25 มกราคม 2551 10:04 น.

อาบแดดกับฝรั่ง

สะพั่งสะท้านไมภพ

ผมเฝ้ามองฝรั่งอาบแดดอยู่ที่ชายหากของหัวหินในวันธรรมดา แต่พอผมเดินเขข้าไปใกล้ๆพวกเขากลับ จับยกทรงขึ้นมาสวมใส่กันหมด ทำให้ผมเกิดไม่สบายใจว่าตนเองได้ทำให้พวกเขาเกิดความรำคาญขึ้นมา
   ผมก็รีบถอนสมอกลับที่พักและนั่งครุ่นคิดว่าเอจะทำอย่างไรดี พลันนึกถึงคำโบราณได้คำหนึ่งว่า เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ดังนั้น ในวันรุ่งขึ้นผมก็หิ้วเสื่อจัดแจงแก้ผ้านอนอาบแดดผึ่งตูดริมหาดหัวหิน แต่ไม่ลืมใส่แว่นตาดำไว้ด้วยกลัวคนจะจำได้และจะมาทัก
   ได้ผลครับ ฝรั่งมันเห็นมาก็มานั่งกันเป็นกลุ่มๆ โนบรา กอดปล้ำกันไม่ได้ละอายสายตาผมที่อยู่ในแว่นตาดำเลย เพลินซิครับ แต่ทว่าแป๊บนึงก็มีคนไทยมากลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา พวกฝรั่งเขาก็หุบบราปิดนมกันใหญ่ สักพักก็มีเสียงผู้หญิงไทยคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ดูคนนี้ซิ เหมือนคนไทยเลย
   พอผมได้ยินผมก็หัวเราะหึๆในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกไปกลัวพวกเขาจะรู้ 
   สักพักหนึ่งก็มีแหม่มมีอายุแล้ว แกก็มาปูเสื่อที่หน้าผมแล้วก็จัดแจงโนบรา ทายากันแดดอย่างแช่มช้าตามอายุของแก นมของแกที่เหี่ยวแบนลีบก็ตวัดไปตวัดมาต่อหน้าผม นมก็แกแบบออกสีเหมือนซาลาเปาค้างคืน มีฝ้าเต็มไปหมด หัวนมก็แบนดำปี๋ เอวก็ล้นด้วยห่วงยาไขมันปลายห่วง
   ดูกำลังเพลินๆ สักพัก ก็มีสุนัขตัวเมียตัวหนึ่ง วิ่งมาใกล้แหม่ม กระดิกหางเป็นการใหญ่ ผมก็เฝ้าดูนมหมาที่เหี่ยวยานโตงเตง ที่แกว่งไปแกว่งมา ตัวงี้ผอนกระหร่องคงจะมาประเหลาะเอาใจแหม่มใจดี
   ส่วนทางด้านโน้น กำลังนัวเนียใต้ต้นมะพร้าวทำท่าว่าจะร่วมเพศกัน ณ ที่นั้น
   เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างพร้อมกันเหมือนกับการเกิดฟ้าผ่าในฤดูแล้ง ผม ด้ติดตามชมภาพที่ปรากฏจนกระทั่งวันนั้นได้จบลงโดยทุกคนที่มาพักผ่อนที่ชายหาดก็ได้แยกย้ายกลับโฮเต็ลของตน				
24 มกราคม 2551 12:17 น.

บ้านเล็กอบอุ่น

สะพั่งสะท้านไมภพ

ผมได้ไปที่ตลาดสะพานใหม่ เมียบอกว่าให้ไปซื้อปลาทูที่ร้านธงฟ้า
ผมก็ได้ซื้อปลาทูสามตัวเข่งละสิบบาทหนึ่งเข่ง
แม่ค้าถามผมว่า จะเอาปลาทูไปเลี้ยงแมวหรือ
ผมก็สะอึกนิดหนึ่ง แล้วก็ตอบแม่ค้าไปว่า เปล่าครับผมซื้อเอาไปกินเอง
ในระหว่างทางผมนั่งนึกไปว่าดีนะที่แม่ค้าไม่รู้ว่าปลาทูสามตัวในค่ำคืนนี้จะกินกันกี่คน
   รถเมล์สองแถวที่หน้ารถเขียนคำว่า วัดเกาะตัวสีแดงเบ้อเริ่มวิ่งเข้ามาจอดเทียบท่า บรรดาคนรอที่มีวัยต่างๆต่างก็วิ่งชิงกันขึ้นแม้ว่ารถจะยังจอดไม่เข้าที่และไม่นิ่งก็ตาม ผมเองได้แต่มองด้วยความสลดใจ การแย่งชิงมันเริ่มเป็นพื้นฐานของคนแล้วหรือนี่
   เมือถึงบ้านผมก็จัดแจงทอดปลาทูอย่างในเย็น ปล่อยให้ปลาทูเริ่มเกรียมจนได้กลิ่นอันหอม จากน้ำมันพืชที่ตอนนี้ไม่รู้ว่ามันมีการควบคุมหรือเปล่า ในเรื่องราคา แต่หากเป็นรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองคงไม่กล้าขึ้นราคาแน่เพราะว่าจะทำให้ประชาชนด่าและไม่ลงคะแนนเสียงให้ในเวลาต่อไป แต่ทว่ารัฐบาลนี้แกทำได้ เรียกว่า เป็นช่วงปล่อยผีให้พ่อค้าบันเทิง
   เมื่อลูกและเมียมาพร้อมหน้าล้อมวงทานข้าว ลูกชายก็ตักปลาทูไปคนละตัว ส่วนผมกับเมียก็กินตัวเดียวกัน ความมันของปลาทูทุกอณูเนื้อกับข้าวสวยร้อนน้ำปลานิดนึงเพียงแค่นี้ก็ทำให้อิ่มท้องได้อย่างไม่เคอะเขิน
   ผมก็เฝ้าดูลูกชายทั้งสองทานข้าวกับปลาทูทอดอย่างเพลิดเพลิน ในใจก็อดคิดแทนเขาต่อไปในอนาคตไม่ได้ว่าเขาจะต่อสู้กับชีวิตอย่างไร ผมไม่รู้ว่าอยากให้ลูกของผมเป็นคนที่ฉลาดแกมโกงโหดเหี้ยมเห็นแก่ตัวดีเพื่อจะได้มีชีวิตที่สมบูรณ์ หรือจะให้เป็นคนซื่อสัตย์มีความจริงใจดี แต่ต้องตกระกำลำบาก
   ในตอนนั้นเอง ลูกชายของผมก็พูดขึ้นมาว่า เขาอยากเป็นทหาร
   ผมก็มองหน้าลูกชายคนเล็กของผม แกก็พูดเสริมมาอีกว่า เป็นทหารแล้วดีพ่อพอเกษียณแล้วมีเงินหลายร้อยล้าน 
   ผมเองก็หัวเราะเล่นกับลูกในความตลกเสียดสีสังคม แล้วบอกกับลูกว่า จะบ้าเหรอลูก ไอ้นั่นมันรวยคนเดียว ส่วนลูกน้องจะอดตายอยู่แล้ว ทั้งกองทัพ  
   ของบางอย่างลูกอย่าเชื่อเพียงเท่าที่เห็นมันมักจะมีอะไรแฝงๆลึกลับอยู่เสมอ
   ส่วนลูกคนโตกำลังเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดัง ผมจะเป็นข้าราชการพลเรือน ผมก็มองหน้าแล้วก็หัวเราะ นิสัยอย่างเจ้าหรือจะเป็นข้าราชการแล้วเจริญ สมัยนี้คนที่ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้แก่การทำราชการแล้วจะได้ดีมีชื่อเสียงมีเงินไม่มีหรอกลูก ส่วนไอ้พวกที่ชอบใช้วิชามารใช้ฝีปาก ฝีตีน ลิ้น เนี่ยมักจะไปได้ไกลกว่า
   ลูกทั้งสองคนได้ฟังแล้วก็พยักหน้าอยู่หงึกหงัก ตาก็เริ่มจะหรี่กันแล้ว ผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่าชักน่าเบื่อ เลยชวนครอบครัวลุกจากพื้นที่ทานข้าว และก็แยกย้ายกันทำธุระส่วนตัวก่อนจะเข้านอน
   ผมมานั่งพักตรงนอกชานลมโกรกเย็นสบาย ดูท้องฟ้าที่มีแต่เมฆหมอกมองไม่เห็นดวงดาว ข่าวการเมืองที่นักการเมืองออกมาพูดหลังจากการเลือกตั้ง มันไม่ได้ทำให้ประชาชนอย่างผมนี้มีความสบายใจเลย เพียงแค่นี้พวกมันก็ยังคิดไม่เป็นกัน แล้วอนาคตของผมจะเป็นเช่นไร
   ผมสะบัดหัวแล้วเดินเข้าไปนอนพักผ่อนเอาแรง  พรุ่งนี้ผมจะต้องหาเงินให้ได้สักร้อยถึงสองร้อยบาทเพื่อให้ลูกและเมียได้มีอาหารเลิศหรูทานสักมื๊อหนึ่ง				
23 มกราคม 2551 09:58 น.

เข็มทิศเก

สะพั่งสะท้านไมภพ

เข็มทิศหากไม่เสีย มันก็จะวิ่งไปชี้แนวทิศเหนือใต้เสมอ เราก็จะต้องปรับตามมันเพื่อทราบว่าทิศใดเป็นทิศอะไร  แต่ถ้าเข็มทิศปลอมมันก็จะชี้ทิศเหนืออย่างเดียวหรือไม่ก็ชี้มั่วไปหมด
   วันนี้ผมตั้งใจจะวิ่งออกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงให้พร้อมกับที่เป็นทหารที่จะต้องมีแรงเป็นอย่างน้อย และก็มีวินัยเป็นประการต่อมา ในขณะที่ผมกำลังวิ่งนั้นผมก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งอยู่ข้างหน้า ตาก็อดมองไม่ได้ แล้วก็เลยจินตนาการจนกระทั่งวิ่งผิดลู่ผิดรอย เป็นไปได้ถึงเพียงนั้น ผมชักสนใจเธอแล้ว ทันใดนั้นถึงทางแยกพอดี เธอวิ่งตรงไปข้างหน้า แต่ผมจะต้องเลี้ยวขวา ทำอย่างไรดีผมคิดคำนึงในใจ เมื่อถึงทางแยกผมก็เลี้ยวขวาแม้จะเสียดายโอกาส แต่ผมก็คิดว่า ขอเพียงแต่ได้รู้แต่เพียงข้อเท็จจริงบางส่วนก็พอจะค่อยๆคลำหาข้อมูลให้ครบถ้วนจนได้ และก็อดคิดไปอีกว่า ผู้หญิงเนี่ยเปรียบเหมือนเหยื่อปลาอันโอชะ แต่เจ้าปลาก็ฉลาดพิจารณาแล้วพิจารณาอีก ว่าน่ากินกินแล้วอร่อยลิ้นแน่กินแล้วปลอดภัย  คิดได้แล้ว จึงกิน แล้วก็ติดเบ็ด บางทีในหน้าตาของผู้หญิงหนึ่งคนมักจะบอกอะไรได้ในขั้นต้น แววตาที่มีรูปแบบที่น่าสะพึงกลัว แต่อย่างไรก็ตามผมชอบความพยศหรือความโหดร้ายของผู้หญิงครับ 
   เมื่อผมได้มีโอกาสเดินสวนกับเธอ ผมก็มองที่หน้าตาเธอ หน้าอกเธอ และหน้าท้องของเธอ ไขมันที่สะโพกบอกให้รู้ว่าเพิ่งผ่านพ้นสาวมาไม่นาน หน้าอกที่ด้านบนล้นออกมาจากขอบยกทรง ก็ทำให้ประมาณได้ว่า สักสามสิบหก แต่ว่าเอด้านใต้ยกทรงจะถมทรายไว้เต็มหรือเปล่าก็ไม่รู้เพื่อให้นมได้วางบนพื้นยกสูงและให้ไอ้พวกแมงภู่หรือแมลงวันอย่างผมได้คิดไปต่างๆนาๆแบบผิดๆ
   ผมได้เส้นทางการวิ่งของเธอแล้ว และได้วิธีการกลับบ้านของเธอแล้ว  หากเหลือแต่กิจวัตรประจำวันเท่านั้นที่จะต้องลงทุนใช้การสะกดรอยที่ร่ำเรียนมา แต่ทว่าจะจริงจังกับเรื่องนี้เจียวหรือ
   การเห็นป้ายที่ติดหน้ากระจกรถ ก็บอกอะไรได้หลายอย่าง แล้วแต่จะจินตนาการออกไป อดคิดไม่ได้ว่า การออกกำลังกายของคนๆหนึ่งไม่ว่าหญิงหรือชายมันน่าจะมีอะไรมากไปกว่าการที่ต้องการให้มีสุขภาพแข็งแรง  อย่างเช่นผมในวันต่อมาผมก็ต้องการไปวิ่งอีกเพื่อต้องการเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้น แต่ไม่ได้ต้องการวิ่งเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอย่างเดียว
   ในชีวิตจริง ผมเห็นทหารหลายนายพร่ำบ่นคุยเพ้อเจ้อเรื่องได้ทำการรบขณะที่ไปทำงานที่ไม่ได้เกี่ยวกับการรบ ผมไม่ทราบว่าเขาต้องการอะไร แต่ผมคิดว่าหากเขาเป็นนักรบที่ดีจริงเขาจะไม่พูดมากและอาสาไปรบเท่าที่เขาจะมีโอกาส มีลูกน้องของผมบางคนขออาสาไปรบภาคใต้สอบถามไปสอบถามมาเขาต้องการจะหนีเจ้าหนี้ที่ตามรังควานเขาตอนรับเงินเดือน ผมมองหน้าเขาแต่ผมไม่ได้ทึ่งหรือแปลกใจใดๆเพราะว่าเรื่องนี้ผมได้คิดมานมนานแล้ว
   ครั้งหนึ่งที่เวียตนาม เวียตกงได้บุกเข้าโจมตีฐานทหารไทย ปรากฏว่าทหารไทยสู้ตาย มือหนึ่งยิงปืน แต่อีกมือหนึ่งโอบถูงบก (ถุงที่ใส่ของของทหารบกใบใหญ่ๆ)ซึ่งในนั้นประกอบด้วยบุหรี่นอกที่ตนเองชื่นชอบ เหล้านอกที่ตนเองชื่นชอบ ขนมของลูกๆที่แปลกๆและของฝากเมียที่รักและเคารพ ดังนั้นเวียตกงไม่สามารถเข้าตีฐานไทยแตกได้เพราะสู้ตายถวายชีวิต
   หรือเหตุที่ทหารตัวลูกน้องถึงได้กล้าหาญนัก เพราะเขารับเงินเดือนไม่เคยเพียงพอ รายจ่ายก็พอๆกันในการดำรงชีวิตแต่เงินเดือนเขาน้อย ก็ต้องกู้หนี้ยืมสินกันไป จนแต่ละคนก็มีหนี้สินเพิ่มพูน จนกระทั่งเครียด จนกระทั่งไม่คิดอะไรอีกแล้ว การได้ออกไปสนามชายแดนที่ต้องเสี่ยงภัยหากพลาดพลั้งเป็นอะไรไป ลูกเมียก็จะเหมือนถูกหวยในขั้นต้น
   ผมไม่ใช่ทหารนักรบ ผมเป็นเข็มทิศที่เกๆอันหนึ่ง ไม่สามารถที่จะนำหน่วยทหารไปออกรบได้ แต่ผมก็ยังรักลุกน้องเหล่าทหารที่ต้องตกระกำลำบากเลือดตาแทบกระเด็น นอกจากผู้ใหญ่ในหน่วยหรือในกองทัพจะหยามเหยียดว่าต้อยต่ำแล้ว แต่เขารู้สึกว่าจะกัดฟันด้วยความอดทน ความอดทนของทหารผู้น้อยเหล่านี้ที่ได้สร้างผลงานสร้างชื่อเสียงให้กับนายทหารยศสูงๆหลายๆท่านมาแล้ว 
   ผมได้เห็นผู้บังคับบัญชาหลายท่านพอได้ขึ้นเป็นใหญ่ก็แหกปากป่าวประกาศก่อนเลยว่า จะต้องดูแลผู้น้อย แล้วเป็นอย่างไร มีกี่คนแล้วที่ต้องชอกช้ำใจที่บางท่านเห็นแก่เมียน้อยมากกว่าผู้น้อย 
   ผมว่าเรามัวแต่ดูหนังแล้วอินกับมันมากเกินไป  สั่งสมอุดมคติที่บกพร่องทางความคิดกันมากเกินไป นอกจากนี้แล้วยังมีความบ้าจากนอกกะลาที่นำเอาวิทยาการแปลกๆฟังแล้วยังจำยากมาใช้ประเมินค่า หรือใช้ในการบริหารงาน 
   บัดนี้ สถานการณ์ต่างๆมันรุมเร้า ความเครียดก็ประดังเข้ามาทุกเรื่อง ใครจะพึ่งสิ่งใดก็ตามแต่วาสนาบารมี  ตราบใดก็ตามไอ้พวกเข็มทิศยังคงเกอยู่ ชาติหน้าค่อยเจอกันใหม่ หากยังเกอยู่ก็ชาติโน้น				
22 มกราคม 2551 11:20 น.

กระรอกบนต้นไม้

สะพั่งสะท้านไมภพ

ชีวิตของผมไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่เดิมทีผมก็มีบ้านอยู่แถวสวนจตุจักร ในบ้านผมจะมีลูกกรงให้ไต่เล่น มีอาหารผลไม้และน้ำกินไม่เคยขาด แต่มีวันหนึ่งมีคนผู้ชายอายุประมาณ ห้าสิบปีเห็นจะได้แกมาด้อมด้อมมองมองผมอยู่แล้วก็ยิ้มแล้วก็หันไปพูดจากับเจ้าของผม เจ้าของผมก็ยิ้มหน้าบานและรับเงินจากชายคนนั้น แล้วเขาก็หิ้วผมมา
   ในวันรุ่งขึ้นเขาเปิดประตูให้ผมออกจากกรงและหันปากประตูกรงไปบนกิ่งไม้ ผมเห็นดังนั้นผมก็เข้าใจทันทีว่า เขาต้องการให้ผมออกจากกรง ผมไม่ทันคิดผมก็เลยโดดไปที่กิ่งนั้นทันที
   ผมได้มองตาของคนนั้นที่เขาปล่อยผม ตาของเราประสานกัน ผมเห็นแววปลาบปลื้มบนตาของเขา เห็นความรุ้สึกอิ่มเอม สำหรับผมเอง ผมเองยังงงอยู่ว่าจะทำอะไรต่อไป มันจะดีใจก็ดีใจที่มีบ้านที่กว้างขวางมากขึ้น แต่ทว่าแล้วอาหารการกินจะทำอย่างไร ผมสะบัดหัวที่งุนงง หันมาผจญกับความจริงของชีวิต แล้วผมก็ไต่วิ่งกระโดดเล่นอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งหิว แต่ทว่าก็เห็นมะขามเทศต้นเบ้อเริ่มฝักอวบอูมแดงระเรื่อหอม ผมรีบกระโดดเข้าไปหยิบมากินทันที โอ้มันช่างหอมหวานจริงๆ ในวันนั้นชีวิตของผมก็มีความสุขไปอีกวัน
   วันต่อมามันช่างเงียบเหงาเสียเหลือเกิน ผมได้ปีนป่ายไปทางทิศต่างๆแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีกระรอกแบบผมเลยคงมีแต่ผมตัวเดียวที่ว้าเหว่มาก แต่ก็ได้เพื่อนนก เพื่อนหมา เพื่อนแมว ส่งเสียงทักทายพอแก้เหงาได้นิดหนึ่ง
   พอย่างเข้าหน้าหนาวอีกปีหนึ่งต่อมา ทีนี้ผมต้องงงงันทีเดียว เพราะผมเจอกระรอกหลายตัวมาก วิ่งเล่นไปมา เจี้ยวจ้าวไปหมด ผมก็ตะโกนเรียกเขาทันที พวกเขาก็วิ่งมาหาผมและมองผมตาแป๋ว ผมยิ้มแล้วทักทายพวกเขาว่า
   มายังไงกันนี่
   พวกเขาบอกว่า ก็คนไปเอามาจากบ้านและเอามาปล่อยพร้อมๆกันหลายตัว
   เออดี นี่ ต่อไปเราจะได้อยู่เป็นฝูงเดียวกัน
   เมื่อกระรอกทั้งฝูงตกลงกันก็พากันหากินด้วยกันโดยผมได้เป็นผู้นำฝูง
ทีนี้พอปีหน้าหน้าหนาวไม่รู้ว่าจะมีกะรอกอีกสักกี่ตัวที่จะโดนปล่อยออกมา ผมก็ได้จัดการเตรียมการเรื่องการสำรวจหาแหล่งอาหารในทิศทางต่างๆเพื่อเตรียมรองรับสมาชิกใหม่ตัวน้อยในครอบครัว และสมาชิกกระรอกใหม่ที่ถูกปล่อย
   สังคมกระรอกกรุงเริ่มต้นขึ้นแล้ว เราต้องขอขอบคุณพี่หารบกและพี่หารอากาศที่ปล่อยให้เราได้มาใช้ชีวิตอย่างบรมสุข แต่เรายังไม่รู้ว่าพี่หรวดกับพี่หารเรือเค้าจะชอบปล่อยกระรอกเหมือนกันหรือเปล่า อ้อพลเรือนด้วยจะชอบปล่อยหรือเปล่า หากชอบเหมือนกันละก็ ผมก็จะได้จัดตั้ง กระรอกพลเรือน ตำรวจ ทหาร ให้เป็นสถานบันใหม่ขึ้นทีเดียว และเราก็จะดูแลไม่ให้สมาชิกของเราเข้าไปในบ้านเรือนคนไปฉกชิงอาหารผลไม้ของมนุษย์ และยังคงยืนยันในยุทธศาสตร์ของเราว่า กินขี้ปี้นอน เท่านั้น ไม่มีอื่นๆ ผมหวังว่าสถาบันกระรอกพลเรือนตำรวจทหารจะยืนยงคงอยู่ตามยุทธศาสตร์ของเราได้ตลอดไป
   แต่ทว่าพ่อเจ้าประคุณ นิยายเรื่องใดก็แล้วแต่หากไม่มีตัวโกงบ้างก็น่าเกียจ มีคนอยู่คนหนึ่งเขาเฝ้ามองกระรอกของเรา แล้วเขาก็วางกับดักจับเราเอาเราไป แต่มีบางตัวเท่านั้นที่ได้กลับมาในตอนหน้าหนาว ส่วนอีกหลายตัวทราบข่าวว่า โดนเอาไปปล่อยที่อื่น จนพวกเราชาชิน แล้วโดนดักจับแล้วก็โดนปล่อยอย่างนี้จนไม่ค่อยตกใจเมื่อถูกจับ พวกเรานั่งถกเถียงกันว่า คนเขาทำอะไรกันบ้างก็จับ บ้างก็ปล่อย บ้างก็เลี้ยงไว้ในบ้าน ไม่ค่อยจะมีแนวทางที่ชัดเจนให้เข้าใจได้อย่างง่าย วันหนึ่งผมก็เลยไปถามพี่หมา ซึ่งคนเขามักจะเรียกว่าน้องหมา พี่หมาบอกว่า กูยังงงเลย  แทนที่จะรักคนมากกว่ารักหมาดันรักหมามากกว่าคน เวลาพูดกับหมาหรือหมาพูดกับคนเนี่ยดันกลับรู้เรื่อง แต่ทว่าพอเวลาพูดกับคนเห็นเห่ากันไปมาส่งเสียงดังลั่นจนพี่หมาเองยังหางจุกตูด กูละงงจริงๆ ผมได้ฟังแล้วก็ไปเรียกพวกกระรอกของผมมานั่งฟังและสัมมนาระดมความคิดเห็นกัน ก็ได้ข้อสรุปว่า อย่าเข้าไปใกล้มนุษย์มากนัก 
   วันหนึ่งผมได้ไปไกลจากถิ่นเพื่อการสำรวจได้เห็นคนๆหนึ่งแกแบกกิ้งก่ายักษ์เดิน ผมก็เอาข่าวนั้นมาเข้าประชุม สรุปว่า เป็นกิ้งก่าดีกว่าเป็นกระรอก เพราะไม่ต้องเดินให้เมื่อยจะมีคนมาอุ้ม
   วันหนึ่งผมเห็นพี่หมานอนซมน้ำตาซึมเนื้อตัวมอมแมม ผอมโซ ผมก็เข้าไปถามพี่หมา พี่หมาเอาแต่ร้องไห้ และพูดด้วยเสียงละห้อยแหบแห้งว่า
   ข้าอุตส่าห์จงรักภักดี เห่าหอน ดูแลบ้าน เล่นกับลูกคน แต่พอข้าแก่ ข้าเป็นขี้เรื้อน พวกมันก็จับข้า ขับไล่ข้าให้ออกไปจากบ้าน ข้าไม่ไป มันก็จับข้ามาปล่อยที่วัด
   ผมได้ฟังผมก็พลอยน้ำตาตกไปกับเขาด้วยและก็นำเรื่องมาเล่าให้สมาคมกระรอกพลเรือน ทหาร ตำรวจได้ฟัง พวกเขาได้ฟังก็พลอยพยักหน้าหงึกหงักกันทั่วทุกตัว
   ชีวิตของผมก็ดีกว่าชีวิตของพี่หมามากนัก ที่แม้จะจงรักภักดีสุดชีวิตแล้วก็ยังถูกคนทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี พวกกระรอกของผมได้พยายามที่จะห่างไกลจากคนให้มากที่สุด ไม่ปลื้มหลงเคลิ้มกับรอยยิ้มหรือประกายตาที่เมตตาของคนเป็นอันขาด เพราะเมื่อใดที่เข้าไปเกียวข้องกับคนแล้วดูเหมือนว่าจะมีแต่ความมึนงงไม่เข้าใจแต่เพียงอย่างเดียว ผมเชื่อว่าแม้แต่มนุษย์ก็คงจะไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน				
21 มกราคม 2551 09:23 น.

เรื่อง ผู้บัญชาการทหาร................ตอนที่6

สะพั่งสะท้านไมภพ

ผมกำลังคิดจะกลับมาปรับปรุงหน่วยเช่น มณฑลทหาร และจังหวัดทหาร ให้กระชับมากขึ้น มีระบบมากขึ้น และก็มีหน้าที่พร้อมอำนาจมากขึ้น กว่าเดิมเนื่องจากว่า งานคดีศาลต่างๆ เรือนจำ การส่งกำลัง ข้าวสาร น้ำมัน ต่างๆ เงิน เงินกู้ เงินสวัสดิการต่างๆ รวมทั้งวงดุริยางค์ การขนส่งคนและขนส่งสิ่งของล้วนที่นี่ทั้งสิ้น อ้อรวมทั้งคลับอาวุธด้วย แม้ว่าจะไม่ใช่หน่วยที่ทำการรบ แต่ก็เป็นหัวใจของหน่วยที่ทำการรบทีเดียว
   การจัดการภายในก็คงต้องรื้อระบบครอบครัวเสีย การหาเงินมาบริหารโดยใช้เงินค่าซ่อมค่าสร้างต่างๆโดยฮั้วกับผู้รับเหมาขาประจำก็เป็นการหาเงินมาบริหารบ้างแจกลูกน้องบ้างใช้เองบ้าง
   มีพี่น้องบางคนชื่นชมประเทศญี่ปุ่นมากว่าเขาทำงานกันจริงจังกว่าประเทศของเราแต่ผมก็แย้งเขาว่า ไม่จริง คนไทยแน่กว่า เพราะขนาดเงินไม่มีจะทำงานยังต้องเบียดบังหลวงนำเงินอย่างหนึ่งมาทำอีกอย่างหนึ่ง เพียงแต่ว่า ถ้าทำไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์สูงสุด โดยที่ไม่ใช่ใช้การแอบอ้างเหมือนปัจจุบันแล้วก็คงจะเจริญก้าวหน้าไปกว่าญี่ปุ่นตั้งนานแล้ว
   ผมหันกลับมามองกรมฝ่ายเสนาธิการต่างๆแล้วก็ให้ต้องการที่จะปรับปรุงโดยเฉพาะ งานในหน้าที่ กรมใดก็ตามที่ทำไปแล้วทำให้งานในหน้าที่มีปัญหา หรือทำงานเพียงแต่เพื่อสร้างบารมีให้แก่ตนเองเพื่อการโปรโมทตนเองให้ได้เป็นใหญ่เป็นโตมีข้าทาสบริวารมียศใหญ่เนี่ย ใช้ไม่ได้ และที่ผ่านมาเป็นอย่างนั้น และถ้าเรามาสนใจตัวเลขกำลังพลในแต่ละระดับ ในแต่ละชั้นยศหนึ่งจะเห็นว่ามันผิดปกติ ความผิดปรกติอันนี้มันจะเกิดจากบริหารงานที่ไม่เป็นสัปะรดขลุ่ยของบรรดาจอมปัญญาบารมีที่ผ่านมา และถ้าหากแยกออกมาเป็นปีๆก็จะรุ้ได้ทันทีว่าแต่ละท่านเป็นอย่างไร 
   ผมเรียกพวกแปดสิงห์แดนเสือมาชี้แจงตามที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด และทั้งหมดก็รับปฏิบัติ ผมก็พยายามติดตามผลงานความคืบหน้าโดยถามแต่ละสิงห์ทุกวัน
   อย่าแปลกใจเลยว่าพฤติกรรมของทหารทำไมถึงเบี่ยงเบน ก็เพราะมันเบี่ยงเบนมาแต่ข้างบนแล้ว หากคนทำงานเก่งแล้วได้ดี ก็คงจะมีคนทำงานเก่งเยอะไปหมด แต่ทว่าพวกเลียเก่งเอาใจนายเก่งแล้วได้ดีเนียะมีเยอะมากเกินไปในปัจจุบัน 
   ดังนั้นงานของผมอีกอันหนึ่งก็คือ เอาคนที่ทำงานเก่งขึ้นมาเป็นหัวหน้าให้ได้
ผลที่จะเกิดขึ้นก็คือ จะมีคนที่มีปัญญาแก้ปัญหาให้ได้ในทุกเรื่องของกองทัพทหาร
   อย่าให้มีคำกล่าวว่า พอยศถึงพันเอกแล้วเขาจะไม่พูดถึงฝีมืออีกต่อไป เขาพูดถึงว่าใครเป็นเด็กใคร   ผมตั้งใจวาจะละคำนี้ให้ได้    ผมต้องการให้ได้ว่าคนเก่งในด้านที่ต้องการและเป็นประโยชน์ที่ต้องรุ่งเรือง และไม่จำเป็นต้องรุ่งเรืองในกองทัพทหารของผม แต่สามารถจะรุ่งเรืองได้ทุกที่ที่มีคนต้องการ อย่างน้อยอันหนึ่งที่จะค้ำประกันต่อคนภายนอกได้คือ คนที่ออกจากกองทัพได้โดยกองทัพไม่ได้ปลดนั้นคือคนที่กองทัพหวงแหน เป็นกำลังพลที่มีคุณค่า แต่ทว่าที่ต้องให้ออกไปเพราะเขาสามารถทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติในด้านอื่นมากกว่าด้านการทหาร				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสะพั่งสะท้านไมภพ
Lovings  สะพั่งสะท้านไมภพ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสะพั่งสะท้านไมภพ