5 เมษายน 2550 17:52 น.

มหกรรมลูกชิ้น …

ถนปายี

คุณคงเคยไปทานสุกี้ mk กันใช่ไหมครับ? อาหารยอดฮิตของคนเมือง ที่เหมาะสำหรับการไปพบปะสังสรรค์ นัดเพื่อนฝูง หรือชักชวนญาติพี่น้อง ไปร่วมทานกันเยอะ ๆ หลาย ๆ คน

ที่แน่ ๆ ผมไม่เคยเห็นใครไปนั่งทานสุกี้ mk คนเดียวเลยครับ (ถ้าไปทานคนเดียวคงเหงาน่าดูเลยมั๊ง)

เมื่อวันก่อนผมนัดเพื่อนผมสองคน คือ ทิตย์ กับ ช้างไปกินสุกี้ mk มื้อเย็นกัน ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ โดยผมกับทิตย์ไปพร้อมกัน ส่วนช้างกำลังตามมาสมทบ

ผมเอง  เฮ้ย .. ช้างเจอกันที่ร้าน mk เลยเน้อ ขะไจ เวยๆ เน้อหิวแล้ว ผมบอกช้างทางโทรศัพท์มือถือ ให้มันรีบ ๆ มาเร็ว ๆ ก่อนที่ผมจะแวะกดเงินที่เครื่อง ATM แถว ๆ นั้น

อ้ายทิตย์  เดี๋ยวคิงกดเงินเสร็จแล้ว โตยไปที่ร้าน mk เลยเน่อ ฮาฟ่างไปจองโต๊ะไว้ก่อน เดี๋ยวบ่มีโต๊ะนั่ง

ผมเอง  เออน่า ... เดี๋ยวฮาโตยไป๋ ผมบอกทิตย์ในขณะที่ยืนรอคิวเพื่อรอกดเงิน

หลังจากที่ผมกดเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบเดินตรงไปยังชั้นล่างเพื่อ ตรงไปยังร้านสุกี้ทันที เมื่อถึงร้าน mk ผมเจอกับทิตย์กำลังยืนคุยกับพนักงานอยู่หน้าร้านพอดี

ผมเอง  เฮ้ยได้โต๊ะหรือยังว่ะ?

อ้ายทิตย์  ได้แล้ว โต๊ะเบอร์ 23 ฮาสั่งอาหารไว้แล้ว 4 อย่าง คิงโตยน้องเค้าไปนั่งที่โต๊ะก่อนนะ บะเด๋วฮาไปล้างมือที่ห้องน้ำก่อน

ผมเดินตามพนักงานไปยังโต๊ะ ในร้านขณะนี้เป็นช่วงเวลาเย็นๆค่ำๆพอดี มีคนเข้าไปนั่งทานสุกี้กันเต็มเกือบจะทุกโต๊ะ เมื่อไปถึงโต๊ะเบอร์ 23 พนักงานรีบจัดโต๊ะแล้วยื่นเมนูอาหารมาให้ผม

สั่งอะไรกินดีว่ะ ผมเริ่มคิดในใจ สั่งมาบางอย่างก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวรอพวกมันมาสั่งเพิ่มดีกว่า

ผมเอง  น้องเอาลูกชิ้นเอ็มเค ลูกชิ้นหมู ลูกชิ้นปิงปอง แล้วก็ลูกชิ้นกุ้ง ... เอาแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวรอเพื่อนอ้ายมาสั่งเพิ่มนะจ๊ะ

พนักงาน เจ้า ... รับเพิ่มแหม 4 อย่างนะเจ้า พนักงานรีบกดลงไปในเครื่องปาล์มอย่างรวดเร็วก่อนเดินไปรับออร์เดอร์ที่โต๊ะอื่น

ผมเริ่มมองไปมองมาภายในร้าน ก็เห็นช้างกำลังเดินมาถึงโต๊ะพอดี

อ้ายช้าง  เออ ... มาเมินละกา   สูมาเต๊อะรถติดขนาด แล้วอ้ายทิตย์เลาะ?

