4 สิงหาคม 2547 17:46 น.

พระแม่ของชาวสยาม

สุชาดา โมรา

สมเด็จพระนางเจ้าฯ  พระบรมราชินีนาถ  พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ให้พระราชโอรส  และพระราชธิดาได้พัฒนาความรู้  ความคิด  และคุณธรรมเพื่อที่จะมาพัฒนาประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป  พระองค์ทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงประชา  ทรงช่วยพสกนิกรในทุก ๆ ด้านด้วยน้ำพระทัยที่เปี่ยมล้น  พระองค์ทรงสนพระทัยต่ออาชีพของราษฎรเพื่อให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น  ทรงเสด็จพระราชดำเนินในทุก ๆ ที่ของประเทศเพื่อทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของประชาราช  ทรงปัดเป่าทุกข์บำรุงสุขให้แก่ชาวไทย  พระองค์มิเคยบ่นว่าเหน็ดเหนื่อย  แต่พระองค์กลับสนพระทัยและตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าจะทำการใด ๆ ให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้า  เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศได้  ทรงสนพระทัยที่จะไปดูงานต่างประเทศเพื่อที่จะมาพัฒนาประเทศ  ทรงมีพระราชประสงค์ให้คนไทยรู้เท่าทันโลก  และพัฒนาตนเองให้ก้าวไปสู่จุดเดียวกันกับนานาประเทศ  ทรงเปี่ยมล้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณ  พระองค์จึงทรงเป็นพระแม่ที่ประเสริฐที่สุดของปวงชนชาวไทย				
4 สิงหาคม 2547 17:24 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 14 )

สุชาดา โมรา

การแข่งขันดำเนินมาจนใกล้ถึงวันสุดท้าย  ฉันฟิตทั้งร่างกายและการรุกคู่ต่อสู้  เมื่อมาอยู่ที่นี่ฉันก็ได้เรียนรู้ท่าใหม่ ๆ ที่จดจำมาอย่างถี่ถ้วนและลองมาทำดูก็เป็นอันว่าใช้ได้  ฉันดีใจเหลือเกินที่ฉันมีพรสวรรค์ในด้านนี้ทำให้ฉันก้าวมาถึงจุดนี้จนได้...
	อาจารย์สุพจน์เรียกฉันไปแข่ง  แต่คราวนี้ไม่เหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มา
	"ตั้งใจนะ  ต้องมีสมาธิ  หาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ให้ได้  อย่าลืมท่าและจังหวะที่ครูสอนเมื่อวานล่ะ  ใช้สมาธินะเพราะคู่ต่อสู้คนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ  ครูรู้สึกเป็นห่วงเธอมาเลย"
	ฉันเดินขึ้นมาที่สังเวียนด้วยความรู้สึกที่หวาด ๆ กลัว ๆ แต่ก็ตั้งใจไว้ว่าเราผ่านมาได้ถึงจุดนี้ก็ต้องสู้เพื่อชัยชนะและชื่อเสียงของชาติ  ฉันจะแพ้ไม่ได้  เพราะอีกแค่เอื้อมเดียวก็จะได้ชัยชนะแล้ว
	"ฮาจิเมะ...!!"
	เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น
	"เอี้ย..........!!!!"
	คู่ต่อสู้สายดำส่งเสียงร้องข่มฉันอย่างน่ากลัว  แต่ฉันก็รู้สึกชิน ๆ กับเสียงแบบนี้แล้วละ  ฉันเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อทันทีแต่ก็ไม่สามารถที่จะทุ่มได้  ฉันเดินหาจังหวะอยู่พักหนึ่งก็รู้ว่าจุดอ่อนของเขาอยู่ที่ขา  ฉันจึงเกี่ยวโค-ยูชิ-คาริทันทีจนเขาล้มลงก้นกระแทกกับพื้น
	"โคกา....!!!"
	ฉันได้คะแนน 1 โคกาทันที  จากนั้นฉันก็ตรงเข้าไปในขณะที่คู่ต่อสู้เขากำลังลุกขึ้น  ฉันจึงเข้าไปล็อกทันทีด้วยท่าเกซา-กาตาเมะจนกระทั่งหมดเวลา
	"วาซาริ  วาซาเตะ  อิปโป้ง..........!!!!"
	เสียงกรรมการบอกว่าฉันชนะ  ฉันดีใจมาก ๆ เข้าไปจับมือกับคู่ต่อสู้แล้วก็เดินออกมาที่ข้างเบาะ  อาจารย์สุพจน์ขยี้หัวแล้วก็ให้ฉันไปนั่งดูพี่ ๆ แข่งเพื่อเป็นการพักเหนื่อยจนกระทั่งถึงเวลาแข่งอีกครั้ง
	"ฮาจิเมะ.......!!!!"
	"เอี้ย...!!!"  
	...เสียงร้องข่มคู่ต่อสู้ของฉันดังขึ้นพร้อม ๆ กับอารมณ์ที่บ้าครั่ง   ฉันไม่รู้สึกตัวเลยว่าฉันกระชากคอเสื้อคู่ต่อสู้สายน้ำตาลปลายดำชาวต่างชาติคนนั้นแรงขนาดไหน ฉันคิดเพียงว่าจะไม่แพ้  ไม่แพ้  และก็ไม่มีวันแพ้... ฉันใส่ท่าโตโมนาเงะทันที
	"อิปโป้ง...!!!"
	อาจารย์ให้ฉันไปนั่งพักผ่อน  ฉันรู้สึกเหนื่อยมาก ๆ จึงหลับไป  รู้สึกว่าจะหลับได้ยาวนานมาก ๆ พอมารู้สึกตัวอีกทีก็
	"ดาว...คู่สุดท่ายแล้วนะ  พี่เหลือคู่สุดท้าย  ส่วนรุ่นของเธอเหลืออีก 6 คน  ถ้าเธอแข่งชนะครวนี้ก็จะเหลือแค่ 3 คน  คราวนี้จะชนะหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเธอแล้วว่าจะได้เหรียญอะไร"
	พี่ติ๊กมาเตือนสติฉัน  พี่เขาดีนะที่มาปลุกฉัน  ฉันจึงวานให้พี่เขาพาไปที่ห้องน้ำ  พี่เขาก็รออยู่ที่หน้าห้องน้ำส่วนฉันก็ไปล้างหน้า  ฉันมองเห็นนักกีฬาหลายคนคุยกัน  แต่ฉันก็ฟังไม่ออกหรอกแต่คิดว่าเขาน่าจะคุยเรื่องการชิงดำชิงแดงแน่ ๆ เชียวละ...  อาจารย์ให้ฉันเตรียมตัวแข่งได้แล้ว  ฉันจึงขอร้องให้พี่ติ๊กช่วยกระตุ้นให้ฉันตื่นหน่อยด้วยการตบหลังให้แรง ๆ จนกระทั่งตาสว่าง
	"ฮาจิเมะ.........!!!!"
	กรรมการบอกให้เริ่มต้น  ฉันเดินหาจังหวะคู่ต่อสู้  จากนั้นก็กระชากคอเสื้อทันที  ฉันรู้สึกได้เลยว่าคู่ต่อสู้แกร่งมาก ๆ จนฉันรู้สึกตัวว่าเขากำลังจะทุ่มฉันได้แล้ว  ฉันจึงย่อตัวและหมุนตัวเข้าไปทุ่มด้วยท่าโมโนเตะ-เซโออิ-นาเงะทันทีทำให้คู่ต่อสู้เสียการทรงตัวและลงตบเบาะทันที  แต่ด้วยความที่คู่ต่อสู้เจนสนามจึงทำให้ตบเบาะอย่างไม่เต็มตัว  ฉันจึงพยายามไม่ให้คู่ต่อสู้มีโอกาสเข้าใกล้ได้ด้วยการจับคอเสื้อแล้วย่อตัวกระชากให้เขาออกมาห่างจากขอบเบาะและปัดทันทีทำให้คู่ต่อสู้ลอยและลงมาตบเบาะอย่างสวยงาม
	"อิปโป้ง..........!!!!"
	ฉันทำสำเร็จแล้ว....!!!!  ฉันกู่ก้องร้องบอกตัวเองในใจ  อย่างน้อย ๆ ฉันก็ได้เหรียญทองแดงแล้วละทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้แข่งคู่ต่อไปแต่ก้รู้ได้ทันทีด้วยสัญชาตญาณนักสู้  เพราะตอนนี้รุ่นน้ำหนัก 45 กิโลเหลือเพียง 3 คนสุดท้ายแล้ว...
	แม่...หนูจะทำสำเร็จแล้วนะคะแม่  หนูจะเอารางวัลอันทรงเกียรตินี้มามอบให้แม่เป็นของขวัญให้ได้เลยค่ะ  หนูสัญญา...
	"ฮาจิเมะ.....!!!!"
	กรรมการบอกให้เริ่มต้น  ฉันเข้าไปกระชากคอเสื้อแล้วก็เข้าท่าทุ่มทันที  แต่ทำยังไงก็ทำไม่ได้เพราะคู่ต่อสู้แกร่งมาก ๆ ฉันจึงต้องพยายามหาจุดอ่อนแต่ก็มองไม่เห็นทางเลย  คู่ต่อสู้คนนี้สุดยอดจริง ๆ ฉันรู้สึกกลัว ๆ เสียแล้ว  ตอนนี้ฉันคิดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาทันที  ฉันนึกถึงเจ้าพ่อศาลพระกาฬ  นึกถึงหลวงพ่อขาวที่อยู่ในโรงเรียน  นึกถึงพระเจ้าอยู่หัวฯ  ฉันอธิษฐานในใจว่าถ้าหากว่าฉันมีชัยกลับไปฉันจะใส่ชุดยูโดวิ่งรอบหลวงพ่อขาว 9 รอบทันที
	"อิปโป้ง..........!!!!"
	เป็นไปได้ยังไงกัน  กรรมการบอกให้ฉันชนะทั้ง ๆ ที่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย  ฝ่ายนั้นแพ้ฟาว  สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง จริง ๆ ด้วย  งั้นถ้ากลับไปถึงเมืองไทยคราวนี้ฉันต้องไปแก้บนเลยละสิ...
	ฉันยืนมึนอยู่บนสังเวียนจนกรรมการเดินมาสะกิดให้ฉันคำนับคู่ต่อสู้  จากนั้นฉันก็เดินลงมาหาอาจารย์สุพจน์  อาจารย์ยิ้ม
	"โชคช่วยแท้ ๆ ดาวเราต้องมีสมาธินะเหลืออีกแค่คนเดียวเท่านั้นแล้วนะ"
	"ค่ะ"
	ฉันยังคงไม่เล่าอะไรให้ใครฟังทั้งนั้นจนกว่าจะแข่งเสร็จ  คราวนี้เป็นคู่สุดท้ายแล้วที่จะชิงตำแหน่งแชมป์ยูโดแม็ทอาร์มี่อินดิอาเซี่ยน...ฉันจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อเกียรติของฉัน  ของชาติ  และของวงศ์ตระกูล......สู้..........!!!!
	"ฮาจิเมะ..........!!!!"
	เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น  ฉันจึงเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อทันที  คราวนี้ไม่หมูอย่างที่คิดไว้จริง ๆ คู่ต่อสู้นี่แกร่งมากทีเดียว  ฉันคงแพ้แหง ๆ เลย  ดู ๆ สภาพแล้วไม่น่าจะชนะได้เพราะเรามันกระดูกคนละเบอร์กัน
	ฉันพยายามหาจุดบกพร่องของเขาแต่ก้ไม่มี  ฉันจึงนึกไปถึงอาจารย์ดนัยที่สอนฉันให้เอาความอ่อนโยนเข้าพิชิดความแข็งแกร่ง  ฉันจึงใช้ท่าที่ฉันคิดขึ้นเองอีกครั้งในการแข่งครั้งนี้คือท่าท่าไทเดบะ-ดุซุชิการิถึงกับทำให้อาจารย์สุพจน์ถึงกับตะลึงทันทีเพราะไม่เคยมีใครเห็นท่าแบบนี้มาก่อน
	"อิปโป้ง........!!!!!"
	ฉันเคารพกันและกันแล้วก็เดินไปจับมือกัน  ฉันดีใจมากที่ได้ก้าวมาถึงจุดนี้ได้ถึงแม้ว่าสื่อมวลชนจะไม่รู้ว่ามีการแข่งขันระดับอามี่ชิงแชมป์เปี่ยนยูโดระดับอาเซี่ยนกันทำให้ไม่เป็นข่าวใหญ่แต่อย่างน้อย ๆ มันก็เป็นข่าวเล็ก ๆ ของหนังสือพิมพ์เฉพาะของวงการยูโดและทหาร...ฉันเดินลงจากเบาะแล้วก็ไปกอดพี่ตุ๊กด้วยอาการมือเย็นเฉียบเพราะความตื่นเต้น  ความหวังและความฝันของฉันอยู่แค่เอื้อมมือแล้ว...
	"ไปเอาท่านั้นมาจากไหน  ครูไม่เคยเห็นมาก่อนเลย"
	"คิดเองค่ะ  หนูคิดมานาแล้ว"
	"เก่งนี่  ท่านั้นชื่อว่าอะไรกัน..."
	"ท่าไทเดบะ-ดุซุชิการิค่ะ"
	ฉันยิ้มแล้วอาจารย์ก็ขยี้หัวฉันและพาพวกเราไปกินข้าว  และพาไปเที่ยวหาซื้อของฝากกลับบ้าน  แต่ว่าฉันไม่รู้ว่าอาจารย์จะไปเลยขึ้นมาอาบน้ำแล้วก็นอนหลับยาว  ไม่มีใครปลุกฉันด้วยสิ  พวกเขาคงเห็นว่าฉันเหนื่อยละมั้งเขาเลยไม่ปลุก  ก็แหมเสียดายจังเลยที่ไม่ได้เที่ยวนะแต่อย่างน้อย ๆ ขากลับฉันก็ได้ซื้อของฝากที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้กลับบ้านมาเหมือนกัน  อาจารย์สงสารก็เลยพาไปซื้อที่สนามบินก่อนกลับ  ฉันจึงได้เสื้อลายสกีนของฟิลิปปินล์มาฝากครบทุกคนเลย...

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...				
4 สิงหาคม 2547 17:20 น.

นิยามรักแห่งสายรุ้ง (ตอนที่3)

สุชาดา โมรา

เช้าวันใหม่ที่แสนจะสดใส  ฉันเดินออกจากตึกด้วยอารมณ์ที่สดชื่น  มองไปทางไหนก็มีความสุขไปหมดจนกระทั่งเดินมาถึงหอชายที่อยู่ตรงข้ามกัน
	"ปิ๊ดปี้ว............ไปไหนเหรอจ๊ะน้องรุ้ง"
	ฉันทำเป็นเดินเฉย ๆ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  แต่ชายคนหนึ่งก็วิ่งมาถลักหน้าฉันไว้
	"จะรีบไปไหน...คุยกันหน่อยไหมรุ้ง"
	"นายรู้จักชื่อฉันได้ยังไง...!!!"
	"ทำไมจะไม่รู้จักล่ะในเมื่อน้องรุ้งเป็นคนดังแบบนี้"
	ชายคนนั้นเอาแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา  ฉันจึงหยิบมาจากมือของเขา  พอฉันอ่านแล้วก็เห็นว่ามันคือโปสเตอร์ประกาศรับสมัครของชมรมยูโดแต่มีภาพของฉันและชื่อของฉันอยู่ด้วย  ฉันจึงรีบปลีกตัวออกห่างจากพวกนั้นและเดินไปที่โรงยิมส์ทันทีด้วยความรีบร้อน
	ปัง....
	ฉันกระแทกกระดาษแผ่นนั้นที่โต๊ะ
	"นี่มันอะไรกันคะ  ฉันไปเป็นประธานชมรมตั้งแต่เมื่อไร  แล้วทำไมเอาภาพฉันขึ้นหลาขนาดนี้  ฉันไม่เข้าใจ"
	"ใจเย็น ๆ นะรุ้งค่อย ๆ พูดกับพี่เขาดี ๆ ก็ได้"
	"ไม่ยงไม่เย็นแล้ววี...ฉันไม่ชอบเลยนะที่จู่ ๆ ก็เอาความดังเข้ามาใช้เรียกคนให้มาสมัคร  ฉันเกลียดการทำแบบนี้ที่สุด"
	"น้องพี่...."
	พี่ประธานชมรมพยายามอธิบายแต่ฉันก็ไม่ฟังจนกระทั่ง
	"มีอะไรเหรอเชิด...อ๋ออาจารย์เชิญ ๆ ๆ ๆครับ"
	"นี่....นายเอิร์ท  นายเป็นรุ่นพี่ฉันแล้วทำไมมาเรียกฉันแบบนี้  แล้วนายมาทำอะไรที่นี่"
	ฉันถึงกับอึ้งทีเดียวที่เห็นนายเอิร์ทใส่ชุดยูโดจีนแดง  และฉันก็รู้สึกงง ๆ ว่าทำไมนาย      เอิร์ทถึงมาอยู่ที่ชมรมยูโดได้
	"อ้าว...ก็อาจารย์รุ้งบอกว่าให้พวกเราเป็นศิษย์พวกเราก็เลยไปซื้อชุดมาใส่แล้วก็มาวอล์ม
ร่างกายเพื่อรออาจารย์ไง...อาจารย์จะงงไปทำไมกัน  หือ..."
	"อย่ามาทำท่ายียวนใส่ฉันนะนายเอิร์ท  ฉันว่าเมื่อวานฉันฝันไปไม่ใช่เหรอ  จะบ้าเหรอ"
	"ไม่บ้าหรอก  มันเรื่องจริง"
	ฉันก็เลยต้องจำยอมที่จะสอนคนพวกนี้  วันนี้เราจึงมีการทำพิธีมอบหน้าที่ประธานชมรมให้แก่ฉันต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์และต่อหน้ารูปของปรำมาจารย์จิโคโร  กาโน
	"โชเมนิ...เรอิ  เซนเซนิ...เรอิ"
	ฉันพูดนำให้ทุกคนเคารพพระเคารพพระบรมฉายาลักษณ์และเคารพปรำมาจารย์และอาจารย์ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
	"ก่อนอื่นนะคะดิฉันขอแนะนำตัวก่อน  ดิฉันนางสาวรุ้งรัตน์  รินทรานะคะเป็นประธานคนใหม่ของที่นี่  ชื่อเล่นนะคะชื่อว่ารุ้ง  ดิฉันจะพยายามทำความฝันของทุกคนให้เป็นจริงให้ได้ค่ะ  ขอบคุณค่ะ"
	เสียงทุกคนปรบมือกันเกรียวไปหมด
	"ดิฉันขอแต่งตั้งพี่เชิดที่เป็นประธานคนก่อนขึ้นมาเป็นประธานระดับเดียวกันกับฉันเพื่อสนองงานและดำรงตำแหน่งเป็นประธานฝ่ายซ้าย  ส่วนดิฉันเป็นฝ่ายขวาเพื่อไม่ให้เป็นการลดชั้นของรุ่นพี่และไม่เป็นการหักหน้ากัน  ส่วนรองประธานดิฉันของให้ทุกคนเลือกนะคะ  ขอให้เสนอชื่อด้วยค่ะ"
	"เอิร์ท  เอิร์ท  เอิร์ท......"
	เสียงทุกคนเรียกเป็นเสียงเดียวกัน  ที่จริงฉันไม่อยากให้หมอนี่มาเรียนที่นี่ด้วยซ้ำเพราะฉันรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าอย่างแรงทีเดียว  รู้สึกเหม็นขี้หน้าทุกที  แต่ก็เอาเถอะประชาธิปไตยก็คือประชาธิปไตยเราจะไปขวางเขาก็ไม่ได้
	"ตกลง...นายเอิร์ทเป็นรองประธานมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยตลอดรายการ"
	"เฮ.............!!!!"
	เสียงทุกคนดังกึกก้องไปหมด  ฉันเหลือบไปมองที่ประตูห้องชมรม  ฉันเห็นอาจารย์ท่านหนึ่งมายืนแอบมองอยู่ฉันจึงยิ้มให้ท่านแต่ท่านก็เดินหลบหน้าไป  ฉันก็ไม่เข้าใจหรอกว่าอาจารย์ท่านนั้นมาทำอะไรแต่ที่รู้ ๆ ก็คืออาจารย์เขามาแอบมองชมรมเราแน่ ๆ
	"ฉันขอประกาศกฎที่ฉันตั้งขึ้นไว้ว่า  ข้อแรกห้ามส่งเสียงดัง  ทุกคนต้องมีสมาธิ  ข้อสองทุกคนที่ไม่ได้ขึ้นซ้อมในขณะนั้นต้องนั่งอยู่ที่เบาะแดงเท่านั้น  ข้อสามคือก่อนขึ้นมาบนเบาะควรเรียงรองเท้าให้เป็นระเบียบและเคารพเบาะทุกครั้งที่ขึ้นและลงจากเบาะ  ข้อสี่ใครที่มีสายสีแล้วถ้าวันไหนไม่ใส่สายสีของตัวเองจะถูกปรับด้วยการยึดพื้น 50 ทีตามขั้นสาย  ส่วนพวกสายขาวที่แอบเอาสายสีมาใส่ให้โทษถึงสองเท่า  ข้อห้าทุกคนเมื่อมาถึงแล้วควรทำความสะอาดเบาะอย่าให้มีฝุ่นจับและควรวอล์มร่างกายให้พร้อมด้วยการไปวิ่งรอบสนามฟุตบอลคนละ 3 รอบ  ข้อหกห้ามขโมยของในล็อกเกอร์หรือแม้แต่ของสำคัญที่วางไว้บนโต๊ะถ้าใครฝ่าฝืนไล่ออกสถานเดียว  ข้อเจ็ดทุกคนต้องเข้าออกตรงต่อเวลาและห้ามมีเรื่องชู้สาวเกิดขึ้นที่นี่  แต่ที่อื่นไม่ห้าม  ข้อแปดทุคนต้องมีน้ำในเป็นนักกีฬาห้ามทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะเราถือว่าเรามีจิตวิญญาณเป็นนักกีฬายูโดเหมือน ๆ กันและห้ามยกพวกตีกันกับนักกีฬาที่อื่นหรือนักกีฬาต่างชนิท  ข้อเก้าเครื่องแต่งกายของยูโดต้องเรียบร้อยซ้ายทับขวา  สายก็เช่นเดียวกันซ้ายทับขวาและขวาทับซ้าย  คาดสายให้ตรงกับสะดือหรือต่ำกว่า  ห้ามรัดจนฟิตหรือจนเอวกิ่ว  และผู้หญิงควรใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาวข้างในห้ามีลวดลายหรือสีอื่นข้อสุดท้ายต้องเคารพในสายและเคารพผู้ฝึกซ้อมนอกจากนั้นต้องเคารพในกฎระเบียบและกติกาการแข่งขันรวมทั้งกรรมการด้วย  กฎ 10 ข้อทำได้ไหม....!!!"
	ทุกคนหมอบคำนับเพื่อเป็นการตอบรับว่าทำได้  ฉันจึงเริ่มทำการวอล์มร่างกายกันก่อน จากนั้นก็ฝึกการตบเบาะท่าที่หนึ่งถึงสี่จนกระทั่งถึงช่วงพักเบรกให้ดื่มน้ำ  แต่ฉันไม่ลงไปดื่มด้วยเพราะการที่ดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้มีผลต่อการฝึกซ้อม  แม่เคยบอกว่าจะทำให้จุกจนเล่นไม่ได้
	"อาจารย์ครับผมสงสัยครับ"
	"นี่บอกอีกข้อก็คือห้ามเรียกฉันว่าอาจารย์อีกให้เรียกชื่อเฉย ๆ ก็พอ...แล้วมีอะไรเหรอ"
	"เสื้ออาจารย์ที่ด้านหลังทำไมมีตัวที 2 ตัวและมีตัวเอ 1 ตัว  ตรงแขนขวามีธงของไทยแล้วทำไมแขนซ้ายถึงมีธงญี่ปุ่นครับ"
	"  TTA  ก็คือไทยทูเอ  หมายถึงเบอร์หนึ่งของเมืองไทย  ธงของสองชาติหมายถึงเราเล่นกีฬาของเขาก็ต้องเคารพกฎของเขาส่วนของไทยคือการบ่งบอกให้รู้ว่าเราเล่นกีฬาให้ชาติไทยไงล่ะจะถามอะไรอีกไหม"
	"ผม ๆ ๆครับ  ผมอยากถามว่าน้องรุ้งทำไมมีนามสกุลคล้าย ๆ คนในวงการยูโดคนหนึ่งที่เคยลงหน้าหนังสือพิมพ์บ่อย ๆ จนกลายเป็นประวัติศาสตร์วงการกีฬาคนนั้นล่ะครับ"
	"นายเอิร์ทนี่นายจะถามถึงบรรพบุรุษฉันด้วยเหรอไงกัน"
	"แหมถามหน่อยก็ไม่ได้แค่นี้ทำเป็นหวง"
	"อยากรู้ก็ไปสืบมาสิ  ถ้านายแน่จริงนะ  ฉันไม่ชอบตอบอะไรที่ไม่เกี่ยวกับการซ้อม"
	"เออ...คุณรุ้งครับทำยังไงผมถึงจะได้ใส่สายดำอย่างคุณล่ะครับ"
	"ฝึกซ้อมสิคะ  ขยัน ๆ หน่อยแล้วจะดีเอง"
	"แล้วคุณได้สายเขียวตั้งแต่สมัยไหนครับ"
	"อืม...ตั้งแต่ 10 ขวบได้มั้ง  เอออย่าถามเลยรีบ ๆ ซ้อมเถอะเดี๋ยวก็กลับเย็นค่ำหรอกมันอันตรายสำหรับผู้หญิง  อ้อ...พวกเธอถ้าจะเรียนยูโดต้องขยันให้มากกว่านี้แล้วห้ามโอดครวญว่าเมื่อยหรือบ่นว่าซ้อมหนักเพราะถ้าไม่รีบ ๆ ฟิตร่างกายก็จะทำให้สู้เขาไม่ได้  อีกอย่างถ้าพวกเธอไม่มาพรุ่งนี้มันก็จะปวดเมื่อยแบบนี้ไปตลอด  เราต้องทำให้ร่างกายอยู่ตัว  ไป...นั่งที่แล้วมาหัดท่าตบเบาะท่าต่อไป  ซึ่งจะเป็นการกันกระแทกเวลาถูกทุ่ม  ขอให้พี่ที่เป็นแล้วมาเป็นหุ่นหน่อยจะได้รู้ว่าท่านี้เขาใช้ทำอะไรได้บ้าง"
	เมื่อทุกคนนั่งที่ขอบเบาะ  พี่เชิดก็ออกมาเป็นหุ่นให้ฉันทุ่ม  ฉันจึงทุ่มด้วยท่าโมโนเตะ-เซโออินาเงะทันที  พี่เชิดตบเบาะได้สวยมากสมกับที่เป็นสายน้ำตาล  ทุกคนปรบมือกันเกรียวไปหมด  และพวกเราก็เริ่มซ้อมกันต่อ
	วันนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยต่อการเป็นผู้นำมากทีเดียว  ฉันคิดถึงแม่และพ่อ  คิดถึงโรงยิมส์ที่บ้าน คิดถึงอนาคตที่ฉันจะต้องไปแข่งในนามสถาบันการศึกษา  ฉันจะทำยังไงดี  ฉันอยากให้พ่อแม่มาอยู่เป็นกำลังใจให้ฉัน  ฉันรู้สึกเหงา ๆ ถึงแม้ว่าฉันจะดูแกร่งยังไงแต่ฉันก็รู้สึกโดดเดี่ยวจริง ๆ...

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...				
4 สิงหาคม 2547 17:18 น.

ทรัพย์ธรนินทร์ (ตอนที่3)

สุชาดา โมรา

ต่อมาไม่นานนักคุณท่านก็ทราบเรื่องและไล่ให้คุณทั้งสามไปเป็นเพียงบ่าวท้ายครัวเท่านั้น  คุณพยอมจึงโชคดีกลายเป็นที่รักของคุณท่านทันที
	"แม่พยอมมานั่งใกล้ ๆ พี่สิพี่มีของมาให้"
	คุณพยอมคลานเข้าไปใกล้ ๆ คุณท่านจากนั้นคุณท่านก็เอาสร้อยทับทิมออกมาคล้องคอคุณพยอม
	"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ"
	คุณพยอมก้มลงกราบแทบเท้า  คุณท่านจึงพยุงตัวขึ้นมานั่นบนเตียง  คุณพยอมจึงเรียนขอคุณท่านเรื่องพี่ ๆ ทั้งสามคน
	"วันนี้วันเกิดอิฉันคุณพี่ให้ทับทิมเส้นนี้มาแต่อิฉันอยากจะขออีกเรื่องนึงเจ้าค่ะ"
	"แม่พยอมจะขออะไรพี่ให้ได้ทุกอย่างเลย...บอกมาสิ"
	"อิฉันอยากให้คุณพี่ยกคุณพี่ทั้งสามขึ้นมาเหมือนเดิมเจ้าค่ะเพราะคุณ ๆ ก็เป็นถึงลูกพระน้ำพระยาฉะนั้นถ้าใครรู้เข้าจะครหาได้นะเจ้าคะ"
	คุณพยอมพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน
	"อย่าพูดเรื่องนี้ได้ไหม.......!!!!"
	คุณท่านโกรธทันทีเมื่อได้ยินคุณพยอมเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วก็เดินออกจากห้องไป  คุณพยอมจึงวิ่งตามออกไปแล้วกอดขาคุณท่านเอาไว้ด้วยสีหน้าที่เศร้า ๆ
	"คุณพี่ลองคิดดูอีกทีนะเจ้าคะว่าถ้าคุณพระยาเขารู้ว่าลูกท่านทั้งสามคนลดตัวจากเมียกลายเป็นขี้ข้าในครัวเขาจะต้องโกรธและอาจจะทูลฟ้องได้นะเจ้าคะเพราะคุณหญิงเอี่ยมท่านเป็นข้าหลวงเก่าและยังเข้า ๆ ออก ๆ อยู่ข้างในตลอดเวลา  คุณพี่มิเกรงบ้างหรือเจ้าคะ"
	คุณท่านถึงกับหยุดคิดทันทีแล้วก็พยุงคุณพยอมกลับเข้าห้องไป....
	พอเช้าคุณท่านก็เรียกบ่าวสองคนให้มาพบที่เรือนหลังเล็กของคุณพยอม
	"อีอิ่มมึงไปตามอีสามคนนั่นมา..."
	"สามคนไหนเจ้าข้า"
	"นายมึงนั่นแหละ...ถามมากกูจักเอาหวายเฆี่ยนมึง  นี่กูยังไม่ได้ลงโทษมึงนะอีอิ่ม"
	นางอิ่มวิ่งเข้าครัวไปตามคุณทั้งสามมาทันทีเพราะกลัวคุณท่านจะเฆี่ยน  พอคุณทั้งสามมาถึงเรือนคุณพยอม
	"มาแล้วเหรอ...แม่พยอมเขาขอร้องข้าเอาไว้ข้าเลย  หึ....!!!!  มึงกลับมาเหมือนเดิมได้แต่มึงไม่ใช่เมียกู  มึงต้องไปไถ่บาปด้วยการไปดูแลคุณผอบแก้วด้วย  แล้วถ้าอีบ่าวสี่คนนั่นมันรังแกมึงกูก็ช่วยไม่ได้นะเพราะมึงทำกับมันไว้นี่"
	คุณทั้งสามก้มลงกราบคุณท่าน  แต่คุณท่านชักเท้าหนีแล้วก็เดินออกจากห้องไปด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างหงุดหงิด  คุณท่านก็โกรธที่คุณทั้งสามไปทำร้ายคุณผอบแก้วเมียรักของท่าน  แต่ท่านก็รักคุณทั้งสามเหมือนกันท่านจึงทำท่าโกรธไปอย่างนั้นเอง
	"คุณพี่...มืด้านหมดแล้วโถ่..."
	"ขอบใจนะแม่พยอมพี่คิดอยู่แล้วว่าหล่อนต้องช่วยพี่"
	คุณทั้งสามจึงรุมกอดคุณพยอมด้วยความรัก  เพราะคุณทั้งสามก็ไม่มีลูกเนื่องจากก็อายุมากแล้วจึงมีความรู้สึกว่ารักคุณพยอมมากและยิ่งคุณพยอมช่วยพูดให้คุณท่านลดโทษให้คุณทั้งสามก็ยิ่งรักคุณพยอมมากเข้าไปใหญ่
	1 เดือนผ่านไป
	"อวก....อวก...อวก....!!!!"
	"คุณพยอมเป็นอะไรเจ้าคะ...หรือว่า"
	เสียงบ่าววิ่งกระหืดกระหอบมาที่เรือนหลังใหญ่ด้วยสีหน้าเลิกลัก
	"มาทำไมอีอิ่ม....กูถามมึงไม่ได้ยินหรือ"
	"ไม่ใช่เรื่องของมึงอีมา  กูจักมาเรียนคุณท่าน"
	"คุณคนไหนล่ะมีหลายคุณ"
	"มึงอย่ามากวนตีนกูนะ  ถอยไป...."
	นางอิ่มใช้รูปร่างอ้วน ๆ ผลักนางมาจนตกบันไดไปแล้วก็ขึ้นไปหาคุณท่านที่บนเรือน
	"มึงมาทำไมอีอิ่ม...เรือนของมึงอยู่นู่น....!!!!"
	อิ่มถึงกับทำหน้าเสียเมื่อเห็นคุณผอบแก้วออกมานั่งที่นอกชานแล้วก็ชี้ไล่อิ่มไม่ให้มาที่นี่
	"มีอะไรหรืออิ่ม"
	"คุณโสภี...คือคุณพยอมเธอไม่สบายเจ้าค่ะบ่าวก็เลยมาตามคุณท่าน"
	"ไม่สบายก็ไปหาหมอสิมาเรียกท่านให้ปวดหัวทำไม"
	"คุณแม่คะพยอมก็เป็นเมียคุณพ่อนะเจ้าคะคุณแม่น่าจะอนุโลมบ้าง  ทีคุณแม่ยังอยากให้คุณพ่อมาดูแลในยามป่วยเลยแล้วทำไมพยอมจะให้คุณพ่อไปดูแลไม่ได้  อย่าลืมสิคะพยอมไม่เคยทำร้ายคุณแม่นะเจ้าคะ...  และอีกอย่างพยอมก็เป็นเพื่อนลูกที่โรงเรียนด้วย  เป็นถึงลูกเสนาบดีคุณแม่จะใจร้ายไม่ให้คุณพ่อไปได้อย่างไรกัน"
	คุณพยอมถึงกับอึ้งแล้วก็ให้นางอิ่มเข้าไปพบคุณท่านที่ในห้อง  นางอิ่มกระซิบที่ข้างหูคุณท่านเบา ๆ ต่อหน้าเมียบ่าวหลายคนที่กำลังบับนวดให้คุณท่านอยู่  คุณท่านถึงกับทำตาโตแล้วก็วิ่งกระหืดกระหอบมาที่เรือนหลังเล็กของคุณพยอมทันที
	"เป็นอย่างไรบ้างแม่พยอม  แพ้มากไหม"
	คุณพยอมยิ้มแล้วก็ทำท่าเขินอายคุณท่านจึงมาดูแลคุณพยอมทั้งวันจึงทำให้คุณผอบแก้วเกิดความสงสัยมากยิ่งขึ้น
	"คุณพี่...แม่พยอมเป็นอะไรหรือเจ้าคะ"
	"ก็แค่ป่วยนั่นแหละ"				
4 สิงหาคม 2547 17:13 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 7 )

สุชาดา โมรา

หลังจากที่เป็นข่าวอื้อฉาวในวงการกีฬา  ฉันมีความรู้สึกว่าฉันกลายเป็นจุดสนใจของคนทั่วไป  ข่าวทุกฉบับต้องพาดหัวเรื่องของฉันตลอดจนฉันไม่อยากจะเดินไปไหนอีกแล้ว  เพราะเดินไปทางไหนก็มีแต่คนถาม...ฉันรู้สึกเบื่อจริง ๆ  เวลาไปโรงเรียนเพื่อน ๆ รวมทั้งอาจารย์ก็ฮือฮากัน  มีแต่คนถามจนฉันไม่รู้จะตอบคำถามยังไงดี...
	"แววดาว...ครูถามหน่อยเถอะมันเกิดอะไรขึ้นเหรอ  เธอไปเป็นนักกีฬาระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไรทำไมไม่บอกครู"
	ฉันไม่รู้ว่าจะตอบปัญหายังไงดีเลย  อาจารย์คนนั้นก็ถามคนนี้ก็ถามจนฉันรู้สึกไม่อยากจะเรียนอีกแล้ว...ฉันไม่รู้ว่าคนพวกนี้ทำไมถึงชอบยุ่งกับฉันนักนะ  ทำไมไม่เอาเวลาเพ้อเจ้อแบบนี้ไปทำอะไรให้มีประโยชน์บ้าง  ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ 
	"แหม...ดังนักนี่ได้ออกทีวีทุกช่อง  ได้ลงหนังสือพิมพ์...นึกว่าเธอแน่นักเหรอไงหา..."
	แก๊ง 7 ห้าวนี่ช่างสอดจริง ๆ เลย  นี่คงยังไม่เข็ดที่โดนไปวันนั้นสิท่า...
	"ระวังตัวเองไว้ให้ดีเถอะ  ฉันจะเอาพวกมารุมโทรมแก...!!!"
	"เอามาเลย...ฉันไม่กลัวหรอกนังต้อม  ถ้าแน่จริงเรียกพวกมาเลยฉันจะได้ไปแจ้งความไว้ก่อน  ถ้าฉันเป็นอะไรแกคนแรกนั่นแหละที่จะโดน  รวมทั้งคนในกลุ่มแกด้วย"
	ฉันยืดอกพูดอย่างเต็มปากเต็มคำทันที  ตอนนั้นถึงแม้ว่าฉันจะหวั่นใจนิด ๆ แต่ฉันก็ต้องข่มใจพูดไปว่าไม่กลัว  อีกอย่างฉันพูดด้วยความโมโหด้วยมันจึงทำให้ฉันพลั้งปากพูดไปแบบนั้น
	ตกเย็นหลังจากเลิกเรียนฉันมีความรู้สึกว่าฉันหดหู่ยังไงชอบกล  ไม่สนุกอย่างที่คิด  วันนี้ดู ๆ แล้วเรียนอะไรก็ไม่รู้เรื่องแถมยังโดนพวกปากไม่อยู่สุขพร่ำทั้งวันจนอารมณ์แทบจะระเบิดออกมา  เนี่ยถ้ายั้งไม่อยู่นะฉันอาจจะเป็นฆาตกรเลยก็ได้...  แต่ดีนะที่แม่สอนว่าต้องมีสติยั้งคิด  รู้จักระงับอารมณ์ของตัวเอง  วันนี้ฉันเลยนั่งนับเลขในใจจนกระทั่งลืมไปว่าพวกนั้นด่าอย่างไรบ้าง  ฉันนะเบื่อพวกเดนสังคมจริง ๆ เชียว...
	ฉันเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียนทางฝั่งตะวันออกซึ่งไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมากนัก  ฉันก็ต้องหยุดชะงักเพราะกลุ่ม 7 ห้าวนี้
	"ไง...แกแน่นักเหรอ...นี่ฉันเอาพวกมาลงแขกแกแล้วไง"
	ฉันรู้สึกขวัญเสียมาก ๆ ที่ยายพวกนี้คิดปองร้ายฉันได้ถึงเพียงนี้  ฉันรู้สึกได้เลยว่าผู้ชายสามคนนี้ต้องเป็นพวกหื่นกาม  เพราะท่าทางมันบ่งบอกว่าต้องใช่แน่ ๆ แต่ถึงฉันจะรู้สึกกลัวแต่ฉันก็ทำเป็นไม่กลัว  ฉันเดินหลบออกไปอีกทางเพื่อที่จะไปออกประตูกลางแต่ผู้ชายคนหนึ่งก็วิ่งมาถลักหน้าเอาไว้
	"ไงน้อง...กลัวเหรอจ๊ะ  ไม่ต้องกลัว ๆ มีพี่อยู่ทั้งคนรับรองไม่เหงา...เดี๋ยวสิจะไปไหน"
	ฉันเบี่ยงตัวหนีออกมาอีกแต่คนพวกนั้นยังตามมาราวีฉันอีก  เห็นทีว่าถ้าฉันไม่สู้ก็คงไม่ได้ซะแล้ว  ฉันจึงหันกลับไปมองด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างโกรธ
	"สวย ๆ แบบนี้ตอนโกรธนี่ก็น่ารักดีนะ  ใช่ไหมพวกเรา"
	"จะทำอะไรก็ทำ ๆๆๆเถอะเดี๋ยวฉันจะไปดูต้นทางให้ว่าจะมีใครผ่านมาเส้นนี้หรือเปล่า"
	ฉันรู้สึกเกลียดคำพูดของนังต้อมเพื่อนเลวคนนี้จริง ๆ เลย  พูดตามตรงนะว่าตั้งแต่เรียนมาฉันไม่เคยถูกชะตามันเลย  ให้ตายสิ...ฉันก็ไม่เคยคิดเลยว่าคนแบบนังต้อมนี่มันจะเลวได้ถึงขนาดนี้
	"ไงน้องยืนมองอะไรอยู่  ไปหาความสุขกันดีกว่านะ  หรือว่าอาย  ไม่ต้องอายเดี๋ยวพี่ให้พวกผู้หญิงที่เหลืออีก 6 คนนี่ออกไปดูต้นทางก่อน  ก็จะเหลือแต่พี่ 3 คน  แฟไหม"
	"ไอ้เลว...!!!!"
	ฉันตอบด้วยเสียงที่โกรธจนถึงขีดสุด  ฉันแทบจะคลั่งจึงเดินหนีออกมาอีก  ฉันย่ำเท้าด้วยความเร็วแต่ชายคนนี้มันมาคว้าแขนฉันไว้  โชคดีที่วันนี้ใส่ชุดกีฬามันจึงทำให้ฉันเตะได้สูง  ฉันกระโดดกลับหลังเตะก้านคอทันที  ชายคนนั้นถึงกับมึนลงไปกองอยู่กับพื้น  และฉันก็เดินหนีออกมา  แต่ชายอีก 2 คนก็ยังคงตามฉันมา  ถ้าฉันไม่สู้เห็นทีคนพวกนี้ก็จะต้องทำร้ายฉันแน่ ๆ ฉันจึงหันกลับไปสู้อย่างคนที่เลือดร้อน
	"หันมาทำไมจ๊ะ  อยากอยู่กับพี่ใช่ไหม...!!!"
	"แกอย่ามาทำเป็นตะคอกใส่ฉันนะ...ไอ้เลว...!!!"
	เมื่อชายคนหนึ่งเข้ามาล็อกคอฉันไว้  ส่วนอีกคนหนึ่งหวังที่จะเข้ามาต่อยลิ้นปี่ฉัน  ฉันจึงเนี่ยวคอชายคนที่จับฉันและก็ถีบทันที  ทำให้ชายคนที่จะมาต่อยนั้นถึงกับหงายท้องทีเดียว  จากนั้นฉันก็ย่อตัวพร้อมกับเหนี่ยวคอชายคนที่ล็อกคอฉันไว้ด้วยท่าทุ่มโคชิ-กูโรม่าทันที  ชายคนนั้นลอยอยู่กลางอากาศประมาณ 3 วินาทีแล้วก็หล่นลงมาด้วยความเร็วทำให้หลังไปกระแทกกับเหล็กที่กั้นขอบถนน  เพราะช่วงนี้เขากำลังทำถนนกันอยู่  ทำให้ชายคนนั้นลุกไม่ขึ้น  ส่วนชายที่ถูกเตะก้านคอไปคนแรกกลับลุกขึ้นได้  เดินกลับมาตบหน้าฉันจนเกือบล้มแต่ฉันก็หันกลับไปเอาคืนด้วยการหักแขนแล้วก็ต่อยที่เบ้าตา  จากนั้นฉันก็ใช้สันมือตบที่ทัดดอกไม้โดยการกระโดดขึ้นไปตบทำให้ชายคนนั้นหูแดงกล่ำและฟุบตัวลง  ส่วนชายที่ถูกถีบนั้นลุกขึ้นมา
	"มึงแน่นักเหรอ...หา...!!!"
	พอฉันเงื้อหมัดขึ้นมาตั้งท่าว่าจะต่อยชายคนนั้นจึงหันไปคว้าคอของแนนแล้ววิ่งหายไปทันที  ส่วนชายที่เหลืออีก 2 คนก็วิ่งตามไปด้วย  ฉันจึงรีบไปที่สมาคมฯเพื่อไปขอคำปรึกษาจากพี่ดอน  ฉันทั้งกลัวและตกใจเป็นอย่างมาก  ฉันเดินไปนึกไปตลอดทางจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก
	"หา...จริงเหรอดาว"
	"จริงสิถ้าไม่จริงจะเล่าทำไม...เนี่ยดาวไม่รู้จะทำยังไงดีเลย  พี่ดอนช่วยคิดหน่อยได้ไหม  ดาวกลัว..."
	"จะกลัวอะไรเก่งขนาดนี้"
	"ต่อให้เก่งแค่ไหนสักวันก็คงจะพลาด...หรือว่าไม่จริง"
	ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่ลนลานจนใคร ๆ ที่เล่นยูโดต่างก็มานั่งฟังและลงมติว่าต้องไปแจ้งความ  ฉันจึงไปกับพวกพี่ ๆ และอาจารย์  ตำรวจซักซะหมดเปลือก  ตำรวจบอกว่าข้อหานี้มันไม่ใช่เล็ก ๆ นี่มันเป็นการขู่พยายามฆ่า  และยังเป็นการทำร้ายร่างกายอีก  ตำรวจจึงบอกว่าจะตามจับมาให้ได้  ฉันจึงบอกรูปพรรณสันฐานไป  รวมทั้งบอกรายชื่อเพื่อน 7 คนนั้นด้วย
	วันนี้ฉันจึงมีความรู้สึกที่โล่งใจมากเมื่อได้แจ้งความไปแล้ว  ฉันจึงกลับไปที่สมาคมฯอีกครั้งและเก็บข้าวของกลับบ้าน
	"พี่ไปส่งนะดาว..."
	"ไม่เป็นไรหรอกดาวกลับเองได้...ขอบคุณนะพี่ดอน"
	ตอนนี้ฉันรู้สึกคิดถึงพี่นัทมากทีเดียว  เมื่อไรนะที่พี่นัทจะกลับมา  ถึงแม้ว่าปากฉันจะบอกว่าเลิกกับเขาแต่ภายในใจลึก ๆ แล้วฉันหวั่นไหวเหลือเกิน  ฉันจะทำอย่างไรดีนะ  แววดาวเอ๊ย...ทำไมถึงไม่ลืมพี่นัทอีกนะ  เนี่ยถ้าพี่นัทอยู่เขาคงให้คำปรึกษาได้มากกว่านี้ทีเดียว  โถ่เอ๊ย...
	พี่ดอนมาส่งฉันที่บ้าน  คุณแม่ทำท่าไม่ค่อยพอใจเพราะท่านคงดูออกว่าพี่ดอนเป็นคนอย่างไร  คุณแม่บอกให้เลิกกันซะเพราะถ้าคบกันต่อไปมันจะทำให้เกียรติเราต่ำลงสักวันหนึ่ง...ฉันก็คิดว่าฉันไม่เหมาะกับพี่ดอนเหมือนกัน  แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะในเมื่อฉันคบกับพี่ดอนเพื่อให้ลืมพี่นัท  ถ้าไม่มีพี่ดอน  ชีวิตฉันคงหักเหมากไปกว่านี้  เพราะพี่ดอนคอยเป็นเพื่อนเวลาฉันท้อแท้  ถึงแม้ว่าพี่ดอนจะเป็นคนก้าวร้าวในสายตาผู้ใหญ่ก็ตามแต่ความดีของเขาก็คือการเทคแคร์เรา  เขาดูแลเราถึงแม้ว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าพี่นัทก็ตามเถอะ...
	เช้าวันใหม่ที่อากาศสดใส  ฉันมาเข้าแถวเคารพธงชาติทันเป็นวันแรก  อาจารย์ประจำชั้นเรียกฉันไปพบพร้อมกับกลุ่ม 7 ห้าว  แต่ว่าวันนี้กลุ่ม 7 ห้าวขาดแนนไปคนหนึ่ง  ฉันก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าแนนหายไปไหนจนกระทั่งมาถึงห้องพักครู
	"มากันแล้วเหรอ  นี่ตำรวจมาขอพบพวกเธอ  และนี่ก็ผู้ปกครองของยายจุฑาทิพย์  ก็คุย ๆ กับตำรวจนะครูจะคอยเป็นคนกลาง"
	พออาจารย์ทองพูดเสร็จตำรวจก็ซักทันที  ตำรวจให้ข้อห้าเด็กทั้ง 6 คนว่าสมรู้ร่วมคิดและพยายามฆ่า  รวมทั้งทำร้ายร่างกายด้วย  นี่ก็เป็นข้อหาทางอาญาทั้งนั้น  ส่วนผู้ปกครองของแนนบอกว่าแนนหายไปตั้งแต่เมื่อวานยังไม่กลับเลยฉันจึงบอกกับผู้ปกครองของแนนไป
	"เมื่อวานตอนที่พวกนี้มาดักทำร้ายหนู  แนนก็อยู่ด้วย  แนนเป็นหนึ่งในนั้นที่ตามผู้ชาย 3 คนนั่นมา  และพอผู้ชายคนนั้นทำอะไรหนูไม่ได้เขาก็เลยคว้าคอแนนแล้ววิ่งไป"
	แม่ของแนนถึงกับเป็นลมทันที  ฉันไม่รู้ว่าฉันจะพูดตรงไปหรือเปล่า  แต่ฉันก็ได้บอกความจริงไปแล้ว  ก็สุดแล้วแต่ว่าผู้ปกครองเขาจะรับได้หรือเปล่า
	"ไม่จริงหรอก  เธอนี่คงจะแสบน่าดูเลยเพื่อน ๆ ถึงไม่ชอบขี้หน้า  เธอนี่มันเด็กกาลีบ้านกาลีเมืองจริง ๆ ลูกสาวกูไม่เป็นแบบนั้น"
	พ่อของแนนพูดแล้วก็ทำท่าเหมือนจะเข้ามาตบทำให้ตำรวจต้องเข้าไปดึงตัวไว้และแจ้งข้อหาพ่อของแนนว่าหมิ่นประมาทและประทุสร้าย...
	วันนี้พวกเราทุกคนจึงต้องขึ้นโรงพักพร้อมกับผู้ปกครอง  แม่ของฉันถึงกับปล่อยโฮทันทีเมื่อรู้ว่าฉันจะโดนทำร้ายร่างกาย  แต่ย่าของฉันกลับไม่เป็นเช่นนั้น  ย่าบอกว่าถ้าใครมันทำหลานให้ต้องเจ็บย่าจะไม่ยอม  ย่าจะเอาคืนให้สาสม...ถึงแม้ว่าย่าจะเป็นคนชอบด่าอยู่เสมอ  แต่ย่าก็รักหลานและก็ไม่ยอมยอมความง่าย ๆ ย่าบอกว่าต่อให้ตายก็ไม่ยอม  ทำยังไงก็ไม่ยอมให้ลูกหลานต้องเสียเกียรติเสียศักดิ์ศรี  และต้องถูกปองร้ายแบบนี้
	ตำรวจถามว่าจะยอมความไหม  แต่ย่าไม่ยอมย่าเรียกเงินถึงหัวละ 50,000 บาท แต่ผู้ปกครองพวกนั้นไม่ยอมจ่าย  เด็กทั้งหมด 6 คนจึงถูกขังให้ไปนอนมุ้งสายบัว  ฉันก็รู้สึกเห็นใจพวกนั้นเหมือนกันแต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อพวกนั้นทำกับฉันก่อน  ถึงจะให้อภัยแต่ถ้าเราให้อภัยพวกนี้ก็ไม่ยอมเลิกลา  ต้องให้มันรู้รสชาติของการกระทำที่ก่อเอาไว้บ้าง...แต่สักพักผู้ปกครองของสาก็มาขอประกันตัวและยอมความ  ตกลงยอมจ่ายเงินทันที  สาไม่ยอมพูดจากับเพื่อนที่อยู่ในคุกเพราะสาคงรู้สึกโกรธ  สาเป็นคนนิสัยดีที่สุดในกลุ่มนั้น  ที่จริงฉันก็รู้ว่าสาไม่อยากจะทำแบบนั้นแต่สาติดเพื่อน  นี่ก็เป็นโทษของการติดเพื่อนนะมันจึงทำให้สาต้องมารับผลกรรมโดยที่ไม่ได้อยากจะทำเลย
	"ขอโทษนะดาว...ยกโทษให้ฉันนะฉันไม่ได้ตั้งใจ"
	"อย่าไปยกโทษให้มันอีเพื่อนแบบนี้ย่ารับไม่ได้"
	คำพูดของย่าถึงกับทำให้สาร้องไห้โฮทีเดียวแล้วก็เดินไปกอดแม่ของเธอ  สาหันมามองหน้าฉันด้วยสายตาที่เหมือนอยากจะสารภาพผิดทั้งหมดแล้วก็เดินลงบันไดโรงพักไป  สายไปเสียแล้วละสา  เธอคบเพื่อนไม่ดีเองมันจึงทำให้ชีวิตต้องตกต่ำ...น่าสงสารเหมือนกันนะ
	วันนี้ฉันไม่ได้เรียนทั้งวัน  นั่งอยู่ที่โรงพักกับผู้ปกครอง  ตำรวจสอบปากคำต้อมจนรู้ว่าผู้ชาย 3 คนนั้นต้อมรู้จักเป็นอย่างดีและก็เคยมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งด้วย  ผู้ปกครองของต้อมถึงกับรับไม่ได้  การให้การของต้อมทำให้ต้อมต้องโดนข้อหาหลายคดี  เพราะต้อมเป็นหัวหน้าเด็กแม็ทหรือแม่เล้านั่นแหละ  นอกจากนั้นตำรวจยังให้ต้อมสาวไปถึงขบวนการใหญ่ที่ต้อมต้องส่งส่วยให้เสี่ยยุทธนาอีกด้วย  ต้อมหมดหนทางจึงต้องบอกกับตำรวจทั้งหมด  อนาคตต้อมจึงดับลงในตอนนั้น  ถึงแม้ว่าแม่ของต้อมจะยอมความจ่ายเงินให้ฉันแต่ว่าต้อมต้องติดคุกยาวเพราะข้อหาค้าประเวณีมันร้ายแรงนัก  แม่ของต้อมต้องมาลาออกให้ต้อมที่โรงเรียน  ส่วนอ้อมนั้นพ่อของอ้อมมาประกันตัวและยอมความในที่สุด  ที่เหลือก็ยังคงอยู่ในคุกเพราะไม่มีผู้ปกครองมายอมความ
	สาแม่พาย้ายไปอยู่ลำปาง  อ้อมพ่อบอกให้เลิกเรียนเพราะถึงเรียนก็ดีแต่จะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน  ฉันรู้สึกสงสารเพื่อนจริง ๆ แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อพวกเขาเลือกที่จะทำแบบนั้น...
	วันนี้ฉันไปซ้อมยูโดแต่วัน  พี่ ๆ หลายคนในเบาะไม่ว่าจะเป็นพี่เอก  พี่แท็ก  พี่โจ  พี่โก้  พี่โอม  พี่ป๋อง  พี่ทิพย์  พี่ขวัญ  พี่ตูน  พี่แทน  พี่จง  พี่ออฟ  พี่ตั้น  พี่ไก่  พี่อั๋น    พี่ตา  พี่ทิพย์  พี่เต้  พี่ดอนและอาจารย์ก็มานั่งฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโรงพักวันนี้  ฉันเล่าไปนั่งซึมไปจนอาจารย์ยอร์ท
พูดขึ้น
	"อย่าคิดมาเลยมันเป็นเวรกรรมของคนที่ทำมาไม่เท่ากัน  ชาติที่แล้วเราไม่ได้ทำอะไรเขาแต่เขากลับมาทำเราในชาตินี้เขาก็ควรรับกรรม  อย่าเศร้าเลยมันไม่ใช่เรื่องของเราซะหน่อย"
	ฉันรู้สึกว่าการปลอบใจของอาจารย์ไม่เป็นผลกับฉันเลย  กลับทำให้เครียดหนักกว่าเก่า  วันนี้ฉันจึงซ้อมยูโดเหมือนคนที่ไม่มีหัวใจรักที่จะเล่นเลย
	"แววดาวมานี่หน่อย"
	อาจารย์ดนัยพูดขึ้น  ฉันจึงลงจากเบาะและไปหาอาจารย์
	"ทำไมวันนี้เล่นไม่ดีเลย  อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องเรียน  เราจะต้องไปแข่งอีกไกลเข้าใจไหม  เราจะหยุดอยู่ตรงนี้ไม่ได้  เอาวิญญาณของนักกีฬาที่ดีออกมาสำแดงให้รู้ว่าเราไม่เคยแพ้ใคร  เข้าใจไหม..."
	อาจารย์ดนัยพูดด้วยเสียงที่เข้มงวดจนฉันรู้สึกกลัว  แต่แววตาของอาจารย์ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย  ที่จริงอาจารย์ดูจะเอ็นดูฉันเป็นพิเศษเพราะฉันเป็นคนหัวเร็ว  สอนอะไรก็เป็นเลยจึงทำให้อาจารย์ไม่ต้องมาบ่นฉันหรือสอนมาหลาย ๆ รอบ  แค่ฉันดูครั้งเดียวฉันก็เล่นได้ฉันจึงเป็นที่รักของอาจารย์ในเบาะยูโด...
	เย็นวันนี้พี่ดอนมาส่งฉัน  แต่ฉันให้เขามาส่งแค่หน้าปากซอยเพราะแม่ไม่ชอบพี่ดอน  พี่ดอนจึงทำหน้าเศร้า ๆ ฉันก็รู้สึกว่าพี่ดอนเสียใจแต่จะให้ฉันทำยังไงได้ล่ะในเมื่อผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วย  นับวันเราก็ยิ่งจะไม่ค่อยลงลอยกันเพราะพี่ดอนอยากไปส่งที่บ้านแต่ฉันไม่ให้ไปเพราะฉันก็มีเหตุผลของฉันเหมือนกัน
	ฉันดูข่าวโทรทัศน์พบว่าแนนตายแล้ว  ถูกรุมโทรมแล้วก็ฆ่า  ชาย 3 คนนั้นคงแค้นที่ไม่ได้ฉันในวันนั้นมันจึงเอาแนนไป  ฉันรู้สึกสงสารเพื่อนมากเลย  พ่อแม่ของแนนคงอกสั่นและเสียใจมากทีเดียวเพราะแนนเป็นลูกคนเดียวของท่านเสียด้วย  เนี่ยแหละหนาเขาถึงได้บอกว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว  ฉันถึงได้รู้ซึ้งวันนี้นี่เอง...  แต่ก็ยังดีที่ตำรวจจับชาย 3 คนนั้นได้  พวกนั้นเลยต้องเข้าไปอยู่มุ้งสายบัวด้วย...
	เย็นวันนี้ตำรวจโทรมาบอกว่าผู้ปกครองของฝ้าย  เก๋และก็ฟ้ายอมความแล้ว  ฉันก็ดีใจมาก  แต่ 3 คนนี้ไม่ได้เรียนที่นี่แล้ว  ผู้ปกครองให้ย้ายไปเรียนที่อื่น  เพราะสร้างความอับอายให้ครอบครัวจนแทบจะซุกแผ่นดินหนี  ที่จริงฉันไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นเลยจริง ๆ นะ  ฉันต้องขอโทษด้วยละกันนะ...  ต่อไปนี้ก็คงไม่มีแก๊ง 7 ห้าวในห้องเรียนอีกต่อไปแล้ว  คนในห้องก็จะเหลือแค่ผู้หญิง 9 คนนอกนั้นก็ผู้ชายอีก 15 คน  แต่ถ้าคิดกลับมุมมันก็ดีไปอย่างนะที่ในห้องจะไม่มีอันธพาลขูดรีดเพื่อนและทำร้ายเพื่อน...  แต่มันก็ยังมีเสี้ยนที่ตำหัวใจฉันมาตลอดก็คือเหมี่ยว  ฉันละสงสันจริง ๆ เลยว่าคนท้องอะไรไปเล่นยูโดได้  แล้วทำไมฉันถึงไม่สืบความจริงให้มันรู้แน่นะ...
	บทเรียนในวันนี้มันมีความหมายกับฉันเหลือเกิน  ฉันรู้สึกว่าการคบเพื่อนมันต้องดูให้แน่ชัด  การทำอะไรไปโดยไม่ไตร่ตรองแบบกลุ่ม 7 ห้าวนั้นมันถึงกับทำให้อนาคตดับวูบทีเดียว...  
	เวลาผ่านไปได้เพียงข้ามคืนฉันก็รู้ข่าวของต้อม  ต้อมถูกชายนิรนามฆ่าตายหลังจากที่ชายคนหนึ่งเข้าไปในโรงพักและเอาอาหารให้ต้อมกิน  ทำให้ตำรวจไม่มีพยานที่จะจับเสียคนหนึ่งได้ในข้อหาค้าประเวณี
	ชีวิตของคนเรานี่น่าหดหู่เหลือเกิน  ฉันรู้สึกว่าการใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต้องอาศัยการทำดี  ถ้าหากว่าเราไม่ทำดีแล้วชีวิตเราก็อาจจะเป็นอย่างคนพวกนี้ก็ได้  ฉันเชื่อว่าฉันจะต้องทำให้คนทุกคนเห็นว่าฉันเป็นคนดีคนเก่งให้ได้  ฉันจะไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจ  ฉันจะตั้งใจเรียนและตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล....!!! นัดต่อไปจะเป็นการแข่งยูโดรุ่นไม่จำกัดน้ำหนัก  ฉันจะไม่ยอมแพ้พวกอ้วน ๆ นั่นหรอก  ฉันจะเอาเหรียญทองมาฝากครอบครัวให้ได้  การแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานนี้ฉันต้องทำให้ได้....แววดาวสู้ตายค่ะ...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา