19 พฤษภาคม 2549 23:10 น.

นางมารร้าย

ร้อยฝัน

สมชายแหงนหน้าดูท้องฟ้า ไม่มีวี่แววของฟ้าฝน  แดดจ้าในช่วงบ่ายไม่ทำให้สมชายอาทรร้อนใจแต่อย่างใดแต่มันกลับเป็นสัณญาณดีของการเริ่มต้นวัน
ของสมชาย  ใคร ๆ เขาเริ่มวันกันตอนเช้า แต่สำหรับสมชายแล้วแต่ละวันมักจะเริ่มต้นในช่วงบ่ายเสมอ   เกือบบ่ายสองโมงสมชายหอบสัมภาระขึ้นมอเตอร์ไซด์คู่ใจ  ตรงลิ่วไปยังที่เดิมที่สมชายใช้ทำมาหากิน
	บริเวณใต้ต้นจามจุรี หน้าโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งนี้  มีแม่ค้าพ่อค้าหลายเจ้า  บ้างก็ขายของเล่นสีสวย บ้างก็ขายน้ำหวาน น้ำอัดลม  บ้างก็ขายผลไม้  ในตอนเช้าที่แห่งนี้ค่อยข้างจะเงียบสงบ  แต่ในช่วงบ่ายใกล้เวลาจะเลิกเรียน บริเวณแห่งนี้จะเต็มไปด้วย  พ่อค้าแม่ค้า ที่รอขายสินค้าใหักับนักเรียน และผู้ปกครอง ที่มักจะแวะซื้อสำรับกับข้าว ขนม ติดมือ ติดไม้ ด้วยว่าสะดวก และบางทีเด็กนักเรียนที่โต ก็มักจะแวะมากินขนม  หรือแวะนั่งเล่นที่ร้านรวงแถวนี้เสมอ  บางทีผู้ปกครอง ก็แวะพาลูกหลานตัวน้อยกินขนมนมเนยก่อนกลับถึงบ้าน  ด้วยกลัวจะหิวโซกลับไป  
	ร้านของสมชายเป็นร้านตุ๊กตาปูนพลาสเตอร์  ที่จัดเรียงตุ๊กตาปูนพลาสเตอร์ พร้อมอุปกรณ์ทาสี  สำหรับเด็กนักเรียน ทั้งตัวเล็กตัวโต  ได้วัดแววความเป็นศิลปินกันที่นี่  ส่วนใหญ่ลูกค้าของสมชายจะเป็นเด็กอนุบาล ตัวเล็ก หรือ เด็กประถม  ซึ่งผู้ปกครอง พามานั่งหัดทาสีเล่น  เพื่อรอรถ หรือ หากิจกรรมให้เด็ก ๆ ได้ทำก่อนกลับบ้าน ร้านของสมชายจึงเป็นที่ดึงดูดลูกค้าได้ไม่ใช่น้อย
	วันนี้ก็เช่นกัน เมื่อสมชายจัดเรียงตุ๊กตา  และอุปกรณ์เสร็จแล้ว  ก็เตร่คุยกับพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้น นาน ๆ ทีค่อยวกกลับมาดูร้านทีนึงด้วยว่ายังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนไม่ใคร่จะมีลูกค้ามากนัก  
	เสียงวี๊ดวิ้ว  ดังแว่วมาจาก วินมอเตอร์ไซด์ของอีกฟากถนน  สมชายมองตามไป  เห็นสาวสวยนางหนึ่งเดินผ่านวินมอเตอร์ไซด์ ข้ามถนนมาทางฝั่งเขา  และแล้วเธอก็แวะที่ร้านเขา
	"คุณเคยเห็นนางมารร้ายไหม"  เธอถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
	"ครับ"  สมชายอึ้งและงงในคำถามของเธอ
	"เคยเห็นเหรอ  นางมารร้ายน่ะ  แล้วหน้าตาเหมือนชั้นมั๊ย"
	"โอ้ย คุณออกสวยขนาดนี้ คงไม่ใช่นางมารร้ายหรอก  น่าจะเป็น  
                      นางเอกมากกว่า"
	"มีคนเค้าบอกว่าฉันเป็นนางมารร้าย  ไม่ใช่สิ ฉันบอกเองว่าฉัน
                      เป็นนางมารร้าย"
	"จะบ้าเหรอคุณ  ทำไมคุณถึงคิดว่าคุณเป็นนางมารร้ายล่ะ"
	"ก็ฉันร้ายนะสิ   ฉันร้ายนะคุณจะบอกให้ คุณคุยกับฉันระวังจะ
                      โชคร้าย"
	"คุณ เอคุณเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย  เออ สนใจทาสีตุ๊กตาไหม 
                      ตัวละสิบบาทเอง"
	"ทาสีตุ๊กตา  ดีเหมือนกัน  พักสมองเสียหน่อยก็ดี"
	"เลือกตามสบายนะครับมีหลายแบบ  สีจัดไว้ที่โต๊ะทางโน้น
                      นะครับ"  สมชายเปลี่นวิกฤตให้เป็นโอกาสสำหรับตัวเอง
	เธอเลือกตุ๊กตาไปสองตัว  บรรจงระบายสีตุ๊กตาอย่างใจเย็น  เขามองดูก็รู้ว่าฝีมือดี  ดูเธอสงบกว่าตอนที่แวะเข้ามาใหม่  ๆ งานศิลป์บางทีก็เป็นยาที่ใช้รักษาคนเจ็บป่วยทางใจได้อย่างวิเศษ  เธอตั้งอกตั้งใจระบายสีขณะที่เค้ามองดูเธอเพลินไป
	"คุณเมื่อไหร่โรงเรียนจะเลิก"  เธอละจากตุ๊กตาแล้วหันมาถามเค้า
	"สักสิบนาทีก็เลิกแล้วล่ะ  คุณมารับลูกเหรอ"
	"ฉันยังไม่แต่งงาน จะมีลูกได้ไง"  น้ำเสียงเธอเริ่มหงุดหงิด
	"อ้าวแล้วคุณมารอใคร"
	"มารอดูเด็ก  ๆ ก่อนกลับบ้าน"  
	เอาแล้วสิ  สมชายชักจะหวั่น ๆ ใจ  นึกถึงฆาตกรโรคจิต  ที่เอามีดไล่จ้วงแทงเด็กนักเรียนอย่างในข่าวเมื่อไม่นานมานี้  เขาล้วงกระเป๋าหาโทรศัพท์หยิบขึ้นมาแล้วชั่งใจว่าจะแจ้งตำรวจดีหรือไม่  ก็เหตุมันยังไม่เกิด  หรือเขาต้องป้องกันไว้ก่อน หรือเขาคิดมากไป แต่หญิงสาวดูเหมือนจะรู้ทัน  เธอหยิบกระเป๋าถือ เททุกอย่างออกมากองบนโต๊ะ
	"ฉันไม่ใช่ฆาตกรโรคจิต  ฉันเป็นแค่นางมารร้าย  คุณกลัวฉัน"
	"เปล่า  ผมจะโทรหาเพื่อน" เขาแกล้งโกหก เพื่ออะไรเขาเองก็ไม่รู้
เหตุผลของตัวเอง
	"ฉันแค่มานั่งดูเด็ก ๆ กลับบ้านเท่านั้นแหละ เห็นไหมฉัน
                      ไม่มีอาวุธ" ถึงแม้สิ่งที่เธอเทออกมาไม่มีสิ่งใดเลยที่ส่อเค้าว่าจะเป็นอาวุธได้แต่สมชายก็ยังหวั่นใจอยู่ดี
	"คุณฉันซื้อตุ๊กตาคุณอีกสิบตัว"
	"หา สิบตัวสักสองทุ่มผมก็ปิดร้านแล้ว  คุณจะทาสีหมดนี่
                       เลยเหรอ"  
	"เปล่า " เธอตอบสั้น ๆ
	เธอหยิบตุ๊กตาขึ้นมาตัวหนึ่ง  แล้วก็ทุ่มลงไปกับพื้นอย่างแรงจนตุ๊กตาแตกกระจาย  แล้วก็ตามด้วยตัวที่สอง  สาม  สี่  ห้า  จนครบสิบตัว
	"คุณ  คุณทุ่มตุ๊กตาทำไม"
	"ก็ฉันซื้อแล้ว เป็นสิทธิ์ของฉันนี่  นี่ไงเงินค่าตุ๊กตาของคุณ
                       ร้อยยี่สิบบาท"
	"แต่นี่มันร้านผม  มันสกปรก  ผมเอาแค่ร้อยเดียว สองตัว
                       ของแถม  คุณช่วยออกจากร้านผมทีได้ไหม  อีกไม่นานเด็ก ๆ 
                       ก็จะมาแล้ว"
	เธอไม่ตอบ  แต่กลับก้มลงไปเก็บเศษตุ๊กตาขึ้นมาแล้วเดินไปทิ้งที่ถังขยะข้าง ๆ สมชายมองเธออย่างแปลกใจ  และหวั่นใจมากยิ่งขึ้น เธอเก็บเศษตุ๊กตาที่แตกอย่างหมดเกลี้ยง  แล้วก็ก้มลงทาสีตุ๊กตาสองตัวแรกอย่างใจเย็น  ไม่นานนักเสียงเด็กก็ดังเจี้ยวจ๊าว  และกรูมาบริเวณร้านค้า  เด็กหลายคนเข้ามาที่ร้านของสมชายอย่างคุ้นเคย  เธอหยิบตุ๊กตาให้เด็ก ๆ หลายคน
	"พี่ให้จ๊ะ  ไม่ต้องจ่ายตังค์นะ  พี่จ่ายให้เอง"  เธอบอกกับเด็ก ๆ 
	"คุณ  คุณจดไว้เลยฉันหยิบไปกี่ตัว เดี๋ยวฉันจ่าย"  เธอบอก
สมชายอย่างนั้น  ของฟรีใคร ๆ ก็ชอบ  เด็ก ๆ หลายคนกรูเข้ามารับ เธอก็
แจกจ่ายอย่างไม่อั้น  จนโต๊ะทาสีวันนี้แน่นขนัด
	"ขายดีไหมคุณ  เห็นไหม ฉันไม่ใช่ฆาตกร  ฉันเป็นแค่
                       นางมารร้าย " เธอย้ำอีก
	สมชายได้แต่เกาหัวแกรก ๆ ไม่เข้าใจ  เธอหันมายิ้ม  ตั้งหน้าตั้งตาทาสีตุ๊กตาเธอต่อไป  ยามที่เด็กผ่านมาเธอก็หยิบตุ๊กตาแจกจ่ายทุกครั้ง
จนตุ๊กตาหมดเกลี้ยงโต๊ะ  และลูกค้าก็เริ่มซาไป
	"คุณ  คุณจ่ายมาได้แล้ว  ผมจะปิดร้าน"
	"เดี๋ยวสิ  ฉันถามคุณหน่อย  นางมารร้ายต้องเป็นคนยังไง"
	"คุณเล่นอะไร  ผมจะกลับบ้าน จ่ายมา"
	"ไม่จ่ายถ้าคุณไม่ตอบคำถามชั้น  และถ้าฉันไม่พอใจ"
	"คุณ ผมจะแจ้งตำรวจแล้วนะ"
	"ถ้าคุณแจ้งตำรวจ ฉันจะร้องให้คนช่วย  คุณรังแกฉัน"
	"คุณ คุณเล่นบ้าอะไรเนี่ย  ขอร้องล่ะผมจะกลับบ้าน"
	"ฉันก็ขอร้องคุณเหมือนกัน  ช่วยตอบฉันที"
	"นางมารร้าย ก็หน้าตาเหมือนคุณนี่แหละ  งี่เง่า  บ้า  แล้วก็ชอบ
                       ทำให้คนอื่นเดือดร้อน"  เขาโพล่งออกมาด้วยความโมโห
	"ขอบคุณที่ตอบฉัน  ฉันเป็นนางมารร้าย จริง ๆ คุณรู้ไหม  ไม่ว่า
                       ที่บ้าน  ที่ทำงาน  ฉันพยายามทำดีกับทุกคน  เป็นลูกที่ดี  เป็น
                       เพื่อนที่ดี แต่ฉันกลับทำให้ทุกคนที่ฉันรักต้องผิดหวัง  ฉันทำ
                       ไม่ได้อย่างที่ทุกคนหวัง  ฉันไม่เก่ง  ฉันไม่อดทน  ฉันไม่เสียสละ 
                       เหมือนดังที่ทุกคนอยากให้ฉันเป็น  ฉันทำให้พวกเค้าผิดหวัง
                       ในตัวฉัน  ฉันเป็นนางมารร้าย "
	"คุณ  คุณจะเป็นอะไร  กับใครก็ช่าง แต่ร้านผม  ตุ๊กตาผม  
                       เงินที่ผมจะได้  แล้วผมก็จะปิดร้าน  คุณเข้าใจไหม"
	"เข้าใจ  แต่คุณต้องเข้าใจฉันด้วย"
	"คุณเอาเป็นว่า  ผมเข้าใจคุณ  เอาละจ่ายเงินมา  แล้วผมจะ
                      ปิดร้าน"  สมชายเริ่มอ่อนใจ
	เธอนิ่ง  น้ำตาไหลเป็นทางยาว  
	"คุณ  คุณจะจำนางมารร้ายอย่างฉันได้ไหม  "
	"รับรอง  ผมจำคุณได้แน่ ได้ตลอดชีวิตเลย  ซวยแท้ ๆ "
	"ฉันบอกคุณแล้ว คุยกับฉันแล้วคุณจะโชคร้าย"
	"ถ้าผมรู้โชคชะตาก่อนหน้านี้  ผมจะไม่คุยกับคุณ ตกลงคุณ
                       จะเอายังไง"  
	"นี่เงินค่าตุ๊กตาทั้งหมดของคุณ  ห้าพันบาท พอไหม"
	"คุณ มันมากไป พันเดียวก็พอ  บวกค่าปวดหัวด้วยนะคุณ"
	"เอาไปเถอะ อ้อ ตุ๊กตาสองตัวเนี่ยฉันให้คุณเป็นที่ระลึก  
                        อย่างน้อยคุณจะได้นึกถึงฉันบ้าง  นางมารร้ายคนนี้  ก็ยังมีหัวใจ
                        เป็นนางเอก ฉันสงสารคุณที่ต้องแบกตุ๊กตาหนัก ๆ กลับไป  
                        ได้กำไรไม่กี่ร้อยบาท  ถ้าคุณปฏิเสธมันฉันจะฉีกมันทิ้ง 
                        นอนตารางสักวันก็ดีเหมือนกันพื่อนเยอะดี"  เธอพูดแล้วยิ้ม
บาง ๆ ยัดเงินทั้งหมดไว้ในมือสมชาย  แล้วเดินออกจากร้านไป  อย่างไม่สนใจใยดี
	สมชายก้มดูเงินในมือ  แล้วยิ้มขำ ๆ  ในเรื่องที่ผ่านมา  
นางมารร้าย  แต่ใจดีฉิบหาย  เห็นทีจะต้องเรียกเธอ ว่า นางมารร้ายผู้แสนดี
ซะแล้ว				
20 มีนาคม 2549 23:56 น.

สายน้ำ

ร้อยฝัน

แสงแดดช่วงเที่ยงวันอันร้อนระอุ  ผู้คนต่างก็หลบกันในเงาไม้  และใต้ร่มชายคาของศาลาริมน้ำ   แต่ฉันกลับเดินช้า  ๆ  ห่างออกไป  ท่ามกลางแสงแดดร้อนแรงนั่น
  เฮ้ย  อ้อย แกจะบ้าหรือไงวะ  ร้อนออกจะตายออกไปทำไม    เสียงคนหวังดีบ่นไล่หลังมา 
     ฉันไม่ตอบหันกลับไปมองแล้วยิ้มให้  คงเดินต่อไปท่ามกลางเปลวแดด แล้วหยุดยืนนิ่งตรงริมน้ำ  เปลวแดดร้อน  แผ่ลงไปยังผืนน้ำมองดูเหมือนเส้นสายของน้ำกำลังเต้นระริกสั่นไหว   เม็ดเหงื่อ  ผุดมาพร่างพรายบนใบหน้า  ฉันมองดูผืนน้ำ   งดงามนัก  เหมือนเพชรเม็ดเล็ก ๆ  ที่กำลังจะกระเด็น  ออกจากผืนน้ำนั้น  ยามที่ลมพัดต้อง   ดุจดังสายน้ำนั้นมีชีวิต   
    สายน้ำเอ๋ย  เจ้าเคยโศกเศร้าไหม
ยามที่ข้าหม่นเศร้าครั้งคราวใด
ต้องทนฝืนร่ำไห้เพียงเดียวดาย

     ฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่เผลอกลืนเข้าไปมันคือหยดเหงื่อหรือน้ำตา   ปร่านักในความรู้สึก  ฉันปาดน้ำตาอย่างลวก ๆ ฉันร้องไห้  ร้องออกมาโดยไม่รู้ว่ามาจากสาเหตุใด  ทุกครั้งที่ฉันมองสายน้ำ น้ำตาเจ้ากรรมมักจะไหลออกมาเงียบ ๆ  อิจฉานัก  สายน้ำดูมีคุณค่าในความรู้สึก แต่ฉันล่ะเคยมีคุณค่าพอสำหรับใครบ้างไหม  ภาพความทรงจำลาง  ๆ  เริ่มแจ่มชัดขึ้น

    พ่อ  อ้อยไปตลาดด้วยได้ไหม 
    พ่อไปธุระกับพี่เค้าแป๊บเดียวลูก  เดี๋ยวพ่อมา  
อยู่บ้านนะ  แดดมันร้อน

   วันนั้นพ่อไปตลาดกับพี่สาว  กลับมาพร้อมขนมถุงใหญ่  

  เอ้าขนม  พ่อซื้อมาฝาก  แบ่งแม่  กับพี่เค้ากินบ้างนะ

  ภาพวันนั้น  ฉันยิ้มอย่างดีใจ  แต่ก็ต้องหน้าหมองลง  เมื่อพี่สาวดึงสิ่งที่อยู่ในถึงออกมาอวด

  อ้อย  สวยไหม  กระโปรงใหม่  เสื้อใหม่พ่อซื้อให้  
 สวย  พ่อแล้วของอ้อยล่ะ
 ของอ้อย  ไว้พ่อไปตลาดคราวหน้านะลูก  พ่อซื้อให้พี่เค้าแล้วเงินมันหมดพอดี  แต่ของเก่าพี่เค้าก็ยังสวย อยู่นี่ลูก  หนูเอาตัวนั้นได้ไหม

พ่อ  อ้อยอยากได้กระโปรงใหม่   ขออ้อยตัวใหม่ได้ไหม  ให้พี่เค้าใส่ตัวเดิมไป 

อ้อย นี่ยังไง  นั่นมันของพี่เค้า  ที่พี่เค้าให้เรา  เราก็ใส่ได้นี้  เซ้าซี้อยู่ได้

  กระโปรงตัวใหม่จากพ่อ  จนป่านนี้ฉันก็ยังไม่เคยได้ใส่  การไปตลาดกับพ่อ  โตป่านนี้ฉันก็ไม่เคยได้ไป  ฉันจำได้ว่ากระโปรงตัวใหม่ตัวแรก ที่ฉันซื้อ มันมาจากน้ำพักน้ำแรงของเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ยอมทนตากแดดตากลม  ลงน้ำไปลอกปอ   น้ำแช่ปอที่เน่าจนเหม็น  แสบคันเมื่อขี้นมาโดนแดด  กระนั้นฉันก็เก็บออมจนซื้อกระโปรงตัวสวยได้  สิ่งที่ฉันหวังอย่างเดียว คือ พ่อมองลูกสาวอย่างฉันอย่างมีคุณค่าบ้าง  ฉันพยายามทำทุกสิ่งที่จะทำให้พ่อหันกลับมามองและภูมิใจในตัวฉัน  อยากให้พ่อเอื้อมมือมาลูบหัวฉันบ้าง อย่างที่ทำกับพี่สาวหรือน้องสาว  แต่ฉันได้แต่หวัง

  สายน้ำเอย เจ้าเคยจะรู้หรือไม่
ในยามที่ข้าหดหู่หัวใจ
ข้าไร้ใครมาเหลียวแล

   อ้อย  ไปยืนทำอะไรเข้าร่มได้แล้ว  เดี๋ยวไม่สบาย    เสียงตะโกนจากคนหวังดี  บอกมาอีกครั้ง

      ฉันไม่หันกลับ นิ่ง ทอดสายตาไปยังผืนน้ำอีกครั้ง  เสียงพ่อยังก้องอยู่ในหู

  พ่อ  พ่อช่วยอ้อยได้ไหม  เงินเดือนอ้อยไม่พอใช้แล้วนะ
 แกใช้ยังไงของแก  คนเค้าเงินเดือนน้อยกว่าแกตั้งเยอะเค้ายังพอใช้  ซ้ำยังเหลือเก็บเงินเดือนแกเอาไปประเคนให้ใคร
  พ่อ แล้วเงินที่อ้อยกู้มาให้น้องล่ะ  มาช่วยน้อง   ทั้งต้นทั้งดอก  อ้อยต้องใช้หนี้อยู่ทุกเดือน ค่าน้ำมันรถ  ค่ากิน  ค่าของใช้  ค่า... อ้อยทั้งนั้นนะ  แล้วพ่อจะให้อ้อยทำยังไง 
 เงินที่แกกู้มาให้น้อง  แกก็ต้องให้น้องช่วยสิ  แกมาเบียดบังเงินพ่อ  ได้ไง โตแล้วงานก็มีทำแล้ว  หัดอายบ้างซิ
  พ่อ  แล้วน้องล่ะ  น้องเพิ่งทำงาน  น้องจะเอาเงินที่ไหนมาช่วยอ้อย  ในช่วงที่อ้อยลำบากพ่อช่วยอ้อยบ้างไม่ได้หรือ
 ฉันไม่รู้  เงินฉัน ฉันจะเก็บไว้ ฉันแก่แล้ว  ฉันควรจะสบายได้แล้ว แกต้องแก้ปัญหาเอง
 พ่อ ทำไมน้องได้ทุกอย่างล่ะ  ทำไมอ้อยต้องให้ด้วย  อ้อยให้มามากพอแล้ว อ้อยให้ทุกอย่าง  มีใครให้อะไรอ้อยบ้าง  พ่อ  พ่อรักอ้อยบ้างไหม  อ้อยเป็นลูกพ่อไหม ตั้งแต่เด็กจนโต  อ้อยเคยได้อะไร  ทุกอย่างอ้อยดิ้นรนด้วยสองมือ  สองแขนของอ้อย ก็ได้พ่อ  หนึ้อ้อยจะใช้เอง  เงินอ้อยจะหาเอง   อ้อยขอถามพ่อสักคำ  พ่อเคยให้อะไรอ้อย เหมือนกับให้พี่สาว  น้องสาวบ้างไหม  พ่อตอบอ้อยสิ
  ให้ ฉันให้แก  ให้ชีวิตแก  ให้แกเป็นคนอยู่ตรงนี้ไง
 พ่อ ขอบคุณ  

   ไม่ว่าเหตุการณ์วันนั้น  จะผ่านมาสักกี่ปี  ในความรู้สึกฉัน มันยังแจ่มชัดอยู่ตรงนั้นใช่พ่อให้ฉัน  ให้ชีวิตฉัน  ให้ฉันรู้จักการต่อสู้  รู้จักใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็ง  พ่อให้ ให้มากกว่าพี่น้องคนอื่น  ๆ  วันนี้จึงมีฉันยืนอยู่ตรงนี้ 
 
   สายน้ำเอย  เจ้าเคยจะรู้ไหมว่า
ในวันที่ใจเหว่ว้า  ไร้ใครจะมาปลอบขวัญ
  มีเหงา  อ้างว้าง อยู่เคียงคู่กัน
แต่งเติมให้ชีวัน  ให้ตัวฉันมีพลังใจ
 ให้ฉันเดินตามทางที่ฝัน  ด้วยใจมุ่งมั่นเกินใคร
แม้เป็นคนไม่มีหัวใจ   แต่ฉันก็ยืนอยู่ได้
ด้วยหัวใจที่ทรนง
				
14 กุมภาพันธ์ 2549 23:09 น.

ความรัก

ร้อยฝัน

1
คุณออยคร๊าบ  รับพัสดุครับ   แว่วเสียงบุรุษไปรษณีย์ร้องเรียกที่หน้าบ้าน  
รอเดี๋ยวนะคะ ไปเดี๋ยวนี้ค่ะ    ฉันรีบตอบไปพร้อมกับสาวก้าวยาว ๆ 
ให้ถึงหน้าบ้านโดยเร็ว
กล่องใหญ่เชียวครับ  นี่ครับ
ขอบคุณค่ะ   บุรุษไปรษณีย์ไปแล้ว  ฉันมองดูที่อยู่ของผู้ส่ง  ยิ้มอย่างดีใจ  
จากตรัง   นึกถึงหน้าคนส่งอยู่ครามครัน  อารามดีใจฉันหอบกล่องพัสดุ 
กลับเข้าไปในบ้านอย่างเร่งรีบ  เกือบชนแม่เข้าให้
พัสดุจากใครจ๊ะ  หือ  ดีใจจนมองไม่เห็นแม่  เกือบชนแล้ว  เราน่ะไม่รู้
จักโตเสียที  แม่ดุ แต่หน้ากลับยิ้ม
ขอโทษค่ะแม่  ก็ออยดีใจนี่คะ ไม่รู้ฆ้องส่งอะไรมาให้ออย  ออยขอไปดูก่อน
นะแม่นะ
จ้า  ยัยม้าดีดกะโหลกไปเถอะ
           ฉันผละจากแม่มา หอบกล่องพัสดุเข้าไปในห้อง  แกะกล่องอย่าง
พิถีพิถันเป็นพิเศษ   หลับตาลงนึกถึงหน้าคนส่งพัสดุมาให้ ภายในกล่อง
พัสดุมีเสื้อกันหนาวสีชมพูสดใส  พร้อมกับจดหมายฉบับหนึ่ง  ฉันหยิบมันอ่านอย่างทะนุถนอม
ออย  คนดี
                คิดถึงออยนะ  อากาศที่โน่นคงหนาวแล้ว  เสื้อกันหนาวตัวนี้
มันคงทำให้ออยอุ่นขึ้น  รู้ว่าออยชอบสีฟ้า  แต่ผมอยากเห็นออยใส่สีชมพูมากกว่า  ผมจะไปดูออยใส่เสื้อกันหนาวด้วยตัวเอง  วันวาเลนไทน์ นี้นะ 
 อย่าลืมไปรับผม ตอนสี่โมงเย็น   แล้วพบกันครับ
                                                                                    คิดถึงคุณ คนดี
            ฉันพับจดหมายเก็บลงกล่อง  หมุนตัวอยู่กลางห้อง   ฆ้องจะมา  
จะเจอฆ้อง  ดีใจที่สุด
ออย  ออยเอ้ย  ทำอะไรอยู่ลูก ลงมานี่เร็ว  เสียงแม่ร้องเรียกอยู่หน้าบ้าน
เดี๋ยวแม่  ออยกำลังรีดผ้าอยู่  แป๊บนึงนะคะ  ฉันกำลังสาละวนอยู่กับ
เสื้อผ้าที่กะว่าจะใส่ไปรับฆ้อง
ออยมีแขกมาน่ะลูก  รอลูกอยู่ข้างล่าง ไปรับแขกก่อนไป๊  
ออยอะไรเนี่ยออย  ทำไมห้องรกอย่างนี้หือ   แม่บ่นต่อ
แม่ขาออยกำลังเตรียมชุดสวยอยู่นี่คะ ก็รกอย่างนี้แหละ เดี๋ยวออย
ไปดูแขกก่อนนะคะ
จ้า  ไปเถอะอย่าให้เขารอนานนัก  เรานะเรา   แม่บ่นไป พลางเก็บ
เสื้อผ้าที่ฉันรื้อออกมาให้เป็นที่เป็นทาง
           ผู้เป็นแขกนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอฉันอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้าน  
ท่าทางไม่สนใจใยดีกับสิ่งรอบข้างมากนักใครกันนะ  ฉันเกิดคำถาม
ขึ้นในใจ
สวัสดีค่ะ  คุณ   เอ่อ    ฉันส่งเสียงทักทายไปก่อน
สวัสดีจ๊ะออย  
ฆ้อง  !  ไหนว่าจะมาตอนสี่โมงเย็นไง   นี่เพิ่งสามโมงเช้าเองนี่นา  
ก็แรงคิดถึงนะซี  เลยต้องมาก่อน  ทำอะไรอยู่จ๊ะ ดูหน้าตายุ่ง ๆ 
รีดผ้าอยู่นะสิ  เข้าบ้านก่อนเถอะ  ไปกินน้ำกินท่าก่อนนะ
กินแต่น้ำได้ป่ะ  กินท่าด้วยท่าทางจะไม่ไหว
กวนนะฆ้อง  เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวสวย  
ขอหล่อดีกว่านะ  ไม่ขอสวยเดี๋ยวใคร  ๆ  หาว่าเป็นตู๊ด.........
ฆ้อง กินค้อนก่อนกินน้ำมะ  พูดมากเข้าบ้านเร็ว  ฉันรีบคะยั้นคะยอ  
ทั้งดึงทั้งลากคนกวน ๆ เข้าบ้าน
            ฆ้องหันมองรอบ ๆ  ตัวอย่างสนใจ  บ้านหลังนี้ที่เขาคุ้นเคยแต่
เด็กดูเปลี่ยนแปลงไป  ภายในบ้านที่เคยเต็มไปด้วยรูปวาดฝีมือศิลปิน
เด็กอย่างออยหายไป  แต่กลับมีรูปที่วิวที่วาดด้วยสีน้ำมันสวยงามติดแทน
ถ้าให้เขาเดาก็คงเป็นฝีมือ  ออยแน่นอน
ฆ้อง  ดูอะไรอยู่  ฝีมือออยนะ สวยไหม
อือ สวยออยวาดเองทั้งหมดหรือ  ไม่น่าเชื่อ
ทำไม  คนอย่างฉันวาดรูปสวยไม่ได้เหรอ  มันผิดตรงไหน
ก็ไม่ผิด  แต่อยากบอกว่าคนสวย วาดรูปสวยเหมือนตัวเอง 
มันแน่อยู่แล้ว  ออยทำได้.. ฉันลากเสียงยาว
จ้าเชื่อ   แล้ววันนี้คนสวยจะทำอะไรเลี้ยงหว่า  ชักหิว
ทำเป็นอยู่อย่างเดียว  ไข่เจียว   กินมะเดี๋ยวทำเลี้ยง  แต่ไข่เจียวจานนี้
แพงนะ  แลกกับกินข้าวมื้อเย็นข้างนอก  เอาป่ะ
ยังไงก็ต้องตกลงอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ  ไม่งั้นก็คงกินคนพูดน่ะแทน 
หิวแทบจะกินช้างได้แล้วนะ  ไปเร็วเชียวข้าวหนึ่งจาน  ไข่เจียวสองฟอง
สั่งจริง  รอสักสองชั่วโมงนะ ไปเลี้ยงไก่ก่อน ฉันพูดพลางหัวเราะ  
เดินตรงเข้าครัว
ฆ้อง กินข้าวได้แล้ว  ฉันยกจานข้าว ไข่เจียวออกมาจากครัว  แต่มองเห็น
คนหิวฟุบหลับบนโซฟา ตัวยาว
            คนนอนหลับตาพริ้มท่าทางเป็นสุข  ฉันยื่นมือออกไปหวังจะปลุก
แต่ก็เปลี่ยนความคิด  ปล่อยให้นอนดีกว่าคงเพลีย  แล้วจัดแจงยกข้าว
กับไข่เจียวไปเก็บแทน  บ่ายสามโมงกว่า  คนหลับงัวเงียตื่นขึ้นมาพร้อม
คำถาม
 กี่โมงแล้วออย  เผลอหลับไปได้ไงเนี่ย
เกือบบ่ายสี่โมงแล้วล่ะ  หิวไหมล่ะ  เดี๋ยวออกไปกินอะไรข้างนอกกัน  
ชวนแม่ไปด้วยนะ
ขอกินก่อนออกไปไม่ได้เหรอ  ตั้งแต่เช้ายังไม่กินข้าวเลย  แล้วข้าว
ไข่เจียวผมล่ะ  ไก่มันออกไข่รึยัง
มันเย็นชืดหมดแล้วฆ้อง  ไปกินที่ตลาดกันแป๊บเดียวถึง
อยากกินข้าวไข่เจียวฝีมือออยมากกว่า  ยกมาเหอะน่านะ
ตามใจ   ถ้าบอกว่าไม่อร่อยนะ.......ตาย  ฉันขู่ แล้วเดินเข้าครัว
ยกข้าวกับไข่เจียวจานนั้นออกมาให้  
             คนกินทำท่าว่าเอร็ดอร่อยเสียเต็มประดา  ทั้งที่ข้าวและไข่เย็นชืด
หมดแล้ว
อร่อยไหมฆ้อง
ตอบได้อย่างเดียว  อร่อย  ผมกลัวตาย
 อย่าลืมสัญญานะ  ข้าวจานนี้แลกกับมื้อเย็น  เอกินอะไรดี  กุ้งแม่น้ำเผา
ตัวโต  ยำเห็ดโคน  ต้มยำปลาม้า อื้อน่าอร่อย
  โหกะจะฆ่ากันจริง ๆ  เหรอเนี่ย  เออ เอาวะยอมตาย  คนอะไรงกชมัด
อิอิ  ฆ้อง  ฆ้องเคยบอกว่าเมื่อโอกาสมาถึง  คนฉลาดจะคว้าไว้  อย่าลืมสิ   
ปะเก็บกระเป๋าไปห้องพักอาบน้ำอาบท่า  จะได้ไปกัน  ออยชวนแม่ไปด้วยนะ  
ได้ไหม
คร๊าบ  คุณนายอย่าลืมแต่งตัวสวย ๆ นะคร๊าบกะผม
      ฉันกลับเข้าห้องตัวเอง  หยิบเสื้อกันหนาวสีชมพูตัวนั้นมาสวม  กับกระโปรงผ้าฝ้ายสีชมพูลายดอกไม้สีขาวเหลืองดอกเล็ก  ๆ  เดินตรงไปยังห้องแม่

แม่จ๋า  ไปกินข้าวข้างนอกกันนะคะ  วันนี้ 
ลูกไปกันเถอะจ๊ะ  แม่จะรอพ่อ  อย่ากลับให้มันดึกนักนะ  แม่เป็นห่วง
แต่ออยอยากให้แม่ไปด้วยนี่คะ  พ่อคงกลับดึกตามเคย  แม่จะได้ไม่เหงาไง
แม่ชินแล้วจ๊ะ  ถึงจะดึกยังไง  พ่อของลูกก็กลับบ้านเสมอ  ไปเถอะอย่า
ห่วงแม่เลย เที่ยวกันให้สนุกนะลูก
ค่ะแม่  งั้นออยไปนะคะ  แล้วจะซื้อขนมมาฝากนะคะ  ฉันพูดแล้วเดิน
ออกมาจากห้องแม่
            เมื่อมาถึงข้างล่าง  พบว่าเจ้าภาพอาหารเย็นกำลังจ้องอยู่
มองอะไร  ไม่เคยเห็นคนสวยเหรอ  
ไม่เคยแต่ก่อนเคยเห็นแต่ยัยออยขี้แย  ขี้โรค   ไม่นึกเลยจะเป็น
ยัยออยคนใหม่
ออยคนใหม่  แต่หัวใจดวงเดิมล่ะน่า  ไปกันหรือยังหิวแล้ว
ฆ้องไม่ตอบแต่ยื่นมือมาน้อมตัวเล็กน้อย
เชิญคร๊าบคุณนาย
  2
ออย  จะไปถึงไหนเนี่ย  ชั่วโมงกว่าแล้วนะ
เดี๋ยวถึงน่า บ่นเป็นตาแก่ไปได้  แยกขวาข้างหน้าเนี่ยอีกร้อยเมตร
ก็ถึงแล้ว  
เอ วันนี้ต้องพาออยล้างจานซะมั๊ง  เมนูเลิศหรูเหลือเกิน
เดี๋ยวก็รู้  อร่อยเหาะเลยร้านนี้
  จริงอ่ะ
จริงสิ  เอ้ยจอด  ๆๆๆ จะเลยแล้ว
ออยร้านก๋วยเตี๋ยวริมทางเนี่ยเหรอ  
ใช่ร้านนี้ที่ออยมากินประจำ  แม้จะไม่ใช่ร้านที่เลิศหรูอะไรแต่เป็น
ร้านที่ดีที่สุดในความคิดของออยนะ
หือ 
เข้ามาก่อนสิ   แล้วฆ้องจะรู้
          ฉันจูงมือฆ้องเข้าไปในร้าน   เลือกนั่งโต๊ะตัวหนึ่งอย่างคุ้นเคย  
เจ้าของร้านเป็นผู้ชายผอม  ผิวขาว สูงโย่ง  เดินเข้ามา  พร้อมยื่นกระดาษ
และดินสอให้  ฉันกล่าวขอบคุณ หยิบดินสอเขียนเมนูในกระดาษ
เส้นหมี่ลูกชิ้นเนื้อเปื่อย  ไม่ใส่กระเทียม  น้ำลำใย 
ฆ้องกินอะไรดี   ข้าวก็มีนะแต่เป็นอาหารจานเดียวน่ะ
ออย  กินที่นี่เหรอ  กินก๋วยเตี๋ยวเนี่ยนะ    ฆ้องทำท่าหงุดหงิด  มองหน้าฉันอย่างไม่เข้าใจ
อื้อ  สั่งมาสิ  กินก๋วยเตี๋ยวในวันวาเลนไทน์มันผิดตรงไหน  ประหยัด  
สะอาด  ปลอดภัย  ฉันเฉไฉไม่ใส่ใจอารมณ์ของฆ้อง
จะเล่นอะไรเนี่ยออย  ไม่ตลกนะ
ไม่เล่นแต่จะกินก๋วยเตี๋ยว  กินป่ะ  ฆ้อง  ออยเป็นคนธรรมดาสามัญ  
วันไหนก็เป็นวันที่ฆ้องมีความสำคัญกับออยเท่า ๆ กัน  ใช่ว่าวันนี้ออย
แต่งตัวสวยแล้วกินก๋วยเตี๋ยวไม่ได้   ฆ้องรู้ไหมที่นี่พิเศษยังไง
แล้วมันพิเศษยังไง  ก็ไม่เห็นมันแตกต่างจากร้านก๋วยเตี๋ยวธรรมดา
ตรงไหนเลยนี่นา
เฮียคนนั้นหูหนวก  เป็นใบ้  แล้วก็เป็นพี่ชายคนละแม่กับออย  แต่เฮีย
ไม่เคยได้รับความรักและความเอาใจใส่จากพ่อ  เฮียสู้ชีวิตทั้งที่พิการด้วย
สองมือ ของเฮียเอง   และที่สำคัญที่สุดเฮียรักออยมากพอ ๆ กับพี่ชาย
คนหนึ่งจะรักน้องสาว  ถึงแม้ว่าเฮียเองไม่เคยรู้ว่าออยคือน้องสาว 
ออย  
 แล้วน้องสาวคนนี้ก็ไม่กล้าเอ่ยปากบอกความจริง ออยเพียงแค่อยากให้
เฮียมีความรู้สึกดี  ๆ  ในวันดี ๆ แบบนี้บ้างเท่านั้นเอง   ฆ้องเข้าใจรึเปล่า  
ออยสงสารเฮีย
ด้วยการมากินก๋วยเตี๋ยวเนี่ยนะ   เอางี้ไหมเราชวนเฮียไปกินข้าวด้วย
กันปิดร้านไปเลยดีไหม
ก็ดีนะแต่ว่าเฮียจะยอมรึเปล่าล่ะ
ไม่ลองก็ไม่รู้น่า  เอาน่าจะได้บอกความจริงด้วยว่าออยเป็นใคร  นะ
ฆ้องไม่เพียงแต่พูดเปล่า ๆ  กับเขียนอะไรบางอย่างยิก  ๆ  ในกระดาษ
เฮียครับ  ผมกับออย  อยากชวนเฮียออกไปกิน
ข้าวด้วยกันครับ  อย่าปฏิเสธนะครับ
กระดาษแผ่นนั้นส่งไปยังเจ้าของร้าน พร้อมกับการตอบกลับเป็นลายมือ
โย้เย้  เหมือนเด็กประถม
ขอบคุณน้องทั้งสองมาก  แต่ผมต้องดูแลล้าน  คงไปไม่ได้
          ฉันรับกระดาษแผ่นนั้นมาอ่าน  มองหน้าเฮียอย่างวิงวอน  และเขียนข้อความที่ฉันอยากเขียนมากที่สุดในชีวิตออกไปให้เฮียได้รับรู้เฮีย   ออย  อยากบอกเฮียว่า  ออยเป็นน้องแท้  ๆ  ของเฮีย  วันนี้เป็นวันที่ออยมีความสุข  ออยอยากให้เฮียมีความสุขด้วย  เฮียออย
ขอโทษที่ไม่ได้บอกแต่แรกว่าออยคือใคร  ออยกลัวว่าเฮียจะเกลียดออย  
เหมือนกับที่เฮียเกลียดแม่ของออย  แต่ออยเข้าใจนะ  เป็นใครก็ต้องเกลียด  
ออยรักเฮีย  อยากให้เฮียมีความสุข  ไม่ว่าเฮียจะเป็นยังไงออยก็ยังเป็น
น้องสาวของเฮียอยู่ดี  เฮียออยรักเฮียนะ
             เฮียรับกระดาษไปอ่านแล้วนิ่งงัน  ก่อนที่ขยำมันขว้างทิ้งอย่างหัวเสีย  แล้วรีบหันหลังกลับเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว  ฉันมองหน้าฆ้องน้ำตาพร่างพรูออกมาเป็นสาย  ฆ้องประคองฉันลุกขึ้น
ไปกันเถอะออย   ออยทำดีทีสุดแล้ว  อย่าร้องไห้นะ  สักวันเฮียจะเข้าใจเอง
           ฉันเดินออกจากร้านด้วยความรู้สึกหดหู่   แต่ก็อดหันกลับไปมองอีกครั้งไม่ได้ ภาพที่เห็นทำให้ฉันยิ้มทั้งน้ำตา เฮียเดินออกมาอีกครั้ง  พร้อมกับกระดาษแผ่นโตที่มีข้อความว่า
ไปกันเลยน้องสาว  วันนี้พี่ชายจะเลี้ยงเอง				
27 มกราคม 2549 19:25 น.

,,,,,,,,,,กะลาใหม่,,,,,,,,,,

ร้อยฝัน

ฉันอมยิ้มเมื่อเห็นแม่ลูกจูงมือกันผ่านหน้าร้าน  แว่วเสียงลูกสาวอ้อนแม่  แว่วให้ได้ยิน
   "คุณแม่ขา  น้องขวัญอยากกินไอติม"
   "เดี๋ยวนะลูก  วันนี้หนูยังเป็นหวัด  ยังกินไม่ได้จ๊ะ  ไว้วันหลังหนูหายแล้วแม่จะพามากินดีไหม"
   " แต่น้องขวัญหิวไอติม  เดี๋ยวนี้นี่แม่ ไม่ได้หิววันพรุ่งนี้ซะหน่อย"
   "แล้ววันนี้น้องขวัญเป็นหวัดด้วยไม่ใช่เหรอลูก  ถ้าหนูกินไอติมวันนี้  วันพรุ่งนี้แม่พาไปหาลุงหมอนะ 
     ตกลงไหม"
  "ไม่เอาค่ะแม่ งั้นน้องขวัญไม่กินไอติมแล้ว ไม่ไปหาลุงหมอนะคะ"
  "จ๊ะ ถ้าน้องขวัญไม่เป็นไข้ก็ไม่ต้องไปหาลุงหมอ  ไปเถอะจ๊ะคุณพ่อรออยู่นะ"
	แม่ลูกเดินผ่านไปแล้ว  ฉันออกมาชะเง้อดูผู้คนที่หน้าร้าน  ถนนสายนี้เดิมเคยคึกคักด้วยผู้คน  มาจับจ่ายใช้สอยของกินของใช้  แต่ในสมัยนี้ ถนนสายนี้ดูเงียบเหงาซบเซาขึ้นทุกวัน  เพราะมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่สร้างขึ้นใหม่ทดแทนแผงต่าง  ๆ  ในตลาดสด   แล้ว ร้านค้า  แผงลอยธรรมดาไหนเลยจะสู้ห้างสรรพสินค้านั้นได้   ตลาดแห่งนี้ก็คงเป็นได้แค่เพียงทางผ่านเพื่อใช้แก้ขัด  ยามที่ไม่มีเวลาแวะไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเท่านั้น   
              ฉันมองร้านไอติมของตัวเองอีกครั้ง  พลางนึกว่าวันไหนหนอสูตรไอติมอันเก่าแก่จากยาย  จากแม่ จะหายไป  หรือมันจะคงอยู่ที่ฉันเป็นรุ่นสุดท้าย
                 แม่หวาน แม่หวาน  ไปห้างฝั่งนั้นหน่อยไหม  เห็นว่าวันนี้เค้ามีการลดกระหน่ำ  ซัมเมอร์เซล ด้วยนะ  เสียงแม่วาดร้านขายขนมที่อยู่ติดกันชวน
                 เอ  ลดกระหน่ำ  ซัมเมอร์เซล  มันลดมากขนาดไหนหรือ มากกว่าร้านอาโกรึเปล่าล่ะ
                โอ้ย  เมื่อวานนังแหวน มันไปซื้อน้ำปลา  น้ำตาลมา  ถูกกว่าร้านอาโกอีกนะ  ร้านอาโกวขวดละตั้ง  23  บาท  ที่ห้างเค้าขาย  21  บาทเอง น้ำตาลก็ถูกกว่าโลละ 2  บาทน่ะ
                จ๊ะ  แล้วซื้อมาแล้วเค้ามาส่งให้เหมือนโก   รึเปล่าล่ะ
                อ๋อ  นังแหวนมันเหมารถตุ๊ก ๆ มาน่ะ  เค้าไม่มาส่งหรอก  ลูกค้าเค้าออกพรื่ด  มาส่งไม่ไหวหรอก
                จ้า  ถ้ารวมค่ารถกับค่าของที่ซื้อมาแล้วน่ะ  มันถูกกว่าร้านอาโกจริงหรือจ๊ะ  แล้วก็ต้องลากต้องขนเอง
                  ไม่ใช่เหรอ  แม่วาดไปเถอะจ๊ะ  ฉันมันชอบสบายซื้อร้านอาโกน่ะดีแล้ว  เป็นการช่วยเหลือกันด้วย  
                 ไงซะร้านฉันก็ซื้อของจากอาโกตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายแล้วล่ะ  ขอบใจแม่วาดนะที่บอก
              พิลึกคนนะแม่หวาน   สมัยนี้เค้าเปลี่ยนไปแล้วอย่ามุดอยู่แต่ในกะลานักเลยน่ะ
                ช่างฉันเถอะ  กะลาฉันอบอุ่นสบายน่าอยู่ที่สุดนี่นา ไปเถอะจ๊ะเดี๋ยวช้าไม่ทันของลดนะ
                แม่วาดคงจะไปซื้อของที่ห้างแล้ว   ฉันเดินแกร่วหน้าร้าน  ไม่มีลูกค้า  ฉันรออย่างมีความหวังวันนี้คงได้กำไรบ้างห้าบาทสิบบาท  ไว้ต่อชีวิตในวันต่อไป
              หลายชั่วโมงผ่านไปไม่มีใครเลยที่จะแวะผ่านมา  ซื้อไอติมฉัน  มันเป็นอย่างนี้มานานนับเดือนแล้วเงินทุนก็เริ่มร่อยหรอ  เด็ก ๆ แถวนี้มักจะแวะเวียนมาที่ร้านในตอนเย็น  ใครมีเงินก็ซื้อห้าบาทสิบบาท  ใครไม่มีเงินก็แจกฟรี  แต่การแจกฟรีมักจะมากว่า   เพราะยังไง  เด็ก ๆ  รู้ฉันต้องแจกให้ไอติมหมด  ให้เด็กกินยังดีกว่า
เททิ้ง  ฉันคิดอย่างนั้น
            หลายวันต่อมา  ฉันไม่ทำไอติมอีกเพียงแต่มานั่งแกร่วหน้าร้าน
               แม่หวาน แม่หวาน  ที่ห้างเค้าให้ประมูลร้าน ในร้านอาหารน่ะ  ฉันว่าจะลองไปดูนะ  ขายยังงี้ไม่ไหว คนเค้าไม่กินกัน  เดี๋ยวนี้เค้าเข้าไปกินในห้างกันแล้ว  ไอ้ลูกชายชั้นมันบอกว่า  ขายข้างถนนทั้งฝุ่น  ทั้งควัน  ทั้งร้อน  ไม่มีใครเค้าอยากกินหรอก  ไปดูกันไหมล่ะเผื่อได้ไปขายในห้างโก้ไม่หยอกนะเอ็ง
            ไปดูก็ดีเหมือนกันนะ  แม่วาด ฉันก็ปิดร้านแล้ว  เผื่อมีอะไรดีขึ้น  ไปกันเถอะ
             เออ  ไป  ๆ  
            ในห้างผู้คนเดินขวักไขว่  ต่างก็เลือกซื้อหา  สิ่งของที่ตนเองต้องการ  ไม่มีการแวะทักทายคุยกันเหมือนดังร้านรวงข้างถนน  ฉันรู้สึกหดหู่ใจ  หรือว่ายุคสมัยของฉันจบสิ้นลงแล้ว  ฉันอยู่ในกะลาจริง ๆ  หรือ
            ฉันกับแม่วาดเค้าไปห้องประมูล  ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างหวังที่จะได้มาขายสินค้าในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้  รวมทั้งฉัน  แม่วาด  และคนอื่น ๆ ในตลาดที่คุ้นเคยกัน  ต่างคุยกันถึงเรื่องราคาค่าเช่า  เรื่องค่าใช้จ่ายอื่น ๆ  แต่สิ่งที่คาใจฉันมากที่สุดคือ จะหาเงินจากที่ไหนมาเช่าทำร้านไอติม
            โก  โก  อยู่รึเปล่าจ๊ะ
           ว่ายังไงล่ะแม่หวาน  วันนี้จะเอาอะไรรึ
           โก  โกพอจะมีเงินให้ฉันหยิบยืมสักสามหมื่นรึเปล่า  ฉันจะเอาไปลงทุน
           แม่หวานจะย้ายร้านไปไหนรึ  ตรงนี้มันเป็นไง
           ฉันว่าจะไปเปิดร้านในห้างน่ะโก  ตรงนี้ไม่มีคนมากิน  ฉันจะหมดตัวอยู่แล้ว
           เอ้อ  แม่หวาน  ถ้าแม่หวานไปขายในห้างใครจะซื้อของฉันล่ะ  ฉันคงไปส่งของไม่หวานในห้างไม่ได้  ฉันก็คงเลิกเหมือนกันล่ะนะ  เอาล่ะเงินน่ะพอมี  เห็นทีฉันจะต้องเปลี่ยนอาชีพจากขายของชำ  เป็นเถ้าแก่เงินกู้ซะมั๊งนะ  เสียดายร้าน นะแม่หวานนะ  เราทำมาหากินตั้งแต่ปู่ย่าตาทวดแล้ว  ว่า ก็ว่าเถอะ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป  ขอแค่อยู่รอดก็พอแล้ว  
           จ๊ะโก  ฉันต้องทำไงบ้าง
           แม่หวานทำสัญญา  เอาร้านน่ะค้ำประกันไว้  แล้วก็เอาเงินนี้ไปเถอะ  ขอให้โชคดีนะแม่หวาน   ขายของล๊อตนี้พร่องฉันก็คงต้องเลิกขายแล้วล่ะ  ร้านเล็ก ๆ อย่างเรามันสู้ห้างสรรพสินค้าไม่ได้   เอาเถอะช่วยบอกข่าวพวกเราหน่อยก็แล้วกัน ใครต้องการเงินกู้มาหาฉัน   ฉันคิดดอกไม่แพงเหมือนคุณนายบ้านโน้นหรอก  คนเคย
ช่วย ๆ  กันมาก็ช่วยกันไป  
         ขอบคุณค่ะ โก  หนูจะพยายามส่งทั้งต้นทั้งดอกให้ครบทุกเดือนจ๊ะ
         ไปเถอะ  ขอให้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่านะแม่หวานนะ
           ฉันยกมือไหว้อาโก  แล้วเดินจากมา ในใจก็คิดว่า  ร้านของอาโกนอกจากจะขายของให้ฉัน   ยังบริการส่งของ  เก็บของให้  ในยามยากไร้ ยังสามารถหยิบยืมเงินทุนได้อีก  แล้วห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ที่ฉันจะเข้าไปขายไอติมนั้นมีบริการแบบนี้รึเปล่าหนอ  ฉันได้แต่ยกมือท่วมหัว  สาธุขอให้ใจดีเหมือนอาโกเถอะ				
21 มกราคม 2549 13:28 น.

กบตัวนั้น

ร้อยฝัน

กริ๊ง ๆ ๆ ๆๆๆ  เสียงโทรศัพท์ดัง   ฉันเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาดูหมาย
เลขที่ปรากฎขึ้น   แม้จะคุ้นเคย  แต่ก็กดทิ้งไปไม่รับสาย
         กริ๊ง ๆ ๆ ๆๆๆ  ดังอีกครั้ง  กดทิ้ง
         กริ๊ง ๆ ๆ ๆๆๆ   กดทิ้ง
         กริ๊ง ๆ ๆ ๆๆๆ   กดทิ้ง
         มอว  ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเสียงที่ฉันใช้เวลาที่มีข้อความเข้ามา  ฉันกดดูข้อความอย่างเซ็ง  ๆ
         "  ไอ้เวร  แกเอาเห็ดกระด้างทำหูรึไง  ทำไมไม่รับโทรศัพท์  เชนทร์โว้ย"
        ฉันยิ้ม  เจ้าเพื่อนคนนี้มักจะทักทายในวันที่ฉันไม่อยากรับโทรศัพท์เสมอ  เออน่าวันนี้คุยกะมันสักหน่อยท่าจะดี
        "หวัดดีเชนทร์  วันนี้เกิดอาเพศเหรอถึงโทรถึงฉันเนี่ย"
        "เออ ก็เห็นขึ้นเอ็มไว้  แค่วันนี้เท่านั้นที่ฉันจะร้องไห้   อยากรู้มีใครตายรึเปล่า  ทำไมใช้ชื่อน่าถามยังงั้นวะ"
        "ไม่มีใครตายหรอก  ฉันอยากเรียกร้องความสนใจมากกว่า"
        " แกเหรออย่ามาอำฉัน ฉันรู้จักแกน่า แกเป็นอะไร" 
        " เป็นคน"
        "ไอ้เวร ที่ถามเนี่ยเป็นห่วงจริ๊ง จริง  เป็นอะไรไปวะ หือ "
        " ก็มีปัญหาบ้างนะ  แต่ก็ไม่มีอะไรแล้ว  ฉันน่ะมันตุ๊กตาล้มลุก  หายห่วงน่า"
        "ฉันเชื่อ  แกน่ะตุ๊กตาล้มลุก  แต่ถึงกับไม่ยอมรับโทรศัพท์เนี่ยตุ๊กตาอย่างแกมันน่าจะเป็นตุ๊กตายมากกว่ามั๊ง  มีเรื่องอะไร"
         " ก็มีปัญหาเรื่องงานบ้างอะนะ  แกก็รู้ฉันคิด  ฉันทำเหมือนคนอื่นเค้าเมื่อไหร่  ช่างเหอะ ฉันจะคิดใหม่ทำใหม่  ใครทำไงก็ทำงั้นแหละ แปลกแยกมันลำบากถึงแม้จะจำใจบ้างก็ต้องทนวะ  ประเทศชาติไม่ใช่ของเราคนเดียวนี่หว่า"
          "  เออ  ประชดเข้าไป     แกเคยฟังนิทานเรื่อง  กบหูหนวกไหม 
จะเล่าให้ฟัง  "   
          แล้วเชนทร์ก็เริ่มเล่า  โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านจากฉันสุดท้ายก็ต้องนิ่งฟัง   เลยตามเลย

          ในบึ้งกว้างกลางเมืองใหญ่  มีการแข่งขันปีนเสาไฟฟ้าของเหล่ากบเพื่อหาผู้นำฝูง  มีกบหลายตัวที่เข้าร่วมการแข่งขัน  ต่างก็มุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงยอดเสาไฟให้ได้   เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้นเหล่าบรรดากบนั้น  ก็พยายามปีนป่ายเสาไฟ  
บ้างก็เหยียบกันร่วง  บ้างก็แรงไม่พอตกลงมาก่อน  บางตัวได้ยินเสียงเชียร์ของกบที่อยู่ด้านล่าง  ก็ฮึดสู้ปีนป่ายต่อไป  จนกระทั่งผ่านไปนานเหลือกบเพียง
สองตัว ตัวหนึ่งเป็นกบที่แข็งแรงสมบูรณ์   แต่อีกตัวเป็นกบผอมกะหร่องเหมือนกบเป็นโรค  กบทั้งสองตัวก็พยายามจนสุดความสามารถ  เสียงเชียร์ที่ดังมาจากบึงทำให้กบที่แข็งแรงฮึดสู้ แต่สักพักมันแหงนหน้าขึ้นมองเสาไฟ  ยังเหลืออีกไกลนัก  มันจึงรูดตัวลงมาแล้วยอมแพ้  เหล่ากบบ้างก็ส่งเสียงเชียร์   บ้างก็บ่น บ้างก็ตำหนิกบขี้โรค ตัวนั้น  แต่มันก็ไม่ได้สนใจอะไร  และยังปีนเสาไฟเรื่อย ๆ  จนกระทั่งถึงยอดเสาไฟ  ฝูงกบโห่ร้องอย่างดีใจ  มันมีผู้นำที่เก่งกล้าสามารถ  
และมีความวิริยะอุตสาหะ เป็นเยี่ยม  มันจึงได้รับยกย่องว่าเป็นผู้นำแห่งกบ  แต่กบตัวนั้นมันก็มิได้ดีใจ มันกลับกระโดดลงน้ำไป ดำผุดดำว่ายอย่างที่มันเคยทำ

     จบแล้วเหรอ  นิทานของแก ไม่สนุก
      อื้อ จบแล้ว  แล้วแกรู้ไหม ทำไม กบขี้โรคตัวนั้นจึงชนะ
     มันอดทน แล้วก็มีมานะ  เท่านี้ใช่ไหมที่แกจะบอกฉัน
    อื้อ อีกเหตุผลนึงที่ทำให้มันชนะ  ก็คือ  กบตัวนั้นหูหนวก
      งั้นเหรอ  แล้วทำไมมันถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้นำแห่งกบล่ะ
     แกถามตัวเองสิ  ทำไมแกถึงเลือกทำงานที่แกพอใจ มากกว่าตำแหน่ง
ใหญ่ ๆ  ที่เค้ายื่นให้  ทั้งที่แกมีโอกาส
      อือ
    ที่แกทำ  มันดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ  ท้อทำไม  สิ่งที่เกิดขึ้นแกอย่างมองว่ามันเป็นผลร้ายของการทำดีสิ  แกลองมองสิว่ามันเป็นอุปสรรคของการทำดีตังหาก  ลุกได้แล้วยัยตุ๊กตา  แกทำได้ ฉันเชื่อแก
    อือ ขอบใจมากเชนทร์
    วันหลังโทรศัพท์น่ะ  ไม่ใช่สากกะเบือร้องได้นะเว้ย มีปัญหาอะไร
บอกเพื่อน       
    อื้อ  ไงก็ขอบใจมาก สบายใจแล้วล่ะ
เก็บคำขอบใจของแกไว้เลย  วันเสาร์หน้าขอหนึ่งเมา ค่านิทานโว้ย
ไอ้ เ....ห้...................

            โทรศัพท์ ตัดไปแล้ว  เพื่อน  คำนี้ ไม่รู้จะนิยามอย่างไร  ไม่มีความหมายที่ชัดเจน แต่รู้ว่าหลังจากรับโทรศัพท์มันแล้วนั่งยิ้ม  นึกถึงกบตัวนั้น  อดทน  
มีมานะ และหูหนวก  ฉันจะทำได้อย่างมันไหม   ฉันอยากเป็นกบตัวนั้น				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟร้อยฝัน
Lovings  ร้อยฝัน เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟร้อยฝัน
Lovings  ร้อยฝัน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟร้อยฝัน
Lovings  ร้อยฝัน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงร้อยฝัน