่าที่แห่งนี้ยังคงมีผู้คนชายหนุ่มหญิงสาวต่างก็มานั่งพักผ่อนเป็นกลุ่ม เป็นครอบครัว หรือไม่ก็นั่งเป็นคู่ๆ เช่น เธอกับพี่เมี่ยงคำยังไงล่ะ 

" วา เป็นไรอีก นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ " เมี่ยงคำเอียงหน้าถามยัยวา เมื่อเห็นวานั่งอมยิ้มอะไรแบบขำๆ

" เปล่าคะ อ่ะ เล่ามาๆคะว่าเรื่องราวของนิทานโคมไฟเป็นยังไง " วารุกเร้า

" วารู้ไหม ทำไมพี่บอกว่า วา ทำตัวเหมือนเจ้าโคมไฟ เพราะวาขี้น้อยใจ ขี้งอน ชอบว่าตัวเองว่าไม่เอาไหน ชอบคิดมาก "

      วา นั่งเงียบนิ่งเฉยๆไม่ยอมตอบหรือปฎิเสธ เพราะเธอก็รุ้ตัวดีว่า บางครั้งตัวเองก็เป็นแบบนั้นจริงๆ  แต่คนอย่างยัยวาเหรอ จะยอมรับอะไรง่ายๆ 

" พี่เมี่ยงอ่ะ วาจะฟังนิทานนะ มาวก เรื่องวาทำไมล่ะ แหมๆ "

" เอ้า..นิทาน ก็นิทานจ๊ะ ....

  .....นานมาแล้ว มีโคมไฟอยุ่ต้นหนึ่ง ยืนโดดเดี่ยวเดียวดายท่ามกลางสายลมแสงแดด เขาอยู่อย่างเหงาๆไร้ผู้คนทักทาย เขายืนอยุ่อย่างงั้น ทั้งวันทั้งคืน ไม่มีเพื่อนคุย เขาเหงา..เขาเศร้า.

..แต่แล้ววันหนึ่งมีคนยกเก้าอี้มาวางใต้โคมไฟดวงนั้น ทำให้เริ่มมีผู้คน ชายหนุ่มหญิงสาวเริ่มมานั่งพูดคุย เจ้าโคมไฟเริ่มมีเพื่อน ไม่เหงาอีกต่อไป  

แต่ทว่า.. แต่ทว่า อะไร วารุ้ไหม ทายซิ ? ... " พี่เมี่ยงหยุดเล่ากลางคัน พลางตั้งคำถามแก่ยิหวา 

" ทำไมเหรอพี่เมี่ยง โคมไฟเขารำคาญหรือคะ หรือว่า เบื่อ หรือว่า..ว๊า เดาไม่ออกคะ " วาเริ่มสนุกกับนิทานของพี่เมี่ยง

" ไม่หรอกวา ..โคมไฟแค่น้อยใจต่างหาก ..เขาจึงดับไฟให้มืดลงไม่ยอมให้แสงสว่างอีก.. " 

" อ้าว ..ทำไมทำแบบนั้นละ นิสัยไม่ดีเลยเนอะพี่เมี่ยงเนอะ เจ้าโคมไฟเนี๊ยะ ..."

" อืม..ใช่ เขานิสัยไม่ดี ขี้น้อยใจเหมือนใครบางคนที่นั่งข้างๆพี่ตอนนี้ไงล่ะ "

     ...บึ๊ก..เสียงทุบหลังอย่างแรง เกิดจากฝีมือยัยวาแน่นอน 

" โห ..วาน่ะมือหนักเป็นบ้า พี่แค่ล้อเล่นน่ะ " นายเมี่ยงคำโอดครวญ

" วาแค่เกาหลังให้เบาๆนะเนี่ยะ เห็นยุงมากัดหลังพี่น่ะ " วาเชิดหน้าลอยหน้าลอยตาทำไม่รุ้ไม่ชี้ตอบพี่เมี่ยง

  " เอ้า..ไหนวา ลองทายซิ เกิดอะไรขึ้นต่อไปกับโคมไฟดวงนั้น "  เมี่ยงคำให้วามีส่วนร่วมสนุกในการเล่านิทานในครั้งนี้

"  ไม่รู้ วาไม่ได้เป็นโคมไฟนี่ อิอิ " วาตอบพลางหัวเราะชอบใจ

" อ้าว..ก็วา ลองคิดซิ หากว่าที่ตรงนี้ ไฟดวงนั่นไม่ส่องแสงสว่าง วาจะนั่งไหมล่ะ "  พี่เมี่ยงพูดพลางก็ชี้นิ้วขึ้นไปยังโคมไฟที่ส่องแสงสว่างแก่พวกเขาทั้งสอง ไฟดวงนั้นสีเหลืองนวลตาชวนมอง 

" เรื่องอะไรจะนั่ง มืดจะตาย ยุงก็เยอะกว่านี้ด้วยแน่ๆ เนอะพี่เมี่ยง " วาตอบ พลางเหลียวมองบรรยากาศรอบตัวอีกครั้งหนึ่ง

"  ..อืม ..นั่นแหละ เมื่อไม่มีคนมานั่งที่เก้าอี้ใต้โคมไฟเพราะความมืด เก้าอี้จึงถูกยกไปวางที่อื่น ทำให้โคมไฟและบริเวณนั้นมีแต่ความมืด ความเงียบเหงาอีกครั้งหนึ่ง "

" แต่ก่อนไปนะ วา นะ  ..เก้าอี้ได้พูดกับโคมไฟว่า...

      " ...แม้ทุกคนที่มานั่งตรงนี้ อาจไม่ได้มานั่งดูแสงสวยๆจากโคมไฟ แม้แสงสว่างจากโคมไฟจะสวยสู้แสงจันทร์หรือแสงดาวไม่ได้  แต่ที่พวกเขาเหล่านั้นมานั่งตรงนี้ เพราะเขารู้ว่า ที่นี่มีเก้าอี้ให้นั่ง มีโคมไฟตั้งอยู่ให้แสงสว่าง...อย่างน้อยคนเขาก็มองเห็นความสำคัญของแสงสว่างจากโคมไฟมากกว่าความสวยงาม .."

 เจ้าโคมไฟได้ยินดังนั้น เริ่มได้คิด...

" วา รุ้ไหม โคมไฟดวงนั้นคิดอะไรอยู่ " เมี่ยงคำถามวา ขณะที่วาตั้งใจฟังอย่างจริงจัง

" วา ก็จะตอบว่า ไม่รุ้ซิ เพราะวา ไม่ได้เป็นโคมไฟ 555 "

" ยัยวาๆ ..เดี๋ยวโดนๆๆ ระวังให้ดีเหอะ .."

" เจ้าโคมไฟ เริ่มคิดได้ว่า ...ของแต่ละชิ้นในโลกนี้ เกิดมาเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองแตกต่างกันไป...ของทุกชิ้นต่างก็มีคุณค่าในตัวเองที่ต่างกันออกไป..เจ้าโคมไฟ คิดได้ดังนั้น ก็เปิดไฟให้แสงสว่างดังเดิม เก้าอี้ถูกยกกลับมาวางที่เดิมอีกครั้ง "

" โห ..เหนื่อยแย่ ยกกันไปยกกันมา เก้าอี้ไม่หนักเหรอคะพี่เมี่ยง " คำถาม(โง่ๆ)ออกจากปากยัยวา 

" อืม..พี่ก็ไม่รู้นะ เพราะพี่ไม่ได้ยกเก้าอี้ตัวนั้นนี่ 555 " เมี่ยงคำพูดจบก็หัวเราะด้วยความสะใจที่สามารถย้อนยัยวาได้สำเร็จ เอาคืนๆ อิอิ

" ไม่ต้องมาหัวเราะเยาะเค้าเลย เล่าต่อๆ"  วารู้ตัวว่าเดินเกมส์พลาดไปสำหรับหมากกระดานนี้ อิอิ ว่าไปนั่นยัยวา 

" อ้าว.. ก็ในเมื่อมีแสงสว่างจากโคมไฟ มีเก้าอี้ให้นั่ง ผู้คนก็กลับมานั่งที่เดิม เพื่อชมแสงจันทร์ แสงดาวอีกครั้งไง เจ้าโคมไฟก็ไม่เหงาอีกต่อไป "

" ที่สำคัญ โคมไฟดวงนั้นดูท่าทางมีความสุขกว่าทุกคืนที่ผ่านๆมา เพราะว่า เจ้าดวงจันทร์ดวงโตๆนั่นส่งยิ้มทักทายให้เจ้าโคมไฟด้วย ทั้งสองยิ้มให้แก่กันอย่างมีความสุข.."

 " ไงล่ะ นิทานโคมไฟของพี่เมี่ยงคำสนุกไหม หือ ?.." เมี่ยงถามวา หลังเล่านิทานจบลง

"  เชอะ..นิทานหลอกเด็ก " วาทำไม่สนใจ

" ก็เด็กอย่างใครบางคนอยากฟังนี่นา แหมๆ ฟังจบแล้วทำเรื่องมาก เดี๋ยวโดนๆ "

" สนุกซิคะ นิทานที่พี่เมี่ยงเล่ามาสนุก น่ารักดีด้วยคะ วาชอบฟัง"

" วา อยากน่ารักอย่างในนิทานไหมละ วาต้องเชื่อพี่นะ " เมี่ยงคำคุยต่อ เมื่อเห็นสายตาอยากรู้ อยากฟังของยิหวา 

 " วาต้องทำตัวดีๆ อย่างอแง อย่าเอาแต่ใจตัวเอง อย่าขี้น้อยใจ และที่สำคัญอย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่าไม่มีใครสนใจ วา อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ใครจะเป็นอย่างไรช่างเขา ตัวเราเองทำวันนี้ให้ดีที่สุด "

"  เข้าใจไหมน่ะ ที่บอก  วาต้องเป็นตัวของตัวเอง อย่าไปสนใจใคร เฮ้อ ..สอนไม่รุ้จักจำ ยัยวาน่าเบื่อ  สอนแล้วชอบเถียง "

 " วา คิดดูนะ แม้แต่พรมเช็ดเท้าหรือผ้าขี้ริ้ว ยังมีประโยชน์ใช้สอยเลย พี่บอกแล้วของต่างๆในโลกนี้มีค่าต่างกันในตัวของมันเอง วาเข้าใจนะ ที่พี่บอก " เมี่ยงคำพูดๆๆ โดยไม่กลัวว่าจะเหนื่อย

" เจ้าค๊า ..คุณพี่เมี่ยงคำเจ้าขา บ่นๆๆเป็นคนแก่ไปได้ อิอิ.." วาตอบรับเสียงยานคาง อย่างน้อยทำให้พี่เมี่ยงคำได้รับรู้ว่า วาก็ตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาสอน เขากล่าวแนะ

" เฮ้อ..ก็คนไม่แก่นี่ซิ ชอบทำเรื่องให้ว้าวุ่นใจตลอดนี่นา ไม่รู้ว่า พี่ต้องเล่านิทานให้วาฟังอีกสักกี่เรื่อง สักกี่ครั้ง หรืออีกนานแค่ไหน กว่าที่วาจะเข้าใจตัวเองกว่าที่วาจะเรียนรู้การใช้ชีวิตในสังคมต่อไป เฮ้อ..." เมี่ยงคำแกล้งบ่นพลางถอนหายใจยาว

   " ..ตลอดชีวิต .." สั้นๆ แต่มีความหมายลึกซึ้ง วาตอบโดยไม่ต้องรอให้พี่เมี่ยงคำถามรอบสอง ทำไม่รุ้ไม่ชี้อีกแล้ว อิอิ

    ความมืดรอบกายคนทั้งสองเริ่มแผ่เข้ามาครอบคลุม แต่รอบข้างยังมีผู้คนอยุ่บ้างแม้ไม่มากนัก แม้ความมืดจะเริ่มเข้ามาเยือน แต่ทว่าข้างในจิตใจของยิหวากลับมีแสงสว่างวิบวับเพราะคำสอนคำบอกกล่าวด้วยความปรารถนาดีจากพี่เมี่ยงคำของเธอ
  วารู้ เขาคนนี้ยืนเคียงข้างวาเสมอมา เป็นกำลังใจที่ดีตลอดมา อย่างน้อยวาก็มีความสุข สุขที่ได้ฟังเรื่องเล่า นิทานต่างๆของพี่เมี่ยง สุขที่ได้นั่งเคียงข้างพี่เมี่ยงของเธอ สุขที่ได้ต่อปากต่อล้อต่อเถียงกับพี่เมี่ยง ...

  ใช่แล้วคะพี่เมี่ยง ต่างคนต่างมีคุณค่าความงามที่แตกต่างกัน ต่อไปวาจะไม่ขี้น้อยใจแล้วน๊า จะไม่เอาแต่ใจตัวเองด้วย จะไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นอีกแล้วคะ 
อย่างน้อยวา ก็ได้รู้ว่ายิหวาคนนี้ยังเป็นคนดี ที่น่ารักอยู่ในใจพี่เมี่ยง วาก็พอใจแล้วคะ อิอิ  ขอบคุณๆ ที่ยังเคียงข้างและสัญญาว่าจะเดินไปด้วยกันคะ

                     ................................................................

                         ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น ) 				
9 กันยายน 2551 01:52 น.

เรื่องนี้ ผิดที่ใคร

ฉางน้อย

เช้าวันอาทิตย์ อากาศแจ่มใสพวกเราสามคนพี่น้องมีความตั้งใจจะไปปล่อยนกปล่อยปลาที่วัดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

เจ่เจ๊พี่คนโตขับรถไปเอง โดยมีเฮียสืบนั่งเสนอหน้าเป็นตุ๊กตาหน้ารถ 

ส่วนหมวยเล็กนั่งกินขนมอย่างสบายอารมณ์ที่เบาะหลังเพียงคนเดียว

จนเฮียสืบทนไม่ได้ ว่าน้องนุ่ง นิ่งเป็นหลับ ขยับเป็นแหลก  อิอิ

เอาล่ะคะ รถมาจอดเทียบริมฟุตบาธ 

"  เจ๊ๆ หมวยเล็กปวดฉิ๊งฉ่องอ่ะ ห้องน้ำไปทางไหน หู๊ย ปวดเฉ่น๊า บอกเร็วๆ "

หมวยเล็กหาเรื่องให้เจ่เจ๊ปวดหัวเล่นอีกแล้วคะ อิอิ

" เดินตรงไป เลี้ยวซ้าย 500 เมตรนะ ไปทางขวาอีก 350 เมตร เดินวกเข้าไปข้างในอีกราวๆหนึ่งป้ายรถเมล์ แล้วเจอใครก็ถามเขาวา  พี่ๆ ห้องน้ำไปทางไหนอ่ะ 5555  " เจ่เจ๊ พูดแนะนำแบบหน้าตาซื่อๆมากเลยคะ  ฝากไว้ก่องน๊า

"  พอเลยๆ เจ๊ไม่ต้องแระ หมวยเล็กไปนั่งยองๆริมคลองยังจะเร็วกว่าอีกนะเนี่ยะ   ไปถามเองก็ได้ ไม่ง้อหร๊อก "

 หมวยเล็กพูดจบ ก็วิ่งจู๊ดออกไปอย่างไว  5555 สงสัยปวดมาก  อิอิ

ทางด้านฝ่ายเจ่เจ๊อยู่กับเฮียสืบสองคน เป็นเรื่องคะ ......

เจ่เจ๊   " ตี๋น้อย เดี๋ยวเจ๊จะถอยรถนะ ช่วยดูหลังให้หน่อย "

" ฮ่อๆ .. ล่ายๆ หังหลังมา อั๊วลูให้ " เฮียสืบรีบรับปากมั่นเหมาะ

" บ้าซิ เจ๊บอกว่า ให้ช่วยดูทางให้หน่อย ไม่ใช่ให้มาดูหลังชั้นเว้ย .. "  เจ๊ พูดพลางเท้าสะเอว ปากก็แว๊ดๆๆ 

" ฮ่อ.. เข้าใจเลี้ยวๆ คิกว่า ลูหลังเจ๊ดิ  "  เฮียสืบพูดพลางเกาหัวแกรกๆอย่างไม่เกรงใจว่า รังแคจะร่วงหล่นมาหรือไม่ อิอิ

      เจ่เจ๊ย้ำบอก ดูหลังดีๆละ ว่าแล้วเจ๊ก็สตาร์ทรถเดินหน้า ถอยหลังอย่างผู้ชำนาญการซะเต็มประดา(น้ำ)

"  เอ้า..โถยมาๆ โถยมาอีกนิก ๆ อีกโหน่ยๆ  พอเลี้ยวๆ ม่ายต้องโถยเลี้ยว พอๆๆ  "

"  เอาไงแน่ฟ่ะ ถอย หรือ  ให้เลี้ยว งง เฟ้ย  "  เจ๊เริ่มบ่นนิดๆ

"  พอๆ ไม่ต้องโถย แต่ ห่าง  มา ห่างมา ลาวัง ห่าง น่อ  " เฮียสืบของเรายังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม  อิอิ

" อะไรนะ ยังห่าง ไปอีกเหรอ  ต้องถอยหลังอีกเหรอฟร่ะ "  เจ๊เราบ่นไปตามประสา ปากก็บ่นๆ  แต่เจ๊ก็ถอยหลังซะเต็มที่ ปรื๊ด พร้อมๆกับเสียงป๊าบบ ตามด้วยเสียงแปร่ดดดดด

เฮียสืบตาเหลือกทันทีกับภาพที่เห็นตรงหน้า 

"  ไอ๊หย๋า ..มังซี้แหล่ว มังซี้แหง๋แก๋เลี้ยว อั๋วบอกว่า ห่างๆ ห่างมาๆๆ "

"  อะไร เป็นอะไร ร้องโวยวายไปได้  ก็ถอยแล้วไง  "  เจ่เจ๊พูดพลางเดินลงจากรถ เพื่อดูผลงานการถอยรถอันน่าภาคภูมิใจของตนเอง 

พลันสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นเหยื่อโชเฟอร์ตีนผีตัวน้อยนอนใต้ล้อรถของเธอ

เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายรายนี้ เป็น .. ห่าน .. ค่ะ  เจ้าห่านตัวน้อยนอนตายตาเหลือก ขี้แตกขี้แตนอยู่กับพื้นริมฟุตบาธ

"  ว๊าย ตายแล้ว  ก็ไหนบอกว่า ห่างๆๆ ไง  เจ๊ก็ถอยเต็มที่ซิ  ทำไม ไม่บอกว่า มีห่านมา "

"   อั๊วก็บอกเลี้ยว ว่า ห่างมาๆๆ  ห่างๆๆ "เฮียสืบยืนยันคำเดิม ว่า ห่างมาๆๆ 

"   ก็เพราะลื้อบอกว่า ห่างๆ น่ะซิ ใครจะไปคิดว่า ห่านที่ว่ายน้ำ  "

"  แต่อั๊วก็บอกลื้อนา ว่า ห่าง ห่างมาๆๆ "   เฮียสืบก็ไม่ยอมแพ้ อิอิ 

"   เออ.. ห่าง ก็ ห่าง ฟระ "   เจ่เจ๊กุมขมับ เมื่อถึงบางอ้อ  อิอิ 

"  สงสัยนอกจากปล่อยนก ปล่อยปลาแล้วคงต้องหาซื้อ ห่าง เอ๊ย ซื้อห่านไปปล่อยด้วยอีกสักตัวอีกละมั้ง เวงกำ จริงๆ "     เจ่เจ๊ บ่น ไม่เลิก หุหุ

"  เย้ๆๆ หมวยเล็กจะซื้อ ห่าง เอ๊ย ห่านไปปล่อย เนอะ เฮียเนอะ  กรวดน้ำอุทิศแผ่ส่วนบุญให้ตัวเมื่อกี้อ่ะ  . ป่ะๆ ไปซื้อ ห่าง กัง ..."  หมวยเล็กพูดจบก็วิ่งจู๊ดนำหน้าคนทั้งสอง เพราะต้องการหลบฝ่าเท้าอรหันต์ของเฮียสืบ อีกทั้งหลบฝ่ามือพิฆาตของเจ๊ด้วย   

        จบดีกว่า คะ ง่วงนอนแระ  555  อย่าฝันถึง  ห่าง กันนะคะ อิอิ 

ปล. คุณผู้อ่าน อ่านแล้วคิดว่า เรื่องนี้ผิดที่ใครคะ อิอิ  อ่านกันเล่นๆค่ะ				
6 กันยายน 2551 22:49 น.

ใครบางคน..ที่หายไป

ฉางน้อย

00384_36.jpgคุณเคยรู้จักใครสักคนไหม ?...

ใครบางคน...ที่บางครั้งทำตัวเหมือนเพื่อนหยอกล้อพูดคุยกัน

แต่ในบางเวลา..ชอบทำสายตาดุ ชี้แนะสิ่งถูกผิด..ราวกับพี่ชายที่แสนดี

ใครสักคน...ที่เคยฝันพร้อมฉัน...นอนดูดาวด้วยกัน...ใต้แสงจันทร์สว่างใส

หลากหลายเรื่องราว...ที่เราสองร่วมคิดร่วมฝัน.

ใครสักคน...ที่เราได้พูดคุยเรื่องไร้สาระ...บ้าๆบอๆด้วยกันมา 

ใครบางคน...เคยคุยกับฉันว่า...เขาเบื่อ...เบื่อที่ต้องอยู่ในกรอบ...

เบื่อที่ต้องอยู่ในกฎระเบียบที่วางไว้ ...เขาเลยลองออกมานอกกรอบดูบ้าง

ใครบางคน...ที่บ่นๆว่าเบื่อๆ...เบื่อที่ต้องมีชีวิตที่ซ้ำๆซากๆจำเจๆทุกวันๆ

ใครบางคน...ที่บ่นว่า เหนื่อย...ท้อ...ในเรื่องราวหลากหลาย...ที่ผ่านเข้ามา

ฉันคนนี้...ทำได้แค่...เป็นผู้รับฟัง...และนั่งอยู่เคียงข้าง...ยามเขาท้อ

ฉันคนนี้...อาจเป็นผู้รับฟังที่ดี...แต่ไม่ใช่ผู้ที่แก้ปัญหาได้ดีนัก

       แต่แล้ว...ณ.ช่วงเวลาหนึ่ง...ใครคนนั้นของฉัน..

ได้ห่างหายไปตามกาลเวลา...ไม่ได้เข้ามาทักทาย...พูดคุยเหมือนเก่า

อย่าเลยนะ...อย่าให้สองเรา...กลายเป็นคนแปลกหน้า...ของกันและกันเลย

     วันนี้...ใครคนนั้นของฉัน...อยุ่ที่ไหน...ทำอะไรอยู่... ?

เขาจะคิดถึงฉัน...เหมือนอย่างที่...เราเคยคิดถึงกันไหมหนา ?

     ใครคนนั้นของฉัน...เราไม่ได้เจอกันนาน...เท่าไหร่แล้ว

นานแค่ไหน...ที่ไม่ได้พูดคุย...หยอกล้อด้วยกัน

นานแค่ไหน...ที่เขา..ไม่ได้นั่งกินข้าวพร้อมฉัน 

นานแค่ไหน...ที่เราไม่ได้เดินดูหนังสือด้วยกัน

นานแค่ไหน...ที่เราไม่ได้สานสายใยสัมพันธ์..ความฝันนั่น

       จะให้ฉันรออีกนานไหม...อะไรที่เปลี่ยนไป

ใจเขา...เปลี่ยนไป...หรือ...อะไร...ที่เปลี่ยนแปลง

สังคมรอบกายเขา...เปลี่ยนไป...หรือ...หัวใจใครกัน...ที่เปลี่ยนแปลง

หรือว่า...ความสัมพันธ์ของเรา...เริ่มเก่าลง

       ตกลงว่า...เขาเปลี่ยนไป...หรือ..ใครกันแน่...ที่เปลี่ยนแปลง  

ฉันอยากถามเขา...ว่าเราสอง...ยังเหมือนเดิมไหม ?

ใจฉัน...จะเป็นอย่างไร...หากใจเขา...นั้นเปลี่ยนไป

      แล้วเขาล่ะ...อยากถามฉันบ้างไหม...ว่าฉันยังเหมือนเดิมหรือเปล่า

หรือว่า...ใจฉันเปลี่ยนแปลง...ไปบ้างไหมหนา

      ถามซิ...ฉันอยากตอบ...ฉันชอบ...ให้เขาถาม...

ฉันอยากเผย...เอ่ยความ...หลากหลายคำถาม...ที่เกิดขึ้นในใจ

อะไรกันแน่...ที่ทำให้เขาห่างหาย...ลางเลือน...เหมือนตายจากกัน

     บางครั้ง...ฉันอยากคิดว่า..."  ช่างเขาซิ...ช่างเขา...เราไม่เกี่ยว "

แต่ใจฉัน...ไม่เด็ดเดี่ยวพอ

ฉันไม่อยากให้เธออ้างว้าง

ไม่อยากให้เธอ...เป็น " คนไร้ร่าง " อีกต่อไป 

เขา...ยังมีฉัน...เป็นกำลังใจ

แล้วใคร...จะเป็นกำลังใจ...ให้ฉัน

อยากจะขอ...กำลังใจ...ให้กันและกัน

      มาเถอะ...คนไร้ร่าง ...ของฉัน

      มาสานสัมพันธ์...มาสานฝันด้วยกัน...ในวัน...ของสองเรา

          ..........    ..........     ..........     ..........     ..........

                    ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น ) 

00384_19.gif				
4 กันยายน 2551 01:23 น.

..นิทานหิ่งห้อยตัวน้อย..

ฉางน้อย

00472_0.jpg  " พี่เมี่ยง...ว่าไงคะ วันอาทิตย์นี้ว่างป่าว วาจะฟังนิทานหิ่งห้อยแล้วนะ รอมา 10 ชาติแล้วนะเนี่ยะ " เสียงวายังคงบ่นๆผ่านสายโทรศัพท์อีกแล้ว 

" ว่างซิ พี่ว่างกับวาเสมอแหละ พี่สัญญากับวาแล้วนี่น่า ว่าจะเล่านิทานหิ่งห้อยให้ฟัง โอเคนะ ที่เก่าเวลาเดิมจ้า .." เสียงพี่เมี่ยงตอบกลับมา ทำให้วาใจชื้นขึ้นมานิดนึง

  คราวนี้แหละยัยวาเอ๋ย นิทานหิ่งห้อยที่รอคอย จะสนุกดั่งคำคุยสักแค่ไหนเชียว พี่เมี่ยงหนอพี่เมี่ยง 

     ณ.ที่เก่าเวลาเดิมของเขาและเธอ ชายหนุ่มนามว่าเมี่ยงคำ ตัวก็ไม่ดำเหมือนเมี่ยง กะหญิงสาวนามน่ารัก น่าหยิก ..น่าเหยียบ ที่ชื่อยิหวา หรือ วา .. อิอิ แหวะๆ แบร่ๆ

 หลังจากวาช่วยถือของกินเล่นจากชายหนุ่มแล้ว ทั้งสองก็เดินหาที่นั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ม้านั่งคู่ ใกล้ๆต้นลำพูตันสุดท้ายในกรุงเทพฯ 

 ใช่แล้ว..ทั้งสองมานั่งเล่นพักผ่อนที่ สวนสันติชัยปราการอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ชายหนุ่มรับปากกับยิหวา ว่าจะเล่านิทานใต้แสงจันทร์ ตอน เรื่องของหิ่งห้อย ให้เธอฟัง 

 การมาพักผ่อนในครั้งนี้ ดูเหมือนวาจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ 

" ว่าไง พี่เมี่ยง หิ่งห้อยมีที่มายังไงคะ " วา เริ่มรุกเอากับพี่เมี่ยงของเธอ ด้วยความอยากรู้ อยากได้ยินเรื่องราวของหิ่งห้อย

 
"  อืม..รู้แล้ว ตั้งใจฟังดีๆ อย่ากวน อย่าซน อย่างอแง เข้าใจไหม " ชายหนุ่มเริ่มกระเซ้าเย้าแหย่ ยัยวา 

"  รู้แล้วน่ะ ทำเป็นบ่นยังไม่แก่สักหน่อย " 

" ก็อยากแก่เร็วๆนี่นา ได้ข่าวว่ามีใครบางคนแถวนี้ ชอบคนแก่นี่นา 555 "

    วา หันมองหน้าพี่เมี่ยงตาเขียวมีผลทำให้ชายหนุ่มหยุดคำพูดนั้นในทันที...

    "     กาลครั้งหนึ่งนานแค่ไหนพี่ไม่รู้นะวา หิ่งห้อยตัวน้อยกับต้นลำพูเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กจนโตมาด้วยกัน  อ่อ ..พี่ลืมบอกไปจ๊ะ ว่า หิ่งห้อยแทนสัญลักษณ์ของผู้หญิง ส่วนต้นลำพูแทนสัญลักษณ์ของผู้ชาย

    ทั้งหิ่งห้อยและเจ้าลำพูต่างเติบโตมาด้วยกัน ความน่ารัก ขี้เล่น เป็นกันเองของหิ่งห้อยนั้นทำให้ลำพูแอบชื่นชมหิ่งห้อยอยู่ในใจ

 ความสนิทสนมของพวกเขาทั้งสอง ต่างซึมซับความรู้สึกที่ดีๆให้แก่กันทีละนิดๆ

ส่วนเจ้าหิ่งห้อยตัวน้อยๆนั้น ก็รับรุ้สัมผัสความอ่อนโยน อ่อนไหวที่มีในใจของเจ้าหนุ่มลำพู...."

    "   แต่แล้ววันหนึ่งนะวา ...วันหนึ่ง..แค่ก..แค่ก.. เฮ้อ..วา พี่คอแห้งจัง หิวน้ำน่ะ หาน้ำให้พี่กินก่อนซิ " 

"  โห .. เล่าให้จบก่อน วากำลังอยากฟัง เล่ามาๆๆ " วาเริ่มเคืองนิดๆ เพราะเธอกำลังใจจดใจจ่อรอฟังนิทานที่เธอรอมานานแสนนาน

" กินน้ำก่อนไม่ได้หรือไง พี่เจ็บคอนะ จะฟังต่อไหม "  พี่เมี่ยงยื่นไม้ตายกับวา เขาถามพร้อมกับทำสายตาเจ้าเล่ห์

"  ฟังๆๆ อ่ะๆ นี่ๆ พี่เมี่ยง น้ำอยุ่นี่คะ เดี๋ยววาหยิบให้ "  วาเอาใจเต็มที่ มือก็ควานหาขวดน้ำโพลาริสในกระเป๋าเป้ของเธอส่งให้พี่เมี่ยงแต่โดยดี นั่นทำให้ชายหนุ่มแอบยิ้มขำๆ 

        " แต่แล้ววันหนึ่ง วากับพี่ เอ๊ย หิ่งห้อยกับต้นลำพูทะเลาะกันอย่างรุนแรง หิ่งห้อยเข้าใจผิด คิดว่าต้นลำพูเปลี่ยนใจไปรักแม่สาวโกงกาง  "

     หิ่งห้อยตัวน้อยๆร้องไห้เสียใจมากมาย เธอบินหนีจากทั้งสองมา เธอแอบซุกตัวร้องไห้ในพงหญ้า จนกระทั่งมืดดึกดื่น เธอหาทางกลับบ้านไม่เจอ เธอแหงนมองไปบนฟ้า พบเจ้าดวงจันทร์ดวงโตๆแสงสีนวลสวยสว่างตา 
เธออยากมีแสงสว่างแบบนั้นบ้าง จึงพยายามบินติดตามหาดวงจันทร์ดวงนั้นไปเรื่อยๆ จากคืนเป็นวัน จากวันเป็นหลายวัน หลายคืน กลายเป็นเดือน เธอเริ่มได้คิดว่า จงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ อย่าไปไขว่คว้า ในสิ่งที่ตัวเองคว้าไม่ถึง " พี่เมี่ยงกำลังจะเล่าต่อ วาสะกิดแขนยิกๆ 

 "  พี่เมี่ยง วาถามไรนิดดิ นิ๊ดดดเดียวจริงๆ " วาพูดพลางทำมือประกอบ โดยเอาหัวแม่โป้งชนกับปลายนิ้วก้อย เพื่อยืนยันว่า นิ๊ดดดเดียวจริงๆ อิอิ 

"  อืม.ว่ามา มีอะไรสงสัย ถามได้ " พี่เมี่ยงคำนั่งเต๊ะท่า วางมาดน่าผลักตกเก้าอี้ หุหุ

"  อะไร คือ กุงเกง ล่ะพี่เมี่ยง " วา ถามแทรกขึ้นมาด้วยความสงสัย

" โกงกาง จ๊ะ ไม่ใช่ กุงเกงของวาหรอก โกงกางเป็นต้นไม้ใหญ่รากเยอะแยะ ที่มักขึ้นคู่กันกับต้นลำพูเสมอๆน่ะ แต่ก็ไม่เสมอไปหรอกนะ วา  " ชายหนุ่มตอบข้อสงสัยของวา 

" อ่อ ..ค่ะ เล่าต่อคะ กำลังน่าสนใจ " 

" กินขนมกันก่อนไหม กินน้ำด้วย เริ่มคอแห้งอีกแล้วซิ วาป้อนน้ำ ป้อนขนมให้พี่ด้วยซิ " มุกเดิมโดนยิงมาอีกหนึ่งหมัด แต่วารุ้ทัน

" โห ..พี่เมี่ยง ไม่ต้องเลยๆ ทีเมื่อกี้ทำไมกินเองได้ ทีงี้ละ แหมๆ ต้องให้ป้อน " 

"  วาไม่ฟังใช่ไหม งั้น ฟังต่ออาทิตย์หน้าแล้วกัน เนอะ ดีไหมเนี่ยะ หือ "

" อ่ะๆ..ก็ได้ๆๆ จำใจป้อนนะเนี่ยะ ฮึ.." วามองค้อนตาปะหลับปะเหลือก ดีนะที่ชายหนุ่มไม่ส่งตะปูให้ 

 " พี่เมี่ยงๆ แล้วลำพู เขาไม่คิดถึงวา เอ๊ย ไม่คิดถึงหิ่งห้อยบ้างหรือคะ " 

" อย่าเพิ่งแทรกซิ ผู้ใหญ่กำลังจะเล่าต่อเนี่ยะ เด็กๆอย่าเพิ่งแทรก "

"  อ่อ ค่ะ.. วา คิดว่า เป็นกำนัน .." วา ก็ได้แค่พึมพัมๆกับตัวเอง แต่จงใจให้ชายหนุ่มได้ยินด้วย อิอิ 

  " โอเคจ๊ะ พี่อิ่มแล้วละ ฟังต่อนะ ...ส่วนเจ้าต้นลำพูนั้นมีทั้งความรัก ความคิดถึงเจ้าหิ่งห้อยตัวน้อยๆของเขาอย่างที่สุด แต่เขาก็ไม่สามารถออกเดินทางติดตามหาเธอได้ เพราะสาวเจ้านามว่า โกงกางนั้นได้แผ่รากขยายยึดต้นลำพูไว้อย่างเหนียวแน่นด้วยความรักที่เธอมีต่อต้นลำพูเช่นกัน "

" โห..ต้นโกงกางจอมขี้โกง เค้าไม่รักตัว ยังจะไปแย่งของคนอื่นมาอีก เนอะพี่เมี่ยง เนอะ "  วา อดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นมา

"  ถ้าเป็นวานะ หากว่าเขาไม่รักวา วาก็จะไม่ไปยุ่ง ไม่ไปสนใจเขาเลย วาจะหนีสุดชีวิตแหละ ไม่ทำเหมือนโกงกางหรอก วาอาจยึดตัวเขาไว้ได้ แต่ถ้าหัวใจเขาไปอยู่กับคนอื่น ทั้งวา ทั้งเขาคงไม่มีความสุขหรอก จริงไหมคะ "  วาพูดด้วยสีหน้าและท่าทางที่จริงจังมาก

"  แหม..เรานี่ พูดดีๆ มีเหตุผลเหมือนคนอื่นเขาก็เป็นหรือนี่ เก่งแฮะ.."

"  เอ๋อ..พี่คะ พี่ด่าหรือชม วา ล่ะคะ ฟังหิ่งห้อยต่อ เร็วๆ อย่านอกเรื่องคะ "

 " จ๊ะๆ ..เล่าต่อก็ได้จ๊ะ.. สาวโกงกางนั้น รู้ทั้งรู้ว่า หนุ่มลำพู ไม่เคยมีความรัก  ไม่เคยมีใจให้เธอเลยสักนิด แต่เธอก็ไม่ยอมให้ลำพูออกติดตามหาหิ่งห้อย เธอยังคงดื้อดึงแผ่รากขยายเกาะต้นลำพูออกไปทุกทีๆ

 จนในที่สุด ลำพูไม่สามารถขยับไปไหนได้ เขาทำได้เพียงยืนต้นอยู่อย่างงั้น พร้อมกับร่ำร้องอธิษฐานในใจให้หิ่งห้อยกลับมาหาเขาไวๆ

     เหมือนหิ่งห้อยตัวน้อยจะรับรู้สื่อสัมผัสทางใจที่ลำพูส่งถึงเธอ เธอเริ่มสำนึกผิด เริ่มคิดถึงต้นลำพู เธอเริ่มออกเดินทางกลับไปหาต้นลำพู เธอบินๆๆๆ แล้วก็บินเพื่อหวังพบหน้าลำพูยอดรักของเธอโดยเร็วไวที่สุด 

แต่เรี่ยวแรง กำลังที่เคยมีอยู่ในตัวเธอเริ่มหมด แสงสว่างที่เคยเจิดจ้าส่องนำทางให้เธอเริ่มอ่อนล้า เธอเริ่มกระพริบแสงในตัวเองได้ช้าลงๆๆ

     แต่ในที่สุด หิ่งห้อยตัวน้อยกลับมาสู่อ้อมกอดของต้นลำพูได้สำเร็จ แต่การกลับมาของเธอในครั้งนี้ เธอกลับมาพร้อมกับหัวใจที่บอบช้ำ เธอกลับมาพร้อมกับร่างกายที่อ่อนล้า และ ที่สำคัญ ..หิ่งห้อย เธอไม่สามารถส่องแสงสว่างได้เป็นระยะเวลานานๆ ได้เหมือนดั่งเดิมอีกแล้ว
 เธอทำได้แค่ส่องแสงกระพริบๆเป็นระยะสั้นๆแค่นั้นเอง และเธอก็บินไปไหน ไม่ได้ไกลๆเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว เธอทำได้แค่ เกาะต้นลำพูนิ่งๆอยุ่อย่างนั้น นั่นเอง ...เหมือนเป็นสัญญาว่า ต่อไปนี้ หิ่งห้อยจะไม่หนีไปไหนอีก ทั้งหิ่งห้อยกับต้นลำพูจะเคียงคู่อยุ่ด้วยกันตลอดไปชั่วนิจนิรันดร์...."

    " ไงล่ะวา..นิทานหิ่งห้อยของพี่ เศร้าไหม หือ..? " ชายหนุ่มถาม เมื่อเห็นว่า วายังคงนั่งนิ่งๆ ฟังเงียบๆ เหมือนครุ่นคิดอะไรในใจ

" ค่ะ พี่เมี่ยง เศร้าจัง วาสงสารหิ่งห้อยตัวนั้นจังค่ะพี่เมี่ยง "  วาพูดพลางเขย่าแขนชายหนุ่มด้วยความลืมตัว 

"  น่า.. คิดมากไปได้ ก็แค่นิทานของพี่เมี่ยงคำไงจ๊ะ " พี่เมี่ยงคำ พูดพลางจับหัววาโขก เอ๊ย โยกไปมาเบาๆด้วยความเอ็นดู

" อืม.. เพิ่งรุ้นะเนี่ยะ คนอย่างวา จะอ่อนไหว อ่อนโยนเหมือนคนอื่นเขาด้วย " ชายหนุ่มเริ่มแซวเพื่อดึงบรรยากาศเดิมๆกลับมา

" อ๊าววว.. วา ก็เป็นคนนี่นา ไม่ใช่แมวน๊า "  ได้ผลแฮะ ชายหนุ่มคิดในใจ วาคนเดิมกลับมาแล้ว อิอิ

   " พี่เมียง วาอยากเป็นหิ่งห้อยจัง ให้พี่เป็นต้นลำพูดีไหม วาจะได้อยู่คู่กับพี่ตลอดไป " วาพูดเปรยๆเสียงแผ่วเบา แต่ทำให้คู่สนทนาสะดุ้งพรวดแทบสำลักน้ำที่เขากำลังยกขึ้นดื่ม 

" อะไรนะ..วาอยากเป็นหิ่งห้อย ไม่ดีหรอกวา พี่ไม่อยากให้วาเป็นหิ่งห้อยนะ เพราะหิ่งห้อยมีอายุขัยแค่ 2 เดือนเองนะ หรือว่า วาไม่อยากอยู่กับพี่นานๆล่ะ " ชายหนุ่มเริ่มจริงจังขึ้นมาบ้าง อิอิ

" เปล่านะคะ วาอยากอยู่กับพี่นานๆ แต่วา แค่เห็นว่าหิ่งห้อยน่ารักดีน่ะค่ะ  งั้นวาไม่อยากเป็นหิ่งห้อยก็ได้ค่ะ "

" แล้ววาอยากเป็นอะไรล่ะจ๊ะ ? " หนุ่มเมี่ยงคำย้อนถาม

" ให้วาเป็นอะไรก็ได้ ที่อยุ่คู่กับพี่ตลอดไป " ( นั่นละ คำหวานๆของวาเค้าล่ะ อิอิ )

" จ้า..ทำปากหวานนัก สักวันจะโดน ทีงี้ทำปากดีนะ อย่าเผลอล่ะ " 

" โดนอะไร ..ไม่เห็นกลัว อย่าทำขู่ซะให้ยาก..เชอะ "  วาพูดพลางทำหน้าเขียว เอ๊ย ตาเขียว เชิดหน้าใส่พี่เมี่ยงคำ อิอิ

 
" วาไม่เป็นหิ่งห้อยน่ะดีแล้ว พี่กลัววาไม่อิ่ม เพราะอะไรรู้ไหม ? "

" ทำไมคะพี่เมี่ยง เพราะอะไรคะ ? "

"  เพราะหิ่งห้อยกินแต่น้ำค้างที่เกาะบนใบไม้ที่ต้นลำพูน่ะซิ วากินจุนี่นา 55555..."

" ก็ตัวเองแหละ ชอบตักกับข้าวมาใส่จานเค้าเยอะๆนี่ แล้วจะมาบังคับทำไมให้เค้ากินเยอะๆทำไมล่ะ รุ้อยู่ เค้าอิ่มนี่.."

 เสียงของทั้งสองคนยังโต้เถียงกันยังไม่หยุด ทำให้นกเอี้ยงแถวนั้นรำคาญ แต่วันนี้ไม่มียกพวกตีกัน มีแต่เขม่นกันเฉยๆ 555555 บ้างก็พกหนังกะติ๊ก บ้างก็เหน็บมีดสปาต้าที่เอว บ้างก็มีปืนปากกาซุกข้างหลัง 5555(นกเอี้ยงเหล่านี้มาจากภาคที1สวนขวัญ สันติชัยปราการ อิอิ )

 " อ่อ พี่ลืมบอกไปว่า หิ่งห้อยที่เกาะบนต้นลำพูส่วนมากเป็นหิ่งห้อยตัวเมียนะ จะมีช่วงท้องแค่ปล้องเดียว กระพริบแสงได้ระยะสั้นๆถี่ๆ ส่วนตัวที่บินได้ไกลๆน่ะ เป็นตัวผู้ จะมีลำตัวช่วงท้องแค่สองปล้อง กระพริบแสงได้ยาวๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากตัวเมียจ๊ะ หากตัวเมียมีไมตรีที่ดีให้ ก็จะกระพริบแสงตอบ เข้าใจยังเนี่ยะ ที่พูดมาน่ะ "

"  โห ..พี่เมี่ยงรุ้เรื่องราวเยอะแยะจัง วาอยากเห็นหิ่งห้อยตอนคืนเดือนมืดจัง คงกระพริบๆระยิบระยับไปหมด เนอะ .." 

" อืม..ไว้สักวัน พี่จะพาวาไปเที่ยวริมคลองนะ มีหิ่งห้อยเยอะแยะไปหมด นับแสนๆตัว แถวอัมพวาน่ะ อยากไปไหมล่ะ  แต่ต้องไปดูตอนเดือนมืดนะ จะเห็นแสงไฟจากหิ่งห้อยได้ถนัดๆ ไว้รอให้พี่เคลียร์งานให้เรียบร้อยก่อนนะ ว่างจะพาไป"  

" เย้... พี่เมี่ยงใจดีที่สุดในโลกเล๊ยยย...จริงๆนะคะ ห้ามผิดสัญญาอีกน๊า ห้ามให้วารอนานด้วย "  วาพูดด้วยเสียงอันดัง พร้อมกับเขย่าแขนพี่เมียงคำผู้ใจดีของเธอแรงๆสองสามครั้งด้วยความลืมตัว 

"  พี่พาไปจริงๆซิ ถ้าวาไม่ดื้อ ไม่ซนไม่งอแง ช่วยพี่ๆที่บ้านทำงาน ไม่ทำบ้านรก ดูแลห้องตัวเองดีๆด้วย ห้ามเอาขนมไปกินในห้องด้วย ทำได้ไหม หือ ? "

"  โห ..ข้อตกลงเยอะแยะไปหมดนะเนี่ยะ แหมๆๆๆ " วา โอดครวญขอความเห็นใจ อิอิ 

"  โอเค..จ๊ะ พี่ล้อเล่น ไว้ว่างนะ พี่พาไป  ตอนนี้กลับบ้านก่อน ไป เดี๋ยวพี่ไปส่ง "

" ค่ะพี่ ขอบคุณค่ะ สำหรับนิทานใต้แสงจันทร์ หิ่งห้อยตัวน้อย ขอบคุณสำหรับคำสัญญารับปากจะพาไปดูหิ่งห้อยนะคะ อย่าลืมๆๆ "

   เย็นนั้น วากลับบ้านด้วยความสุขใจที่ได้ฟังนิทานหิ่งห้อยของพี่เมี่ยง พร้อมกันนั้น เธอคิดว่า ต่อไปนี้จะไม่จับหิ่งห้อยใส่ขวดแก้วอีก เพราะวาก็เคยอ่านเจอในหนังสือที่เขาบอกว่า สมัยก่อนคนญี่ปุ่นจะจับหิ่งห้อยใส่ขวดแก้วเพื่ออาศัยแสงสว่างจากตัวหิ่งห้อย 

 หิ่งห้อยจ๋า อโหสิกรรมให้วาด้วยนะ ที่ผ่านๆมา วาไม่ตั้งใจอ่ะ ทั้งวจีกรรม มโนกรรม ทั้งกายกรรม(เปียงยาง )

     เฮ้อ ไปดีกว่า ง่วงนอนๆๆๆ จบแระค๊า อิอิ 

 .....     .....     .....     .....     .....     .....     .....     .....

ปล...ติดตามอ่าน นิทานหิ่งห้อย (ภาค 2) 

โดย พี่ฤทธิ์ ศรีดวง ได้ที่นี่ค่ะ ....

 http://www.thaipoem.com/forever/ipage/story9558.html 				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 1 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฉางน้อย