28 ตุลาคม 2549 13:31 น.

คนจรจัด

พีรเดช นวลสาย

ชายคนนั้น    เป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักว่าเขาเป็นใครมาจากไหนหรือแม้แต่ชื่ออะไร ความจริงคือไม่มีใครสนใจอยากรู้ ไม่มีใครนึกอยากจะเรียกชื่อเขาเลยด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่คนละแวกนี้รู้เกี่ยวกับตัวเขาคือเขาอาศัยกินอยู่หลับนอนอยู่บนถนนสายนี้ ถนนที่แออัดยัดทะนานด้วยรถยนต์ หาบเร่แผงลอย  หมาจรจัด  หนูและสารพัดขยะ  เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะอาศัยอยู่บนถนนสายนี้มานานกว่าใครบางคนที่ปรายตามองราวกับเห็นเขาเป็นตัวประหลาด  หรือกระทั่งบางคนที่มักคิดในใจบ่อยๆ ว่าเขาเป็นส่วนเกินของถนนสายนี้ซะอีก ทุกเช้าหรืออาจสายโด่งในบางวันเขาจะงัวเงียตื่นขึ้นมาจากซอกเล็กๆ  ซอกใดซอกหนึ่งของถนนแล้วแต่ว่าคืนนั้นจะสมัครใจซุกหัวนอนตรงซอกมุมไหนและก็ไม่สำคัญหรอกว่ามันจะเป็นหน้าบ้านร้านรวงของใคร  เพราะทุกตารางนิ้วบนถนนสายนี้มันคือบ้านของเขา   บ้านที่อาจจะมีหลังคาคลุมหัวในบางวันโดยเฉพาะวันที่ฝนตกอ้อยอิ่งไม่ยอมหยุดราวกลัวว่าท้องฟ้าจะแห้งเฉา  หรืออาจจะเปลือยโล่งโจ้งในคืนที่นึกอยากนอนนับดาวเล่น  ถังขยะใบเขื่องเรียงรายตามริมทางนั่นก็เป็นห้องครัวที่เขาได้อาศัยฝากท้องเป็นประจำ  บางทียังมีขนมไหว้ในจานสังกะสีเก่าๆ ของอาแปะตาฟางที่แกชอบเดินย่องแย่งถือออกมาวางไว้หน้าร้านโชวห่วยของแก  กองเปลือกส้มบิดเบี้ยวของแม่ค้าน้ำส้มคั้น เศษขนมปังที่คนเดินเท้าโยนเกลื่อนเต็มพื้นฟุตบาธให้เป็นอาหารนกพิราบฝูงใหญ่ ซึ่งเขามักจะถูกไล่ตะเพิดเป็นประจำ   เพราะคนพวกนั้นอยากให้นกกินมากกว่าให้คนจรจัดสกปรกอย่างเขา  

    วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสเขาจะเดินทอดน่องสำรวจไปทั่วทุกซอกมุมของบ้าน หว่านยิ้มให้ผู้คนขวักไขว่เสมือนเจ้าบ้านกำลังออกหน้าต้อนรับแขกเหรื่อผู้มาเยี่ยมยาม  ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังรอยยิ้มนั้นคืออะไร  ทุกคนเพียงแต่เบือนหน้าหนีและเดินเลี่ยงออกห่าง  เขาอาจตะขิดใจบ้างหรือไม่ก็ไม่รู้สึกอะไรเลยเพราะรอยยิ้มยังเปื้อนหน้าแจกจ่ายให้กับทุกคน แม้แต่กับป้าผมสีดอกเลาผู้เคยสาดน้ำทิ้งเปียกขากางเกงเขาตรงหน้าร้านขายกาแฟของแกนั่นก็ด้วยความไม่ตั้งใจหรอก แกรีบขอโทษขอโพยแถมยังจะให้โอเลี้ยงแก่เขาเป็นการไถ่โทษ พอดีว่าวันนั้นเขากินเปลือกส้มมาจนอิ่มแปล้แล้วเลยยืนหัวเราะเอิ้กอ้าก 2-3 ที ก่อนจะเดินจากไป

    เย็นวันหนึ่งพวกเด็กซนเอายางสะติ๊กมาไล่ยิงเขาเป็นที่สนุกสนานจนต้องวิ่งหนีกระเซอกระเซิงไปหลบหลังรั้วมะขามเทศเตี้ยๆ ของบ้านไม้สีขาวหลังหนึ่ง ปกติเขาจะไม่กล้าเข้าใกล้บ้านหลังนี้มันดูลึกลับและน่ากลัวอยู่ในที เขาเคยได้ยินคนแก่ๆ แถวนี้พูดกันว่ามันเคยเป็นเรือนของ
ข้าหลวงเก่าเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว  ตอนหลังตกเป็นของลูกหลานแต่ไม่มีใครมาอยู่จนมีสภาพไม่ต่างจากบ้านร้าง  ยิ่งบริเวณบ้านรกครึ้มด้วยไม้ยืนต้นสูงทะมึนก็ยิ่งช่วยเสริมบรรยากาศกันเข้าไปใหญ่  มองจากข้างนอกรั้วมันดูเหมือนป่ามากกว่าจะเป็นบ้านอยู่อาศัย  ชื่อถนนสายนี้ก็ได้ยินว่าตั้งตามชื่อข้าหลวงผู้นี้เพื่อเป็นเกียรติที่ท่านเคยก่อคุณงามความดีและสร้างประโยชน์ให้กับผู้คนย่านนี้ไว้มาก  ท่านข้าหลวงคงจะเบาใจไม่น้อยถ้ารู้ว่าตอนนี้ถนนสายนี้มีเขาเป็นผู้เฝ้าดูแลอยู่เป็นอย่างดีเสมือนเป็นบ้านของเขาเอง

   ที่ที่เขาชอบที่สุดบนถนนสายนี้ไม่ใช่ลานดินโล่งที่เคยเผลอไผลไปนั่งฮัมเพลงในวันอับแสงแดด  แต่เป็นห้องแถวเล็กๆ ตรงเกือบสุดหัวมุมถนนนั่น   มันถูกทาด้วยสีเขียวตองอ่อนทั้งข้างในและข้างนอก  ตกแต่งอย่างหยาบๆ ด้วยรูปเปลือยประดามีของหญิงสาวมากหน้า  เขาไม่ได้ใส่ใจกับรูปถ่ายนุ่งน้อยห่มน้อยพวกนั้น หรือแม้แต่ลีลากวัดแกว่งตะไกรอันคล่องแคล่วลื่นไหลบนหัวลูกค้าของชายหน้าติดหนวดท่าทางอารมณ์ดีผู้เป็นเจ้าของร้านตัดผมแห่งนี้ แต่เขาชอบเสียงเพลงลูกทุ่งและลูกกรุงที่ดังมาจากเครื่องรับวิทยุทรานซิสเตอร์ตรงมุมห้องนั่นต่างหาก  มันช่างเป็นสำเนียงเพลงอันไพเราะจับใจ ยิ่งถ้าวันไหนอากาศดีมีลมโบกพัดเจ้าโมบายเปลือกหอยที่แขวนไว้ตรงประตูกับหน้าต่างจะส่งเสียงฮัมเพลงกรุ๋งกริ๋งๆ รับกันเป็นจังหวะ   ราวกับเป็นเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว ทุกบ่ายของวันที่ว่างจากการเดินสอดส่องดูแลบ้านเขามักจะมานั่งติดกับประตูหน้าร้านหลับตาพริ้มฟังเพลงอย่างมีความสุข ช่วงแรกๆ ก็เคยโดนเจ้าของร้านไล่ให้ถอยไปนั่งไกลๆ  แต่นานวันเข้าเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ลุ่มล่ามหรือเป็นพิษเป็นภัยกับใคร  เขาก็แทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของร้านตัดผมไปโดยความคุ้นชิน ลองวันไหนหายหน้าไปก็มักจะมีคนถามถึงแต่จะด้วยความเป็นห่วงหรือแค่รู้สึกไม่คุ้นตาก็สุดจะเดาได้ในเมื่อ เขา เป็นแค่คนจรจัดในสายตาคนอื่นเท่านั้น

    เขามีชีวิตอย่างนี้ อย่างเงียบเชียบบนถนนที่เขาภาคภูมิใจในความเป็นเจ้าของ ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเห็นความสำคัญของการมีตัวตนอยู่ของเขานัก อาจเป็นเพราะไม่เคยมีใครรู้ว่าเขามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือมาอยู่ได้อย่างไร แม้แต่ตัวเขาเองก็รู้แต่เพียงว่าเมื่อตื่นลืมตาขึ้นมาในทุกๆ เช้าก็เห็นถนนสายนี้ เห็นผู้คน รถรา เห็นความเคลื่อนไหวของชีวิตที่ตื่นจากหลับไหลหลังการจากไปอันเงียบเชียบของค่ำคืน ซึ่งเป็นภาพชินตามาเนิ่นนาน และมันก็นานเกินกว่าจะจดจำจุดเริ่มต้นได้  และเขาก็เห็นพ้องกับคนอื่นๆ ว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ


    อาคารแบบสมัยใหม่ขนาดมหึมาหลังนั้น  ยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางแสงไฟสว่างไสวนับร้อยดวงที่ทำหน้าที่ขับไล่ความมืดมิดของค่ำคืนให้จำนนถอยร่นไป การปรากฏตัวของมันออกจะอึกทึกเอิกเริกผิดวิสัยผู้มาใหม่อยู่ไม่น้อยแต่ชั่วไม่กี่อึดใจมันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่อย่างง่ายดายบนความยินยอมของผู้คนซึ่งถูกจูงใจชวนเชื่อด้วยความสะดวกสบายสารพัดตามแบบวิถีชีวิตสมัยใหม่อันจะพึงมีให้เบ็ดเสร็จในนั้น
    "ได้ยินมาว่าเขาจะสร้างศูนย์สรรพสินค้าอะไรนี่แหละ ไอ้แบบที่มีข้าวของทุกอย่างตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบให้เลือกซื้อได้ในนั้นน่ะ" 
     ประโยคหนึ่งที่เขาเคยได้ยินตอนเดินผ่านหน้าร้านกาแฟแว่วดังขึ้นมาในความคิดอีกครั้ง  หลังจากยืนนิ่งจมอยู่ในความเงียบงันพักใหญ่    ตอนนั้นเขาไม่ค่อยจะเข้าใจนักว่ามันหมายถึงอะไร มโนภาพเกี่ยวกับศูนย์สรรพสินค้าที่ว่าไม่เคยมีอยู่ในความนึกคิดของเขาเลย จนกระทั่งบ่าย
ของวันที่พุ่มรั้วกระถินหน้าบ้านท่านข้าหลวงเก่าล้มระเนระนาด  ประดาไม้ยืนต้นถูกโค่นหัก  บ้านไม้เก่าแก่กลายสภาพเป็นเศษไม้นอนแน่นิ่งซบพื้นดิน   เขาถึงกับเผลอร้องเสียงหลงท่ามกลางเสียงแผดคำรามของเครื่องจักรกลและกังวานหัวเราะชอบใจของกลุ่มเด็กซนที่ยืนมุงดูเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน   คนงานท่าทางดุดันเหล่านั้นหันมามองแค่แว่บเดียวก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าต่อไปอย่างไม่นึกแยแส  แต่สายตากระด้างนั่นก็เพียงพอจะทำให้เขาผงะถอยออกจากความคิดจะเข้าไปห้ามปราม เวลานั้นเองที่เขารู้สึกว่ามีภาพของสิ่งแปลกปลอมบางอย่างคุกคามเข้ามาในห้วงความรู้สึกอย่างหนักหน่วง
    สิ่งที่เขาได้ยินต่อมาจากนั้นคือคำบอกเล่าว่าลูกหลานของท่านข้าหลวงเป็นคนสมัครใจขายที่ดินเก่าแก่แปลงนี้เอง ด้วยเหตุผลว่าทิ้งไว้ก็มีแต่จะกลายเป็นที่รกร้างเปล่าประโยชน์สู้ขายเอาเงินไปลงทุนทำกำไรให้งอกเงยเสียดีกว่า  เขาในฐานะเจ้าของบ้าน และฐานะผู้ดูแลถนนสายนี้อยากแย้งเหลือเกินว่านั่นคือบ้านของท่านข้าหลวง มันจะเปล่าประโยชน์ได้ยังไงในเมื่อท่านสร้างคุณงามความดีให้กับผืนแผ่นดินนี้ตั้งมากมาย  แต่ใครจะฟังคำพูดคนจรจัดไร้ค่าอย่างเขา  เขาเคยทำคุณประโยชน์อะไรให้แผ่นดินนี้บ้างถึงจะมีสิทธิ์มาหวงแหนมัน
    ชั่วไม่กี่ค่ำคืนสิ่งก่อสร้างใหม่ได้่เข้ามายืนแทนที่บ้านไม้สีขาวเก่าแก่อย่างไม่เหลือร่องรอยเดิมให้เห็น ซากต้นไม้และเศษกองไม้สีขาวอันตรธานหายไปจากที่ดินที่มันเคยอยู่มาหลายสิบปี ไม่มีใครถามถึงว่ามันระเห็จไปอยู่ไหนทุกคนมัวแต่จดจ่อกับการเติบโตของสิ่งใหม่  ไม่เต็มสามเดือน
ดีนัก   ศูนย์สรรพสินค้าก็พร้อมต้อนรับความอยากรู้อยากเห็นของผู้คน เขาจำได้ถนัดตาว่าเพียงวันแรกที่มันเปิดคนหลายร้อยหลายพันก็เบียดเสียดกันเข้าไปในนั้น เสียงรถยนต์ เสียงตะโกนพูดคุย เสียงดนตรีสมัยใหม่ดังระคนปนเปจนฟังไม่ได้ศัพท์

    "มาอีกแล้วเหรอ บอกแล้วไงอย่ามายุ่มย่ามแถวนี้ ไป-ไปที่อื่น" น้ำเสียงกังวานข่มขู่ของรปภ.ร่างสูงใหญ่ดังขึ้นเกือบข้างๆ หู ผลักเขากระเด็นหลุดจากภวังค์ความคิด จนต้องรีบผงะถอยไปยืนตัวแข็งทื่ออยู่ริมทางเดินหน้าศูนย์สรรพสินค้า
    "พูดไม่ฟังกันคราวหน้าจะเรียกตำรวจมาจับไปขังคุกแล้วนะ" รปภ.คนเดิมทำท่าจะเข้ามาคว้าแขน เขาแจ้นหนีโดยไม่หันหลังกลับไปมอง จนแน่ใจว่ามาไกลพอจะปลอดภัยแล้วค่อยทรุดตัวลงนั่งหอบเหนื่อยกับพื้นฟุตบาธ
    'มันอาจจะถึงเวลาที่ต้องไปจริงๆ แล้วก็ได้' เขาครุ่นคิดพลางกวาดสายตาสำรวจไปรอบตัว ตอนนี้บ้านของเขาไม่ใช่บ้านหลังเดิมที่เคยเป็นอีกต่อไปแล้ว ถึงจะยังใช้ชื่อของข้าหลวงท่านนั้นเป็นชื่อเรียกอยู่แต่ก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลยแม้แต่บ้านเก่าแก่ของท่านแท้ๆ ยังถูกลูกหลานขายทอดให้คนอื่น   เพื่อนบ้านเก่าๆ ทะยอยย้ายออกไปทีละคนสองคน คนใหม่ผลัดหน้าเข้ามาไม่เคยซ้ำเดิม  ฝูงนกพิราบที่อาศัยหากินอยู่นับหลายชั่วอายุอพยพจากไปอย่างไม่ย้อนกลับ ร้านรวงน้อยใหญ่ค่อยๆ ปิดตัวเองลงเงียบเชียบ แผงลอยของแม่ค้าน้ำส้มคั้นหายไปพร้อมกองเปลือกส้มบิดเบี้ยว ร้านกาแฟโบราณของป้าผมสีดอกเลาปิดหลังจากศูนย์สรรพสินค้าเปิดได้ยังไม่เต็มเดือน  เพราะคนแห่ไปกินกาแฟฝรั่งในนั้นหมดเขาว่านอกจากจะอร่อยแล้วยังได้นั่ง
ในห้องแอร์เย็นสบายกว่ากันเป็นไหนๆ เขาได้ยินป้าแกตัดพ้อกับตัวเองว่าเห็นทีสูตรกาแฟโบราณเก่าแก่ของปู่ย่าตายายคงตายไปพร้อมกับแกเป็นแน่   และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นแก ถัดมาก็เป็นร้านโชว์ห่วยของอาแปะตาฟางทนอยู่ได้นานกว่าร้านกาแฟหน่อย กัดฟันลดราคาแข่งกับเขาก็ทำ  ลดแลกแจกแถมก็ทำ คนยังแห่ไปซื้อในร้านค้าติดแอร์นั่นอยู่ดีสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ยอมปิดตัวไป ตัวแกเองดึงดันจะทำต่อเพราะร้านนี้ถึงจะเล็กจะเก่ายังไงมันก็เกิดจากน้ำพักน้ำแรงที่แกสู้อุตส่าห์ก่อร่างสร้างสมมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ มันไม่ใช่แค่ร้านขายของแต่มันเป็นเสมือนลมหายใจของแกเลยก็ว่าได้    แต่ลูกชายแกขอร้องแกมบังคับให้เลิกขาย  เขาคงอยากให้พ่อพักผ่อนใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสงบจึงพาครอบครัวย้ายไปอยู่บ้านชานเมืองที่ซื้อไว้
ส่วนร้านนี้ก็ขายให้ศูนย์สรรพสินค้า และแค่ชั่วไม่กี่วันมันก็ถูกรื้อถอนเพื่อขยายที่จอดรถของลูกค้าให้กว้างขวางขึ้น

    ร้านตัดผมเป็นแห่งสุดท้ายที่ยืนหยัดได้นานที่สุด
    ถึงวันที่ปิดก็ยังมีลูกค้าขาประจำมาขอให้ตัดเป็นการส่งท้าย  เพลงลูกทุ่งที่เปิดวันนั้นก็บังเอิญเหลือเกินที่มีแต่บทเพลงอันเศร้าสร้อยหมองหม่น   ทำเอาทุกคนน้ำตาซึม ส่วนเขานั้นไม่ต้องพูดถึงต้องแอบปาดน้ำตาหลายครั้งจนกลัวคนอื่นๆ จะสังเกตเห็นนั่นเลยเชียว  อันที่จริงร้านตัดผมไม่ได้ปิดเพราะคนแห่เข้าไปตัดที่ร้านติดแอร์ข้างในศูนย์สรรพสินค้ากันหมด ลูกค้าเก่าแก่ยังคงแวะเวียนมาอุดหนุนกันอยู่ไม่ขาดแต่เจ้าของร้านเห็นว่าร้านของเขาเล็กและเก่าแก่ล้าสมัยเกินไปแล้วสำหรับถนนที่เติบโตขึ้นทุกวันสายนี้ ขืนดึงดันอยู่ต่อไปรังแต่จะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมไปเสียเท่านั้น ถึงเวลาที่ต้องหลีกทางให้ความเจริญใหม่ๆ เข้ามาแทนที่จึงตัดสินใจขายร้านให้คนอื่น ส่วนตัวเองจะกลับไปเปิดร้านตัดผมเล็กๆ แบบเดิมนี้ที่บ้านนอกแทน   นับแต่นาทีนั้นแหละที่เขารู้สึกว่าบ้านหลังใหญ่ของเขาถูกโค่นเสาต้นสุดท้ายจนล้มครืนลงต่อหน้า  เขาได้เพียงโมบายเปลือกหอยไว้เป็นของดูต่างหน้า   ความจริงเจ้าของร้านจะโละทิ้งเขาจึงรีบออกปากขอไว้ แม้จะไม่มีประตูหรือหน้าต่างให้แขวนเขาก็ยังอยากจะเก็บมันไว้ วันหนึ่งเขาอาจจะเจอที่เหมาะๆ
สำหรับแขวนมันก็ได้

    ศูนย์สรรพสินค้ายังคงยืนทะมึน ต้อนรับผู้คนเข้า-ออกไม่ขาดสาย
    แต่สำหรับเขา...มันกำลังแสดงความเป็นเจ้าของบ้านคนใหม่อย่างเต็มตัว และกำลังตะโกนขับไล่เขาซึ่งเคยเป็นเจ้าของบ้านคนเก่า เสมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมในบ้านเก่าแก่หลังนี้
    เขายกมือขึ้นปาดน้ำอุ่นๆ ที่เอ่อท้นออกมานอกเบ้าตา ไม่รู้ว่ามันไหลจากความเศร้าสร้อยหรือขุ่นเคืองกันแน่มันสับสนปนเปจนบอกตัวเองไม่ถูก
    'มันอาจจะถึงเวลาที่ต้องไปจริงๆ แล้วก็ได้'  ความคิดเดิมแว่วซ้ำเข้ามาในห้วงนึกคิดอีกครั้ง  และครั้งนี้มันชัดเจนราวมีคนมาตะโกนกรอกใส่ข้างหู
     'แล้วจะให้ไปอยู่ไหนล่ะที่นี่มันบ้านของฉัน นานเท่าที่จำได้ฉันก็เห็นตัวเอง กิน อยู่ หลับนอน ในบ้านหลังนี้ สุข ทุกข์ก็ไม่เคยอย่างกรายพ้นชายคาไปที่อื่นเลย' เขาทักท้วงเสียงที่ดังเข้ามาในความคิดนั้นพลางทรุดตัวนั่งลงก้มหน้าซบสะอื้นไห้กับพื้นทางเท้าอุ่น

    และเนิ่นนานเท่าไดไม่รู้ที่ความเงียบงันเข้าโอบคลุมระหว่างตัวเขากับบ้านของเขา  กระทั่งชายจรจัดตัดสินใจยันตัวลุกขึ้น...แล้วก้าวเดินออกไป  พร้อมดวงตาอันเลื่อนลอย 
    ทิ้งบ้านที่เขารักไว้เบื้องหลัง...				
20 ตุลาคม 2549 19:23 น.

จุดปลายสุดของคำถามที่เกือบจะว่างเปล่า...

พีรเดช นวลสาย

เพื่อนผมคนหนึ่งชอบถามบ่อยๆ ว่า 'รู้ไหม เราเกิดมาเพื่ออะไร?'
          ผมไม่อยากเรียกมันว่าคำถามเท่าไหร่นักหรอกเพราะมันไม่มีคำตอบ หมายถึงผมไม่คิดว่ามันมีคำตอบสำหรับข้อสงสัยนี้ของเขา และผมเองก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องสลักสำคัญว่าเราจะเกิดมาเพื่ออะไร เพราะความจริงกว่านั้นคือเราได้เกิดมาแล้ว ดำรงอยู่บนความมีชีวิตและความสงสัย เราเฝ้าตั้งคำถามมากมายกับสิ่งต่างๆ รายรอบตัว  กระนั้นก็ยังมีอีกหลายต่อหลายคำถามเช่นกันที่ไม่เคยได้รับคำตอบ แต่เราก็ยังดำรงอยู่ได้มันจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นนักหรอกว่าเราจะต้องรู้หรือเข้าใจอะไรๆ ไปเสียทั้งหมด ผมหมายรวมถึงข้อสงสัยที่ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไรด้วย
	          "นายไม่เข้าใจคำถามน่ะสิ" เพื่อนผมว่า "หรือไม่นายก็มัวแต่หลงระเริงกับการมีชีวิตอยู่จนไม่ได้นึกเอะใจเลยสักนิด"
	           "เอะใจ?" ผมขมวดคิ้ว
          	"ใช่! เอะใจ ยอมรับเถอะว่าที่ผ่านมายี่สิบเจ็ดปีนายไม่เคยนึกเอะใจเลยเพราะมัวแต่หลงระเริงกับเวลาที่ได้ใช้จ่ายไปวันแล้ววันเล่า ยี่สิบเจ็ดปี   นายคิดว่ามันเป็นเพียงเวลาแค่น้อยนิด เมื่อเทียบกับเวลาที่เหลือที่ยังเดินทางมาไม่ถึง ความคิดแบบนั้นล่ะทำให้นายเลินเล่อจนลืมฉุกคิดว่าแท้จริงแล้ว    นายเกิดมาเพื่ออะไร?"
           	"สำคัญด้วยหรือที่เราจะต้องรู้ ทำไมเราไม่ปล่อยให้ชีวิตเราเป็นไปตามครรลองที่มันควรจะเป็น หรือเป็นอะไรก็ตามที่เราอยากจะเป็น" ผมพูดไปตามที่คิด
	           "ที่นายพูดน่ะ ทั้งใช่และก็ไม่ใช่" เขาบอกเสียงทุ้มต่ำและรีบขยายความต่อเมื่อเห็นสีหน้าผมงุนงงยิ่งกว่าเดิม "หมายถึงว่านายเข้าใจถูกแล้วที่คิดว่า   เราควรปล่อยให้ชีวิตเราเป็นไปตามครรลองที่มันควรจะเป็น  แต่การปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามครรลองย่อมไม่ใช่ความหมายเดียวกับการใช้ชีวิตอย่างประมาทเลินเล่อแน่นอน เมื่อนายจะปล่อยชีวิตไปตามครรลองนายก็ควรจะทำความเข้าใจกับครรลองนั้นให้ถ่องแท้เสียก่อน หรืออย่างน้อยก็ควรจะรู้จักสักเสี้ยวกระผีกของมันบ้างก็ยังดี ไม่เช่นนั้นแล้วนายจะเป็นแค่คนที่บังเอิญเกิดมา สูดหายใจรับเอาอากาศเข้าออกไปวันๆ ปราศจากคุณค่าและไม่มีวันเข้าใจถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่"
	          ถึงตอนนี้ผมได้แต่นิ่งงัน ฟังเขาว่าต่อ
	          "พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เป็นการจัดที่ทางสำหรับตัวเราเอง มันเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องรู้ว่าเราควรจะยืนตรงไหนในโลกที่แออัดไปด้วยผู้คน ความเปลี่ยนแปลง และการแก่งแย่งทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด" 
	           ผมจำไม่ได้แน่ชัดว่าบทสนทนาของเราจบลงตรงไหน เราแยกกันในคืนนั้นหลังจากต่างคนต่างเมามายได้ที่ ผมเรียกแท็กซี่กลับแมนชั่นเพราะทานต่อน้ำหนักหัวอันหนักอึ้งไม่ไหวอีกต่อไป ส่วนเขาอาจจะไปหามุมสงบเงียบที่ไหนสักแห่งนั่งจิบเบียร์ต่อสักขวดสองขวดก่อนกลับบ้าน ทุกครั้งที่ดื่มด้วยกันเขาจะคอแข็งกว่าผมเสมอ
          	หลังจากนั้นผมกับเขาไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยเป็นเดือนๆ เราไม่ชอบคุยกันทางโทรศัพท์นอกจากจะใช้นัดหมายเพื่อพบปะ มันเป็นการสนทนาที่ฉาบฉวยเกินไป เราจะเชื่อใจคู่สนทนาที่ไม่เห็นหน้าค่าตาได้สักแค่ไหนกัน  แต่แล้วในภาวะที่ผมวางใจว่าชีวิตกำลังเดินไปบนเส้นระนาบอันเรียบรื่น  เช้าวันหนึ่งผมก็ได้รับข่าวร้ายทางโทรศัพท์
	          เขาตายแล้ว!     เมื่อคืนนี้เอง ขณะยืนรอแท็กซี่หน้าร้านเหล้าที่ไหนสักแห่ง รถยนต์คันหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาชนร่างโซเซของเขาอย่างจังจนกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตร ผมจับใจความได้เท่านั้น ก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกกดหัวลงในของเหลวข้นหนืดสีดำ ดวงตาทั้งสองข้างพร่ามัวจนบอดสนิทตามด้วยเสียงอื้ออึงของของเหลวประหลาดนั่นไหลทะลักอัดเข้ามาในรูหู จากนั้นทุกอย่างก็เบาหวิว..วูบหายไป
	          ผมไปฟังสวดทุกวัน แม้เสร็จงานศพแล้วก็ยังแวะเวียนไปคุยกับแม่ของเขา เธอจะน้ำตาคลอทุกครั้งที่เห็นหน้าผม แม่ผมเองก็คงไม่ต่างจากนี้หากเปลี่ยนจากเขามาเป็นผมแทน  ผมเข้าใจความรู้สึกของเธอแม้จะอธิบายให้ใครฟังไม่ได้แต่บางสิ่งบางอย่างทำให้ผมเชื่ออย่างนั้น ระยะหลังผมจึงไปที่บ้านนั้นเท่าที่จำเป็น กระทั่งไม่ย่างกรายไปอีกเลยเป็นเวลากว่าปีมาแล้ว กระนั้นคำถามของเขาก็ไม่เคยจางหายไปจากโสตสำนึกของผม
          	'เราเกิดมาเพื่ออะไรกัน?'

	          สองปีให้หลังผมพบรักกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผมไม่อาจบอกได้เต็มปากว่าเธอเป็นคนสะสวย ผมบอกได้แค่ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ผมรัก ความพิเศษ
ในตัวเธอก็คือความไม่พิเศษใดๆ และถ้าเธอไม่เป็นอย่างที่เธอเป็นอยู่ผมก็ไม่แน่ใจอีกเช่นกันว่าผมจะรักเธอหรือเปล่า เราสองคนวางแผนจะใช้ชีวิต
ถัดจากนี้ร่วมกัน มีกันและกันในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอันร้ายกาจของกระแสสังคมบริโภคนิยม 
          	ขวบปีแรกเราไปกันได้ดีจนยากจะเชื่อว่ามันจะจบลงแค่ปีถัดมา ความแตกต่างหลายๆ อย่างเริ่มปรากฎชัดขึ้นระหว่างเรา กระทั่งมากพอจะแยก
คนสองคนออกจากกันอย่างเด็ดขาด ผมไม่นึกโทษเธอหรือใครทั้งนั้นมันเป็นการลาจากที่เกิดจากความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย  การดึงดันไม่ได้ช่วย
รักษาความรู้สึกของใครเลย 
	          ผมได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง และพบว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างในตัวผมที่เคยถูกละเลยไปนานแสนนานกำลังเรียกร้องที่จะได้รับความ
สนใจ นอกจากนี้ในแต่ละนาทีของการหายใจเข้าออกก็เกิดคำถามต่างๆ นับแสนนับล้าน บางคำถามต้องการคำตอบอย่างจริงจัง บางคำถามก็เพียง
แค่เกิดขึ้นเพื่อจะแสดงตนว่าเป็นคำถามเท่านั้นไม่สำคัญว่าจะต้องมีหรือไม่มีคำตอบ  
	แม้จะเลือกอยู่กับตัวเองอย่างสงบแต่มันกลับเป็นเวลาที่รู้สึกสับสนมากที่สุดในชีวิต ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยใส่ใจเลยสักนิดว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
เพราะในทุกวันของผมเกิดขึ้นและดำเนินไปตามสูตรสำเร็จของมัน วนเวียนซ้ำซากอยู่กับการเป็นมนุษย์เงินเดือนวันแล้ววันเล่า หมดวันนี้ก็นอนหลับ
พักผ่อนเพื่อจะตื่นขึ้นมาเป็นอย่างเดิมอีกในวันรุ่งขึ้น เมื่อเป็นอย่างนี้ผมจึงไม่เคยวิตกว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไงแค่รอให้มันมาถึงและผ่านไป แทบไม่มีอะไร
มีความหมายเลยสักนิดแม้แต่การมีชีวิตอยู่ของผมเอง จนเธอเดินเข้ามารับเอาความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของผมไปกอดกุมไว้ ผมถึงรู้สึกว่าชีวิตกำลัง
ได้รับการทะนุถนอม อาการป่วยเรื้อรังยาวนานกำลังได้รับการบำบัดอย่างถูกวิธีโดยจิตแพทย์ฝีมือดี
	          ผมใส่ใจต่อรายละเอียดต่างๆ ในชีวิตมากขึ้น ถามตัวเองบ่อยครั้งว่ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรและมองการมาถึงของวันพรุ่งนี้อย่างมีความหมาย เวลานั้น
ผมเชื่อมั่นว่าเดินมาถูกทางแล้ว ที่เหลือก็แค่เก็บเกี่ยวรายละเอียดตามรายทางให้ได้มากที่สุด ไม่เร่งร้อนดั้นด้นไปยังจุดหมายปลายทางในเวลาสั้นๆ
เพราะเมื่อไรก็ตามที่ไปยืนอยู่บนจุดนั้น ผมไม่อยากไปมือเปล่า
	แต่ชีวิตไม่เคยยืนนิ่งบนความแน่นอน ในเช้าวันที่น่าวางใจที่สุดเธอคนนั้นกลับโยนความรู้สึกทั้งหมดคืนมาให้ และเลือกเดินจากไปเงียบๆ ปราศจาก
ถ้อยคำร่ำลาใดๆ  ผมอธิบายไม่ได้ว่ารู้สึกเจ็บปวดอย่างไร รู้แต่เพียงชีวิตกลับคืนเข้าสู่ภาวะว่างเปล่าอีกครั้ง และครั้งนี้ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะกิน
เวลายาวนานเท่าใด ความจริงผมไม่คิดว่าในท่ามกลางความว่างเปล่านั้นจะมีเงื่อนของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องเลยด้วยซ้ำ การดำรงอยู่และดำเนินไปของมัน
ย่อมไม่แตกต่างอะไรกับการไม่ได้ดำรงอยู่ ไม่มีจุดเริ่มต้นและปราศจากจุดสิ้นสุด
	ผมเปลี่ยนไปจากเดิมจนตัวเองรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ผมพูดคุยกับคนอื่นน้อยลง เชื่อใจต่อสิ่งรอบข้างน้อยลง แน่นอนว่าชีวิตผมก็
เดินทางช้าลงด้วย แต่แม้อะไรหลายอย่างจะเปลี่ยนไปผมกลับพบว่ามีสิ่งหนึ่งที่ยังดำรงอยู่ในสถานะเดิมที่มันเคยเป็นนั่นคือคำถามของเพื่อนผมคนนั้น
และก็เป็นเรื่องค่อนข้างแปลกอีกเหมือนกันที่ในเวลานี้ผมต้องการค้นหาความหมายของมันอย่างจริงจัง
	          ผมเกิดมาเพื่ออะไรกัน เพื่อจะเป็นอย่างที่กำลังเป็นอยู่นี้หรือเพื่อจะเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ยังเดินทางมาไม่ถึง แล้วถ้าอย่างนั้นช่วงชีวิตที่ผ่านไปก่อนหน้านี้คืออะไรกัน เป็นแค่เรื่องคั่นเวลาหรือนั่นคือวิถีชีวิตแท้จริงของผม พ้นจากนี้ไปมันจะไม่เดินทางอีกต่อไปแล้วมันจะหยุดนิ่งล่องลอยไร้น้ำหนัก
          ในท่ามกลางภาวะว่างเปล่าอันไร้จุดสิ้นสุดอย่างนั้นหรือ ผมเฝ้าตั้งคำถามทั้งที่ไม่เคยมั่นใจว่าจะได้รับคำตอบ 
          	"นายไม่เข้าใจคำถาม" เขาพูดประโยคเดิมที่เคยพูดกับผมเมื่อนานมาแล้ว ผมเพ่งมองอย่างพินิจ ใช่เขาจริงๆ ทั้งใบหน้า รูปร่าง และแม้กระทั่งน้ำเสียงทุ้มต่ำไม่เหมือนใคร เขายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มหมอกควันสีขาวถัดจากผมไปไม่กี่ก้าว ผมมองเห็นตัวเขาได้ชัดเจนแต่ไม่แน่ใจว่าสถานที่นั้นคือที่ไหนมันทั้งแปลกแยกและไม่คุ้นเคย ที่สำคัญคือผมมองไม่เห็นตัวเอง รู้สึกแค่เพียงว่ากำลังยืนอยู่ตรงนั้นเผชิญหน้าอยู่กับเขาเพียงลำพังในความมืดสลัวและท่ามกลางเวลา ที่หยุดนิ่ง
	          "นายจะไม่มีวันได้คำตอบที่ต้องการหรอก ถ้าไม่ทำความเข้าใจต่อคำถามของตัวเองเสียตั้งแต่แรก" เขาพูดต่อ "เหมือนนายเดินไปบนถนนสายหนึ่งอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย นายจะไม่มีวันรู้ความหมายของการเดินนั้นเลยถ้าไม่ทำความรู้จักกับถนนที่ตัวเองกำลังเดินให้ดีพอเสียก่อน ผลก็คือต้องเสีย   เวลาหลงอยู่ในนั้นเนิ่นนานบนความสูญเปล่าและวังวนของคำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบ"
	          "พูดอย่างกับนายมีคำตอบสำหรับตัวเองแล้ว.." ผมเพิ่งพูดออกมาได้เป็นครั้งแรก
	          "มีสิ ฉันมีคำตอบสำหรับตัวเองแล้ว เหลือแต่นายเท่านั้น"
	          พูดได้เท่านั้น ตัวเขาก็จมหายไปในหมอกควันสีขาวที่พวยพุ่งขึ้นมาราวมีรอยแยกบนพื้นดินตรงเท้าทั้งสองข้างของเขา ผมคล้ายได้ยินเสียงหัวเราะแหลมๆ เสียดเข้ามาในรูหู ความจริงเกือบจะพูดได้ว่ามันดังอยู่ในหัวผมนี่เอง เริ่มจากแว่วเบาแล้วกลายเป็นดังสนั่นหวั่นไหวจนต้องลืมตาโพลงขึ้น
	           ฝันไป! ใช่ผมฝันไป แต่ก็นับว่าเป็นความฝันที่แปลกประหลาดเอาการ เพราะตั้งแต่เพื่อนคนนั้นตายไปไม่เคยมีสักครั้งเดียวเลยที่ผมจะฝันถึงเขาและมันยังชัดเจนจนแทบรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากลมหายใจของเขาเลยด้วยซ้ำ เหมือนตัวผมถูกเวลาดูดย้อนกลับไปนั่งอยู่ตรงหน้าเขาในผับเล็กๆ คืนที่เราสองคนถกปัญหากัน ซึ่งเป็นคืนเดียวกับที่เขาถามคำถามนั้นกับผมแบบเค้นเอาคำตอบจริงจัง แต่จนถึงเดี๋ยวนี้ผมก็ยังไม่มีคำตอบนั้น
	
	          หลายปีต่อมา ผมพาตัวเองไปยืนยังจุดใหม่ ความจริงก็แค่ลาออกจากงานประจำที่ทำมายาวนานติดต่อกันถึงเจ็ดปี รายได้ผมเพิ่มขึ้นทุกปีก็จริง   แต่ความเป็นตัวของตัวเองค่อยๆ ถูกดูดกลืนหายไปทีละน้อยๆ ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ดูดกลืนไปนั้นคืออะไรและเกิดขึ้นเมื่อไหร่บ้าง รู้สึกเพียงว่าทนอยู่กับมันต่อไปอีกไม่ไหวแล้วและก็ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในเช้าที่อากาศแจ่มใสวันหนึ่ง ตอนแรกยอมรับว่ารู้สึกคว้างคิดอะไรไม่ออก ความกลัวก็ส่วนหนึ่ง   มันคอยสะกิดถามผมว่าจะเอายังไงต่อ ผมตวาดกลับไปว่าเฉยเถอะคนตัดสินใจคือฉันไม่ใช่แก ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน ถึงเวลาแกก็จะรู้เอง    แต่ตอนนี้ฉันขอหยุดเดินก่อน ขอหย่อนกายลงพักกับพงหญ้านุ่มๆ ปล่อยตัวเองหลับไหลยาวนาน ปราศจากความวิตกกังวลใดๆ ไม่เว้นแม้กระทั่ง   ความฝัน เพื่อละทิ้งโลกทั้งโลกเอาไว้เบื้องหลัง
          	สัปดาห์ที่สองของการว่างงาน ผมตื่นขึ้นมาในเย็นวันหนึ่ง อากาศอันแจ่มใสดึงดูดให้ผุดลุกจากเตียงนอนเดินตรงไปยังระเบียงข้างนอก ยืนทอดสายตาออกไปไกลแสนไกลเท่าที่เส้นขอบฟ้าพึงเปิดเผยให้ แสงสีส้มแดงของดวงอาทิตย์ชราแต่งแต้มท้องฟ้าให้ดูสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกฉาบด้วยด้วยลำแสงส้มแดงนั้นเต็มไปด้วยความงามอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกกับมันมาก่อน แม้แต่ตึกร้างเก่าแก่ หรือกองขยะที่อยู่ข้างกันก็ไม่ชวน
ขยะแขยงอย่างเคยเป็น ผมสูดลมหายใจยาวลึกอย่างซาบซึ้ง ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกแผ่ซ่านไปทุกอณูขุมขน    บางที..
          	บางทีคนเราอาจจะเกิดมาและมีชีวิตอยู่เพื่อจะได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ก็เป็นได้ เสี้ยววินาทีที่รู้สึกซาบซึ้งกับบางสิ่งบางอย่าง สีสันสดใสของท้องฟ้า  บทกวีหรือประโยคกินใจสั้นๆ ในหนังสือเล่มโปรด เสียงหัวเราะกังวานของคนพิเศษบางคน หรืออาจจะอะไรก็ตามที่เราพร้อมจะรู้สึกกับมัน และบางที
          การที่เราดำรงชีวิตมาอย่างยาวนานก็อาจจะเป็นเพียงบททดสอบให้เราได้ตระหนักถึงคุณค่าของการรอคอยเท่านั้น

          	"เราเกิดมาเพื่ออะไร?"
          	ผมไม่ได้บอกกับตัวเองว่าได้พบคำตอบสำหรับคำถามนั้นแล้ว มันอาจจะใช่หรือไม่ใช่เลยก็ได้ แต่ความจริงก็คือผมไม่รู้สึกกังวลกับคำตอบของมัน
อีกต่อไป				
20 ตุลาคม 2549 18:57 น.

คนจนเล่นหุ้น!!!

พีรเดช นวลสาย

ดวงอาทิตย์สายแยงแสงครึ่งอุ่นครึ่งร้อนมาโดนหัว คือเวลาที่ลุงเฉาต้องออกจากบ้าน
	เช้ามืดนั้นแกต้องหุงหาข้าวปลาเตรียมไว้ให้หลานชายวัยซนทั้งสองกินกันก่อนส่งขึ้นรถสองแถวไปโรงเรียน โรงเรียนอยู่ไม่ไกลนัก หลานทั้งคู่ก็
โตพอดูแลตัวเองได้บ้างแล้วแกเลยไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ หรืออาจเป็นไปได้ว่าแกมีอย่างอื่นให้น่าห่วงมากกว่ารออยู่
	ลุงเฉาจัดแจงปิดล็อคประตูบ้าน ดูว่าแน่นหนาดีแล้ว แกถึงหันไปคว้าจักรยานเก่าแก่คู่ใจปั่นตุปั๊ดตุเป๋ลัดเลาะออกมาทางตรอกแคบๆ หลังบ้าน
แกมองดูต้นกล้วยที่เรียงรายสองข้างทางอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องใส่ใจในเมื่อเมื่อคืนแกได้ทีเด็ดมาแล้ว แถมยังได้มาโดยที่ไม่ต้องง้อ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์หน้าไหนเสียด้วย อนุโลมให้ก็ได้ฐานที่ว่าสิ่งนี้เคยเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก่อน แต่นั่นก็หมายถึงตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่โน่นนะ ส่วนตอนนี้น่ะหรือ
เป็นแค่อากาศธาตุเท่านั้นแหละ แหะๆ
	ย้อนถึงต้นกล้วยเสียหน่อย คิดแล้วก็เจ็บใจ แกรึเสียแรงไปขอมาจากหมู่บ้านนอกเมืองโน่น คนรู้จักแนะนำให้ไป บอกด้วยว่าเป็นกล้วยตานีแท้ๆ 
เลี้ยงดีๆ มีคุณแน่นอน ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไม่เชื่อนี่ แกคิดแค่ว่าลองปลูกเอาไว้ก็ไม่เสียหลาย ดูแลให้ปุ๋ยให้น้ำอย่างดี ชวนคุยก็ทำกลัวต้นกล้วยจะเหงา
เฉาตายไปเสียก่อน จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวี่แววว่าสิ่งที่แกคาดหวังจะมาปรากฏตัวให้เห็น เห็นแต่ต้นกล้วยนั่นล่ะที่โตเอาๆ แถมยังแตกหน่อต่อแหนง
ลุกลามจนเต็มสวน เอาน่ะ! อย่างน้อยเจ้าลิงซนสองตัวของแกนั่นก็มีกล้วยสุกไว้กิน มีสวนกล้วยไว้วิ่งเล่นซ่อนแอบในวันที่เบื่อนั่งแช่ก้นในร้านเกมกด
	หลุดจากตรอกมาที่ถนนใหญ่ แกเลี้ยวซ้ายก่อนตัดข้ามไปยังอีกฟากถนน ไม่ลืมตะโกนทักบักแหลมร้านปะยางรถยนต์คนคุ้นเคยกัน แต่ก็ยังทำ
ด้วยความระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้ทีเด็ดหลุดออกจากปากก่อนไปถึงจุดหมายปลายทาง
	อึดใจถัดมาจักรยานเก่าแก่คู่ใจก็พาลุงเฉามาจอดหน้าตึกแถวเก่าๆ ริมถนนสายเดียวกันนั้น ตรงที่แกจอดเป็นห้องแถวสองห้องเปิดโล่งถึงกัน
บานประตูไม้ถูกพับเก็บไว้มุมซ้ายขวา เปิดเผยให้เห็นสินค้าในร้านที่วางอวดสายตาผู้คนไว้อย่างจงใจ ไม่นับรวมหยากไย่ห้อยระโยงระยางที่เกิดจาก
การสั่งสมมานานหลายปี
	"ชาญ! ชาญ!" ลุงเฉาตะโกนเข้าไปในร้าน น้ำเสียงเจือตื่นเต้น
	เงียบ! ไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าของชื่อที่ถูกเรียก
	"ชาญ! ชาญโว้ย!" แกรีบย้ำอีก
	"เออๆ ได้ยินตั้งนานแล้ว จะตะโกนทำ -่า อะไรวะ"  คนที่ชื่อชาญเดินเกาหัวแกรกๆ มาจากหลังร้าน  "ไหน มีอะไร?  อย่าบอกนะว่ามายืน
แหกปากเล่น"
	"ล่งเล่นอะไรเล่า เรื่องสำคัญเชียวล่ะ" ลุงเฉาเดินเข้าไปจับแขนเขาเขย่า "ทีเด็ด! ทีเด็ด!"
	"อีกละ เมื่อวานก็พูดหยั่งเงี้ยะ แล้วเป็นไงโดนแ-กเรียบ" ลุงชาญซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันทำเสียงหยัน พลางควานหยิบบุหรี่บนโต๊ะมา
จุดสูบ
	"เฮ่ย! ไม่เหมือนกัน อันนั้นมันของปลอม คราวเนี้ยทีเด็ดของจริง" ลุงเฉารีบโบกมือปฏิเสธ ก่อนจะดึงบุหรี่จากเพื่อนมายัดใส่ปากตัวเอง "นังปี
มันมาบอกกะข้าด้วยตัวเองเลยแหละ"  หมายถึงป้าจำปีเมียแกที่ตายไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
	"พูดเป็นเล่น! นังจำปีน่ะนะมาบอกเอ็ง ขนาดตอนมีชีวิตอยู่ข้ายังไม่เห็นมันเคยซื้อหวยซักกะตัวเลย" ลุงชาญเบ้ปาก กระดิกนิ้วขอบุหรี่คืน
	"จริ๊ง! นังปีเมียข้าแน่นอน ข้าเห็นหน้ามันเต็มสองตา ...หมายถึงเห็นในฝันนะ มันยืนจังก้าชี้หน้าข้าหยั่งงี้เลย" ลุงเฉาทำท่าทางประกอบ "มันบอก
เทวดาท่านให้มันมา ท่านสงสารข้ากะหลานเห็นลำบากกันเลยอยากให้โชคลาภบ้าง ..สามตัวเป้งๆ เลยนะเอ็งเอ๊ย! "
	ลุงชาญเดินเลี่ยงไปหลังโต๊ะเหมือนคร้านจะต่อปากต่อคำ ดึงเก๊เปิดออกแล้วหยิบสมุดโน๊ตเล่มเล็กๆ กับปากกาขึ้นมาถือในมือ "เอ้า! จะเอาก็รีบ
ว่ามาเลยไอ้ทีดกทีเด็ดเอ็งน่ะ ข้าจะรีบไปส่ง เดี๋ยวร้านมันจะปิดซะก่อน"
	"เอาสิ เอาสิ!" ลุงเฉาขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วบอกทีเด็ดของแกให้เพื่อนซี้จดยุกยิกลงสมุด

	ประมาณห้านาทีหลังจากหายไปตรงหัวมุมถนน ลุงชาญก็ขับรถมอเตอร์ไซด์เก่าๆ สีแดงซีดของแกกลับมาจอดแหง่กไว้หน้าร้านเหมือนเดิม ยัง
ไม่ทันจะชักขาพ้นเบาะรถ ลุงเฉาก็วิ่งแน่บมาประชิด
	"เฮ้ย! ว่าไง? แทงทันรึเปล่า?" น้ำเสียงตื่นเต้นฟังได้ชัด
	"เออ! เกือบไปเหมือนกัน มันบอกถ้าเป็นคนอื่นไม่รับหรอกจะรีบปิดรีบส่ง นี่เห็นว่าเป็นลูกค้าประจำก็เลยหยวนๆ ให้" ลุงชาญบอกขณะกำลัง
ใช้เท้าเกี่ยวขาตั้งรถลงแตะกับพื้นฟุตบาท
	ลุงเฉาดีดนิ้วเปาะอย่างโล่งอก  แกเดินรี่ไปยังร้านกาแฟโบราณที่อยู่ติดกัน
	"อาม่า เหมือนเดิม!"
	"ล่ายๆ" หญิงแก่ร่างผอมบางผมขาวโพลนเต็มหัวยิ้มให้อย่างรู้ทัน ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งก้มเข้าไปในร้าน ครู่เดียวแกก็ออกมาพร้อมขวดสีชาเข้มในมือ
	"ไล่เลี่ยว" อาม่ายื่นขวดให้ลุงเฉา "..ว่าแต่ ทีเหล็กลื้อคราวนี้มังจะแม่งจิงรึป่าววา อาเฉา?" แกขมวดคิ้วสีขาวเข้าหากัน
	"แม่นไม่แม่นอีกเดี๋ยวก็รู้" ลุงชาญตะโกนสอดมาจากหน้าร้านตัวเอง
	ลุงเฉายิ้มกว้างให้อาม่า รับเอาขวดเหล้ามาโดยไม่ได้พูดอะไร	

	ทีวีสีสิบสี่นิ้วเก่าแก่ถูกกดสวิทซ์เปิด มันส่งเสียงครางซ่าๆ อยู่นานกว่าจะค่อยๆ ปรากฏภาพขึ้นมาได้ ลุงเฉาร้อนใจทำท่าจะเดินไปเคาะแต่ถูก
เพื่อนปรามเอาไว้ เหล้าขาวเพียวๆ ถูกรินใส่แก้ว ลุงชาญยกขึ้นเทรวดเดียวลงลำคอ ก่อนจะรินพอๆ กันนั้นส่งให้เพื่อน ภาพในจอทีวีเป็นรายการ
วิเคราะห์หุ้นโดยนักการตลาดหน้าเก่าที่ลุงเฉากับลุงชาญคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เขาพูดจาฉะฉานชัดเจน บุคลิกก็น่าเชื่อถือ เรียกว่าชวนคล้อยตามเลยก็ได้
แต่สองลุงไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขากำลังพูดนั่นหรอก รู้สึกมันจะเป็นเรื่องไกลตัวเกินไปด้วยซ้ำ แถมศัพท์แสงที่ใช้ก็ล้วนเป็นคำที่ไม่รู้ความหมายทังนั้น
ดัชนงดัชนีอะไรก็ไม่รู้ แค่ฟังก็ปวดกบาลแล้ว ไอ้ที่ลุงเฉากับลุงชาญแกสนใจคือตัวเลขที่วิ่งอยู่ด้านล่างของจอภาพนั่นต่างหาก มันขยับทีก็ฮือฮากันที
ต้องคอยเปิดใบโพยตัวเองดูว่ามีตัวเลขไหนไกล้เคียงกับบนจอหรือเปล่า
	"ว่าไง ไกล้ปิดรึยัง" อาม่าพาหลังเกือบค่อมของแกมายืนลุ้นหน้าจอทีวีด้วยอีกแรง
	"จวนแล้ว" ลุงชาญหันไปบอก "แต่ไม่เห็นทีเด็ดของไอ้เฉามันจะไกล้เคียงซักกะตัวเลย" ท้ายเสียงเหน็บเพื่อนซี้ชัดเจน
	"อย่าด่วนตัดสินสิ อีกหลายนาทีกว่าจะปิด มันยังขยับได้อีกเยอะ" ลุงเฉารีบออกตัว สายตาจ้องเขม็งที่ตัวเลขในจอทีวี
	"หวังว่ามังจะเป็งอย่างนั๊งนะ เพาะวังนี้อั๊วทุ่มไปตั้งยี่สิบบากแน่ะ"
	"แน่สิ!"
	
	เหล้าขาวครึ่งขวดหมดไปสักพักหนึ่งแล้ว ลุงเฉากับลุงชาญนั่งพ่นควันบุหรี่โขมงอยู่หน้าร้านรอลูกค้ารายแรกของวัน ถ้าเป็นหน้าหนาวทั้งสองคน
จะวุ่นกว่านี้ เพราะลูกค้าจะเข้าร้านค่อนข้างชุก มันเป็นเรื่องปกติที่หน้าหนาวคนขับรถยนต์จะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยกว่าหน้าร้อน บางคนก็แค่แวะ
มาเติมน้ำกลั่น แต่ไม่ว่าจะทำอะไรลุงชาญก็จะกุลีกุจอให้บริการด้วยความเต็มใจยิ่งในฐานะเจ้าของร้านแบตเตอรี่เก่าแก่เป็นที่รู้จักมักคุ้นของคนแถบนี้
โดยมีลุงเฉาเพื่อนซี้คอยเป็นลูกมืออยู่ไม่ห่าง ลูกค้าที่มาก็ล้วนคนคุ้นเคยกันทั้งนั้น ส่วนใหญ่เป็นลูกค้ามาตั้งแต่สมัยพ่อของลุงชาญยังมีชีวิตอยู่ จนเดี๋ยวนี้
แกเสียไปหลายปี ลูกค้าเก่าแก่ก็ยังคงติดใจมาใช้บริการอยู่ไม่ขาด ถึงจะมีร้านใหม่ๆ ใหญ่ๆ มาเปิดแข่งก็ไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก
	รถยนต์กลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งชลอความเร็วเข้าจอดเทียบข้างฟุตบาตหน้าร้าน ลุงชาญจำรูปพรรณได้แม่นยำ แกรีบดีดก้นบุหรี่ทิ้งลุกขึ้นวิ่ง
เหยาะๆ ไปยืนหน้ารถ
	"หวัดดีครับ ให้ช่วยอะไรดีครับวันนี้" ลุงชาญยิ้มกว้างให้คนที่กำลังก้าวลงจากรถ
	"เปลี่ยนแบตเตอรี่หน่อยน่ะ" เจ้าของรถหันมายิ้มให้ เขาสวมชุดลำลองสบายๆ แต่ดูออกไม่ยากว่าเป็นคนมีอันจะกิน
	ลุงชาญเปิดฝากระโปรงหน้ารถ ก้มดูแบตเตอรี่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพยักหน้ากับลุงเฉาที่ยืนพร้อมรออยู่แล้ว แบตเตอรี่ก้อนใหม่ถูกหิ้วออกจาก
ชั้นวางในร้าน  มันแทบจะเป็นก้อนแรกในรอบหลายวัน
	"ไง! ลูกค้าเยอะรึเปล่า?"
	"เรื่อยๆ ครับ  หน้าร้อนหยั่งงี้ก็ขายได้น้อยหน่อย" ลุงชาญตอบเนือยๆ ตาจับอยู่กับสายระโยงระยางเบื้องหน้า
	"หยุดงานเหรอครับวันนี้" ลุงเฉาแทรกขึ้นบ้าง
	ยังไม่ทันจะตอบคำถาม โทรศัพท์มือถือข้างเอวอวบอ้วนของชายคนนั้นก็ดังขึ้น เขารีบดึงเครื่องออกจากซองยกขึ้นแนบข้างหู
	"ว่าไง?...อะไรนะ หุ้นราคาตก?" เขาพยักหน้าให้ลุงเฉา ก่อนจะเดินเลี่ยงไปคุยต่อด้านหลังรถ  "ราคาตกได้ไง? อย่างนี้ผมเสียหายหลายตังค์นะ..."
น้ำเสียงหงุดหงิดของเขายังแว่วมาให้ได้ยิน
	ลุงเฉาเลิกสนใจ แกเองก็หงุดหงิดไม่น้อยเหมือนกัน มีอย่างที่ไหนร้อยวันพันปีไม่เคยฝันถึงเมียรัก เมื่อคืนดันฝันถึง แถมฝันว่ามาให้โชคให้ลาภ 
แกเลยทุ่มไปตั้งห้าสิบบาท หวยหุ้นเจ้ากรรมดันไปออกคนละตัวไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด นั่นยังไม่เท่าไหร่หรอกที่น่าเจ็บใจกว่านั้น คือเลขที่แกซื้อรอบ
ปิดตลาดเช้ามันดันมาออกเอาอีตอนเปิดตลาดรอบบ่ายเสียนี่ ออกมาทั้งสามตัวเต็มๆ เลย  หน็อย! อีนังเมียรักมันอุตส่าห์มาให้หวยทั้งที ดันไม่ยอม
บอกชัดๆ ว่าจะออกรอบไหน แกเลยพลอยโดนอาม่ากับลุงชาญเฉ่งจนหูแทบฉีก สองคนนั่นหวังน้อยอยู่เมื่อไหร่กับเรื่องหวย
	เปลี่ยนแบตเตอรี่เรียบร้อย จ่ายเงินกันเสร็จสรรพ ชายคนนั้นตะบึงรถออกไปอย่างอารมณ์เสีย สองลุงหันมองหน้ากัน ไม่มีใครพูดอะไร ต่างคน
ต่างเดินกลับไปนั่งเก้าอี้อย่างเก่า แล้วจุดบุหรี่สูบ
	"นังพร หายหัวไปตั้งแต่เช้าเลยนะ" ลุงเฉาพูดขึ้นลอยๆ เหมือนไม่อยากพูดถึงนัก
	"ไม่อยู่วงไพ่ก็อยู่ร้านเสริมสวยนั่นแหละ มันจะไปไหนได้" ลุงชาญทำเสียงหน่าย เพราะนังพรที่กำลังพูดถึงกันอยู่นี่ คือเมียแกเอง "ไม่รู้มันจะ
อยากสวยอะไรนักหนา"
	"มันกลัวเอ็งเบื่อล่ะม้าง!" ลุงเฉาหัวเราะชอบใจที่ได้โอกาสอำเพื่อน
	"เลิกพูดเรื่องไร้สาระซะทีเถอะ!" ลุงชาญไม่เห็นสนุกด้วย "อีกครึ่งชั่วโมงจะปิดตลาดแล้ว เอ็งมีตัวไหนในใจรึยัง?"
	"มีสิ! ถามได้ คราวเนี้ยข้ามั่นใจอยู่สองตัวเลยเชียว" ลุงเฉาจริงจังขึ้นมาทันที
	"เอามาจากไหนอีกล่ะ?" อีกฝ่ายไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
	"เอ็งนี่! ก็ตอนเปิดตลาดรอบบ่ายน่ะซี มันออกเลขคู่ใช่มะ คราวเนี้ยตอนปิดรอบเย็นมันต้องออกเลขคี่แหงๆ ข้าสังเกตมันมาสองสามวันแล้ว"
ลุงเฉาทำท่าเหมือนอีตอนอมทีเด็ดมาเมื่อเช้า "เขาเรียกสูตรลับตาเฉาโว้ย ฮ่าๆๆ.."
	"หวังว่าไอ้สูตรลับ สูตรแล๊บอะไรของเอ็งเนี่ย มันจะไม่ดูดตังค์ข้าจนเกลี้ยงกระเป๋าซะก่อนนะ" ลุงชาญประชดประชัน แต่ไม่วายหยิบสมุดเล่มเล็ก
ขึ้นมาจดตัวเลขตามสูตรลับของลุงเฉาเอาไว้
	"อาม่า! ไม่แก้มือหน่อยเรอะ?" ลุงเฉาหันไปชวนอาม่า ซึ่งกำลังง่วนเก็บแก้วโอเลี้ยงที่โต๊ะหน้าร้าน
	"ไม่เอาล่ะ เลกลื๊อทำอั๊วเจ๊งสองรอบเลี่ยววังนี้" แกพูดทั้งหันหลัง ก่อนเดินหายเข้าร้านไปอย่างไม่ใส่ใจ
	ลุงเฉากับลุงชาญหันมาหัวเราะชอบใจ

	ตลาดหุ้นปิดไปแล้ว นั่นหมายความว่าหวยหุ้นรอบสุดท้ายของวันออกผลไปแล้วด้วยเหมือนกัน เหล้าขาวขวดที่สองของวันถูกรินลงแก้ว ลุงเฉา
กระดกรวดลงลำคอ ก่อนพ่นลมผ่านรสขมปร่าร้อนวูบวาบของมันออกมา ไม่ลืมรินส่งให้เพื่อนซี้ซึ่งนั่งยิ้มหน้าแป้นอยู่ข้างกัน เสียงเพลงลูกทุ่งจากวิทยุ
ทรานซิสเตอร์ดังลั่นไปทั่วร้าน บางจังหวะลุงเฉาลุกขึ้นมาโยกตัวเต้นตามอย่างอารมณ์ดี อาม่ายืนหน้ามุ่ยเกาะประตูไม้อยู่หน้าร้าน
	"อาเฉานา มีเลกเหล็กก็ไม่ยอมบอกกังมั่งเลย" แกตัดพ้อ
	"ฉันก็ถามแล้วไง อาม่าทำไม่สนใจเอง ไอ้เรารึตั้งใจจะแบ่งโชคให้แท้ๆ" ลุงเฉาลิ้นคับปาก
	"จะไปรู้ล่ายไงวะ ก็ตองเช้าทีเหล็กลื๊อ ทำอั๊วเสียไปตั้งหลายบาก"
	"ไว้พรุ่งนี้ค่อยแก้ตัวใหม่น่าอาม่า มีให้ซื้อทั้งวันแหละ ใครจะรู้ดวงอาม่าอาจจะขึ้นก็ได้พรุ่งนี้น่ะ" ลุงชาญปลอบใจ พลางเคาะโต๊ะตามจังหวะเพลง
	"เอาเหล้าซักแก้วไหมล่ะ เผื่อจะหายเซ็ง" ลุงเฉาแกล้งแหย่ ยื่นแก้วเหล้าให้
	"ไม่เอาล่ะ" แกส่ายหัว เดินบ่นงึมงำในลำคอกลับร้านไป
	"บอกแล้วไง สูตรเด็ดของเฉาเชื่อถือได้พันเปอร์เซ็น" ลุงเฉาได้ทีคุยโว "ทีนี้แหละ เราจะรวยรายวันกันเลยไอ้ชาญเอ๊ย!"
	เสียงหัวเราะของคนทั้งคู่ดังลั่นออกมาถึงนอกร้าน ยิ่งพอป้าพรเมียลุงชาญกลับมาสมทบอีกคนเสียงก็ยิ่งดังเข้าไปอีก แต่การฉลองในค่ำนี้ก็ไม่ได้
เลยเถิดเกินพอดี เพราะเงินที่ได้มานั้นไม่ใช่จำนวนมากมายอะไรเลย จะกินกันก็ต้องไม่ลืมแบ่งไว้ต่อยอดพรุ่งนี้ด้วย ไม่งั้นจะไม่มีอะไรให้ลุ้นกันอีก
และเวลาของลุงเฉานั้นก็มีจำกัด แกยังมีหลานชายสองคนที่ต้องรับผิดชอบ ต้องกลับไปหุงหาข้าวปลาให้มันกิน ไปบังคับให้มันทำการบ้าน ไม่งั้นพ่อแม่
มันที่ส่งเงินค่าใช้จ่ายรายเดือนมาให้จะพากันตำหนิแกเอาได้
	แสงแดดเย็นโรยแรง คือเวลาที่ลุงเฉาต้องกลับบ้าน แกคว้าเอาจักรยานคู่ใจมาขึ้นนั่งคร่อม แล้วออกแรงปั่นตุปั๊ดตุเป๋ออกจากร้านแบตเตอรี่มา
แกยิ้มแป้นจนเห็นฟันซี่โตๆ สีเหลืองอ๋อยมาตลอดทาง ดวงตาแกก็ยิ้มถ้าใครจะสังเกตสักหน่อย แน่ล่ะ! วันนี้แกมีทุนนอนนิ่งในกระเป๋ากางเกงแล้ว
	ทุนสำหรับต่อยอดในวันพรุ่งนี้!				
14 ตุลาคม 2549 18:19 น.

ทางเท้า

พีรเดช นวลสาย

 ทาง+เท้า = พื้นที่สำหรับเดินด้วยเท้า
     "กร๊อบ!"
     เสียงนี้ดังมาจากใต้ฝ่าเท้าผมนี่เอง มันคงเกิดจากการแตกหักเสียหายของวัตถุอะไรสักอย่างที่บังเอิญมารองรับน้ำหนัก 2 ใน 3 ของตัวผมโดยปราศจากความตั้งใจ
     ชิบหาย! ผมสบถพร้อมชักเท้ากลับ นาฬิกาปลุก...ไม่สิ ต้องเรียกว่าสิ่งที่เคยเป็นนาฬิกาปลุกหน้าตาเหมือนตัวการ์ตูนชื่อดังที่เห็นได้บ่อยๆ ทางหน้าจอทีวี--แหลกอยู่แทบเท้าผม
     เฮ้ย! เดินภาษาอะไรวะไอ้น้อง เหยียบข้าวของพังหมดแล้ว เจ้าของเสียงเป็นชายกลางคนผิวสีน้ำตาลไหม้โพกหัวด้วยผ้าลายแปลกตา ให้ตายเถอะ! ผมเพิ่งเห็นเขาจริงๆ พับผ่า รวมทั้งไอ้ข้าวของ-ของเขาที่วางเรียงรายไว้บนผ้าพื้นสีดำซึ่งปูทับบนพื้นทางเท้าอีกทีหนึ่งนี่ด้วย
     เดินซุ่มซ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือหยั่งงี้ ใช้ค่าเสียหายมาเลย เขาลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับผมซึ่งกำลังงุนงง   คนเดินผ่านไปผ่านมาพากันหันมามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น  ดูเหมือนยิ่งทำให้เขาได้ใจ 
     ของวางขายอยู่ทุกวันไม่เคยมีใครมาทำเสียหาย-จ่ายมาซะดีๆ คำลงท้ายของเขายังคงเน้นย้ำว่าผมต้องเป็นผู้ชดใช้
     โทษทีพี่ ผมไม่ทันเห็น
     ได้ไง? ของก็ไม่ใช่ชิ้นเล็กๆ คนเดินผ่านเป็นร้อยๆ ไม่เห็นมีใครเหยียบ-นี่แกล้งกันรึเปล่า! เขาจงใจพูดเสียงดังเอะอะ
     ไม่ใช่ยังงั้น ผมไม่ทันเห็นจริงๆ ผมจะไปแกล้งพี่ทำไม
     ไม่รู้ล่ะ! แกล้งรึไม่แกล้งก็ต้องจ่ายค่าเสียหายมา
ผมตกเป็นเป้าสายตามวลชนอย่างเลี่ยงไม่ได้ บางคนถึงกับหยุดยืนดู  เอาล่ะ...ใช้ก็ใช้
     แล้วมันเท่าไหร่ครับ ไอ้ชิ้นที่มันแตกน่ะ
     สองร้อย
     สองร้อย! ผมตกใจ อันเล็กกะจิ๊ดริดแค่เนี้ยนะ--สองร้อย!
     ใช่!
     - เวรเอ๊ย! ของทำเลียนแบบหยั่งงี้ ดูยังไงมันก็ไม่น่าจะเกินร้อยอย่างเก่งก็ร้อยหน่อยๆ  สองร้อยนี่มันปล้นกัน กินชัดๆ 
     ทำไมมันแพงจังพี่!?
     แพง-เพิงที่ไหน นี่ราคาปกติ ขายไปเป็นร้อยชิ้นแล้ว
     - นั่น อ้างเข้าไปสิ ไม่ได้เห็นกับมันด้วยนี่
ผมลองกวาดสายตาไปรอบๆ  เผื่อว่ามวลชนผู้เดินถนนด้วยกันจะเข้าข้างผมบ้าง แต่...
     จ่ายๆ ไปเถอะน่า จะได้จบเรื่อง
     เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเอง...ก็เงี้ย
     ไม่รู้-ธุระไม่ใช่
สายตาคนพวกนั้นพูดกับผมอย่างนี้
     ว่าไง? ตกลงจะจ่ายหรือไม่จ่าย น้ำเสียงหมอนั่นเริ่มเปลี่ยนเป็นข่มขู่
จ่ายก็จ่ายสิ ผมควักแบงค์ร้อยยู่ยี่สองใบจากกระเป๋ากางเกงส่งให้ แล้วรีบผละหนีออกมา
     เดี๋ยวก่อน! แล้วไม่เอาของไปด้วยเหรอ หมอนั่นตะโกนไล่หลังเหมือนหวังดีซะเต็มประดา
     - เชิญมึงเก็บไว้เองเถอะ ไอ้เศษขยะราคาสองร้อยนั่นน่ะ

     ...เอาล่ะ แล้วก็แล้วกันไปถือว่าฟาดเคราะห์ แค่เงินไม่กี่บาทไว้ค่อยหาใหม่ก็ได้ ผมมีเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องไปทำซะด้วย ไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผมเดินเท้าต่อไปตามทางเดินเท้าอย่างเร่งรีบ

     ล็อตตารี่มั้ยพี่ พรุ่งนี้รวย
หญิงหน้าตากร้านแดดปรี่เข้ามาจนหีบล็อตเตอรี่เกือบจะชนผมเข้าให้
     เนี่ย...เหลือแค่ใบเดียวเอง ช่วยหน่อยพี่เผื่อมีโชค
     ไม่ล่ะครับ ผมปฏิเสธ
     น่า...พี่รูปหล่อ แค่ 95 เอง
     - น่าน! ตอแหลกันเห็นๆ ...แล้วไอ้ราคาน่ะปกติเขาขายกันแค่ 80 เองไม่ใช่เหรอ
     น่าพี่ ช่วยหนูหน่อย ใบสุดท้ายแล้วจริงๆ นะๆ 90 ก็ได้พี่เอาไปเลย นี่ถ้าไม่ใช่พี่หนูไม่ให้นะราคานี้ แทบจะไม่ได้อะไรเลย
     - นี่ผมสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ เป็นญาติกันก็ไม่ใช่
     เอานะพี่ ถือว่าช่วยคนไทยด้วยกัน
     เอ้า! 85 ก็ได้กัดฟันให้พี่ไปเลย ถือว่าเรามีดวงต่อกัน ไม่งั้นเทวดาฟ้าดินท่านคงไม่ให้หนูมาเจอพี่ตอนที่เหลือใบสุดท้ายอย่างนี้หรอก...แล้วถ้าพี่ถูกรางวัลก็ไม่ต้องมาแบ่งหนูหรอก เพราะมันเป็นโชคของพี่ หนูแค่เอาโชคมาให้เฉยๆ แต่ถ้าพี่จะเมตตากันจริงๆ ก็ไม่เป็นไร
      - เอ๊ะ! ยังไง?
     เอาไว้นะพี่นะ หล่อนดึงใบล็อตเตอรี่ออกมาจากหีบยื่นมาต่อหน้าผม  เป็นการปิดการขายขั้นสุดท้าย
     85 บาทเอง หนูได้แค่ห้าบาท เอาไว้ซื้อนมให้ลูกกิน
ลองมาถึงขั้นนี้แล้วถ้าไม่ซื้อก็คงไม่จบง่ายๆ แน่

     ...เอาล่ะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แค่เงินไม่ถึงร้อยถือว่าซื้อโชคไว้ละกันเผื่อมันจะมีอย่างหล่อนว่าจริงๆ อีกอย่าง...ผมมีเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องไปทำซะด้วย ไม่มีเวลามาเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผมเดินเท้าต่อไปตามทางเดินเท้าอย่าง  เร่งรีบ



     ปี๊นๆๆ...
เสียงแตรรถที่ดังมาจากข้างหลังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาผมสะดุ้งโหยง พอหันหลังกลับไปมอง รถมอเตอร์ไซด์คันนั้นก็พุ่งตรงเข้ามาจะชนผมอยู่รอมร่อ ผมรีบกระโดดเอี้ยวตัวหลบลงไปบนพื้นถนน มันผ่านผมไปได้ชนิด   ฉิวเฉียด แต่คนขับดูเหมือนไม่สะทกเขายังควบพามันแล่นฉิวจนเลี้ยวหายเข้าซอยไป
     จะรีบไปหาพ่
     ปี๊นๆๆๆๆ....
เสียงแตรกระชั้นกว่าเดิมแผดดังมาจากข้างหลัง ผมสะดุ้งสุดตัว-หัวใจตกไปถึงตาตุ่ม ตายโหง! ผมรีบกระโดดกลับขึ้นบนทางเท้า รถยนต์สีดำทะมึนพุ่งผ่านไปอย่างเฉียดฉิว แต่...
น้ำที่เจิ่งนองบนผิวถนนสาดโครมใส่ขากางเกงของผมจนเปียกเป็นทาง
     อยากตายรึไง ไอ้...(ไม่ทันได้ยิน) คนในรถไม่วายเปิดกระจกออกมาด่าด้วยโทสะ
ผมได้แต่ยืนมองตาปริบๆ ...นี่ถ้าหลบไม่ทันมีหวังกลายเป็นผีเฝ้าถนนไปแล้ว ทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะรถมอเตอร์ไซด์บ้าคันนั้นแท้ๆ มันขับบนทางเท้าอย่างกับกำลังขับบนถนน แล้วนี่เขาอนุญาตให้วิ่งบนทางเท้าได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้  กลายเป็นคนเดินเท้าอย่างเราต้องคอยหลบ คอยเปิดทางให้มันซะอีก ซักวันคงได้มีข่าวคนโดนรถชนตายบนทางเท้ากันบ้างล่ะ

     ...แต่เอาล่ะ อย่างน้อยผมก็ยังมีชีวิตอยู่ และยังไม่มีตรงไหนแตกหัก ช่างมันไปก่อนก็แล้วกัน ผมมีเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องไปทำซะด้วย ไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เวลาก็กระชั้นเข้ามาทุกทีแล้ว ผมรีบเดินเท้าต่อไปตามทางเดินเท้าอย่างเร่งรีบ

     ตุ้บ!
วัตถุขนาดไม่ใหญ่ ไม่โต ยาวไม่น่าจะเกินฟุตนึง หล่นตุ้บลงมาตรงหน้า เฉียดหัวแม่เท้าผมไปหน่อยเดียว ฟังจากเสียงที่กระทบกับพื้นบอกได้ว่ามันเป็นโลหะ แถมยังมีน้ำหนักพอสมควร  คือถ้ามันตกลงมาตรงกลางหัวแม่เท้าของผมพอดีมีหวัง...เละ
     หลังจากมองดูอย่างถ้วนถี่ ผมว่ามันน่าจะเป็นเครื่องมืออะไรสักอย่าง แล้วมันหล่นลงมาจากฟ้าได้ยังไงกันล่ะนี่ ผมแหงนหน้าขึ้นเพื่อเสาะหาที่มาที่ไป  เห็นคนแต่งชุดหมีห้อยต่องแต่งอยู่ปลายเสาไฟฟ้า เขากำลังวุ่นจนไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าอุปกรณ์บางอย่างที่หอบหิ้วขึ้นไปบนนั้นด้วย บัดนี้ร่วงลงมาวางแน่นิ่งอยู่ที่พื้นทางเท้าแล้ว
     ผมลังเลว่าจะตะโกนเรียกดีไหม เขาจะได้ลงมาเก็บอุปกรณ์การทำงานของเขากลับขึ้นไป แต่อีกแว่บหนึ่งผมก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่นิดๆ ค่าที่ว่าหมอนั่นกระทำการโดยประมาทจนเกือบทำให้หัวแม่เท้าผู้อื่นถึงแก่ความตาย เขาจะรับผิดชอบยังไงนะถ้าเกิดมันตกใส่ผมจริงๆ อาจจะแค่ขอโทษเฉยๆ เผลอๆ อาจจะตะโกนลงมาต่อว่าผมข้อหาเดินไม่ระวังเองอีกต่างหาก

     ...ไม่เอาล่ะ ธุระใครธุระมันละกัน ก็ในเมื่อมันยังไม่โดนหัวผมนี่หว่า มันจะไปทำให้ใครหัวร้างข้างแตกก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับผมตรงไหน อีกอย่างผมมีเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องไปทำซะด้วย ไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เวลาก็กระชั้นเข้ามาทุกทีแล้ว ผมรีบเดินเท้าต่อไปตามทางเดินเท้าอย่างเร่งรีบ

     พี่ครับ...พี่ ผมรบกวนนิดนึงเถอะครับ
ชายแปลกหน้าแต่งตัวมอมๆ เดินรี่เข้ามาพร้อมพนมมือไหว้แข็งๆ  ผมรีบหันไปมองข้างหลังเผื่อว่าจะมีใคร
อื่นอีกเดินตามหลังมา--ไม่มีใคร? สาบานได้เลยว่าผมไม่เคยรู้จักชายคนนี้มาก่อน แล้วอยู่ๆ เขามายกมือไหว้ผมทำไมกัน ดูจากสารรูปก็ไม่น่าจะใช่นักการเมือง แถมฤดูหาเสียงก็ผ่านพ้นไปนานแล้วมันเป็นช่วงที่ประชาชนอย่างเราต้องก้มกราบแทบเท้านักการเมืองต่างหาก-ถ้าอยากได้ความช่วยเหลือ
     พี่ชายใจดีครับ ช่วยผมหน่อยเถอะครับ คือผมมาจากต่างจังหวัด มาตามหาญาติ แต่หลงทางมาหลายวันแล้ว ญาติก็ติดต่อไม่ได้ไม่รู้ย้ายที่อยู่ไปแล้วรึเปล่า ผมจนปัญญาจะตามหาจริงๆ เงินก็ไม่เหลือซักบาท
     - อ๋อ...พอจะเข้าใจล่ะ
     ผมรบกวนขอตังค์พี่ชายสักร้อยเถอะครับ จะนั่งรถเมล์ไปหมอชิตไปต่อรถ บขส. กลับต่างจังหวัด ชายคนนั้นอ้อนวอนน้ำเสียงชวนสลด
     ถ้าพี่ชายไม่มีเศษตังค์จริงๆ ผมขอรบกวนสักสี่ซ้าห้าสิบบาทก็ยังดี อย่างน้อยไปได้ถึงครึ่งทางค่อยไปเสี่ยงโบกรถต่อก็น่าจะถึงบ้านล่ะ ยังไงเสียก็ดีกว่าอยู่ที่นี่ผมไม่รู้จะหันไปพึ่งใครดี-มีแต่คนไม่รู้จัก
     - เดี๋ยวนี้เงิน 50 บาทกลายเป็นเศษตังค์ไปแล้วหรือนี่
     ผมทำท่าลังเล จะให้หรือไม่ให้ดี ความจริงเงินร้อยนึงน่ะไม่มากไม่มายอะไรหรอก สำหรับคนเดือดร้อนจริงๆ ผมช่วยมากกว่านั้นยังได้ เพียงแต่ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าไอ้หมอนี่มันเดือดร้อนจริงอย่างว่ารึเปล่า มันจะแค่สวมรอยมาหลอกขอเงินชาวบ้าน ได้จากคนนี้แล้วไปขอคนโน้นต่อ หากินบนความสงสารของคนอื่นอย่างนี้อยู่ทุกวัน ลูกไม้ตื้นๆ ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อนเลย
     พีชายครับ ถือว่าทำบุญช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเถอะครับ ผมจะไม่ลืมบุญคุณพี่เลย พี่จะเอาที่อยู่ผมไว้ก็ได้ เผื่อวันหน้าวันหลังเกิดไปเดือดร้อนอยู่แถวนั้น ถามหาผมได้เลย-ผมยินดีช่วยเหลือพี่ทุกอย่าง คนบ้านนอกน่ะตรงไปตรงมาไม่มีหน้าไหว้หลังหลอกอยู่แล้ว หมอนั่นขยับเข้ามาใกล้ผมอีก  พลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายเหมือนจะควานหาอะไรสักอย่าง ครู่เดียวก็ชักมือออกมาพร้อมกระดาษแผ่นเล็กๆ ยับยู่ยี่
     นี่...ที่อยู่ผมครับ เขายื่นกระดาษแผ่นนั้นมาที่ผม
     ผมโบกมือปฏิเสธ ตั้งใจจะรีบเดินเลี่ยงไป
     - แล้วถ้าเขากำลังเดือดร้อนจริงๆ ล่ะ?
นั่น...กระเป๋าเดินทางใบเขื่องก็ยังสะพายติดหลังอยู่  คนต่างจังหวัดน่ะทั้งซื่อทั้งไม่ค่อยทันคน ถ้าเกิดไม่ช่วยปล่อยไปอาจถูกใครหลอกลวงจนเดือดร้อนหนักเข้าไปอีก ผมเองก็คนต่างจังหวัดเหมือนกัน...เข้าใจข้อนี้ดี
     ขอบคุณครับพี่ชาย ขอให้ได้บุญเยอะๆ นะครับ หมอนั่นรีบดึงแบงค์สีแดงไปจากมือผม ยกมือไหว้อีกสองสามครั้งก่อนเดินเลี่ยงไป
      ผมใจอ่อนจนได้

     ...เอาเถอะน่า กะอีแค่เงินร้อยเดียว  มันจะเดือดร้อนจริงๆ หรือเป็นพวกหากินก็ช่างหัวมันเถอะ นึกว่าทำเงินหายก็แล้วกัน  ผมมีเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องไปทำ  ไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เวลาก็กระชั้นเข้ามาทุกทีแล้ว ผมรีบเดินเท้าต่อไปตามทางเดินเท้าอย่างเร่งรีบ

     เฮ้ย!!!
     ผมถึงกับร้องเสียงหลง เมื่ออยู่ๆ ก็รู้สึกว่าเท้าที่ก้าวออกไปเหยียบลงบนอากาศธาตุอันว่างเปล่า และ
     ตูม!!
     ตัวผมหล่นผลุบลงไปในปล่องคอนกรีตขนาดประมาณเมตรคูณเมตร ร่างกายท่อนล่างตั้งแต่เข่าลงไปแช่อยู่ในของเหลวสีดำสนิท กลิ่นเหม็นเน่าชวนสะอิดสะเอียนเริ่มโชยมาแตะปลายจมูก
     คนตกท่อ! คนตกท่อ!
     แว่วเสียงเอะอะดังมาไกลๆ จากข้างบน
     - คนตกท่อ?
     ใช่ล่ะ ผมตกท่อ ภาพสุดท้ายที่ผมมองเห็นบนนั้น คือรูสีดำทรงสี่เหลี่ยมขนาดประมาณเมตรคูณเมตรใต้ฝ่าเท้าตัวเอง แล้วผมก็ล่วงตูมลงมาในนี้
     - ตายล่ะ มีอะไรแตกหักรึเปล่า?
ผมรีบสำรวจตัวเอง...หัวไม่แตก  แข้งขาไม่มีตรงไหนหัก ส่วนลำตัวก็ปกติ  แต่ตรงแขนซ้ายเริ่มรู้สึกปวดร้าว และแสบร้อนเหมือนโดนอะไรข่วนเข้าอย่างแรง
     - แม่ง ท่อไม่มีฝาปิดได้ไงวะเนี่ย  ใครมันเที่ยวมาเปิดฝาท่อทิ้งไว้แบบนี้  ไอ้...
ป่วยการจะแช่งชัก สิ่งที่ต้องทำคือ ผมต้องปีนขึ้นไปข้างบนเพื่อพาตัวเองออกไปจากขุมนรกนี่ให้เร็วที่สุดเพราะมันเริ่มจะคันยุ่บยั่บไปทั้งตัวแล้ว เอาล่ะ

     ...
     เสียงลึกลับเสียงหนึ่งดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ฟังดูคล้ายเสียงคราง หงิง...หงิง...ใช่ล่ะ มันเป็นเสียงครางแน่ๆ แต่อะไรล่ะที่จะมาครางอยู่ในท่อเหม็นอับอย่างนี้  แม้จะกลัวอยู่ลึกๆ แต่ความอยากรู้ก็พาผมก้มหน้าลงไปมองซอกแซกฝ่าความมืดเบื้องหน้าออกไป
     
     เสียงนั่นดังขึ้นอีก คราวนี้ห่างออกไปไม่กี่ฟุต และผมก็แน่ใจว่ามันเป็นเสียงหมาแน่ๆ เพราะจระเข้มันคงไม่ครางกันแบบนี้หรอก  ผมเริ่มส่งเสียงเรียก พยายามคุมโทนเสียงให้ฟังดูเป็นมิตรมากที่สุด ไม่รู้มันจะฟังเข้าใจหรือเปล่า  แต่ก็นึกวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ออก
     ได้ผล ลูกหมาผอมซูบเซียวตัวหนึ่งเดินตุปัดตุเป๋เข้ามาหา ผมจ้องหน้าเพื่อหยั่งเชิงจนแน่ใจว่ามันจะไม่กัดแล้วจึงค่อยๆ อุ้มมันขึ้นมา
     ส่งมาทางนี้เลยครับ
     เสียงหนึ่งดังมาจากบนหัว ผมแหงนหน้าขึ้นไปมอง คราวนี้มีคนยืนล้อมกันเต็มปากท่อ
     ทีแรกนึกว่าคนตกท่อ ที่ไหนได้ลงไปช่วยลูกหมานี่เอง ใจบุญแท้ๆ ส่งมาเลยครับ
     ผมยิ้มเจื่อนๆ พลางยกลูกหมาส่งต่อให้เจ้าของเสียง คนที่เหลือยื่นมือมาดึงแขนผมตะกายขึ้นจากท่ออย่างทุลักทุเล
     คุณนี่ใจดีจริงๆ อุตส่าห์ลงทุนลุยน้ำครำลงไปช่วยลูกหมาจรจัด
     นั่นสิ ไม่งั้นมันคงอดตายอยู่ข้างล่างนั่นแน่ๆ
พวกนั้นยังพากันรุมยกย่องผมไม่ขาดปาก  บางคนส่งผ้าเช็ดหน้าให้เช็ดไม้เช็ดมือ
     เจ้าลูกหมายังมีอาการตื่นกลัว ไม่รู้ว่ามันติดอยู่ในนั้นนานแค่ไหนแล้ว และถ้าผมไม่บังเอิญ...ตกลงไปล่ะ มันจะเป็นยังไง  ใครกันมักง่ายเปิดฝาท่อทิ้งไว้จนมันเดินพลัดตกลงไป นี่ถ้าเกิดไม่ใช่ลูกหมา เป็นลูกคนตกลงไปบ้างล่ะ จะเป็นยังไง?

     ...เอาเถอะ ยังไงผมก็ได้ช่วยมันขึ้นมาแล้วถึงจะด้วยความบังเอิญก็ตามที ป่วยการจะมานั่งโทษนั่นโทษนี่ผมมีเรื่องสำคัญที่สุดต้องไปทำ  ไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เวลาก็กระชั้นเข้ามาทุกที...เวลา!! ตายล่ะ!!!
นาฬิกาที่ข้อมือฟ้องว่าผมสายมา 15 นาทีแล้ว  ถ้ารีบไปตอนนี้อาจจะยังพออ้อนวอนขอความเห็นใจได้บ้าง ก็นี่มันเหตุสุดวิสัยแท้ๆ ...แต่ว่าสารรูปผมตอนนี้ มันคงไม่มีที่ไหนเหมาะเท่าห้องน้ำกับสบู่อีกแล้ว เนื้อตัวสกปรก เหม็นคละคลุ้งเป็นลูกหมาตกน้ำแบบนี้  อย่าว่าแต่ห้องสัมภาษณ์เลยแค่ประตูหน้าบริษัท ยามก็ไม่ปล่อยให้ผ่านแล้ว ผมเห็นโอกาสค่อยๆ ล่องลอยออกไป พร้อมๆ กลิ่นเหม็นคลุ้งที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว
      กลุ่มไทยมุงทะยอยกันเดินหายไปทีละคนๆ จนสุดท้ายเหลือแค่ผมกับเจ้าลูกหมาสกปรกตัวนั้น ผมมองหน้ามันพลางครุ่นคิดว่าจะเอาไงดี
     เก็บกลับไปเลี้ยง?
     คงไม่ได้ล่ะ ไม่มีอพาร์ตเม้นท์ที่ไหนอนุญาตให้เลี้ยงหมาได้ หรือจะปล่อยทิ้งไว้แถวนี้เพราะเดิมทีมันก็เป็นหมาจรจัดไม่มีเจ้าของอยู่แล้วนี่ มันคงเตร่หากินแถวนี้ได้แหละ  แต่...ถ้ามันเกิดเดินพลัดตกลงไปในท่อนั่นอีกล่ะ?
     ขณะกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ผมก็เหลือบไปเห็นผู้ชายท่าทางคุ้นตาที่ทางเท้าฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มแต่งตัวมอมๆ พร้อมกระเป๋าสะพายใบเขื่อง กำลังประนมมือไหว้ผู้หญิงอ้วนแต่งตัวดีคนหนึ่ง  ถึงจะไกลจนฟังเสียงไม่ได้ยิน แต่ผมก็พอเดาได้ว่าไอ้หมอนั่นกำลังพูดอะไรอยู่
     ฮ่ง...ฮ่ง
     เจ้าลูกหมามอมแมมส่งเสียงเห่าออกมาเป็นครั้งแรก 
     ผมถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไงกันแน่.				
12 ตุลาคม 2549 23:43 น.

คนที่ผมรักตายไปแล้ว

พีรเดช นวลสาย

คนที่ผมรักตายไปแล้ว!!
     ...คนที่ผมรัก เธอเริ่มตายเมื่อแรกก้าวไอเย็นแห่งฤดูหนาวหนที่สามของเราสองคนย่างกรายมาถึง  แน่นอนว่ามันเหนือการคาดหมายใดๆ ของผมหรือแม้แต่ตัวเธอเอง  นานกว่าสองช่วงอายุลมหนาวที่เราต่างอาทรแบ่งปันไออุ่นแก่กันและกัน แต่อยู่ๆ เมื่ออย่างขวบปีที่สาม เธอก็ตายจากไปอย่างไร้เหตุผล
     ผมไม่แน่ใจว่า เราทันได้เอ่ยคำร่ำลาต่อกันหรือเปล่า คลับคล้ายว่าเรานั่งทานมื้อเย็นกันในสวนหลังบ้าน หัวเราะพึงพอใจรสชาติอาหารที่ลงมือปรุงด้วยกัน ก่อนจะเข้านอนพร้อมกันเมื่อดวงดาวขึ้นประปรายบนฉากฟ้าสีดำ หลับสบายและต่างก็ฝันถึงกันและกัน แต่พอรุ่งเช้าเธอก็ตายจากป  ผมรู้สึกจุกแน่นหน้าอก
     ...ใช่แล้วล่ะ หัวใจของผมกำลังร้องไห้ ร้องไห้ท่ามกลางลมหนาวที่คืบคลานเข้ามาอย่างเย็นชา


     ใบไม้สีน้ำตาลแดงแห้งกรอบปลิดปลิวร่อนลงเกลื่อนพื้น
     ทิ้งไม้แห้งยืนต้นเหม่อลอยหงอยเหงาเพียงลำพัง มันจะรู้สึกสะเทือนใจบ้างไหม กับการที่อยู่ด้วยกันมาเนิ่นนาน อยู่ๆ เมื่อย่างเข้าสายลมแรกของฤดูหนาว ฝ่ายหนึ่งก็จากไปโดยไม่มีแม้แต่คำร่ำลา  ใครจะรู้ ต้นไม้อาจแอบร้องไห้ในม่านมืดของค่ำคืนที่มีเพียงแสงดาวริบหรี่รู้เห็น  มันอาจจะตะโกนบอกดวงดาวไปว่า "ฉันก็เจ็บเป็น"
     ...และถ้าเป็นเช่นนั้น  หัวใจของต้นไม้ก็คงกำลังร้องไห้เหมือนกัน


     ผมใช้เวลาชั่วโมงครึ่งกับกาแฟดำมื้อเช้า
     จิบสุดท้ายเย็นชืดและฝาดปร่าจนเกือบสำลัก  เป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีเอาซะเลยสำหรับกาแฟฝีมือตัวเองถ้วยแรกในรอบสองปี  ถัดจากกาแฟถ้วยนี้แล้วจะใช้ชีวิตยังไงต่อไปก็ยังไม่รู้  ผมเพิ่งจะลาออกจากงาน เป็นการลาออกทั้งๆ ยังไม่รู้จะไปทำอะไร  ความจริงในเวลานี้ผมก็ไม่มีกะใจจะทำอะไรอยู่แล้ว มันเป็นห้วงเวลาแห่งความว่างเปล่าของชีวิต ปราศจากความหวัง ความทะเยอทะยาน และแม้แต่ความรัก
     ผมอาจจะใช้เวลาทั้งวันบนเก้าอี้ไม้ในสวนหลังบ้าน หรืออาจจะนอนคุดคู้ใต้ผ้าห่มเพื่อไม่ต้องรับรู้ว่าวันอันยาวนานจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่  แต่เชื่อเถอะว่าทุกที่ที่ผมอยู่ก็จะต้องเต็มด้วยภาพของเธอ "คนที่ผมรัก"  แม้ว่าเธอจะตายจากไปแล้วก็ตามที มันไม่ง่ายนักหรอกกับการบังคับความรู้สึกของตนเองให้ลืมใครสักคน โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดขึ้นถัดจากความผิดหวัง

     ผมฝืนข่มตานอนมาตลอดบ่าย
     ถึงอย่างนั้น  ก็หลับไม่ลง มันรู้สึกกระสับกระส่ายจนต้องลุกขึ้นมาเดินวนเวียนรอบเตียง ก่อนจะเตลิดออกไปถึงห้องครัว  เปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ทั้งๆ ที่ไม่รู้สึกว่ากำลังได้ดื่ม  ไม่รู้สึกแม้กระทั่งการมีอยู่ของลมหายใจ ทุกอย่างที่ดำเนินไป เหมือนเป็นเพียงแค่ความว่างเปล่า  เบาหวิว
     ...แต่กระนั้น ในความว่างเปล่าที่ว่ากลับยเต็มด้วยภาพเธอ  ทุกๆ อิรอยาบถของเธออ่อนไหว งดงามราวภาพวาดจากสรวงสวรรค์  และไม่ว่าผมจะหลับตาหรือลืมตาภาพเหล่านั้นก็ยังปรากฏอยู่ อุ่นจุมพิตอ่อนโยนยังเจือจางบนริมฝีปาก กรุ่นหอมเส้นผมยาวสยายยังติดค้างตรงปลายจมูก  แม้แต่ในความเงียบงัน เสียงหัวเราะของเธอก็ยังคงก้องกังวาน

     แรกที่เราพบกันนั้น
     ความโง่เขลาของผมมีมากซะจนบดบังไม่ให้เห็นความสวยงามของเธอ จนเมื่อได้พบกันบ่อยครั้งขึ้นความชิดเชือ้มีโอกาศทำหน้าที่ของมันอย่างสัตย์ซื่อ ทุกอย่างจึงมีทีท่าเปลี่ยนไปจากแรก  กลายเป็นผมที่เฝ้าพะวักพะวงถึงเธอ เริ่มต้นตั้งแต่เช้ามือล่วงเลยจนดึกดื่นและไม่เว้นกระทั่งในความฝัน  ชีวิตผมดูจะมีเพียงแค่สองอย่าง คือ คิดถึงเธอตอนตื่น กับคิดถึงเธอตอนนอนหลับ
     นานเท่าใดไม่รู้ที่ความเป็นเพื่อนระหว่างเราถูกบ่มเพาะจนงอกงามกลายเป็นความรัก ผมกลายเป็นคนที่เธอรัก  ส่วนเธอกลายเป็นคนที่ผมรัก รักเท่าที่คนๆ หนึ่งจะพึงรักอรฃีกคนหนึ่งได้  และรักเพิ่มพูนขึ้นทุกๆ วัน จนมองไม่เห็นว่าจะมีอะไรมาแยกเราจากกันได้
     ...แต่แล้วอยู่ๆ เธอก็ตายจากผมไป

     แรกที่รับรู้ถึงการตายของเธอ
     ผมไม่อาจกั้นน้ำตาเอาไว้ได้ มันไหลบ่าราวน้ำฝนต้นฤดูกาล  ไม่ใช่แค่ตัวเท่านั้นที่ร้องไห้ หัวใจของผมก็ร้องไห้  มันเหมือนชีวิตได้เดินทางมาถึงจุดที่เปราะบางที่สุด...และกำลังจะแตกสลาย
     สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับการตายของเธอ คือเธอไม่ได้ตายจากไปในทีเดียว  ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น  แม้จะต้องเจ็บปวดก็คงเป็นการเจ็บปวดที่สุดแค่ครั้งเดียวเช่นกัน  แต่คนที่ผมรักเธอค่อยๆ ตายจากผมไปทีละนิด  ทีละน้อย  บางวันดูเหมือนว่าเธอยังดีอยู่ แต่ถัดไปอีกวันกลับดูเลวร้ายราวกับเป็นคนละคนกัน บ่อยครั้งในระหว่างทางแห่งความตายของเธอ เราสองคนทะเลาะกันด้วยเรื่องอันไม่เป็นเรื่อง  ตามต่อมาด้วยความห่างเหินคล้ายกับเธอต้องการหลบหน้าผม คนที่เธอพร่ำบอกอยู่ตลอดเวลาว่า ยังเป็นคนที่เธอรัก  สิ่งเหล่านั้นดำเนินไปอย่างเงียบเชียบบนความแคลงใจ แต่ผมยังพยายามไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา  เธออาจจะแค่เหนื่อย...คนเราทุกคนมีช่วงเวลาแห่งความเหน็ดเหนื่อยด้วยกันทั้งนั้น  ต่อให้มีชีวิตที่รายล้อมด้วยความสุขขนาดไหน ก้ต้องมีสักวันหนึ่งที่รู้สึกเหนื่อย  แต่จะเป็นไรไปล่ะ เราก็แค่หาเวลาพักปล่อยให้หัวใจได้เอนตัวลงนอนพักบ้าง เพื่อจะตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นอีกครั้ง  ผมจึงปล่อยให้เธอเป็นอย่างที่เธอกำลังเป็น...ไม่นานเธออาจจะดีขึ้นและกลับมาเป็นคนที่แสนดีคนเดิม
     ผมคิดผิดถนัด สิ่งที่ทำไปนั้นไม่แตกต่างอะไรกับการหยิยยื่นโอกาสแห่งการตายให้กับเธอ เธอจึงแสดงให้ผมเห็นว่าเธอได้ตายไปแล้วจริงๆ  ด้วยการหายหน้าไปเนิ่นนาน ในความรู้สึกของการรอคอยนั้น มันนานเสียจนไม่อาจจะคาดคะเนวันเวลาใดๆ ได้  ผมพร่ำเรียกร้องเธอกลับคืน แต่สิ่งที่ตอบมาคือความว่างเปล่า...ในวินาทีนั้นเองที่ผมเริ่มรู้สึกว่าเธอตายจากไปแล้วจริงๆ แม้จะยังไม่ได้ตายไปทั้งหมด แต่บางส่วนของเธอตายจากผมไปแล้ว  ต่อให้ร่ำร้องอ้อนวอนยังไงสิ่งที่ตายจากไปแล้วนั้น ก็ไม่มีวันฟื้นคืนกลับมาอีก และไม่นานถัดจากนี้ส่วนที่เหลืออยู่ของเธอ ก็จะทะยอยตายตามไปทีละนิด ทีละน้อยจนหมดไปในที่สุด  แต่ระหว่างนั้นผมยังบอกตัวเองไม่ได้เลยว่าจะทนต่อมันได้ยังไง ถึงจะเคยเผชิญต่อความหนักหนาสาหัสมาพอสมควรในชีวิต แต่มันก็แค่ความสาหัสทางกาย แตกต่างจากกลับครั้งนี้ที่หัวใจของผมเป็นฝ่ายบาดเจ็บอย่างสาหัสสากรรจ์

     โมงยามแห่งความเศร้านั้นช่างยาวนานและเชื่องช้า
     จนบางครั้งราวกับมันแกล้งหยุดนิ่งอยู่กับที่เพื่อจะได้ถาโถมเอาควาเจ็บปวดขมขื่นมาโยนใส่เราจนสาแก่ใจ มันคงยืนหัวเราะเยาะเย้ยหยันในความอ่อนแอของเรา มีคนบอกว่าเวลานี่แหละคือเพื่อนที่ดีที่สุด เพราะเวลาจะอยู่กับเราตลอดไม่หนีหน้าไปไหน มันจะคอยปลอบประโลมเมื่อเศร้าเสียใจ เวลายังสามารถเอาชนะต่อทุกสิ่งทุกอย่างได้ทั้งหมด ในไม่ช้ามันจะพาเราก้าวข้ามจากจุดที่กำลังเป็นอยู่ออกเดินไปยังจุดใหม่ที่ได้คัดสรรเอาไว้รอท่าอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นเราจึงจะรู้ตัวและนึกขอบคุณมัน...ผมไม่ได้เห็นพ้องหรือแย้งเป็นอย่างอื่น เพียงแต่รู้สึกว่าเลาช่างเป็นสิ่งที่ไม่มีความยุติธรรมเอาเลย เพราะช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นแสนสั้นเพียงน้อยนิด แต่เวลาแห่งทุกข์กลับเชื่องช้ายาวนานจนแทบจะทนอยู่กับมันต่อไปไม่ไหว

     วันที่ "คนที่ผมรัก"  ตายจากไปอย่างสมบูรณ์เดินทางมาถึง
     ....และล่วงพ้นไป  เธอผันตัวเองไปสู่ทางเดินใหม่ที่ตัวเธอเป็นผู้เลือกเอง  ขณะที่ผมจำต้องจมลึกอยู่กับสิ่งเก่าๆ  ทุกๆ เช้าตื่นขึ้นมานั่งทบทวนถึงภาพเก่าของเราสองคน  วันคืนที่เรายังคงเป็นเรา ไม่มีสิ่งแปลกปลอมใดเข้ามาคั่นแทรก  ผมยังคงคิดถึงและรักเธอจนสุดหัวใจ  หากไม่ใช่กับเธอคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ในปัจจุบันนี้  แต่เป็นเธอคนที่เคยรักและดีกับผมเมื่อสองปีก่อน ซึ่ง ณ เวลานี้ เธอคนนั้นได้ตายจากไปแล้ว
     ผมเดินพ้นประตูออกไปยังสวนหลังบ้าน  หยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าต้นไม้ที่เราสองคนเคยช่วยกันลงแรงปลูกและดูแลเอาใจใส่อย่างดีจนมันงอกงามเติบโตขึ้นตามกาลเวลา  ณ เวลานี้ มันเหมือนคนอมทุกข์ที่ยืนเหงาหงอยอยู่เพียงลำพัง นับแต่เธอจากไปผมก็ไม่เคยใส่ใจดูแลมันอีกเลย มันคงจะเศร้าเสียใจ และคงจะเสียใจมากกว่าผมเป็นเท่าตัว เพราะถูกคนที่เคยเฝ้าประคบประหงมดูแลทิ้งไปพร้อมกันถึงสองคน
      ....สายลมหนาวพัดวูบผ่านมา
     น้ำตาผมเอ่อท้นอีกครั้งตอนเห็นใบไม้สีน้ำตาลแดงใบสุดท้าย ปลิดจากกิ่งผอมแห้งร่วงลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง  ความหมองเศร้าแล่นเข้ากัดกินหัวใจทันทีทันใด ต้นไม้แห้งผอมซูบต้นนั้นช่างไม่ต่างอะไรจากตัวผม  ที่ไม่สามารถทำอะไรอย่างอื่นได้ นอกจากยืนมองดูคนที่ตัวเองรัก...ลาจากไปต่อหน้า
     ...ป่านนี้ เธอคนนั้นอาจจะเดินกุมมือกับใครสักคนอย่างมีความสุข อยู่ ณ ที่ไหนสักแห่ง
     แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรอีกแล้ว
     เพราะคนที่ผมรัก  เธอได้ตายจากไปนานแล้ว
     ..................................................................................				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพีรเดช นวลสาย
Lovings  พีรเดช นวลสาย เลิฟ 0 คน
Lovers  0 คน เลิฟพีรเดช นวลสาย
Lovings  พีรเดช นวลสาย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟพีรเดช นวลสาย
Lovings  พีรเดช นวลสาย เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงพีรเดช นวลสาย