14 กุมภาพันธ์ 2551 09:21 น.

ท้าสู้....สอง

สะพั่งสะท้านไมภพ

ขณะนั้น คนที่มีฝีมือพากันกำเริบซ่องสุมพรรคพวกเข้าตีบ้านเมือง ผู้รักษาเมืองได้บอกข้อราชการเข้าไปถึงขุนนางผู้ใหญ่ๆ ก็ไปเฝ้าพระเจ้าง่วนซุ่นเต้ ว่ามีหลายตำบลที่เกิดโจรร้ายขึ้น แต่มีอยู่สี่พวกที่เข้มแข็งจะต้องทำการปราบก่อนโดยเร็ว พระเจ้าง่วนซุ่นเต้จึงให้จัดกองทัพไปปราบ
   เช้าวันรุ่งขึ้น มีคำสั่งให้ชายหนุ่มชื่อ ง่อซุน เข้าร่วมกับกองทัพปราบโจรมี จอมพลถัวทัว เป็นแม่ทัพ ก่อนออกศึกแม่ทัพถัวทัวก็ได้ไล่เลียงความรู้ของนายกองใหม่ พอถึงคราวง่อซุนแห่งบ้านใบไม้เขียว มันก็ได้ท่องวิธีการจัดขบวนศึกออกมาความว่า
   การที่จะสู้รบกับข้าศึกนั้น ต้องดูให้รู้กำลังข้าศึกและแผนที่ภูมิประเทศให้ชัดเจนแน่ใจเสียก่อน จึงจะคิดการตลอดไปได้ แต่การเบื้องต้นนั้นจะต้องจัดแจงให้เรียบร้อยคือ ฝึกหัดทแกล้วทหารให้ชำนายในเพลงอาวุธคล่องแคล่วรู้จักทีหนีทีไล่ อาวุธที่ให้ทหารใช้จะต้องมีความเชื่อถือได้ หากเป็นเกาฑัณฑ์ก็ต้องยิ่งได้แม่นยำ  ดาบเล่าก็ต้องแข็งแรงทนทานคม ก็จะทำให้ทหารอุ่นใจได้ประการหนึ่ง
   อีกเรื่องหนึ่ง จะใช้นายทัพนายกองคนใดก็ต้องประมาณภารกิจให้เหมาะสมกับปัญญาของมันด้วย ไม่ใช่แต่สักแต่ว่าใช้ ก็จะทำให้ป่วยการหรือเสียทีมากเกินไป ไม่พอดี
   คนที่จะออกรบนำหน้าอย่าเอาไอ้พวกดีแต่พูดท่าทางกล้าหาญหรือพวกนักโทษ จะทำให้ทหารตื่นตกใจเรรวนได้ ไม่พอที่จะเสียท่าก็เสียท่าไป
  และข้อสุดท้าย ใครทำดีก็ต้องได้ดี ไปรบชนะกลับมาก็แต่งตั้งให้เป็นขุนพล ไปรบแพ้กลับมาก็ลดหยด หากทำให้ต้องชิบหายเกินไปโดยความประมาทแล้วก็ต้องปลดออกแล้วลงโทษ หากไปรบกลับมาแล้วไม่เคยจะชนะก็อย่าได้เอาใช้หรือเอามาแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีใหญ่ โดยเฉพาะทหารที่เก่งรบแต่ปากหรือเก่งด้านเอาอกเอาใจไอ้พวกนี้มันพวกกังฉินขืนเอาไปใช้หรือแต่งตั้งมันให้เป็นใหญ่ จะทำให้กองทัพพังก่อน เมื่อไม่มีอำนาจที่เป็นหลักประกันแก่ประเทศได้แล้ว ประเทศก็จะถูกย่ำยีจากประเทศข้างเคียง
   แม่ทัพถัวทัวได้ยินก็ยิ้มสั่งให้ไปเป็นผู้ช่วยนายกองปีกขวาในการรบครั้งนี้
   กองทัพของหงวนได้ทำการเขาตีนายโจรเมากุยที่เมืองเม่งจิว แตก เล่าฮอกทองหนี ได้เมืองเปียนเหลียง ไปตีเมืองซือจิวต่อ ฆ่าจือเมาลี้ตาย
   ฝ่ายซันตุนเสนาบดีอีกคนในเมืองหลวงของราชวงศ์หงวน ได้ข่าวว่าถัวทัวรบชนะก็คิดอิจฉา จึงแกล้งทูลใส่ความว่าถัวทัวคิดกบฏ ไปรบโจรแล้วไม่ยอมรายงาน พระเจ้าง่วนซุ่นเต้เชื่อจึงสั่งปลด
   เมื่อถัวทัวโดนปลดกลางอากาศ ด้วยความจงรักภักดี จึงไม่ได้นำกำลังเข้าไปเมืองหลวงเพื่อทำการปฏิวัติ แต่ก็มอบตำแหน่งให้แม่ทัพคนใหม่ แล้วตนเองก็ลาออกไปใช้ชีวิตหากินไปวันๆ
   ต่อมาเมื่อโจรได้ข่าวก็เกิดกำเริบขึ้น ทัพเมืองหลวงก็พ่ายลงทุกวัน ฝ่ายง่อซุนผู้ช่วยนายกองปีกขวาก็พลอยโดนปลดเนื่องจากว่าไม่ได้รับความไว้วางใจเพราะมีเชื้อสายชาวฮั่น
   จากตำแหน่งสูงส่งกลายเป็นพลิกผันในเวลาแค่พลิกฝ่ามือ ง่อซุน น้ำตาซึมก็เก็บข้าวของจากมากลับสู่บ้านใบไม้เขียว ชาวบ้านต่างก็สงสัยและถามว่าทำไมไม่ไปทำงาน ง่อซุนได้แต่เก็บอารมณ์แค้นคุกรุ่นไว้ในอกตน  ครั้นจะไม่ยอมแพ้หานายใหม่ไปอยู่ด้วย ต่างก็เอาตัวรอดกันทั้งนั้น ดีแต่ประจบสอพลอเจ้าไปวันๆ แต่งตั้งพรรคพวกคนใกล้ชิดข้าหลวงเดิมเอาไว้ใช้ให้คุมตำแหน่งสำคัญ ส่วนไอ้พวกอื่นไม่ว่าจะเก่งหรือไม่ก็เอาไปแขวนให้มันว่างงานเล่น 
   นี้นี่เองเรียกว่า มีปัญญาแต่เอาตัวไม่รอด ในเมื่อแผ่นดินหงวนนี้ไม่ต้องการไอ้พวกที่ทำงานตั้งใจแล้ว ชอบแต่พวกที่เข้าหาเจ้านายแล้วได้ดีแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องบากหน้าไปพึ่งพวกมันอีก ไอ้พวกที่เอาแต่อ้างความจงรักภักดีแต่การกระทำของมันมีแต่ชั่วช้าตกต่ำ ดังนั้น ง่อซุน จึงต้องค้นหาตัวตนของตนเองให้พบ และในระหว่างนี้ก็แสวงหาข่าวสารเจ้านายที่น่าจะไปทำราชการด้วย แต่เหนือสิ่งอื่นใดต้องเป็นงานที่ทำให้ประชาชนมีกิน มีความสุข มีความปลอดภัย
   ผ่านมาแล้วปีกว่า จากตอนโดนปลดจากตำแหน่ง ง่อซุนก็ยังไม่มีความคืบหน้าใด เหล่าโจรก็ฮึกเหิมขึ้นถึงขั้นฆ่าข้าหลวงในเมืองทางใต้ตายรายวัน ทัพเมืองหลวงก็ไม่สามารถจะทำอย่างไรได้
   ง่อซุนถอนใจแล้วเอื้อนเอ่ยออกมาว่า
   ไม่เป็นห่วงว่าไร้ผู้คน
   หากเป็นห่วงว่าไม่รู้จักคน
   ไม่เป็นห่วงว่าไม่รู้จักคน
   หากเป็นห่วงรู้จักคนแต่ไม่ใช้สอย
แม้ขุนเขายังเขียวจีรัง สายัณห์เองก็แดงหลายครา ดังนั้นชีวิตของชายหนุ่มไม่แน่นักว่าจักจบลง 
   กลับบ้านดีกว่า ว่าแล้วง่อซุนก็กลับไปหาเหมยฟ้า ตั้งหน้าตั้งตาแต่งกลอนเขียนบทกวีขาย ศึกษาพระธรรม ไปนั่งกรรมฐานกับหลวงจีนธรรมหุน วัดเล่งยี่
   ในห้วงหนึ่งของความฝันในยามนี้ เขาได้คิดถึงขึ้นมาถึงบทกวีในสมัยจิ๋นที่กล่าวว่า
   ความร้ายกาจของหญิงสาวสะคราญโฉม
พวกนางรู้จักเกาะกุมจิตใจบุรุษ
แสร้งเป็นน่าสมเพชเวทนา
ต้องการความปกป้องคุ้มครอง
ทั้งไม่หวงแหนร่างกาย
ออดอ้อนด้วยคำหวาน
สุดท้ายต้องตกหลุมพรางของมัน
(จาก เจาะเวลาหาจิ๋นซี)
   หกรุ่งเรือง สามเสื่อมโทรมเป็นฉะนี้เอง
  มีต่อ				
13 กุมภาพันธ์ 2551 17:32 น.

ท้าสู้

สะพั่งสะท้านไมภพ

ในตำบลหนึ่งในแดนตงง้วน สมัยราชวงศ์หงวน ใกล้ๆจะกลายเป็นราชวงศ์เหม็ง เขาเป็นความหวังของหมู่บ้านใบไม้เขียว หน้าตาหล่อเหลาประกายตาแจ่มใส มันชมชอบใส่เสื้อยาวสีเขียวซึ่งซีดออกเหลืองๆ แต่ในความซีดเซียวของเครื่องแต่งกายของมัน ย่อมสะอาดอย่างยิ่ง มีดรุณีหลายหลายเมื่อได้เข้าไกล้จะรู้ว่ามันเรียบกลีบเป็นสันโง้ง และมีกลิ่นหอมสะอาด ทุกคนในหมู่บ้านใบไม้เขียวต่างกล่าวขวัญถึง ในความเก่งด้านหมากล้อม  มันได้ปล้ำกับทุกคนในหมู่บ้านแล้วก็ยังไม่มีใครจะงัดมันให้ล้มคว่ำได้ แต่มิเพียงมันเคยรังแกหรือทำร้ายผู้อื่นแต่มันยังสร้างสรรค์ช่วยเหลือคนและแก่ความสุขส่วนรวม และมีบางคนเคยไปถามมันเรื่องอนาคตของมัน มันตอบว่ามันจะรับราชการ
   มันคิด หากจะรับราชการ ขอเพียงคิดกระทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนผู้ยากได้ซึ่งมีจำนวนมากกว่ามากได้  ไม่คำนึงถึงชื่อเสียงหรือทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบแล้ว เท่านี้ ก็พอใจมันแล้ว
   มันตั้งใจแล้วว่าในแผ่นดินหงวนนี้ ไม่ใช่พวกฮั่น เอาแต่ปกครองโกงกินกดขี่ข่มเหงประชาชนให้ยากไร้ วางท่าทีประหนึ่งเป็นเทพยดาหยามเหยียดต่อประชาชนชาวอั่นที่มีจำนวนมากกว่ามาก แต่อย่างไรก็ตามมันจะต้องแทรกเข้าไปอย่างน้อยก็เป็นข้าหลวงที่มีอำนาจให้ได้เพื่อการปฏิวัติอย่างนุ่มนวลอันจะทำให้ประชาชนกินดีอยุ่ดีมีความสุขสงบปลอดภัย
   ณ พระที่นั่ง ข้าราชการวงศ์หงวน แต่งกายประดับด้วยเสื้อมังกรห้าเล็บแสดงถึงศึกดิ์ฐานะว่าเป็นชนชั้นเสนาบดี บนลำคอของมันประดับไว้ด้วยสายประคำทอง มองดูคร่าวๆก็ตกประมาณหนึ่งร้อยแปดลูก มันมองมาที่ เด็กหนุ่มแล้วเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำถามว่า ขอให้ยกบทกวีของซูตงขึ้นมาบทหนึ่ง
   ชายหนุ่มพอได้ยินคำถามปุ๊บก็เอื้อนเอ่ยบทกวีซูตงออกไปว่า
   คนมีทุกข์สุขอยู่ร่วมจำพราก
   จันทร์มีมืดสว่างกลมแหว่งเว้า
   เรื่องราวนี้ยากสมบูรณ์พร้อม
   อำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดทำให้ผู้คนฟอนเฟะ
   เมื่อว่าจบ เสนาบดีคนที่ถามมองหน้า สายตาได้บ่งบอกถึงความสะใจ และเขาได้กล่าวว่า เสนอได้ดี แล้วเขาก็ตะโกนออกมาว่า ผ่าน
   หลายวันต่อมา ในชุดเครื่องแบบสีเขียว  ชายหนุ่มแห่งหมู่บ้านใบไม้เขียวได้ก้าวออกมาจากวังหลังจากการแต่งตั้ง
   ในวันนั้นแม้จะได้รับเลือกไปแล้ว แต่ก็ต้องมีการสอบตัดสินชิงตำแหน่ง และชายหนุ่มได้ใช้คำคมบทเด็ดออกสู้ความว่า 
   มีผู้เปรื่องปราดต้องมีเจ้าชีวิตสุงส่ง
   เหนือเรื่องราวบุคคลยังมีวิถีแห่งฟ้า
   ราคาเทียมฟ้าต่อรองต่ำติดดิน
   เพียงสามบาทก็สามารถฝ่าเหล่าบัณฑิตมาอยู่ในระดับแถวหน้าได้
   ในหมู่บ้านใบไม้เขียวชาวบ้านต่างก็จัดงานเลี้ยงไอ้หนุ่มที่ไปสร้างชื่อเสียงให้ ทุกคนต่างก็มาอวยพรและยื่นสุราคำนับ ชายหนุ่มก็ยกสุราจอกแล้วจอกเล่า พร้อมกันนั้น ผู้ใหญ่บ้าน ถัง ได้ชูมือขึ้นให้ทุกคนเงียบ แล้วแกก็กล่าวว่า
   เล่าฮู ขอให้ กงจื๊อได้แสดงบทกลอนให้พวกเราได้ฟังกันสักหน่อย
   กงจื๊อหนุ่มได้ยิน ก็หัวเราะและก็เริ่มเอื้อนเอ่ย
   วิหกร้องกลางแมกไม้
   ค่างกู่ร้องกลางไพรี
   ทั้งกระเทือนเนตรพันลี้
   พรากขวัญวิญญานเตลิดหนี
   ไม่หวั่นวิตกอันตราย
   สำนึกบุญคุณมาตุภูมิ
   ลูกผู้ชายไม่กล่าวพล่อยปาก
  ชาติชาตรีถือสัจจะวาจา
  คนคำนึงถึงหน้าตาท่วงท่า
   ไยถกถึงลาภยศสักการะ
   (กลอนของงุยเต็ง)
   ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็แซร่ซร้องสรรเสริญความมีสติปัญญาของชายหนุ่ม 
   ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา
   ชาวบ้านต่างก็พากันปลีกตัวไปพักผ่อนในกระท่อมสวรรค์ของตน
   ชายหนุ่มแม้จะกังเปยไปมากแต่ทว่า เพียงสุราไม่กี่ถังนี้มิอาจทำให้เมามายได้
   เพียงแต่ในค่ำคืนนี้
   เหมยฟ้าที่เขาคิดถึงป่านฉะนี้เธอจะรอเขาอยู่หรืออย่างไร
   เขามองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่กลางฟ้าแล้วก็ถอนหายใจ
   แม้จะมีปัญญามาก
   แต่ยังไม่รู้เลยว่าสวรรค์จะให้เป็นไปแบบใด
   มีต่อ				
12 กุมภาพันธ์ 2551 07:17 น.

ล่อนจ้อน

สะพั่งสะท้านไมภพ

มีปัญญาก็ไม่แน่นักว่าจะรอด  
   นี่คือลิขิตแห่งฟ้า  ไม่ใช่ว่าทรนงว่ามีปัญญา แล้วเอาตัวไม่รอด คงไม่ใช่ แต่ทว่าฟ้าย่อมกำหนดบทบาทที่เหมาะสมให้ มีแต่ผู้รู้เจตจำนงค์ของฟ้าอย่างลางเลือนเท่านั้น จึงจะพอคาดเดาได้ต่อไป
   สะพั่ง นอนก่ายหน้าผาก กระดิกขาอยู่ข้างโซฟาตัวละหมื่นห้าที่บ้าน วิธีการใช้โซฟาของสะพั่งค่อนข้างจะผิด โดยปกติเขาใช้นั่ง แต่นี่ใช้พิงคือนั่งบนพื้นบ้านและพิงโซฟาแทน  เป็นการใช้โซฟาอีกมุมมองหนึ่งของมนุษย์โลก
   เขาหัวเราะให้กับตัวเอง คนเรามัวแต่มองดูความบ้างี่เง่าของคนอื่นแต่ทว่าเคยคิดบ้างไหมว่าเขาจะมองว่าตัวเราเองก็บ้างี่เง่ากว่า 
   คุณค่าของที่เรามี บ่อยๆที่เขาเปลือยกายที่หน้ากระจก ดูทรงผมที่ไม่เคยมีความพอใจกับช่างตัดผมผู้หญิงที่มักจะตัดแล้วทำให้มีผมมาปรกผิดทิศทาง หน้าผากที่มีรอยย่นปรากฏที่เกิดจากความเครียดในเรื่องต่างๆ จอนที่จะกันอย่างไรก็ไม่เคยถูกใจ หน้าตาที่ไม่ได้ทำให้ผู้หญิงจะต้องหันมามองจนคอเอียง พุงที่ป่องออกและแขม่วไว้อย่างสุดใจขาดดิ้น ไอ้น้องที่หงอยเหงาอันหนึ่ง  และหัวเข่าขวาที่เริ่มดังกรุบๆ
   สะพั่งนึกถึงผู้หญิงหลากหลายที่เคยแก้ผ้าต่อหน้า  และนึกถึงแสงไฟ ความมืดเครื่องสำอางค์ สิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่เธอได้ใช้หนุน ดัน ยก เมื่อแก้ผ้าแล้วเปิดไฟดูชัดๆ ก็แจ้ง
   เขาหัวเราะกับการกระทำของนักการเมือง  คล้ายๆกับดาราในจอแก้ว หรือจอใหญ่จอเงิน หากเราทำอย่างนี้ได้บ้างป่านฉะนี้คงจะได้เป็นดาราประกอบที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดีไปแล้ว
   การกำหนดวิถีทางของตน ย่อมต้องมีวัตถุประสงค์ที่เป็นความลับของตน และทำไปเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของตนให้ได้ สะพั่งมักจะย้อนคิดเข้าไปในจิตใจของคนที่เขาเจอการกระทำแปลกๆว่าเขาต้องการอะไร
   สะพั่งสะบัดหัวกลับมาสู่ความจริงตรงหน้า แม่ค้าขายหวยบนดิน นอนแก้ผ้าอยู่บนเตียง แม้จะหลับหรือแกล้งหลับเธอกำลังคิดอะไร
   ทหารหญิงในอ้อมอกจะคิดอย่างไรในตอนนี้ ที่มือข้างหนึ่งได้เค้นที่อกของเธอแล้ว    ซึ่งก็อยากรู้นานแล้วว่าของจริงหรือของปลอม
   บางทีสะพั่งคิด ผมแค่เพียงอยากรู้เท่านั้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป  
   การที่ได้มองอะไรให้เห็นถึงล่อนจ้อนทะลุปลุโปร่งก็เป็นเรื่องยาก
   จิตใจของคนยากแท้หยั่งถึง 
   การพูดออกมาของคน หน้าตา ดวงตา ยากเข้าใจ
   หากยังมองไม่ออกถึงความดีที่เร้นลับให้เห็น  หรือความชั่วในจิตใจ แล้วอาจไม่รอดโดนเขาย่ำยี
   เสียงเตือนจากสาวแก้ผ้าบนเตียงเตือนแล้ว
   สะพั่งสะบัดหัวจากความมึนเมา กระโดดใส่ด้วยความบ้าบอคอแตก
   ตื่นเช้ามา สะพั่งสะกิด
   เธอบอกว่า สามแล้วยังไม่พออีกเหรอ
   สะพั่งงุนงง นี่เธอฝันไปหรือเปล่า
   พั่งยังไม่ได้ทำอะไรเลย				
10 กุมภาพันธ์ 2551 07:39 น.

ฟันบนกับฟันล่าง

สะพั่งสะท้านไมภพ

มันเป็นเช้าที่สดใสทีเดียวเชียว ผมได้แต่งชุดหล่อเรียบกรีบโง้ว ผมหวีเรียบแปล้ขึ้นรถเมล์ ผมไปนั่งข้างหน้าใกล้ๆคนขับทางด้านข้าง สายตาของผมก็มองดูวิวข้างทางที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างจากเหตุรถวิ่งเร็วทำให้เย็นใจดี และเหมาะสมกับใจวัยรุ่นอย่างผม
   สักพัก กระเป๋ารถเมล์หญิง ก็เข้ามานั่งทางด้านหน้าของผม และหันไปใส่กับกระเป๋าพลขับ ทั้งสองคนเถียงกันเหมือนผัวเมียทะเลาะกัน ฝ่ายคนเก็บตั๋วก็เลือดขึ้นหน้าใส่ฉอดๆเป็นฟืนเป็นไฟ ส่วนคนขับรถเมล์ก็เลือดขึ้นหน้าขับรถแบบยั๊วะสุดขีด ผมมองหน้าผู้โดยสารทางด้านหลัง ก็มองตากันแป๋วทุกคนเลย บางคนเมื่อรถเมล์จอดป้ายก็รีบลง ไอ้พวกขึ้นก็แทบเท้าอีกข้างยังไม่พ้นพื้นรถเมล์ก็พาไปแล้วจากป้าย ผมนั่งฟังแล้วเห็นหุ่นของกระเป๋ารถเมล์ค่อนข้างจะได้สัดส่วน อกโต ท่าทางเซ็กซี่ไม่เบา คงจะมีไอ้พวกชอบตีท้ายครัวย่องเข้ามาแทะโลม หรือไม่ก็พวกแมวขโมยปลาย่าง หรือไม่ก็ไอ้ความหึงของผัว หรือไม่ก็กระเป๋ารถเมียแกล้งให้ปั่นป่วนเล่น ตอนแรกๆก็มันดี แต่พอหลังๆ ทั้งสองต่อล้อต่อเถียงกันด้วยการใช้อารมณ์อย่างเต็มที่ จนกระทั่งฟันบนและฟันล่างของผมเริ่มกระทบกันเบาๆ ก็เป็นอันว่ารอบแรกปลอดภัย
   ขากลับบ้านผมก็ขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ตอนขึ้นไปก็มองเห็นพลขับไม่ใช่คนเดิม ค่อยอุ่นใจ ผมก็ไปนั่งตอนหน้าที่เดิมอีกนัยว่าเห็นวิวทิวทัศน์ชัดเจน แต่ก็มีสิ่งหน่งสะดุดตา นั่นก็คือขวดเอ็มร้อยห้าสิบเอ็ด กลิ้งไปมาตอนรถเมล์เบรคเข้าป้าย ผมก็ว่ามันแปลกดีที่มีขวดนี้กลิ้งไปมาโดยพลขับรถไม่ยอมเก็บ 
   แต่พอสักพักก็รู้ เมื่อรถเมล์เข้ามาจอดที่ป้ายและจอดนานเกิน ผมก็ชะโงกดูก็เห็นพลขับนั่งคอพับนิ่งสนิท สักพักก็ตกใจตื่นเองแล้วก็ขับรถออกไปจากป้าย แต่พอป้ายต่อมาพอจอดอีก ก็เหมือนเดิมอีก แต่คราวนี้ไม่มีวี่แววว่าจะออก จนกระทั่งผมได้หันไปมองดูผู้โดยสารร่วมชะตากรรมต่างคนต่างแป๋วแล้วผมก็ยิ้มให้ แล้วผมก็ไปสะกิดพลขับ บอกว่า พี่ๆไปได้แล้ว 
   พลขับก็ตกใจตื่นและออกรถ ผมได้คิดแล้วเห็นควรลงรถได้แล้วจึงเดินไปที่ทางจะลงแล้วกดออด พอรถเมล์จอดป้ายผมก็เดินลง พร้อมๆกับผู้โดยสารอีกหลายคน ต่างคนต่างก็ยิ้มให้แก่กัน 
   ทุกคนคงคิดเหมือนกับผมคิด ช่างโชคดี เกือบฟันกระทบกันอีกแล้วไหมละ				
9 กุมภาพันธ์ 2551 08:28 น.

กูว่าแล้ว

สะพั่งสะท้านไมภพ

หัวหน้ามาที่นี่ทำไม
   ผมมองดูลูกน้องระดับจ่าของผมถามแบบกวนบาทาของผม
   เอ้า กูก็มาแบบที่มึงอยากมานั่นแหละ
   เป็นคำตอบของผมที่คนถามคนเดียวแต่ตอบคำถามแก่ทุกคนในหมู่ทหารรบ 7 คน
   เอ้าวันนี้ไปไหนกัน ผมถามเปลี่ยนเรื่อง
   ไปรักษาความปลอดภัยให้แก่พระสงฆ์ทีออกบิณฑบาทครับ
   เอ้าไป แล้วผู้การจะไปด้วยหรือครับ ไม่อยู่นอนเล่นที่กองบัญชาการหรือครับ
   อย่าเรียกผมว่า ผู้การเลยดีกว่า ผมลงมานี่ก็ตั้งใจว่าจะมารบเป็นเพื่อน และอย่าได้กังวลถึงชีวิตของผมว่าจะต้องดูแล ให้คิดว่าก็เป็นชีวิตของทหารเลวคนหนึ่งก็พอแล้ว
   แน่ใจนะครับ
   เออกูแน่ใจ ไปกันได้แล้ว และในวันนี้ผมขอแต่เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์
   ผมเดินตามคนสุดท้ายของชุดลาดตระเวณ จากฐานก็เดินตามถนนไปตามเส้นทางไปวัดซึ่งก็เป็นอย่างนี้ทุกวัน รอบข้างเป็นท้องนาเดินลำบาก  การเดินลาดตระเวณของหมู่นี้ก็ป้องกันแต่เพียงระยะห่างให้ไม่เพียงพอที่จะใช้ระเบิด หรือยากต่อการยิงเล็งตรงที่จะหวังฟลุ๊คโดนหากมีการซุ่มยิงจากโจร
   เมื่อไปถึงวัด ทุกคนก็ประจำตามหน้าที่ สองคนเดินเคลียร์ทางให้พระตามเส้นทางที่พระจะไปบิณฑบาท สองคนเดินตามหลังห่างๆ อีกสามคนเดินปะปนในขบวนของพระ สำหรับผมเองก็เดินในภูมิประเทศตามเส้นทางคนเดินเท่าที่จะทำได้
   การปฏิบัติภารกิจวันนี้ ราบรื่นเมื่อส่งพระเข้าวัดเสร็จ หมู่ทหารก็เดินทางกลับฐานเนื่องจากไม่มีภารกิจพิเศษเพิ่มเติม แต่ทว่าเมื่อวานยังไม่มีข่าวทหารโดนกระทำออกมาสักข่าวเดียวเลย
   ห่างจากฐานประมาณ 100 เมตร เสียงปืนดังเป็นประทัดแตกออกมาจากข้างทาง กระสุนได้เจาะพื้นถนนยิ่งกว่าในหนัง     ทหารทุกคนหมอบด้วยความเสียขวัญ แล้วก็ยิงปืนไปทางนั้นแบบไม่ต้องดู  ผมก็นอนดูความวุ่นวานนั้น ก็เห็นตัวจ่าผู้บังคับหมู่ลาดตระเวนเริ่มเรียกกำลังพลให้เตรียมรับคำสั่ง ทุกคนมองมาที่จ่า แล้วจ่าก็มองมาหาผม ผมพยักหน้าให้เขารู้ว่างานนี้ให้จ่าสั่ง 
   จ่าก็เลยสั่ง ถอนตัว ทุกคนก็วิ่งออกมาในทิศทางตรงข้ามกับที่โจรดักซุ่มยิง ผมก็หัวเราะแล้วก็วิ่งตามหมู่ลาดตระเวนนั้นออกมา
   เมื่อมาได้สักหนึ่งร้อยเมตรทุกคนก็วางตัวเป็นวงกลม จ่าก็ใช้มือถือซึ่งไม่ค่อยจะมีเงินเติมนักโทรแจ้งช่าวสารให้กองบัญชาการ  ผมก็เข้าไปรับทราบแผนของจ่าต่อไป 
   รอสักพักครับ ผู้การ พอซาๆแล้วเราค่อยกลับฐาน
   ผมมองหน้าจ่าแล้วก็ถามว่าเราทำแบบนี้กันทำไม
   ขออนุญาตครับผู้การ มันเป็นการทำให้ไอ้พวกโจรได้ใจ สักสองสามครั้งว่าทหารกลัวมัน ครับ แล้วเราค่อยจัดการมันทีหลัง
   เออ โล่งอกไปที กูนึกว่าเป็นอย่างงี้ตลอด
   อีกสามวันต่อมาก็โดนอีก ทหารก็ทำแบบนี้อีก
   อีกสามวันต่อมาก็โดนอีก  แต่คราวนี้ทหารได้ทำการโอบล้อมพวกมันแล้ว การยิงต่อสู้ได้กระทำกันพอสมควร เนื่องจากฝ่ายโจรไม่มีกระสุนเยอะเพียงพอในที่สุดทหารก็จับมันได้
   ไอ้สองตัวที่จับได้ มันก็เถียงกันหน้าดำหน้าแดงตอนที่ทหารปลดอาวุธและจับมันมัดมือไขว้หลัง
   เสียงของมัน พอฟังเป็นไทยๆชัดๆได้ว่า ถุย กูหว้าแหล่ว				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสะพั่งสะท้านไมภพ