ผมเอง  ทิตย์มันไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวมา ฮาสั่งอาหารไปแล้ว 4 อย่าง คิงสั่งเพิ่มเลยเน้อ เดี๋ยวฮาขอตัวไปจ่ายค่ามือถือที่ช๊อปชั้นบนก่อน บะเด๋วฮามาจะได้กินได้พอดี .... น้อง ๆ สั่งอาหารเพิ่มแหมหน่อยครับ

ผมตะโกนเรียกพนักงานเพื่อให้ช้างสั่งอาหารเพิ่ม ส่วนตัวผมรีบดินออกจากร้านเพื่อไปจ่ายค่าโทรศัพท์มือถือที่ชั้นบน โดยรีบไปรีบมา ไม่ถึง 10 นาที ผมก็จ่ายค่ามือถือเสร็จ เมื่อกลับมาถึงที่โต๊ะ ผมเห็นช้าง กับทิตย์ กำลังนั่งมองหม้อสุกี้กันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด

ผมเอง  สุกรึยัง... หิวแล้วกินได้แล้วล้า ผมเอ่ยปากถามพวกมันทั้ง 2 คน ก่อนที่จะนั่งลงประจำที พร้อมกับมองไปที่หม้อสุกี้ 

ภาพที่ผมเห็นในหม้อสุกี้ขณะนั้น ทำให้ผมต้องอึ้งไปชั่วขณะ ภาพที่เห็นเป็นภาพของหม้อน้ำแกง ที่มีลูกชิ้นเต็มหม้อ ลูกชิ้นทั้งหมดกำลังลอยวิ่งสลับกันไปสลับกันมา ตามแรงเดือดของน้ำแกง ... ปุ๊ด ปุ๊ด ... โดยมีผักบุ้งลอยแซมอยู่เล็กน้อย ผมประมาณการด้วยสายตาคร่าว ๆ ในหม้อน่าจะมีลูกชิ้นไม่ต่ำกว่า 60 ลูก

ความเป็นจริงก็คือ ตอนที่ผมแวะกดเงิน ทิตย์มันมาจองโต๊ะ แล้วมันก็สั่งอาหารเลย 4 อย่าง แต่มันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะสั่งอะไรดี มันเลยสั่งแต่ลูกชิ้นทั้ง 4 อย่าง 

ส่วนผมเมื่อมานั่งที่โต๊ะอาหารแล้วก็ไม่รู้ว่าทิตย์มันสั่งอะไรไปบางแล้ว ผมไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรดีผมก็เลยสั่งลูกชิ้นไป 4 อย่าง 

ส่วนช้างมันตามมาทีหลัง ผมขอตัวไปจ่ายค่ามือถือ โดยให้มันสั่งอาหารเพิ่ม ช้างมันก็ไม่รู้ว่าผมกับทิตย์สั่งอะไรไปแล้วบาง มันก็เลยสั่งลูกชิ้นเพิ่มอีก 4 อย่าง .. แต่ก็ยังดีนะที่ทิตย์มันสั่งผักบุ้งเพิ่มมา 1 อย่าง

ผมเอง  ฮานิบ่าเฮ้ย!!! ... ยังกะมากิ๋นเกาเหลา ผมพูดขึ้นหลังจากหายอึ้งไปชั่วขณะ

อ้ายช้าง  หมู่คิงโครตฝีมือเลย สั่งลูกชิ้น 12 อย่างบ่ซ้ำกันเลย เด็กเสิร์ฟเปิ้นก่าบอกว่า ถ้าสั่งซ้ำกัน เครื่องมันจะร้องเตือน แล้วน้องเค้าจะบอกว่าสั่งแล้วนะ

อ้ายทิตย์  กิ๋นๆ ไปเต๊อะ ... บ่าท่าปากนัก บ่าเด๋วก็อืดหมดหรอก

พวกผมนั่งทานสุกี้ mk มื้อนั้น อย่างไม่ประทับใจเลย แล้วคงเข็ดสุกี้ไปอีกนาน ... 

คราวหน้าไปหาอาหารญี่ปุ่นกินดีกว่า .... 

อิอิ

				
5 เมษายน 2550 14:11 น.

เรื่องรักใคร่ในธรรมบท 1...หลงเสียงนาง

ถนปายี

ว่ากันว่า		
		
"ไม่มีเสียงใดจะตรึงใจบุรุษ ได้เท่ากับเสียงของสตรี และไม่มีเสียงใดจะตรึงใจสตรี ได้เท่ากับเสียงของบุรุษ"		
		
หากยกสำนวนโบราณก็จะอ่านยากขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง แต่ใจความเหมือนกัน ก็คือ		
		
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นเสียงอื่นแม้สักอย่าง อันจะยึดจิตของบุรุษตั้งอยู่ เหมือนเสียงหญิง นะภิกษุทั้งหลาย"		
		
*************		

เสียงของหญิงนี่แหละก่อเหตุมาแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล เพียงเพราะหลงในเสียงขับร้องของหญิงคนหนึ่งซึ่งได้ยินจากในป่า ทำให้สามเณรรูปหนึ่ง ซึ่งไม่ได้บวชด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่ถูกจับให้บวชเพื่อประโยชน์แก่การทำหน้าที่เดินทางไปรับ พระจักขุบาลเถระ ซึ่งตาบอด ออกจากป่า มาสู่เมือง		
		
เมื่อได้ยินเสียงขับร้องของหญิงชาวบ้าน ผู้ออกมาเก็บฟืนในป่า ก็หลงเสน่ห์ในน้ำเสียง จนอดไม่ได้ที่จะละทิ้งหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา วางไม้เท้าที่ใช้จูงพระเถระ ทิ้งท่านไว้เพียงลำพัง แล้วเดินตามเสียงหญิงนั้นไป		
		
ขณะที่สามเณรเดินทางไปหาหญิงนั้น ระยะเวลาที่เขาหายไป ไม่มีบรรยายว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะไม่ใช่นิยายโรมานซ์ ฉากจึงตัดกลับมาสู่ห้วงคิดของพระเถระว่า ท่านเกิดทราบว่า ป่านนี้ สามเณรผู้นำทางของท่าน คงจะทำผิดศีลเสียแล้ว (พระเถระรูปนี้เป็นพระอรหันต์แล้ว) ความรู้สึกรังเกียจเกิดขึ้น		
		
ฉากต่อมา สามเณรนั้นกลับมาหาพระเถระหลังจากทำผิดศีลเรียบร้อยแล้ว พระเถระได้กล่าวปฏิเสธที่จะเดินทางต่อไปกับสามเณรผู้ประพฤติผิดศีล ไม่ฟังคำทัดทานของสามเณรที่อ้างว่า ท่านตาบอด จะเดินทางต่อไปได้อย่างไร ไม่ฟังข้ออ้างว่า ตัวเองบวชเพราะจำเป็น ไม่ได้ศรัทธา		
		
แม้สามเณรจะลงทุนลาสิกขาแล้ว พระเถระก็ยังไม่สิ้นรังเกียจที่จะเดินทางด้วย ท่านใช้คำว่า บรรพชิต ละเมิดศีล หรือคฤหัสถ์ ละเมิดศีล ก็ชื่อว่า ชั่ว เหมือนกัน		
		
คฤหัสถ์หนุ่มที่เพิ่งลาสิกขาจากสามเณรหมาด ๆ เพราะเผลอไป "หลงเสียงนาง" เข้า จึงหนีไปในป่า เหตุการณ์ต่อไป ไม่ได้กล่าวถึงเขาอีก		
		
เรื่อง "หลงเสียงนาง" จึงเป็นฉากเล็ก ๆ ในธรรมบทเรื่อง "พระจักขุบาลเถระ" ด้วยประการฉะนี้		
		
************************		
		
				
3 มีนาคม 2550 14:57 น.

ข่วงละอ่อน

ถนปายี

บ้านของบัวลาเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง บันไดบ้านเป็นไม้สักแผ่นใหญ่หนา แม่มักจะเอาผ้าขี้ริ้ว บิดหมาดๆ มาเช็ดทุกวันจนพื้น เป็นมันปลาบ ที่เชิงบันไดขึ้นบ้านจะบริเวณล้างเท้า พ่อโบกปูนทำเป็นลาน ซีเมนส์ไม่กว้างมากนัก แล้วเซาะร่องทำทางน้ำไหล ไว้ด้านหนึ่ง ข้างๆ ลานซีเมนส์มีตุ่มใบเล็กที่ใส่น้ำไว้เต็ม มีฝาไม้ปิด มีขันครอบไว้ข้างบน ใครไปใครมาก็จะถอดรองเท้าออก แล้วมา ล้างเท้าที่ลานนี้ก่อนจะเดินขึ้นบ้าน

          เดินขึ้นบนบ้านแล้วจะมี ฮ้านน้ำ เป็นซุ้มเล็กๆ มุงหลังคาดินขอ ใต้ซุ้มนั้นมีหม้อน้ำสองใบวางเคียงกัน หม้อน้ำสองใบนั้น เก่าแก่เกือบเท่าอายุบัวลาเห็นจะได้ ข้างๆ หม้อน้ำเขียวครึ้มไปด้วยตะไคร่น้ำที่เกาะเป็นแพ ตรงเสาสองต้นของฮ้านน้ำจะมีตะปูตอก ไว้แล้วเอา น้ำบวย หรือกระบวยตักน้ำทำจากกะลามะพร้าว มาแขวนไว้ รอรับแขกไปใครมาก็มาตักน้ำเย็นๆ ในหม้อน้ำกินชื่นใจ

          กลางเรือนจะยกพื้นสูงขึ้นมาราวๆ ครึ่งศอกเรียกว่า เติ๋น เอาไว้เป็นที่นั่งเล่น นั่งกินข้าว นั่งคุยกัน สารพัดสารพันจะทำการ ทำงานก็มานั่งที่นี่ เวลาบ่ายแก่ๆ ของวันหยุดวันไหนที่เล่นกันจนหมดแรง บัวลา ก็ชอบลากหมอนมานอนที่เติ๋นให้ลมเย็นๆ ลอดผ่าน ฝาไหล หรือบานหน้าต่างแบบพื้นเมือง มาพัดให้บัวลาผล็อยหลับไป

          บริเวณบ้านของบัวลามีลานกว้างหน้าบ้านเรียกว่าข่วง แม่จะปลูกพืชผักนานาชนิดไว้ริมรั้ว บางวันไม่ต้องออกไปตลาดเพราะ ผักที่ปลูกพร้อมใจกันแตกดอกออกใบสะพรั่ง แม่ก็จะไล่เด็ดมาทำอาหารกิน บางทีแม่แสงหล้าก็ให้แสงหล้ามาขอแบ่งต้นหอมผักชี ที่แม่ปลูกไว้ เหมือนกับที่แม่เคยให้บัวลาไปขอเด็ดชะอมที่หลังบ้านแสงหล้าเหมือนกัน

          นอกจากสวนผักของแม่แล้ว กลางข่วงบ้านยังเป็นสนามเด็กเล่นสำหรับลูกๆ อีกด้วย บริเวณใด ที่เด็กๆ ชอบเล่นกัน ก็จะโล่ง เตียน เนื้อดินแน่นนุ่มเท้า แต่บางมุมก็เป็นหลุมเล็กๆ ตะปุ่มตะป่ำด้วยฝีมือแม่ค้าขายขนมครกอย่างแสงหล้า 

          ตรงลานดินโล่งนั้น บัวลากับแสงหล้าชอบเล่น ตาไม้ดีด กันที่สุด บางวันหากเพื่อนฝูงมาเที่ยวบ้านก็ต้องลงไปเล่นตาไม้ดีดกัน ทุกครั้งไป การเล่นตาไม้ดีดก็คล้ายๆ กับการเล่นตั้งเตของทางภาคกลาง เด็กๆ จะช่วยกันเอาไม้มาขีดเส้นตรงลานดิน ให้เป็นสี่เหลี่ยม ผืนผ้าใหญ่ๆ แล้วขีดเส้นแบ่งตามขวางอีก 5 เส้น จะได้ช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กอยู่ภายในสี่เหลี่ยมใหญ่อยู่ 6 ช่อง แล้วก็จะขีดเส้นสั้นใน แนวตั้งเพื่อแบ่ง ช่องสี่เหลี่ยมเล็กช่องที่ 2 ช่องที่ 4 และช่องที่ 6 ก็จะได้ตารางสี่เหลี่ยมคี่และคู่เป็นแถบ จากนั้นจึงไปวาดรูปครึ่งวงกลม แปะอยู่บนสุด

          แต่ละคนจะไปหาเศษกระเบื้องขนาดเล็กพอเหมาะเรียกว่า โต หรือเบี้ยของแต่ละคน เพื่อเอาไว้ทอยแล้วก็มาเล่นเกมส์ เพื่อหาคนเล่นก่อน ใครได้เล่นก่อนก็จะทอยโตของตนไปที่ช่องสี่เหลี่ยมช่องแรก แล้วกระโดดข้ามช่องที่โยนไว้ ถ้ากระโดดไปถึงช่อง ที่เป็นสี่เหลี่ยมคู่ ก็ให้เหยียบคร่อมทั้งสองเท้า แต่ถ้าไปถึงช่องที่เป็นสี่เหลี่ยมเดี่ยว ก็ให้เขย่งขาเดียว กระโดดไปจนถึงตาสุดท้าย รูปครึ่งวงกลม จึงจะอนุญาตให้วางเท้าได้สองข้างและหยุดพักที่ตานี้ได้สักครู่ จึงจะกระโดดกลับมาเก็บโตของตน

          เมื่อเล่นผ่านตาแรกแล้ว คนเล่นคนนั้นต้องมายืนอยู่ที่เส้นเริ่ม แล้วโยนโตให้ลงยังช่องต่อไป ซึ่งจะเรียงลำดับจากสี่เหลี่ยม ด้านซ้าย แล้วจึงจะไปยังสี่เหลี่ยมด้านขวา เสร็จแล้วก็ต้องกระโดดโดยเว้นช่องที่มีโตของตนอยู่ เมื่อกระโดดกลับมาก่อนถึงช่อง ที่มีโตอยู่นั้น ก็ต้องก้มเก็บโตแล้วจึงจะกระโดดไปต่อ 

