พรหมกุมาร

ปติ ตันขุนทด

***พรหมกุมาร***
 
ครั้นพรหมกุมารเจริญวัย    มีชนมายุได้ ๗ ขวบ   ก็มีน้ำใจองอาจกล้าหาญ   ชอบเครื่องสรรพยุทธ์และวิชาการยุทธ์ทั้งปวง   ครั้นชนมายุได้  ๑๓  ขวบ  มหาศักราชล่วงได้  ๒๙๓  ปี  ดับไซ้  คือปีมะเส็ง  เดือน  ๙  คือเดือน  ๘  ขึ้น  ๘  ค่ำ  วันอังคาร   ยามกลางคืนค่อนแจ้ง  พรหมกุมารทรงสุบินนิมิตฝันเห็นเทพดาลงมาหา  แล้วบอกว่า  ถ้าเจ้าอยากได้ช้างมงคลตัวประเสริฐ   รุ่งเช้าวันนี้  จงตัดขอไม้ไม้ไร่ถือไป   และจงไปล้างหน้าที่แม่น้ำของ  เจ้าจักได้เห็นช้างเผือกล่องน้ามาสามตัว
ถ้าจับได้ตัวที่หนึ่งจะได้ปราบทวีปทั้งสี่
ถ้าจับได้ตัวที่สองจะได้ปราบชมพูทวีปแต่ทวีปเดียว
ถ้าจับได้ตัวที่สามจะได้ปราบแคว้นล้านนาไทย  ประเทศขอมดำทั้งมวล
เทพดาบอกความแล้วก็กลับไป    พรหมกุมารสะดุ้งตื่นก็พอรุ่งแจ้ง   จำความฝันนันได้แม่นยำ  จึงเรียกเด็กบริวาร  ๕๐  คนมาสั่งให้ไปตัดไม้ไร่ได้แล้วก็พากันไปสู่ท่าน้ำ  ณ  ฝั่งแม่น้ำขละนที  คือแม่น้ำของ(โขง)  สรงแล้วก็รอคอยอยู่ประมาณครู่หนึ่ง  ก็เห็นงูตัวหนึ่งสีเหลืองเลื่อมเป็นมันยับ  ใหญ่ยาวยิ่งนัก   เลื้อยล่องน้ำมาใกล้ฝั่งแม่น้ำของที่พรหมกุมารกับเด็กบริวารอยู่  พรหมกุมารและบริวารก็พากันหวั่นไหวตกใจกลัว   มิจลงไปใกล้กรายได้   ครั้นงูใหญ่นั้นล่องเลยไปได้ประมาณยามหนึ่ง   ก็ได้เห็นงูอีกตัวหนึ่ง  ใหญ่เท่าลำตาล  เลื้อยล่องลงมาอีก  พรหมกุมารและบริวารก็มิอาจที่จะทำประการใด  พากันนิ่งดูอยู่  งูนั้นก็ล่องเลยไป
สักครู่หนึ่งก็เห็นงูใหญ่เท่าลำตาล  ล่องน้ำมาอีกตัวหนึ่ง   ครั้นพรหมกุมารได้เห็นงูครบ ๓ ตัวดังนั้น   จึงมาระลึกถึงความฝันอันเทพดามาบอกว่า   จะมีช้างประเสริฐ  ๓  ตัวล่องแม่น้ำของงมา   ครั้นมาดูก็ไม่เห็นช้าง   ได้เห็นแต่งูใหญ่ถึง  ๓  ตัว  ดังนี้  ชะรอยว่าช้างนั้นจะเป็นงูนี้เอง
เมื่อดำริเห็นเป็นแม่นมั่นเช่นนั้นแล้ว  จึงสั่งบริวารทั้งหลายว่า  เราจงช่วยกันจับงูตัวนี้ให้จงได้   จะเป็นตายร้ายดีประการใดก็ตามทีเถิด   แล้วก็พากันลงไปเตรียมคอยจับงูอยู่ริมกระแสน้ำ
พองูนั้นลอยมาใกล้เจ้าพรหมกุมารกับเด็กบริวาร  ก็เอาขอไม้ไร่เข้าเกาะเกี่ยวจับงูนั้นได้  งูนั้นก็กลับหายกลายเป็นช้างเผือกบริสุทธิ์ผุโผ่องพ่วงพีงาม   พรหมกุมารก็มีน้ำใจชื่นชมยินดี   ขึ้นขี่เหนือคอช้างนั้น  เอาไม้ไร่เกาะเกี่ยวขับไสให้ขึ้นจากน้ำ   ช้างนั้นก็มิได้ขึ้น  ลอยเล่นน้ำทวนไปมาอยู่  
พรหมกุมารจึงใช้เด็กบริวารไปทูล่ความแก่บิดาให้ทรงทราบ  พระองค์พังคราชจึงปรึกษาโหราจารย์  โหรแนะนำให้เอาทองคำหนักพันหนึ่ง  (คือชั่งหนึ่ง)  ตีเป็นพาง  คือกระดึงไปตีนำหน้าพระยาช้าง  ๆ   จึงจะขึ้นจากน้ำได้   พระบิดาก็ให้ทำตามคำโหราจารย์   แล้วเจ้าทุกขิตะกุมารผู้เป็นเชษฐาเจ้าพรหมกุมาร   นำกระดึงทองคำไปตามหาพรหมกุมาร  ครั้นถึงจึงตีกระดึงทองนั้น   พระยาช้างได้ยินเสียงกระดึงจึงขึ้นจากน้ำโดยปกติ  ที่ ๆ ช้างลอยน้ำอยู่นั้นจึงมีชื่อปรากฏว่า  ตำบลควานทวน   ส่วนพระยาช้างนั้นจึงมีนามว่า  ช้างพางคำ  (คือกระดึงทองคำ)
*****
พงศาวดารโยนก  บริเฉท  ๕  ว่าด้วยขอมและไทย				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน