16 ธันวาคม 2550 11:27 น.

‘ ลา.... นิรันดร์.... ’

นั่งยิ้มริมระเบียง

ในช่วงหนึ่งของชีวิต อาจมีเรื่องราวมากมายที่ผ่านเข้ามาอย่างไม่คาดฝัน ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย โดยเฉพาะเรื่องร้าย ข่าวร้ายที่บอกกล่าวถึงการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
ของคนอันเป็นที่รัก คงไม่มีใครอยากเจอ

มินก็ไม่อยากเจอ 
แต่มินก็เจอมาสองครั้งซึ่งนับว่าร้ายแรงจนแทบล้มทั้งยืน เพราะคนที่จากไปล้วนเป็นพี่เป็นน้องญาติสนิท และทุกคนล้วนอยู่ในช่วงชีวิตที่ไม่น่าอายุสั้น และจากไปโดยไม่ได้ร่ำลาต่อกัน

ครั้งแรกเมื่อกุมภาพันธุ์ ปี 2548 พี่สาวประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตที่สมุย ตอนได้รับโทรศัพท์มินช็อคแทบเสียสติ สั่นสะท้านไปทั้งตัว ก่อนโทรแจ้งญาติพี่น้องเพื่อลงไปจัดการงานศพ ซึ่งแต่ละคนก็อยู่ไกลสุดขอบประเทศไทย มินไปถึงสมุยเป็นคนแรก
ไปทั้งที่ไม่เคยไปสักครั้ง ไม่มีคนรู้จักที่นั่น 
ไปโดยไม่รู้อะไรเลย 
นอกจากอธิษานบอกลมบอกฟ้า บอกคนที่จากไปว่าจะไปทำเพื่อเค้านะ 
ครั้งสุดท้าย ที่น้องคนนี้จะทำให้พี่ได้

เจ็ดวันที่สมุย ท่ามกลางคนแปลกหน้า
ท่ามกลางความเศร้าโศก
มินกลับกรุงเทพฯ อย่างคนขวัญผวา
ภาพความเจ็บปวดครั้งสุดท้ายของพี่ยังติดตา
กลางคืนต้องเปิดไฟสว่างทั้งบ้าน
เพราะไม่เข้มแข็งพอ หากเค้าจะกลับมาเยี่ยมเยือน
ไม่เข้มแข็งพอที่จะพบเจอ ทั้งที่ความรักก็ยังเต็มอยู่ในหัวใจไม่เปลี่ยนแปลง

ผ่านไปสองปี
ความเสียใจครั้งนั้นยังไม่จางหาย
เรื่องราวคล้าย ๆ กันก็เกิดขึ้นอีก

ในช่วงบ่ายที่แสนวุ่นวาย
มีงานประดังประเดเข้ามาในช่วงปลายปี 
แม่ก็โทรเข้ามือถือ
'แม่อยู่โรงพยาบาลนะลูก'
มินนิ่งงัน
แม่อยู่โรงพยาบาล แม่ไม่สบาย หรือใครเป็นอะไร ก่อนจะคิดคำตอบให้ตัวเองได้ แม่ก็ร้องไห้
'น้องไม่สบายมาก ตอนนี้หมอกำลังปั๊มหัวใจ'
ถึงตอนนี้ จำได้ว่า 
จากอาการนิ่งงันเปลี่ยนเป็นหูอื้อ ตาลาย 
ก่อนจะร้องไห้เงียบ ๆ 

'เข้มแข็งนะลูก ลูกเป็นคนเข้มแข็งมาตลอด 
ไม่ต้องห่วงแม่ แม่ไม่เป็นไร' 
แม่พยายามปลอบใจ แต่แม่ก็ร้องไห้

แม่เล่าเหตุการณ์ให้ฟังคร่าว ๆ ก่อนสรุปว่า

'หมอบอกว่า ถ้าถอดออกซิเย่นเมื่อไหร่ 
น้องก็ไปเมื่อนั้น หรือถ้าสภาพร่างกายแย่ลงเรื่อย ๆ ไม่ตอบสนองต่อออกซิเย่น ก็อาจจะไม่พ้นคืนนี้'

มินมองดูนาฬิกา 
ตอนนั้นบ่ายสองกว่า ๆ ไม่พ้นคืนนี้ก็คือเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

ด้วยระยะทางประมาณเจ็ดร้อยกิโลเมตรจากกรุงเทพฯ
กับเวลาที่เหลือ ถ้าพี่คนนี้ไม่มีปีกโบยบินกลับไป ก็คงไม่มีหนทางอื่นที่จะโลดแล่นไปให้ทันลมหายใจสุดท้ายได้

'ลูกยังไม่ต้องมานะลูก รอฟังข่าวก่อน บางทีน้องอาจจะเข้มแข็งพอที่จะต่อสู้ต่อไปได้' เสียงแม่ขาดเป็นห้วง ๆ 
'อาจจะอยู่ได้อีก..... หลายวัน....'

วางสายจากแม่ 
โดยบอกว่าจะโทรกลับไปเป็นระยะ ๆ 
จะรีบทำงานให้จบ และจะหาทางกลับบ้านให้เร็วที่สุด

จากนาทีนั้น ความวุ่นวายรอบตัวดูเหมือนจะหยุดนิ่งลงโดยอัตโนมัติ มินมองภาพทุกอย่างเหมือนภาพสโลโมชั่น งานที่กำลังรีบเร่งหยุดชะงัก ความรู้สึกเต้นระทึกโครมคราม มือไม้สั่น แม้จะพยายามนั่งหลับตาระงับอารมณ์ แต่ก็ไม่ไหว แต่สุดท้ายต้องเดินออกไปหาที่สงบร้องไห้ ก่อนจะกลับมาผสานสติและพยายามนั่งทำงานต่อ

เจ้านายคงเห็นว่าร้องไห้ เลยเดินมาถาม 
มินบอกเค้าไปสั้น ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้านายแสดงความเสียใจก่อนถอยกลับออกไป 

ห้องทำงานแคบ ๆ ที่นั่งอยู่คนเดียวเวิ้งว้าง
เงียบ........................ มันเงียบมาก.................................
ลมหนาวนอกหน้าต่างพัดใบไม้ปลิวร่วงกราว คำพูดของเพื่อนสนิทคนหนึ่งดังแว่วเข้ามาในหู

'ความตายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครหนีพ้น 
ไม่มีใครห้ามได้ แต่คนอยู่ต่างหาก ที่ต้องคิดว่าควรทำอะไร 
และอยู่ต่อไปยังไง'

มินเริ่มหันหน้าเข้าหางานอีกครั้ง 
และค่อย ๆ คิดว่าต้องทำอะไรบ้าง
สำหรับเวลาที่เหลืออีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง
ก่อนต้องทิ้งงานไปหลายวัน

โทรหาแม่เกือบจะทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง 
เมื่อตัวเองเริ่มเข้มแข็ง ก็ห่วงว่าแม่จะรับสภาพไม่ไหว 
ลูกชายคนเดียวที่แม่รักนักหนากำลังจะจากไป ทั้งที่แม่บอกไม่เป็นไร แต่ก็พอรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว แม่ต้องเจ็บปวดเสียใจจนหาที่เปรียบไม่ได้

ตอนเย็น แม่บอกว่าน้องสงบลงเยอะ 
นอนนิ่ง แม้จะไม่รับรู้ 
แต่อาการทั่วไปดูเหมือนว่าจะอยู่ต่อไปได้อีก มินก็เลยเบาใจขึ้นมาได้อีกนิดหนึ่ง มินบอกแม่ว่าอาจจะเดินทางได้ในบ่ายวันจันทร์ เพราะต้องประชุมสรุปงานตอนเช้า 
เสร็จแล้วจะเดินทางทันที
จากนั้นก็โทรหาเพื่อน ๆ 2-3 คน 
เพื่อหาคนเดินทางเป็นเพื่อน เพราะตัวเองคงไม่สามารถ
ขับรถกลับไปเองได้ด้วยระยะทางที่ไกลขนาดนั้น และด้วยสภาพจิตใจที่กำลังย่ำแย่อย่างที่สุดอย่างเวลานี้ ปรากฏว่าทุกคนติดงานหมด 
แต่ก็รับปากว่าจะพยายามเคลียร์ทุกอย่างให้ได้
ภายในวันจันทร์ที่จะต้องเดินทาง

วันที่แม่ส่งข่าวคือบ่ายวันศุกร์ 
วันเสาร์เข้าไปเคลียร์งาน
บอกเจ้านายไว้ล่วงหน้าว่าอาจลางายหลายวัน
โดยยังติดต่อกับแม่กับญาติ ๆ ตลอดเวลาเหมือนเดิม
หมอบอกแม่ว่า ระหว่างนำส่งโรงพยาบาล สมองของน้องขาดออกซิเจนไปเกือบครึ่งชั่วโมง ก่อนจะถูกปั๊มหัวใจให้ชีพจรกลับมาเต้นอีกครั้ง 
เพราะฉะนั้น ถ้าร่างกายแข็งแรงพอที่จะรอด ก็ไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก 
และหมอ.... ก็ขอให้แม่ทำใจ.....

ญาติและเพื่อน ๆ ของน้องที่อยู่ไกล ๆ เริ่มทยอยเดินทางกลับไปแล้ว 
เมื่อมีพอมีเวลาทำใจ มินก็สงบลงเยอะ
พยายามเคลียร์งาน พร้อมกับคิดว่าจะต้องทำอะไรบ้าง เพราะงานหลายชิ้นที่ต้องประสานงานกับฝรั่ง ต้องสรุปให้ได้ก่อนกลางเดือนธันวาคม เพราะว่าลูกค้า
ต้องกลับประเทศของเค้าก่อนเทศกาลคริสตมาส งานก็เลยต้องพลอยเร่งไปด้วย และงานดีไซน์เป็นงานที่ยากจะให้ใครมาสานต่อทำแทนได้ ถ้าหากงานนั้นไม่สรุปให้จบเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

แม่บอกว่า ในระหว่างให้ออกซิเย่น
ชีพจรน้องหยุดเต้นเป็นช่วง ๆ หมอต้องปั๊มหัวใจขึ้นมาใหม่ 
และทุกครั้งที่ร่างกายสะท้านขึ้น เลือดที่ไหลไม่หยุดจากปากจากจมูกก็พรูออกมาอีก แม่บอกว่าน้องคงทรมาณ หมอให้แม่ตัดสินใจว่าจะปล่อยเค้าไปดีไม๊ 
หรือว่าจะยื้อให้ถึงที่สุด
แม่ร้องไห้ถามว่า 
แม่ควรทำไงดีหล่ะลูก ควรทำไงดี.......

ในฐานะลูกอีกคนหนึ่ง 
ในฐานะของพี่ 
คำตอบมันอัดอั้นอยู่ในอก 
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็ว 
ในที่สุดทุกคนก็ตอบอะไรไม่ได้ 

แม่บอกหมอว่า ไม่ต้องถอดสายออกซิเย่นออก
ถ้าเค้าจะไปก็ปล่อยให้เค้าไปเอง
แต่เมื่อถึงเวลานั้นจริง ๆ เมื่อเห็นน้องทุรนทุรายด้วยลมหายใจสุดท้าย แม่ก็ขอร้องให้หมอปั๊มหัวใจยื้อชีวิตกลับมาอีกครั้ง

แต่ในที่สุด
ห้าทุ่มห้าสิบของคืนวันเสาร์ 
น้องก็จากไปในที่สุด

'น้องไปแล้วนะลูก'

ทุกอย่างหยุดนิ่ง แม่สะอื้น มินร้องไห้เงียบ ๆ 
บอกแม่ได้คำเดียวว่า มันเร็วจังนะแม่ ทั้งที่ทำใจไว้แล้ว 
แต่เมื่อเวลาของการจากกันมาถึงจริง ๆ 
มันก็ทำใจไม่ได้อยู่ดี

'แม่จะพาน้องกลับบ้านคืนนี้ ที่บ้านเตรียมพร้อมรอไว้แล้ว
ลูกไม่ต้องกังวลแล้วนะ ไม่ต้องรีบเดินทาง เพราะถ้าเกิดอะไรกับลูกอีกคน แม่คงรับไม่ได้'

ยังยืนยันกับแม่ว่าจะเดินทางวันจันทร์ 
แต่หลังจากวางสายได้แค่ 10 นาทีก็โทรกลับหาแม่อีกครั้ง 
บอกแม่ว่าจะเดินทางเช้าวันอาทิตย์

'หนูอยู่ไม่ได้ค่ะแม่ มันอยู่ไม่ได้จริง ๆ'

จากนั้นก็หลับไม่ลง ทั้งที่ก่อนหน้านี้
ก็กรำกับงานทั้งที่ออฟฟิศและงานส่วนตัว จนมีเวลาพักผ่อนน้อยมาก แต่เรื่องของน้องก็วิ่งกระทบจิตใจรุนแรงจนแทบตั้งสติไม่อยู่
ใกล้สว่าง โทรบอกคนที่จะไปด้วยว่าต้องร่นเวลาเดินทาง
ใกล้ขึ้นอีกวันหนึ่ง คิดว่าถ้าทุกคนติดงานสำคัญจริง ๆ อาจจะต้องไปคนเดียวด้วยเครื่องบิน แต่สุดท้าย ก็มีคนที่ทิ้งภาระต่าง ๆ เดินทางเป็นเพื่อน 3 คน

ด้วยความกระทันหัน กว่าทุกคนจะพร้อม กว่าจะออกจากกรุงเทพฯ ก็ประมาณ 9 โมงเช้า พยายามขับทำเวลาเพื่อให้ถึงเส้นทางผ่านโค้งอันตราย
บนภูพานก่อนค่ำมืด
แต่ในที่สุด กว่าจะถึงจุดอันตรายแถวนั้น
ก็เกือบทุ่มตรงเข้าไปแล้ว

มินนั่งคนเดียวที่เบาะหลัง 
ทุกอย่างรอบตัวสงบเยือกเย็นจนสะท้าน 
รถคลานช้า ๆ ผ่านโค้งแล้วโค้งเล่า จิตใจนึกไปถึงบ้านหลังเล็กของแม่ นึกถึงกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีขาวที่วางอยู่ที่ห้องโถงกลางบ้าน และนึกถึงคนที่นอนสงบนิ่งอยู่ในนั้น

'จะจัดดอกไม้ให้น้องยังไงดีลูก แม่งงไปหมดแล้ว'
แม่ถามเมื่อตอนเช้า มินบอกแม่ว่า 
ตกแต่งเหมือนสวนเล็ก ๆ ดีกว่า หาไม้ดอกไม้ใบที่เป็นกระถางมาจัด ดอกไม้สดใช้นิดเดียวก็พอ 
เพราะถ้าจัดด้วยต้นไม้ พอเสร็จงานแล้วก็เอาลงดินปลูกที่วัดเลย 
ได้ประโยชน์หลายต่อ แม่เห็นด้วยกับคำแนะนำของมิน 
แม่โทรมาจากร้านต้นไม้เมื่อตอนสาย ๆ ว่ากำลังเลือกต้นไม้อะไรไปวางให้น้องบ้าง

นึกมาถึงตรงนี้แล้วก็ต้องแอบร้องไห้ 
แม้ใคร ๆ จะว่ามินเข้มแข็ง 
ผ่านเรื่องร้าย ๆ มาหลายเรื่อง 
แต่จริง ๆ แล้ว น้ำตาก็ยังเป็นทางออกของความเจ็บปวดในใจได้ดีที่สุดอยู่ดี

สองทุ่มกว่า ๆ
รถเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ๆ ทางเข้าบ้าน มินมองลึกเข้าไปสู่ไฟนีออนที่เปิดสว่างไสวอยู่ข้างหน้า
แม่จัดงานเงียบ ๆ ไม่มีเครื่องเสียงให้รบกวนใคร 
เมื่อรถเคลื่อนไปถึงหน้าบ้าน มองเห็นผู้คนเดินกันขวักไขว่
ทั้งมาช่วยทำครัว จัดดอกไม้ เตรียมของทำบุญถวายพระ ทุกคนหยุดภาระกิจชั่วคราว เมื่อรถจอดนิ่ง

บ้านเปิดประตูกว้าง
ที่ห้องโถง มองเห็นกล่องสีขาวตั้งโดดเด่น รายรอบด้วยต้นไม้สีสันสดใสทั้งไม้ดอกไม้ประดับ พร้อมไฟกระพริบพราวเต้นระยิบ
กรอบรูปสีทองบานใหญ่ตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้
ชายหนุ่มหน้าตาดี 
มีรอยยิ้มนิด ๆ พรายอยู่ที่มุมปาก
ทอดสายตามาหาด้วยความอบอุ่นและคุ้นเคย

น้ำตาไหลออกมาอีกครั้งเมื่อมองภาพตรงหน้า แต่จิตใจกลับสงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ

พี่มาแล้วนะ.......... มาแล้ว...... 
พี่กลับมาหาน้องแล้ว...

นั่งลงจุดธูป น้ำตาอาบแก้ม 
ก่อนถามหาแม่ ไม่มีใครเห็นแม่สักคน
บางคนบอกว่า 
ตั้งแต่ตั้งศพน้อง แม่มักหายไปเงียบ ๆ 
สักพักก็กลับมาเอง

ที่มุมข้างบ้าน แม่อยู่ตรงนั้น ข้าราชการบำนาญที่เพิ่งเกษียณอายุได้ 3 ปี
ที่ดูยังไงก็ไม่เคยแก่ แต่วันนี้แม่ดูหม่นหมองไปมาก 
พอเงยหน้าขึ้นสบตา แม่ก็ลุกมากอดและร้องไห้ 
แม่บอกว่า น้องไม่อยู่กับเราอีกแล้วนะลูก 
แม่ไม่มีใครแล้ว เหลือแต่ลูกคนเดียว

จากนั้นก็อยู่จัดการงานของน้องจนถึงวันสุดท้าย
ตอนเคลื่อนศพออกจากบ้านไปวัดเพื่อฌาปนกิจ ตัวเองเป็นคนถ่ายรูป ถ่ายไปร้องไห้ไป
ตอนงานพี่สาวก็แบบนี้ ถ่ายไปร้องไห้ไปเหมือนกัน ยิ่งเมื่อเพลงธรณีกรรแสงดังขึ้น ก็แทบจะยกกล้องไม่ไหว ทั้งที่เป็นแค่กล้องดิจิตอลตัวเล็ก ๆ แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงในการกดชัตเตอร์จะหมดไปดื้อ ๆ

วัดที่พาน้องไป เป็นวัดสร้างใหม่กลางทุ่ง บ้านเราอยู่ห่างจากตัวจังหวัดแค่ 7 กิโลเมตร 
มีถนนกว้าง 8 เลนผ่านปากซอยเข้าบ้าน
ซึ่งลึกเข้าไปแค่มองเห็น พื้นที่ติดถนนใหญ่เป็นร้านรวงใหญ่โตเรียงราย 
ถัดไปไม่ไกล เป็นมหาวิทยาลัยกับสถานศึกษาอีก 2-3 แห่ง
ความเจริญรุ่งเรืองไม่ต่างจากเมืองใหญ่ทั่ว ๆ ไป
แต่พอเข้าซอยแยกจากถนนใหญ่ไปไม่ถึงกิโลเมตร
ทุกอย่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ด้านหลังตึกใหญ่หรูหราคือทุ่งนาเวิ้งว้าง ที่เชื่อมต่อเส้นทางหลักด้วยถนนลูกรังเล็ก ๆ

ขบวนศพเคลื่อนที่ไปช้า ๆ
มีรถราและผู้คนร่วมขบวนไปเกือบ 200 คน
มินวิ่งบ้าง เดินบ้างเพื่อถ่ายรูป
บรรยากาศรอบตัวหม่นครึ้ม
เพลงธรณีกรรแสงดังก้องสะท้านไปทั่วท้องทุ่ง
ก่อนทุกอย่างจะสงบลงเมื่อก้าวเท้าเข้าสู่บริเวณวัด

แม่เป็นคนอ่านประวัติน้องทั้งน้ำตา
เป็นคนกล่าวคำไว้อาลัย
สงสารแม่จับใจก็ตอนนี้
คนเป็นแม่ เลี้ยงลูกมาคนเดียวยี่สิบกว่าปี
สุดท้าย ต้องมองลูกจากไปโดยที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
ความรู้สึกแม่
คงแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

จนเกินเยียวยาได้

ทุกคนที่ไปร่วมงานร้องไห้
การตาย เป็นเรื่องธรรมดาของทุกคน
เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คนใกล้ชิด
แต่การตาย เป็นเรื่องไม่ธรรมดาเลย
สำหรับคนที่รัก คนเป็นแม่
เพราะการตายของลูก
คือการแหลกสลายของหัวใจแม่....
คือความสูญเสียอันเป็นนิรันดร์......

ตอนดูหน้าครั้งสุดท้าย 
แม่ร้องไห้เหมือนจะขาดใจ
มินกอดแม่ไว้ด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือทั้งหมด
ร้องไห้.............  ปลอบโยน........
ทั้งที่ความเข้มแข็งที่ทำได้มาหลายวัน 
ทะลักทลายลงในเวลานี้

น้องนอนนิ่งเหมือนคนนอนหลับ 
ไม่น่ากลัว ไม่มีภาพติดตา 
มินเอื้อมมือแตะหน้าผาก ลูบผม แตะแก้ม ก่อนสอดนิ้วประสานมือใหญ่เย็นชืดไว้ในอุ้งมือ บอกลาเป็นครั้งสุดท้าย

สัมผัสสุดท้าย

ภาพสุดท้าย

'ลาก่อนนะ น้องชายคนเดียวของพี่'

เสียงเด็กตัวเล็ก ๆ เอ่ยถามคนเป็นแม่ดังเข้ามาในหู
'ตายคืออะไรครับแม่'
'ตายก็คือ การจะไม่ได้พบกันอีกไงหล่ะลูก'

คำตอบง่าย ๆ นั้น สะท้านเข้ามาในความรู้สึก

ตาย คือไม่ได้พบกันอีก.... ไม่ได้พบกัน.......

ใจหาย......................

จากวินาทีนี้ จะไม่ได้พบกันอีกแล้วสินะ 

ลาก่อน ลาก่อน ลาก่อน

ลาก่อน น้องชายคนเดียวในชีวิตของพี่


เมื่อควันเริ่มพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า
เสียงแม่ร้องไห้เหมือนคนจะขาดใจ
ทุกอย่างสงัดเย็นยะเยือก ลมหน้าหนาวพัดแผ่ว บ่ายคล้อยของวันที่แสนเศร้ากำลังจากไปอย่างเชื่องช้า

คืนนั้น บ้านเราเงียบเหงากว่าคืนก่อน ๆ มาก ที่นี่กลางคืนหนาวจัดจนผ้าห่มแทบจะเอาไม่อยู่ เราหอบผ้าผืนหนามานั่งคุยกันที่โถงกลางบ้าน มุมหนึ่งของห้องเป็นวงไพ่วงเล็ก ๆ ที่เพื่อน ๆ ของน้อง
ล้อมวงกันเล่นเพื่อไม่ให้บ้านเงียบจนเกินไป

อีกวันต่อมา
หลังจากจัดการเก็บอัฐิและทำบุญให้น้องเรียบร้อย มินก็เตรียมตัวเดินทางกลับ
แม่บอกว่าแม่พอจะทำใจได้ และที่บ้านยังมีคนอีกหลายคน รวมไปถึงบ้านญาติสนิทที่สร้างบ้านอยู่ติด ๆ กันอีกหลายหลัง

และแม่ยังมีหลานที่กำลังจะเติบโตขึ้นมา
เป็นตัวแทนของน้องชายอีกสองคน
ไว้เป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ 
แม่สรุปว่า ไม่ต้องเป็นห่วง 
แค่โทรหาแม่บ้าง แม่ก็รู้สึกดีแล้ว 
เพราะต่อจากนี้ไป 
แม่ก็เหมือนมีลูกเหลืออยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น

กว่าจะออกจากบ้านก็บ่าย 
มินนั่งอยู่เบาะหลังเหมือนเคย เราเดินทางกันอย่างไม่เร่งรีบ รถแล่นผ่านทุ่งนาป่าเขาแถวนั้น
ในตอนที่ดวงอาทิตย์รอน ๆ ใกล้จะตกดิน บรรยากาศรอบตัวดูหดหู่หม่นเศร้า 
เมื่อความเงียบเข้ามาเยือน 
ความทรงจำเก่า ๆ ก็พรั่งพรูจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว

มินกับน้องเติบโตมากับยายและป้า ๆ น้า ๆ เพราะแม่เป็นข้าราชการ ต้องย้ายที่อยู่บ่อย ๆ ความจริงมินเป็นลูกเลี้ยงที่ถูกเลี้ยงให้เติบโตคู่กันมา
แต่ว่าก็สนิทกันจนเหมือนพี่น้องจริง ๆ
สำหรับมิน ด้วยความที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่ลูกที่แท้จริง
เวลามีปัญหา มินก็จะพยายามตัดสินใจด้วยตัวเอง เพราะเกรงใจไม่อยากให้คนรอบตัวมารับรู้ มินทำงานหาเงินได้เองตั้งแต่เรียนชั้นประถม
ดูแลตัวเองได้ และแกร่งจนไม่เคยทำให้แม่ต้องเป็นกังวล ส่วนน้องชายกลายเป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนแอทางจิตใจ พอมีปัญหาก็มีแม่คอยช่วย มีพี่คอยดูแลแก้ปัญหาให้
เป็นเด็กขี้อ้อนมาตั้งแต่เด็ก ในขณะเดียวกัน
ก็เป็นเด็กเงียบขรึม พูดน้อย มีเสน่ห์ 
ใครเห็นใครก็รัก
และเพราะรู้สึกว่าจะมีคนช่วยตลอดเวลา ก็เลยทำให้น้องเป็นคนไม่คิดมาก ทำตัวสบาย ๆ
คนรักเยอะ และเพื่อนเยอะ

ในความรู้สึกของน้อง พี่คือฮีโร่ คือที่พึ่งทางใจที่ปรึกษาได้ทุกเรื่อง 
และคือที่พึ่งทางเงิน ที่เอ่ยปากเมื่อไหร่ ก็มีให้เมื่อนั้น

จำได้ว่าตอนเรียนประถม 
น้องชายซึ่งตัวเล็กบางขาวจั๊วไม่สู้คน เคยถูกเพื่อนต่อยปากเจ่อร้องไห้แง ๆ มาฟ้อง 
แล้วก็พี่คนนี้แหล่ะ ที่ตัวเล็กบางพอกัน พาน้องกลับไปท้าต่อยกับเด็กผู้ชายห้าหกคน
ก่อนเกิดการตะลุมบอลกันเละเจ็บตัวกันทั้งสองฝ่าย หนักหน่อยก็พี่ของน้องนี่แหล่ะ ที่โดนชกจนจุกแอ๊ก
เดือดร้อนยายต้องไปเจรจากับครู ที่ปล่อยให้เด็กผู้ชายมาต่อยเด็กผู้หญิงโดยไม่ห้ามปราม

แล้วก็น้องชายตัวดีอีกเหมือนกัน
ที่ชอบเล่นเป่ากบเหลือเกิน
เล่นตอนไหน ก็ถูกกินเรียบตอนนั้น
แล้วก็เหมือนเคย คือขี้แยกลับมาฟ้อง
เสียดายหนังกะติ๊กหลากสีที่เสียไปเป็นร้อย ๆ เส้น

แล้วก็พี่คนนี้นี่แหล่ะ
กลับไปท้าพนันเอาคืนมาให้น้อง
มากกว่าเดิมตั้งไม่รู้กี่เท่า

พอโตมาหน่อย 
น้องเริ่มตัวบึ๊กขึ้น เพราะเริ่มเล่นกีฬา 
ตอนเรียนมัธยม น้องตัวสูงกว่าพี่ 
แถมเงียบขรึมหล่อเหลา 
เป็นนักกีฬาฟุตบอลที่สาว ๆ รุมตรึม แถมกลายเป็นหนุ่มเจ้าสำอาง เสื้อชุดนักเรียนต้องรีดเรียบเนี๊ยบกลีบคมกริบ ก็ฝีมือพี่คนนี้แหล่ะที่จัดเตรียมไว้ให้ ไม่เว้นแม้แต่เสื้อผ้าลำลองอื่น ๆ 
ทุก ๆ 3 เดือนแม่จะให้เงินคน 1 พันบาท เพื่อซื้อเสื้อผ้าที่ตัวเองชอบได้ตามแต่ใจ เจ้าน้องตัวดีจะไม่ยอมซื้อ 
จะพยายามเก็บเงินไว้ให้นานที่สุด 
ก่อนจะค่อย ๆ หมดไปกับเรื่องไร้สาระ
โดยไม่ได้เสื้อผ้าหรือรองเท้าซักชิ้น ส่วนพี่ซึ่งชอบใส่เสื้อเชิตกางเกงยีนส์รองเท้าหนัง จะได้ทุกอย่างครบชุด 
วันที่เห็นพี่ใส่เสื้อผ้าใหม่โก้ 
น้องชายจะเมียง ๆ มอง ๆ อย่างถูกใจและหมายมั่น
ก่อนปล่อยให้พี่ใส่ให้สบายอารมณ์ซัก 2-3 ครั้ง จากนั้นเสื้อเชิ๊ตที่ซักตากไว้จะหายไปก่อน แล้วตามด้วยรองเท้าหนังสาน 
ซึ่งคนตั้งใจจะเอา พยายามยัดเท้าใหญ่ ๆ ใส่เข้าไปจนรองเท้าเสียรูปหมดราคา

จากนั้น แม่ก็จะได้ยินเสียงพี่กรี๊ด ๆ ๆ ๆ พร้อมคำต่อว่าต่อขานตะเบ็งเซ็งแซ่ 
เหมือนเกิดสงครามย่อย ๆ กันกลางบ้าน

แต่แม้ว่าน้องจะเป็นคนเงียบ ๆ เหมือนไม่ค่อยเอาเรื่องเอาราวกับใคร 
ไม่สู้คน ไม่ชวนหาเรื่อง 
แต่มีเรื่องหนึ่งที่ยอมไม่ได้คือเรื่องหวงพี่สาว

เคยมีเพื่อนในกลุ่มของน้องชวนกันมาเที่ยวบ้าน แวะเวียนมาบ่อยจนผิดสังเกต 
จนวันหนึ่งเค้ารู้ความจริงว่า ที่เพื่อน ๆ แวะเวียนกันมา 
ก็เพื่อมาแข่งกันจีบพี่สาว เท่านั้นแหล่ะ เค้าประกาศลั่นห้ามเพื่อนทั้งกลุ่มเข้าบ้านอีกตลอดชีวิต

เรื่องหวงพี่นี่ ขึ้นชื่อจนเลื่องลือไปถึงไหน ๆ
แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ถ้าพี่เลือกที่จะคบใคร คนเป็นน้องก็ถอยไปมองห่าง ๆ และจะฮึ่ม ๆ เข้าใส่ ก็ต่อเมื่อเห็นคนที่พี่สาวคบหาทำท่าไปอี๋อ๋อกับผู้หญิงคนอื่น

น้องเติบโตมาท่ามกลางความรักของทุกคน โดยไม่มีใครรู้ว่าภาวะในจิตใจค่อนข้างอ่อนแอ
น้องหยุดเรียนแค่ ม.3 โดยไม่มีเหตุผล
และแต่งงานก่อนอายุจะถึง 20 จากนั้นก็มีหลานชายหญิงให้แม่เลี้ยงในเวลาต่อมา

น้องยังเป็นผู้ชายที่เงียบขรึม ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไร ไม่เคยเจ็บป่วยถึงขนาดนอนโรงพยาบาล 
แต่เขาดูดบุหรี่จัด และเริ่มดื่มเหล้าเมาไม่รู้เรื่อง

แม่บอกว่าไม่รู้เขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ส่วนมินเข้ากรุงเทพฯ หลังจากจบมัธยมปลาย
นาน ๆ กลับบ้านสักครั้ง จึงไม่เคยรู้เหมือนกัน
ว่าอะไร ทำให้น้องเปลี่ยนไปได้มากถึงเพียงนี้
แม่บอกว่า น้องจะตื่นเต้นดีใจทุกครั้งที่รู้ว่าพี่จะกลับบ้าน จะตั้งหน้าตั้งตารอ เพื่อได้พูดคุยแค่คำสองคำ
แล้วเค้าก็ไปทำงาน

สงกรานต์ที่ผ่านมา
เป็นครั้งแรกใน 10 ปีตั้งแต่อยู่กรุงเทพฯ ที่มินกลับบ้านตรงกับเทศกาลหยุดยาว
เพราะมินเกลียดรถติด เดินทางหน้าเทศกาล ต้องแย่งกันไปซะทุกอย่าง แม้แต่เข้าห้องน้ำยังต้องรอคิวยาวเหยียด แวะปั๊มทีนึงก็แทบจะหาที่จอดรถไม่ได้ แต่คราวนี้ไม่รู้อะไรทำให้อยากกลับ และก็เป็นผลทำให้ได้อยู่บ้านหลายวันหน่อย 

น้องชายดูเงียบลงกว่าเดิมเยอะมาก
ช่วงหนึ่งของการพูดคุย เค้าร้องไห้
บอกว่าเวลาเทศกาลแต่ละครั้ง 
บ้านอื่นมีพี่น้องกลับมา แต่บ้านเราไม่เคยมี 
แต่คราวนี้เค้าดีใจที่พี่กลับ และอยู่บ้านได้หลายวัน ได้มีเวลาพูดคุยกันบ้าง

แต่ก่อนกลับกรุงเทพฯ เค้าบอกมินว่า
เค้ากำลังจะตายแล้วนะ
มินฟังแล้วหัวเราะ บอกเค้าว่า
เกิดมาทั้งที บุญคุณพ่อแม่ตอบแทนหรือยัง
ถ้ายัง ก็อย่าเพิ่งตายเลย อยู่ไปก่อน
ตอบแทนให้คุ้มก่อน

มินไม่คิดว่าจะเป็นคำพูดสุดท้ายที่เราได้คุยกัน
น้องอายุยังน้อย
และมินไม่เคยคิดว่าในที่สุดเค้าจะจากไปจริง ๆ

วันเกิดเรื่อง
แม่บอกว่าเค้าไปทำงานปกติเหมือนทุกวัน
พักเที่ยงก็ทานข้าว 
พอบ่ายเค้าก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดสด ๆ 
จากนั้นก็หมดสติ และชีพจรหยุดเต้น

ก่อนหมดสติ
เค้าพยายามบอกคนรอบตัวว่าให้พาเค้ากลับบ้าน
เค้าอยากกลับไปหาแม่...

หมอบอกว่าสภาวะในร่างกายทุกอย่าง
ล้มเหลวเฉียบพลัน โดยเฉพาะปอด 
เสียหายไปจนเกือบหมดแล้ว 
ตลอดเวลาที่อยู่ในไอซียู เลือดยังซึมออกจากปากจากจมูกไม่หยุด
จนถึงลมหายใจสุดท้าย 
ร่างกายไม่ตอบสนองต่ออ๊อกซิเย่น 
ญาติ ๆ ที่อยู่รอบเตียงบอกว่า 
เค้าเหมือนคนร้องไห้ 
สะอื้นสะท้านน้ำตาไหลอาบหน้า 
ก่อนชีพจรจะหยุดลง

หลายคนบอกว่า 
น้องชายอาจจะรอพี่สาว 
รอเหมือนเคยรอ และรอจนวาระสุดท้ายของชีวิต

มินนั่งร้องไห้มาเกือบตลอดทาง
ถึงกรุงเทพฯ ตอนตีสามกว่า ๆ
กว่าจะหลับก็เกือบเช้า
รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อได้ยินเสียงกริ่งที่หน้าบ้าน

ข่าวร้ายอีกแล้ว

พี่ที่อยู่บ้านถัดไปไม่กี่หลังตายแล้ว
เค้าไม่สบาย มินเพิ่งซื้อองุ่นพวงใหญ่ไปเยี่ยม
ก่อนจะได้ข่าวน้องชาย 2-3 วัน
ในที่สุด พี่เค้าก็ตายไปอีกคน

มินซึม..........................................
นึกโกรธเคืองไปทั่ว
อะไรนะ ทำให้มีมนุษย์ก่อเกิดขึ้นมาบนโลก
เกิดมาโดยไม่รู้ชะตากรรม
รู้อย่างเดียวคือ
ทุกคนเกิดมาต้องตาย
แต่ตายยังไง เมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้

หลายคนประกาศปาว ๆ ว่าตัวเองมีจุดมุ่งหมาย
มีความสำเร็จรออยู่ข้างหน้า
ต้องทำงานเพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเอง
ต้องทำงานเพื่อเกียรติยศ ชื่อเสียง
ต้องดูแลตัวเองอย่างดี
เพื่อวันหนึ่ง......

วันหนึ่ง.... ซึ่งไม่รู้เมื่อไหร่....

วันหนึ่ง.... ซึ่งถูกอะไรซักอย่างกำหนดไว้แล้ว....

วันหนึ่ง..... ซึ่งทุกคนก็รับรู้......

คือวันหนึ่งที่ต้องตาย..... ทุกคนต้องตาย.....

ในเมื่อที่สุดของชีวิตคือความตาย

แล้วเราจะทำ จะสู้ จะอดทน เพื่ออะไรกัน.....

..............................................................................................................


ทุกวันนี้มินยังถามตัวเองซ้ำซากเหมือนคนโง่

ว่าที่ทำทุกอย่างอยู่ทุกวันนี้

เพื่อให้อยู่ดีกินดีเพื่อรอวันตาย......

แค่นั้นเองหรือ........


........................................................................................................................				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟนั่งยิ้มริมระเบียง
Lovings  นั่งยิ้มริมระเบียง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟนั่งยิ้มริมระเบียง
Lovings  นั่งยิ้มริมระเบียง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟนั่งยิ้มริมระเบียง
Lovings  นั่งยิ้มริมระเบียง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงนั่งยิ้มริมระเบียง