          ในการโยนโตลงช่องนั้น หากโยนแรงไป โตไม่ยอมตกลงในช่องนั้นๆ หรือว่าโตไถลไปทับเส้นใดเส้นหนึ่ง ก็ถือว่าตาย ต้องเปลี่ยนให้คนต่อไปเล่นแทน แต่ต้องทิ้งโตของตัวเองไว้ในช่องที่ตัวเองตาย เพื่อเป็นเครื่องหมายให้จำได้

          หากใครเล่นเก่ง โยนไปจนถึงตาสุดท้ายคือช่องรูปครึ่งวงกลมนั้นแล้ว ก็ให้โยนโตไปให้ไกลกว่าช่องรูปครึ่งรูปวงกลม แล้วกระโดดไปเหมือนเดิม แต่พอถึงช่องสุดท้ายแล้วนั้นให้นั่งยองๆ หันหลังให้โตแล้วเอามือคลำหาโตของตนโดยไม่ให้ส่วนใด ส่วนหนึ่งของร่างกายแตะถูกเส้นที่ขีดไว้ ไม่เช่นนั้นก็จะถือว่าตาย แต่ถ้าใครเอามือคลำหาจนเจอโตแล้วกระโดดกลับมาได้ ก็จะได้บ้านไปหนึ่งหลัง 

          วิธีครอบครองบ้านก็ง่ายแสนง่าย แค่ขีดกากบาทลงในช่องเท่านั้นเอง ใครได้บ้านก่อนก็จะเริ่มขีดในช่องแรก จากนั้นใครจะได้ บ้านหลังต่อไปก็จะขีดที่ 2 3 4 ต่อๆ ไปจนหมด

          คนที่ได้ครอบครองบ้าน ก็จะได้สิทธิพิเศษคือสามารถเหยียบลง บนช่องที่เป็นบ้านของตัวเองได้ ทั้งสองเท้า แต่ใครที่ไม่ใช่ เจ้าของจะต้องกระโดดข้ามไปยังช่องต่อไป ดังนั้นคนที่เล่นเก่งๆ จะเล่นไม่ ค่อยพลาดและมักจะได้ บ้านไปหลายหลังก่อนเพื่อน และ ..อะแฮ่มไม่อยากจะอวดเลยว่าบัวลาก็เป็นหนึ่งใน คนเก่งเหล่านั้นด้วย แต่เพื่อนที่เหลือก็จะลำบากมากในการจะกระโดดข้ามหลายๆ ช่อง บางคนต้องตั้งท่าวิ่งมาตั้งหลายเมตรกว่าจะมีแรงส่งกระโดดไปถึงช่องที่ว่าง ดังนั้นจึงมีการ เช่าบ้าน โดยขีดเส้นเล็กๆ แบ่งพื้นที่ ในเขตบ้านของเพื่อนเพื่อให้ตัวเองสามารถเหยียบได้ และถ้าใครเหยียบพลาด เผลอไปเหยียบเส้น ที่ขอเช่านั้น ก็จะต้องตายเหมือน กัน

          พอเล่นกันจนแต่ละช่องถูกครอบครองกันหมดแล้วก็จบเกมส์ ถ้าอยากเล่นต่อก็ลบกากบาทในบ้านออกให้หมด แล้วขีดเส้นหลัก ให้เห็นชัดๆ แล้วก็เริ่มเล่นอีกครั้ง แต่ด้วยความที่กว่าจะเล่นจบได้แต่ละเกมส์ต้องใช้เวลานานและแรงก็เริ่มหมด ดังนั้นจึงเล่นได้ ไม่เกินสองเกมส์ เด็กๆ แต่ละคนก็วิ่งหาน้ำกินแทบไม่ทันและการเล่นตาไม้ดีดก็ต้องเลิกไปโดยปริยาย ทิ้งให้บ้านหลายหลังที่ได้ครอบ ครองค่อยๆ เลือนหายไปกับดินกับทรายที่ข่วงละอ่อน

          แม้ว่าบัวลาจะเล่นเก่งจนได้บ้านไม่รู้กี่หลังต่อกี่หลัง แต่บัวลาก็คิดว่าไม่มีบ้านหลังไหนที่บัวลา อยากอยู่เท่ากับบ้านที่มีทุกคน อยู่กันพร้อมหน้าอย่างบ้านของพ่อแม่ได้เลย				
18 กุมภาพันธ์ 2550 16:43 น.

มนต์รักป่าซาง

ถนปายี

ความแข็งแกร่ง ของสิลาผาสถานดูท้าทายสายลมแสงแดดฉันใด
ความรัก ของฉันก็ต้องท้าทายกับหัวใจอันไม่แน่นอนของเธอฉันนั้น
ความหลง ก่อให้เกิดแรงสั้นของหัวใจเมื่อได้อยู่ใกล้ๆ บางครั้งยัง
ไม่รู้ เลยว่าเรากำลังเป็นอะไรอยู่ บางครั้งอุ่นใจ บางครั้งหนาวใจ
ไม่รู้ แม้กระทั่งหัวใจดวงนั้นจะพอได้ยินเสียหัวใจฉันไหม
ไม่รู้ ว่าการปล่อยให้ฉันอยู่กัการรอคอย การตอบรับจะยาวนาน
สักเพียงใด หยดหนึ่งจากน้ำค้างเกาะอยู่บนยอดใบไผ่ซาง
สักครา เมื่ออรุโณทัยแจ่มจรัส ก็ต้องเหือดแห้งไปตามครรลอง
สักนิด และสักนิดที่ฉันจะอดทนต่อแรงลมที่พัดยามสนธยา
ไผ่ซาง จะลู่ไปตามแรงเป่า เพื่อเร่งให้ถึง ยามนภาอุษาสวาท
ไผ่ซาง คงจะอิ่มเอมใจ เมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ และหวัง
ช่วงหนึ่ง เริ่มกลับมา ยิ่งนานวันรากเริ่มแผ่ขยายกว้างออกไป
ช่วงหนึ่ง เคยสั่นคลอน อุปสรรคทำให้เข้มแข็งและอยากจะต่อสู้
ช่วงหนึ่ง ที่อยากบอกว่าฉันก็เหมือนไผ่ซาง ไม่ต่างกันมากเกินไป
เกิด...รู้ว่าป่าซางทนได้เพียงนี้แต่แรก ฉันคงทนได้  อีกไม่นานจะ
เป็น...ไผ่ซางที่ตระหง่านท่ามกลางสิงขรที่แวดล้อมด้วยศิลาผาสถาน
มนต์...เป่าให้เข้มแข็งและยืนหยัดสู้ต่อไป ตราบเท่าแรงใจฉันจะหาย
รัก...ไป ความรักฉันนั้นคือป่าซาง หากไผ่ซางคุยกับฉัน ที่เปรียบดุจ
ป่า...ได้ ฉันอยากบอกว่า เมื่อใดไม่มีต้นซาง ฉันจะเป็นป่า
ซาง...ได้อย่างไร เธอลองคิดดูจะยากเย็นไหม หากจะขอเป็นป่าซาง				
16 กุมภาพันธ์ 2550 15:09 น.

มะเมียะ เพราะต่างชนชั้นจึงรักกันไม่ได้

ถนปายี

มะเมียะเป็นสาวแม่ค้า คนพม่าเมืองมะละแหม่ง งามล้ำเหมือนเดือนส่องแสง คนมาแย่งหลง รักสาว    มะเมียะบ่ยอมรักไผ มอบใจหื้อหนุ่มเชื้อเจ้า เป็นลูกอุปราชท้าวเชียงใหม่ แต่เมื่อเจ้าชายจบ การศึกษา จำต้องลาจากมะเมียะไป .. .. ..

เรื่องของมะเมียะเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี จากบทเพลง มะเมียะ ซึ่งแต่ง/ขับร้องโดยคุณจรัล มโนเพชร และคุณสุนทรี เวชานนท์ ศิลปินชาวล้านนา ที่โด่งดังไปทั่วเมืองไทย ประกอบกับตำนานรักระหว่างเจ้าน้อยศุขเกษม ณ เชียงใหม่ และมะเมียะ สาวชาวพม่า ที่ได้รับการเผยแพร่ทั้งโดยการเล่าขานสืบต่อกันมาและจากการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรโดย ปราณี ศิริธร ณ พัทลุง ทำให้คนทั่วไปรู้จักเจ้าน้อยฯ และมะเมียะมากยิ่งขึ้น 
แม้ว่ามะเมียะจะเป็นสาวชาวพม่า ไม่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ล้านนาโดยตรง แต่เรื่องราวความรักต่างเชื้อชาติ ต่างฐานะ ระหว่างมะเมียะ กับเจ้าน้อยศุขเกษม ณ เชียงใหม่ ราชบุตรองค์ใหญ่ของเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าหลวงเชียงใหม่ลำดับที่ 9 (พ.ศ.2452-2482) กับแม่เจ้าจามรี กลายเป็นตำนานรัก อันแสนเศร้าและถูกกล่าวขานจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะความสงสาร เห็นใจ ประทับใจ ที่ผู้ที่ได้รับรู้ เรื่องนี้มีต่อมะเมียะ ซึ่งได้แสดงให้ประจักษ์ถึงความรัก ความภักดี ความซื่อสัตย์และความเสียสละอัน ยิ่งใหญ่ในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีต่อชายที่ตนรักอย่างแท้จริง 

มะเมียะเป็นชาวพม่าอายุ 16 ปี มีฐานะปานกลาง หาเลี้ยงชีพด้วยการขายบุหรี่ซะเล็ก (บุหรี่พม่ามวนโต) อยู่ที่ตลาดใกล้บ้านในเมืองมะละแหม่ง ได้พบกับเจ้าน้อยศุขเกษมครั้งแรก เมื่อเจ้าน้อยไป เดินชมตลาด ทั้งคู่เกิดถูกใจกัน จึงได้คบหากันเรื่อยมา หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา โดยความเห็นชอบของทางบ้านมะเมียะ ในช่วงที่ครองรักกันนั้น กิจกรรมที่คนทั้งสองทำเป็นประจำ คือพากันไปทำบุญตักบาตรและนมัสการพระบรมสารีริกธาตุตามสถานที่ต่างๆ ในเมืองมะละแหม่ง จนวันหนึ่ง ทั้งสองก็ได้กล่าวคำสาบานต่อพระธาตุใจ้ตะหลั่นว่าจะรักกันตลอดไป และ จะไม่ทอดทิ้งกัน หากผู้ใดทรยศต่อความรัก ก็ขอให้ผู้นั้นอายุสั้น 
ต่อมาไม่นานเจ้าน้อยศุขเกษม ซึ่งขณะนั้นอายุ 20 ปี ก็จบการศึกษาและเดินทางกลับเมืองเชียงใหม่ เจ้าน้อยฯ จึงให้มะเมียะปลอมตัวเป็นชายตามมาด้วย ในฐานะเพื่อนหนุ่มชาวพม่า โดยไม่รู้ว่าเจ้าพ่อและเจ้าแม่ของตนได้หมั้นหมายเจ้าหญิงบัวนวล ธิดาของเจ้าสุริยวงษ์ (คำตัน สิโรรส) ให้แล้ว ตั้งแต่ปีที่เจ้าน้อยฯ เดินทางไปเรียนที่พม่า

หลังจากที่ต้องแอบซ่อนมะเมียะไว้ในบ้านหลังเล็ก ที่เจ้าพ่อและเจ้าแม่จัดเตรียมไว้ให้เป็นที่พักมาหลายวัน เจ้าน้อยฯ จึงตัดสินใจบอกความจริงทั้งหมด แม้ว่าท่านทั้งสองจะไม่ว่ากล่าวอะไร แต่เจ้าน้อยฯ ก็พอจะทราบได้ว่าท่านทั้งสองไม่ยอมรับมะเมียะเป็นสะใภ้อย่างแน่นอน เนื่องจากปัญหาใหญ่ในขณะนั้น คือเจ้าน้อยฯ เป็นผู้ที่ได้รับการคาดหวังว่าจะได้รับตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ต่อจากพระเจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ ซึ่งเป็นเจ้าลุง หากเจ้าน้อยฯ เลือกมะเมียะมาเป็นภรรยา ประชาชนย่อมต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน ที่สำคัญในขณะนั้นบ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจ เนื่องจากอังกฤษกำลังแผ่อิทธิพลไปทั่วดินแดนในคาบสมุทรเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ หากมะเมียะ ซึ่งเป็นคนในบังคับของอังกฤษมาอาศัยอยู่ในคุ้มของเจ้าแก้วนวรัฐ อุปราชเมืองเชียงใหม่ อาจเป็นชนวนของปัญหาทางการเมืองที่ใหญ่โตได้ในภายหลัง 
ในที่สุดเจ้าพ่อและเจ้าแม่จึงเรียกตัวเจ้าน้อยฯ ไปพบเพื่อยื่นคำขาดให้เจ้าน้อยส่งตัวมะเมียะ กลับพม่า ทั้งยังได้จัดพิธีเรียกขวัญและรดน้ำมนต์ ให้เจ้าน้อยฯ โดยเชื่อว่าจะขจัดสิ่งชั่วร้ายที่มะเมียะ ได้กระทำแก่เจ้าน้อยฯ จนทำให้เจ้าน้อยฯ หลงใหลออกไปได้ 
ในขณะเดียวกัน มะเมียะก็ถูกเกลี้ยกล่อมโดยหญิง-ชาย ชาวพม่า 4 คน ให้นางกลับไปรอเจ้าน้อยฯ ที่เมืองมะละแหม่ง มิฉะนั้นบ้านเมืองอาจเดือดร้อน แม้จะรู้สึกเสียใจสักเพียงใดก็ตาม แต่มะเมียะ ก็ยินยอมที่จะจากไปเพื่อมิให้ผู้ใดเดือดร้อน ส่วนเจ้าน้อยฯ ยังคงยืนยันในความรักที่มีต่อมะเมียะ และ ขอให้นางกลับไปรออยู่ที่บ้าน หากมีวาสนาจะกลับไปรับนางมาอยู่ด้วยกันที่เชียงใหม่ให้ได้ 
เช้าวันหนึ่งในเดือนเมษายน อันเป็นวันเดินทางกลับเมืองมะละแหม่งของมะเมียะ ที่ประตู หายยาเนืองแน่นไปด้วยประชาชนที่อยากจะเห็นมะเมียะ ซึ่งลือกันว่างามนักงามหนา บรรยากาศ เต็มไปด้วยความหดหู่และเศร้าหมอง ทั้งสองร่ำลากันด้วยความรักและอาลัยอย่างสุดซึ้ง โดยเจ้าน้อย ได้รับปากกับมะเมียะว่าจะยึดมั่นในคำปฏิญญาที่ให้ไว้กับองค์พระธาตุวัดใจ้ตะหลั่นจนกว่าชีวิต จะหาไม่ และหากนอกใจก็ขอให้ตนประสบแต่ความทุกข์ทรมานใจ แม้แต่อายุก็จะไม่ยืนยาว พร้อมทั้งสัญญากับมะเมียะว่าจะกลับไปหานางภายใน 3 เดือน สุดท้ายมะเมียะได้คุกเข่าลงกับพื้น ก้มหน้าแล้วสยายผมของนางเช็ดเท้าเจ้าน้อยฯ ก่อนที่จะขึ้นช้างจากไป

เมื่อกลับไปถึงเมืองมะละแหม่งแล้ว มะเมียะก็ได้แต่เฝ้ารอคอยเจ้าน้อยฯ จนครบกำหนด 3 เดือนตามที่ได้สัญญาไว้ แต่ก็ไม่มีวี่แววใดๆ มะเมียะจึงตัดสินใจ ออกบวชชีเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ว่านางยังซื่อสัตย์ต่อความรักที่มีต่อเจ้าน้อยฯ อยู่เสมอ 

โอโอ ก็เมื่อวันนั้น วันที่ต้องส่งคืนบ้านนาง เจ้าชายก็จัดขบวนช้างให้ไปส่งนางคืนทั้งน้ำตา 
มะเมียะตรอมใจอาลัยขื่นขม ถวายบังคมทูลลา สยายผมลงเช็ดบาทบาทา ขอลาไป ก่อนแล้วชาตินี้
เจ้าชายก็ตรอมใจตาย มะเมียะเลยไปบวชชี ความรักมักเป็นเช่นนี้ แลเฮย 



ต่อมาหลังจากที่มะเมียะทราบข่าวการสมรสระหว่างร้อยตรีเจ้าอุตรการโกศล (ยศของเจ้าน้อยฯ ในขณะนั้น) กับเจ้าหญิงบัวนวล ณ เชียงใหม่ แม่ชีมะเมียะจึงเดินทางมายังเมืองเชียงใหม่และขอเข้าพบเจ้าน้อยฯ เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อแสดงความยินดีก่อนที่จะตัดสินใจครองตนเป็นแม่ชีไปตลอดชีวิต แต่เจ้าน้อยศุขเกษม ซึ่งได้ยึดสุราเป็นที่พึ่งเพื่อดับความกลัดกลุ้มอันเกิดจากความรักอาลัยในตัวมะเมียะ และตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีความสุขในชีวิตเลยนั้น ไม่สามารถหักห้ามความสงสารที่มีต่อมะเมียะได้ จึงไม่ยอมไปพบแม่ชีมะเมียะที่รออยู่ กลับมอบหมายให้เจ้าบุญสูง พี่เลี้ยงคนสนิท นำเงินจำนวน 800 บาท ไปมอบให้แม่ชีมะเมียะเพื่อใช้ในการทำบุญ พร้อมกับมอบแหวนทับทิมประจำกายอีกวงหนึ่งให้เป็นตัวแทนของเจ้าน้อยฯ 

เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทำให้มะเมียะและเจ้าน้อยฯ ต่างสะเทือนใจเป็นที่สุด หลังจากกลับไปเมืองมะละแหม่งแล้ว มะเมียะได้ครองชีวิตเป็นแม่ชีตามความตั้งใจ จนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.2505 รวมอายุได้ 75 ปี 

ส่วนเจ้าน้อยฯ นั้น หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้ว ก็ปล่อยให้ชีวิตจมอยู่กับความทุกข์ระทมอันเนื่องมาจากความรักเรื่อยมา โดยมีสุราเป็นเครื่องปลอบใจ กระทั่งถึงแก่ชีวิตด้วยวัยเพียง 38 ปีเท่านั้น				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟถนปายี
Lovings  ถนปายี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟถนปายี
Lovings  ถนปายี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟถนปายี
Lovings  ถนปายี เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงถนปายี