17 พฤศจิกายน 2548 13:56 น.

รอยยิ้มในความฝัน

ธรรมาภิวัฏ


ป่านนี้เธอคงนอนแล้วกระมัง..

........................................

ฝันดี
รดีดาวดารเลื่อนเกลื่อนสกล
ทวิวีปกะกล้ำกั้นคณนาผิว์จะพ้น
กลับสกลด้นเดียวแห่งผืนฟ้า

ฝันดี
จะมีตะราตรีสลองเลื่อนที่แรมมา
หากจะห่างใจกั้นกะเพี้ยงฟ้า
ผิว์จะมาห่างฝืนกลืนเกลียวใจ

ฝันดี
แนบนิจสนิทรเนาว์วดีจะมีให้
ปันสารฉีกผนึกปึกตองใบ
ขิดจารแบ่งให้เยี่ยมไมตรี

ฝันดี
สิ่งฝันแพร้วเพริดไตรโลกนี้
ลิขิตตรึกใต้ดั่งใจที่
ธ เธอมีสมมนัสมนสิกรานต์

.......................................

ให้รอยยิ้มนั้นอยู่ในใจ และ ความฝัน ทุกวันคืน
				
13 พฤศจิกายน 2548 14:35 น.

บ่ายระอุเย็นระงับ

ธรรมาภิวัฏ


๑ จากร่มเงาเราร่มรื่นชื่นลมร่ม
จะพัดชมแผ่วเฉื่อยเอื่อยสังขาร์
ร่มแลเงาเนาว์แนบยังแอบพา
ลำเพยว่าพาคลายบ่ายรอนโรย

๒ น้ำเย็นนิดหยิบยื่นชื่นกษัย
ขอโพยภัยหลบร้อนยามอ่อนโหย
ยามโรยแดดแผดพร่าอุราโรย
พอได้โชยหายห่อนก่อนเร้นเงา

๓ อาทิตย์ส่องสอดทออยู่ริ้วริ้ว
พระพลบพริ้วริ้วเพื่อมเชื่อมสันเขา
พระภิเพกพรายพรูอยู่แผ่วเบา
ลมก็เพลาเงาก็ครื้นชื่นลมลม

๔ สมคะเนเร่ขนายบ่ายร้อนร้อน
เพียงหลบก่อนห่อนไห้  ได้สุขสม
ให้ลมโรยโชยชื่นรื่นปรารมย์
คงชมโชยโรยอารมย์สมคะเนน

๕ ลมระริดปริดใบไม้อยู่เปรื่องเปรื่อง
โชยลมเรื่องรอยโรยโดยระเหน
ยามระแคะและระคายบ่ายจรดเยน
พอจะเปนสร้อยอารมย์สมประคอง

๖ จากหยดน้ำริมใบไม้สายบ่ายแสง
พอจะแยงแสงสะท้อนร้อนสนอง
ระเหยให้เมื่อใบบังยังทำนอง
ให้ลมต้องล่องระบัดใบละลอย

๗ หลังคล้อยค่ำย่ำโยชน์ระโนดฟ้า
พริ้วพรมมาบ่ายฝนลมละห้อย
แย้มแสงสิ่งส่องเร้นเย็นลามลอย
ให้คอยคอยลอดมาบ่าอรุณ์

๘ ณุรุนร่มชมชื่นรื่นแสงฟ้า
บ่ายจะพาใต้แต้มใบได้ระอุ
เพียงแผ่วแผ่วแนวฟองพองผุดพุ
คงไม่ลุแนวพอรอร่มใบ

๙ ชื่นเอ๋ยชื่นลมร่มหลังบ่ายฝน
ได้นิยลนำนิยามที่ถามไว้
หากยามแผดที่แผ่วลมอยู่ร่ำไร
ใจหนอใจคงเย็นได้ในลำลอง

๑๐ ก็ยังหลบร่มใต้ใบไม้ที่บ่ายฝน
ไม่ค้อนข้นลนค่อนร้อนสนอง
เพราะร่มบังใบปริดริ้วระออง
ฟ้าลำยองยิ้มละไมใบไม้รุ้ง

๑๑ จากแสงสีมีแสงจะเสียดส่อง
ฟองฝอยฟองท้องฝนโปรยทิวทุ่ง
รุ้งสามแสดแผดสามสายที่ปลายรุ้ง
พอเฟื่องฟุ้งรุ้งเรืองเรื่องอัมไพ

๑๒ ก็แอบยิ้มเงาย้ายที่ปลายหน้า
สุขเสพย์สิ่งยิ่งจะพาใจราไว้
รื่นระอองฟองฝอยฝนล้นฤทัย
เพราะใจได้ฉ่ำบ่ายที่สายฝน

๑๓ อันเขาว่าสีทองทำนองรุ้ง
คงพลอยพรุ้งรุ้งเฟื่องที่บ่ายท้น
ใครหนอปั้นสรรค์สีให้บ่ายยล
หรืออาทิตย์แสงท้นล้นระบาย

๑๔ พระอาทิตย์แห่งจิตกร
ปาดแปลงป้ายแสดส้มซ้อนตอนร่ำบ่าย
ฑิคัมพรมินอนรู้อย่างดูดาย
จะแย้มไว้ระบัดบายที่ปลายฟ้า

๑๕ จากที่ร้อนยามบ่ายกระจายฝน
จากที่เย็นย่ำฝนหลั่งพ้นบ่า
จากที่โปรยโรยลมพรมอุรา
จากทุ่งนาปลายหญ้าระดาระออง

๑๖ สร้อยพระแสงแรงบ่ายที่ได้เห็น
เพราะหลบเร้นฝนโปรยมาโรยฟ้อง
ร้อนก็เห็นเร้นได้รายระออง
เย็นจะป้องต้องผิวริ้วอารมย์

๑๗ ให้สมเหตุแห่งสิ่งไม่นิ่งเฉย
หรือละเลยอารมย์ที่สุขสม
เรานิยามความงามตามปรารมย์
ที่คำคมร่มรื่นยามชื่นเย็น..

----------------------------------------------------




				
4 พฤศจิกายน 2548 12:29 น.

ลิบดาว

ธรรมาภิวัฏ


จากทางเดินไกลลิบที่พริบตา
มองเวลาใจหายก็หน่ายแหนง
เพียงเรามองความฝันยังมีแรง
คงเห็นแสงก้าวฝันเพื่อวันคอย

โอ้.. คืนนี้เจ้าดาวช่างแสงหม่น
ก็เพียงคนพ้นร้างห่างสุดสอย
ใครจะว่าเรายิ้มเพื่อรอคอย
หรือใจหงอยคอยคืนฝืนเวลา

แสงกระพริบลิบดาวสกาวหมอง
เพียงเหม่อมองพริบพริบปริบปรางค์หน้า
มองอารมณ์ชมชื่นรื่นเวลา
คงนำพาแสงดาวที่ราวนั้น

หากมองเห็นมองได้สายเส้นแสง
อาจร้อนแรงเร้นแสงตะวันนั่น
หากระวีเบิกแสงแรงตะวัน
คงไหวหวั่นสิ้นฝันที่ดาวเรือง

ทางที่ทอต่อยอดมาทอดหนึ่ง
ไม่ห่างซึ่งคำดาวเฝ้าเล่าเรื่อง
เวลาหดชีวิตลดคงหมดเปลือง
ใครเล่าเรื่องเปลืองเปล่าเมื่อเช้าก่อน

เพียงหยิบยื่นรอยยิ้มปริ่มปลายหน้า
ให้ใจพาไหวหวั่นฝันแรงร้อน
จะแผดผ่าวร้าวริดอยู่รอนรอน
ก็เพียงตอนหนึ่งหนึ่งที่ใจลอย

คอยเอ๋ยคอยคนนั้นอย่างหวั่นไหว
ก็ดวงใจดวงนิดจิตละห้อย
มองเจ้าดาวแสงพริบที่ลิบลอย
หรือเจ้าคอยคืนวันฝันอันใด

จะมองเห็นเป็นประหนึ่งเพื่อนร่วมฟาก
หรือเราจากกันแล้วให้แววไหว
แสงสะกิดลิบอยู่ดูร่ำไร
คงร้างไกลตกฟากแล้วคืนนี้

เพียงพร่ำเพ้อถึงเจ้าดาวได้ไหมหนอ
อย่าร้างรอแรมไกลไปหลีกลี้
ก็ยังเพ้อพร่ำพลางหว่างฤดี
กี่นาทีก็ชั่วโมงหรือกี่นาน..

แสงอรุณกรุ่นกลับมารับแล้ว
คงไม่แคล้วใจคอยละห้อยหาญ
เราก็เพียงคงหนึ่งในบึงกาล
ไม่ลบวานเวียนวนคนคนหนึ่ง

คงจะตัดอาลัยไม่ได้หรอก
คำล่อหลอกหวั่นวกพกทะลึ่ง
ถึงเขาหลอกก็เต็มใจให้หลอกเสียซะซึ้ง
ก็เพียงคนหนึ่งจึงถลำซ้ำไถล

เอื้อมมือคว้าเจ้าแสงดาว..
ให้หนาวลมห่มแล้งอย่างเฉไฉ
ก็ดาวยังเป็นดาวบนฟ้าไกล
เอื้อมเท่าไรก็ไม่ถึงจึงเพียงมอง

เอื้อมมือคว้าหยาดเพชร์แก้ว เผลอรักแล้วจึงฝันใฝ่
หยาดเพชร์หยาดละอองผ่องใส แม้อยู่ในความมืดมน..(หยาดเพชร์)

ยังเวียนวนคว้าแสงที่ดาวส่อง
คงริบรองว่องไว้ไม่อาจต้อง
เพราะหลงลมเขาแล้วแนวทำนอง
จึงเพียงร้องลมลมลมลอยลอย

  มองเจ้าดาวน้อยนั้นก็สุดไกล กลัวแต่ว่าใจหนอใจคงจะต้องพลัดเจ้าดาวแล้ว
หากแนวอรุณระวีรุ่งมุ่งลงมาเมื่อคราเช้า คงจะเร้นรับดับดาวคืนกลับแสงที่ฟากฟ้า หากเวิ้งฟ้ากว้างและวันใหม่แห่งพระอรุณ จะเพียงเพื่อการุณย์แก่ตัวข้า ข้าน้อยผู้รอคอยที่หว่างเวลาขอให้เจ้าแสงดาวจงนำพา คืนกลับมา.. ดังข้าเพ้อพร่ำวอนพระอรุณ..


				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟธรรมาภิวัฏ
Lovings  ธรรมาภิวัฏ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟธรรมาภิวัฏ
Lovings  ธรรมาภิวัฏ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟธรรมาภิวัฏ
Lovings  ธรรมาภิวัฏ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงธรรมาภิวัฏ