14 กรกฎาคม 2553 19:02 น.

บ้านชนบท

ฉางน้อย

20803_47282.gif หลายวันที่ผ่านมาที่ฉันกลับมาบ้านต่างจังหวัด การดำเนินชีวิตต่างๆก็เรียบง่ายอย่างคนชนบททั่วไป
 เชื่อหรือไม่แถวละแวกบ้านฉันนั้นไม่มีเซเวน ไม่มีร้านสะดวกซื้อใหญ่ๆให้
เดินตากแอร์ มีเพียงร้านของชำเล็กๆที่คิดว่าสมบูรณ์ที่สุด
เป็นร้านของชำที่ไม่มีสินค้าให้เลือกซื้อมากนัก แต่ฉันจำใจซื้อด้วยความจำยอมเพราะจำเป็นต้องใช้ว่างั้นเหอะ อิอิ

     วันก่อนฉันไปซื้อแชมพูสระผม " พี่ๆ แพนทีนมีไหมคะ ? "
" ม่ายมีน้องเหอ มีแตออด๊าด เอาหม้าย " พี่คนขายเธอขายทั้งแชมพูสระผม
ขายทั้งขดลวดทองแดง แฮ่..แฮ่...
 นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆน้อยๆที่นำมาเล่าสู่กันฟัง อิอิ
.26213_191614.gif

     6 โมงเช้าตื่นด้วยเสียงปลุกของนกเขาเถื่อนที่กู่ร้องบนยอดไม้ในป่าสวนยางข้างบ้าน
  กับข้าวอาหารการกินนั้นน่ะเหรอ ก็แกงเลียงยอดตำลึงข้างบ้านนั่นไง
แถมด้วยน้ำพริกกะปิ(ฝีมือแม่) มีทั้งผักสด ผักลวก
     บ้านฉันอาจไม่มีอาหารบุฟเฟ่ที่เลิศหรูแต่มีกับข้าว ผักให้เลือกทานได้ตามใจ
ไม่ว่าผักบุ้งริมคลอง(บ้านน้า) หรือ มะเขือพวงข้างบ้าน หรือดอกแคริมรั้ว
อืมนะ บุฟเฟ่ก็บุฟเฟ่เห๊อะ บุฟเฟ่เมืองกรุงคงยอมแพ้บุฟเฟ่บ้านชนบท อิอิ

อ่อ กับข้าวรสเด็ดฝีมือแม่อีกอย่างก็คือ แกงส้มเปลือกแตงโมใส่เนื้อหมู
พูดถึงเรื่องเนื้อหมู ฉันทะเลาะกับแม่บ่อยเรื่องเนื้อหมู 5555
ก็ฉันบอกให้แม่ใส่หมูน้อยๆใส่ผักเยอะ แต่แม่ซิชอบใส่หมูเยอะๆผักน้อยๆ
ทำให้ฉัน(แอบ)บ่นแม่พอเป็นกระษัย อิอิ
ขืนบ่นมากไป กลัวแม่ขว้างไม้หน้าสามให้น่ะซิ
     แต่สรุปแล้วกับข้าวมื้อนั้นก็อร่อยเพียงพอแล้วกับบ้านชนบทริมป่าสวนยาง
.26213_191614.gif

      กลับมาบ้านต่างจังหวัดฉันไม่ค่อยแตะต้องกาแฟยามเช้ามากนัก
เพราะตื่นเช้ามาด้วยความสดชื่น ลมพัดเย็นๆผะแผ่วผิวกาย
 อากาศปลอดโปร่ง หายใจได้โล่งเต็มปอด 
กาแฟไม่มีความจำเป็นสำหรับฉันอีกต่อไปแล้ว(มั้ง)

    แหงนมองท้องฟ้าด้วยความสบายใจ ฟ้าเบื้องบนสูงลิบ ฟ้าเป็นสีฟ้า
กว้างกว่ากว้างมากมายนัก อยากรู้นักนะ ใครช่างเสกสรรระบายฟ้าสีครามนั่น
 กลุ่มเมฆขาวบริสุทธิ์ดุจปุยนุ่นแต่ก็นั่นแหละไกลเกินเอื้อมถึง
     ฉันเผลอยิ้มให้กับตัวเอง โชคดีจังที่เกิดเป็นคนชนบท ฉันคิดนะว่า
คนกรุงเทพฯ น้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้แหงนมองฟ้าสูง
น้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้สูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอดเช่นนี้
     
     อ่อ ลืมบอกอีกแล้ว นอกจากนกเขาคู่นั้นแล้วยังมีนกฮูกหรือนกอะไรสักอย่าง
(บ้านฉันเรียกนกคูด หรือนกเค้าแมว) 
พวกเขาจะส่งเสียงฮูกๆๆเซ็งแซ่ในป่าสวนยาง แต่ไม่มีโอกาสได้เห็นตัว
เป็นๆของพวกเขาหรอกนะ 
ใครบอกล่ะนกฮูกจะหากินแค่ตอนกลางคืน ฉันขอเถียงเลยล่ะ
     นึกขอบคุณเจ้านกเขาเถื่อนคู่นั้นที่ส่งเสียงร้องปลุกฉันยามเช้าทุกครั้งไป
ทำให้ฉันได้มีโอกาสตื่นมารับความสดชื่นของอากาศยามเช้า

      วันที่ฉันกลับถึงบ้านวันแรก สนามหญ้าญี่ปุ่นที่เคยเขียวสดชื่นกลับเหี่ยวแห้ง
เฉาตาย ฉันยืนมองด้วยความฉงนสงสัย เสียดายมากเลยทีเดียว
แต่ความเสียดายไม่เท่ากับความเสียใจที่ได้เห็นขยะ เศษสิ่งเหลือใช้
เศษกระดาษทิชชูทิ้งเกลื่อนกลาดในบริเวณสนามหญ้า 
โน่นก็เปลือกหอยแครง นั่นก็ฝาเบียร์ นี่ก็ฝาน้ำอัดลม นี่ก็อีกขวดโซดาข้างสนาม
26213_191614.gif

    เกิดอะไรขึ้นกับบ้านฉันระหว่างที่ฉันไม่อยู่ สอบถามแม่พูดคุยได้ความว่า
พี่ชายคนข้างบ้าน(ญาติทางแม่) เขามาขอยืมสถานที่จัดงานแต่งงานให้ลูกชาย
แต่ทว่า เมื่อเสร็จงานเรียบร้อยแล้วกลับไม่สนใจที่จะเก็บ รักษาความสะอาดให้
กลับคืนมาเหมือนเดิม
     ฉันส่ายหน้ากับนิสัยคนมักง่าย ฉันลงมือเก็บเศษขยะเหล่านั้นทิ้งทีละชิ้นๆ
ฉันคิดนะ ขยะบนพื้นสนามหญ้าเก็บกวาดได้ แต่ขยะในใจคนทำยังไงจะเก็บกวาดได้สะอาดกันเล่า
 จะสอนใคร บอกใครก็ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องสอนตัวเราเอง
 เริ่มต้นที่ตัวเราก่อน แล้วค่อยเผื่อแผ่ไปยังคนรอบข้าง

     " ดอกฝาเบียร์เบ่งบานบนลานหญ้า
       แต่ดอกฟ้าเบ่งบานบนลานใจ " 
ปล. งานแต่งงานที่ฉากหน้าสดชื่นสวยงาม แต่ฉากหลังนั่นเล่า
หลังงานเลี้ยงเลิกลา เจ้าดอกไม้ขยะกลับเบ่งบานเต็มสนามหญ้าอย่างนั้นหรือ 
        ..
              856789awfhhn81xh.gif
                          ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )
     				
9 กรกฎาคม 2553 22:37 น.

เพื่อนร่วมทาง

ฉางน้อย

 เย็นวันที่ 26 เม.ย 53 ที่ผ่านมานั้นฉันเตรียมตัวเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดอย่างเร่งด่วน
โดยมิได้จองตั๋วล่วงหน้า แต่ก็คิดว่าคงมีที่ว่างสำหรับสำหรับฉันสักที่แหละน่ะ
     แต่แล้วฉันต้องพบกับความผิดหวังเมื่อพนักงานขายตั๋วที่สถานีหัวลำโพงบอกว่า ตั๋วเดินทาง
ขบวนที่ฉันต้องไปนั้นเต็มหมดทุกชั้น ทุกขบวน
     อ่อ แต่ยังก่อน ยังมีที่ว่างของชั้น 3 ซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้ายทำให้ฉันจำเป็นต้องเลือก
ไม่เช่นนั้นแล้วจะไม่มีที่นั่งเหลือให้ฉันได้หย่อนก้นแม้แต่สักตัวเดียว อิอิ

     การเดินทางบนรถไฟชั้น 3 ในครั้งนั้นทำให้ฉันได้มองเห็นความหลากหลายของชีวิตผู้คน
ซึ่งเปรียบเสมือนเพื่อนร่วมทาง ฉันและพวกเขาเหล่านั้นอาจมีจุดเริ่มต้นที่เดียวกัน
ทว่า แต่ละคนอาจมีจุดหมายปลายทางที่ต่างกันออกไป
.....................................................................
     เวลาผ่านไปประมาณสัก 2 ทุ่มกว่าๆรถไฟวิ่งมาถึงสถานีราชบุรี
ซึ่งอาจได้กลิ่นไม่พึงประสงค์บ้าง พ่อค้าแม่ค้าต่างทยอยนำอาหาร ของขบเคี้ยวขึ้นมาขาย
ฉันคิดเล่นๆว่า เอ..ไม่เห็นมีแม่ค้าคนใดแบกโอ่งราชบุรีมาขายบนรถไฟบ้างนะ อิอิ 
แค่คิด ฉันก็แอบอมยิ้มคนเดียว
     รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกจากสถานีราชบุรี ฉันยังคงนั่งมองการดำเนินชีวิตของผู้คน
บนรถไฟอย่างเงียบๆ ผู้โดยสารเริ่มแออัดขึ้นเรื่อยๆ วัยรุ่นกลุ่มนั่งยืนดื่มเบียร์กระป๋องใกล้
บันไดทางขึ้นรถไฟ ทำให้เจ้าหน้าที่บนรถไฟมากล่าวตักเตือนให้ลดความคะนองลง
.....................................................................
     ฉันเผลองีบหลับไป เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่ทราบได้ หวูดรถไฟร้องก้องที่
สถานีรถไฟเพชรบุรี เสียงพ่อค้าแม่ค้าและผู้โดยสารยังคงส่งเสียงจ่อกแจ่กจอแจ
แข่งกับเสียงล้อเหล็กของรถไฟ บ้างก็นำข้าวกล่องมาขาย
 บ้างก็นำข้าวเกรียบเมืองเพชรและขนมหม้อแกงของกินมีชื่อในเมืองเพชรมาขาย
      แต่สำหรับฉันแล้วเมื่อนึกถึงจ.เพชรบุรีฉันกลับนึกถึงซุ้มมือปืนชื่อดังต่างๆในเมืองเพชร
ซุ้มหรือคุ้ม ฉันไม่ทราบว่าสองคำนี้ความหมายค่างกันอย่างไร 
.........................................................................
     ตี 2 กว่าๆเป็นเวลาดึกสงัดพอสมควร ถ้าเป็นค่ำคืนปกติฉันคงนอนหลับสบายที่บ้าน
แต่ทว่า ณ.เวลานี้คงไม่มีใครที่จะนอนหลับได้อย่างสบายใจสบายกาย
อย่างน้อยแสงนีออนที่ส่องแสงสลัวๆบนฝ้าเพดานรถไฟที่ส่องแยงตา
 ผู้โดยสารบางคนก็คุยกันเบาๆ บ้างก็ลุกขึ้นห้องน้ำในโบกี้ถัดไป

     ฉันเหลียวมองเพื่อนร่วมทางบนรถไฟอีกครั้งและไม่แปลกใจเลยสักนิด
กับภาพที่เห็นตรงหน้า บนพื้นรถไฟบริเวณทางเดินนั้นผู้หญิงคนหนึ่งนำ
กระดาษหนังสือพิมพ์มาปูนอนแทนเสื่อแทนฟูกนุ่มๆที่บ้าน
 แค่นี้เธอคงพอใจแล้วกระมังกับการเดินทางในครั้งนี้
     วัยรุ่นกลุ่มนั้นหายจากความคะนอง เพราะฉันเห็นว่านั่งพิงหลังกันหลับริมทางเดินเช่นกัน
...................................................................
     นี่ละชีวิตที่เลือกเดินทางไม่ได้(เช่นเดียวกับฉัน) ถ้าพวกเขาเหล่านั้น
(และฉันคนนี้)เลือกได้ พวกเขาคงเลือกที่จะเดินทางที่สะดวกสบายกว่านี้เป็นแน่
     ยิ่งดึกเท่าใดเสียงล้อเหล็กของรถไฟก็บดเบียดรางเหล็กทำให้มีเสียงดังยิ่งขึ้นกว่าเดิม
สองข้างทางที่รถไฟวิ่งผ่านฉันมองฝ่าความมืดไปนอกหน้าต่าง บางช่วงก็เป็นป่ามืดมิด
บางช่วงก็มองเห็นสลัวๆเป็นภูเขาสูงตั้งตระหง่านดูทะมึนน่ากลัว
เงาทะมึนของภูเขาสามารถจินตนาการเป็นภูตผิปีศาจทำให้ดูน่ากลัวมากนักในยามดึก

     ความง่วงสุดท้ายทำให้ฉันละสายตาจากนอกหน้าต่างมาพักสายตา
และพักความเหนื่อยล้าจากการเดินทางภายใต้หมวกแก๊ปใบเก่ง
และแสงนีออนที่ส่องสลัวๆเหนือศรีษะ
..........................................................................
     สะดุ้งตื่นตกใจในเวลาตี 5 กว่าๆพร้อมๆกับแรงเหวี่ยงของรถไฟซึ่งคาดว่า
เป็นทางโค้งแห่งหนึ่งในเส้นทางนั้น
     ฉันเหลียวมองรอบตัว เห็นลุงคนหนึ่งนั่งบนพื้นทางเดินข้างๆเบาะที่นั่งของฉัน
ลุงบอกว่าจะไปลงที่สถานีปลายทาง นั่นก็คือ สถานีกันตัง จ.ตรัง
ฉันเลยเอ่ยปากบอกลุง " เดี๋ยวหนูลงที่สถานีไชยา ซึ่งอยู่ข้างหน้านี่เอง
ลุงมานั่งที่ตรงนี้ของหนูก็แล้วกัน "
ลุงพยักหน้าเบาๆ พร้อมเอ่ย " ขอบใจนะหนู "

     คำพูดของลุงเพียงประโยคเดียวไม่ได้ทำให้ฉันดีใจเท่ากับที่ได้เห็น
รอยยิ้มและแววตาดีใจที่ระบายไปทั่วใบหน้าของลุงท่านนั้น

     ใช่แล้ว..การเดินทางของฉันสิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ 
แต่ลุงท่านนั้นและเพื่อนร่วมทางคนอื่นล่ะ พวกเขาต้องเดินทางกันอีกยาวไกล
พร้อมๆกับชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ในโลกนี้อีกยาวนาน
                  .............................................................

                     (  ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น  ) 

( ปล. พยายามลงเรื่องสั้น เป็นครั้งที่ 4 ฮึ่มๆๆ ใจเย็นแล้วนะเนี่ยะ )				
4 กรกฎาคม 2553 11:23 น.

และแล้ว..เขาก็จากไป

ฉางน้อย

Zubzip_3091.jpgฉันกับเขา เราเจอกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านฝั่งธนฯ
เขานั้นเล่า ดูท่าทางตัวเล็กๆ น่ารักๆ ดูบอบบางสะดุดตาผู้พบเห็น
     ตัวเขานั้นฉันไม่แน่ใจว่าเขาจะรุ้สึกอย่างไรเมื่อเจอฉันครั้งแรก
แต่ฉันนี่ซิ กลับยิ้มแย้มถูกใจราวกับเขาเป็นของเล่นชิ้นใหม่ที่ฉันต้องได้มา

     นี่กะละมัง เอ้ย นี่กระมัง รักแรกพบของฉัน รู้เพียงว่า 
ฉันหวังอยากได้เขามาไว้ในครอบครอง อยากเป็นเจ้าของเขา
ก่อนที่ใครจะคว้าไปชื่นชม
..105.gif

    เกือบ 3 ปีแล้วซินะที่ฉันกับเขา " เรา " ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
ในวันว่างของกันและกัน ไม่ว่าเหนือ ใต้ ทะเล หรือแม้แต่ไปไหว้พระด้วยกัน
ที่วัดต่างๆในเขตกทม.
     หรือแม้แต่จะกลับบ้านต่างจังหวัด "เรา"ก็ไม่เคยห่างกันไกล
     ฉันมักจะมีเขาเคียงข้างกายเสมอ แทบจะไม่มีสักครั้งที่เราต้องห่างกัน
     มีฉันก็ต้องมีเขา คอยเป็นเงาเคียงกาย
     เขาไม่เคยบ่น ไม่เคยมีแววตาว่าจะเหนื่อยหน่ายสักแค่ไหน
     ไม่ว่าฝนจะตก แดดจะออก " เรา "พร้อมจะเดินทางไปด้วยกัน
105.gif

     ไม่เคยมีสัญญาณอะไรที่บ่งบอกว่า เขาจะจากฉันไปในที่สุด
ใจหาย เศร้า เสียดายในความผูกพันธ์ตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปี

     สุดท้ายฉันจำต้องพาเขาเข้าศูนย์กล้องดิจิตอล ซึ่งพนักงานบอกว่า
หน้าจอกล้องเสื่อม ซ่อมไปก็ไม่คุ้มค่า สมควรซื้อใหม่น่าจะดีกว่า

     โธ่เอ๋ย..เจ้ากล้องดิจิตอลตัวแรกในชีวิตของฉัน ในที่สุดมีอันต้องจากกัน

" เขา " เป็นกล้องดิจิตอลตัวแรกของฉัน ที่ฉันซื้อมาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง
อันเป็นความภาคภูมิใจของฉันอย่างมาก
     แม้ภายนอกรูปลักษณ์จะแลดูเล็ก บอบบาง แต่ก็คุ้มค่ากับราคา
และการใช้งานในตลอดเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา 
..105.gif

     ฉันยังคงเก็บรักษาเขาไว้อย่างดีเหมือนในสภาพที่ซื้อเขามาตอนแรก

     ขอบคุณ เขา ที่เป็นสื่อช่วยบันทึกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของฉัน

     ขอบคุณ เขา ที่ช่วยสานฝันให้เป็นจริงได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ
    
     ขอบคุณ เขา ที่ทำให้ฉันมีรอยยิ้มเมื่อมีเขาอยุ่เคียงข้างเสมอๆ

     และ สุดท้าย ขอบคุณสำหรับความผูกพันในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา 

         ไม่มีเขา เราก็คงไม่มีเรื่องราว มาเล่าสู่กันฟัง

          ขอบคุณนะ ....ขอบคุณจริงๆ

     "เรามักจะรู้คุณค่าของบางสิ่งบางอย่าง ก็ต่อเมื่อบางสิ่งบางอย่างนั้น
ได้จากเราไปไกลแสนไกล
 ฉะนั้นอย่าหลงลืมที่จะให้ความสำคัญกับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่รอบตัวคุณ ก่อนที่เขาจะจากไปไกลเกินไขว่คว้ากลับคืนมาครอบครอง "
..105.gif

               ( ฉางน้อย ทะเลไร้คลื่น )
 
                
00551_16.gif				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟฉางน้อย
Lovings  ฉางน้อย เลิฟ 1 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงฉางน้อย