4 สิงหาคม 2547 17:12 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 6 )

สุชาดา โมรา

ตู๊ด....ตู๊ด....ตู๊ด....  เสียงนาฬิกาปลุกดังแต่เช้า  ฉันกดนาฬิกาแล้วนอนหลับต่อ  จนกระทั่งฉันผวาตื่นขึ้นมา
	"เฮ้ย...!!!วันนี้ต้องไปคัดสายที่กรุงเทพฯนี่หว่า  ตายแล้ว...!!!"
	ฉันรีบอาบน้ำแต่งตัวทันที  พ่อฉันมาส่งที่ บ.ข.ส. แต่ฉันมาไม่ทันเพื่อน ๆ และพี่ ๆ  ฉันจึงโทรไปหาพี่ดอน
	"ฮัลโหล  พี่ดอนเหรอคะ  อยู่ไหนคะ  หา...ค่ะ ๆ ๆ เดี๋ยวจะตามไปนะคะ  พี่นั่งรถ ป.2 เหรอเดี๋ยวดาวไป ป.1  งั้นเจอกันที่อนุเสาวรีย์ชัยนะคะ"
	"พ่อคะไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ  เดี๋ยวหนูไปเองได้สบายมาก  แค่จรัญสนิทวงศ์เอง...ไปนะคะ"
	พ่อยิ้มแล้วก็ขับรถกลับไป  ฉันนั่งรถ ป.1ไปกรุงเทพฯ คนเดียวทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเดินทางไปกรุงเทพฯ คนเดียวซะที  เด็กต่างจังหวัดที่ไม่เคยรู้เรื่องกรุงเทพฯ เลยต้องมานั่งเหงาอยู่คนเดียวบนรถ  มองไปทางไหนก็รู้สึกว่ามีแต่คนแปลกหน้า...  ฉันรู้สึกอ้างว้างเดียวดายหาที่พึ่งไม่ได้เลย  ฉันนั่งมาเรื่อย ๆ มองไปข้างทางจนรถจอกที่ป้ายหินกองเพื่อรอเวลา
	"ขอโทษนะคะ  ขอโทษนะคะ..."
	เสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่คุ้นเหลือเกินดังขึ้น  และดังอยู่เรื่อย ๆ จนใกล้เข้ามาถึงฉัน  ฉันจึงเหลือบไปมองผู้หญิงคนนั้น
	"ย่า...!!!!"
	ฉันตกใจมาก  ย่ามาได้ยังไงกันเนี่ย!!!
	"ดาว...แกมาคนเดียวได้ยังไงรู้ไหมย่าเป็นห่วง  พ่อแกก็เหมือนกันปล่อยแกมาได้ไง  เดี๋ยวก็ถูกหลอกไปขาย  เฮ้อ...!!!"
	ย่าตามฉันมาด้วยความเป็นห่วง  ย่ายืนบ่นอยู่นานจนผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ ฉันลุกขึ้นให้ย่านั่ง  ย่าก็บ่น ๆๆๆๆๆ จนฉันหูชาทีเดียว  ไม่เพียงบ่นแต่ฉันยังหันไปบ่นให้คนอื่นฟังอีก  ทำให้กระเป๋ารถถึงกับหัวเราะออกมาทีเดียว...จากที่นั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียวบนรถ  ก็เหมือนกับฟ้าสั่งให้ย่าตามฉันมาด้วยทำให้ฉันไม่เหงาและเดินทางอย่างไม่รู้สึกเคว้งคว้าง
	"พอย่ารู้ว่าพ่อแกให้แกมาคนเดียวย่าก็เลยสั่งให้ขับรถตามมา  โชคดีนะพ่อแกมันช่างสังเกตจำทะเบียนรถได้เลยขับตามมาทันพอดี  ไม่งั้นย่าต้องช็อกตายแน่ ๆ เพราะย่าก็มีหลานสาวอยู่แค่คนเดียวย่าก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา  ส่วนแม่แกน่ะเหรอไปส่งตาแกที่สุราษฎร์ยังมาไม่ถึงเลย  ถ้ารู้นะว่าแกมาคนเดียวสงสัยแกจะโดนหยิกแขนเขียวแหง ๆ ละ"
	คำพูดของย่าทำให้ฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  ฉันรู้สึกได้ว่าที่บ้านทุกคนเป็นห่วงฉันจริง ๆ ฉันรู้สึกอบอุ่น  ไม่เหงาไม่เดียวดายกลับมีความสุขมากที่ได้รู้จากปากย่าซึ่งบอกเป็นนัย ๆ ว่าท่านรักฉันมากกว่าใคร ๆ ฉันจึงโผกอดย่าด้วยความรัก...
	รถมาถึงสถานีหมอชิดใหม่  ฉันพาย่าเดินไปตามทางถนนคอนกรีตผ่านหน้าเซเว่นแล้วเดินไปหารถ  ข.ส.ม.ก. ทันที  แต่ว่ารถสาย 38 ออกไปแล้วคงอีกนานที่จะได้ขึ้น
	ติ๊ดตี่ตีติ๊....!!!! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น  ฉันรับโทรศัพท์ทันที
	"ฮัลโหล...จ่ะ ๆ ๆ ๆ มาถึงแล้ว จ่ะ ๆ ๆ ๆ..."
	"ใครโทรมาเหรอดาว"
	"พี่ดอนพี่ที่เบาะน่ะแหละค่ะ  เขาเป็นห่วงกลัวจะมาไม่ทันแข่ง"
	ฉันไม่กล้าบอกหรอกว่าพี่ดอนเป็นแฟนฉัน  เพราะที่บ้านค่อนข้างเข้มงวดเรื่องการคบผู้ชาย  ฉันจึงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อนกะว่าถ้าถึงเวลาเมื่อไรแล้วจะบอกกับทุกคน  เพราะฉันต้องการความแน่ใจว่าพี่ดอนจะไม่เป็นแบบพี่นัท...  ที่จริงใจจริงลึก ๆ แล้วฉันยังอาลัยอาวรพี่นัทอยู่  เพราะถ้าให้ฉันเทียบระหว่างพี่นัทกับพี่ดอนแล้ว  พี่ดอนไม่มีอะไรเทียบได้กับพี่นัทเลยสักนิด  แต่พี่ดอนเป็นคนที่จริงใจและมั่นคงจึงทำให้ฉันคบกับพี่ดอนได้...
	"ดาวสายแล้ว  ไปคันนี้ก็ได้ผ่านอนุเสาวรีย์เหมือนกัน"
	"แต่หนูว่าไปแท็กซี่ดีกว่าเพราะมันเร็วดี"
	ฉันพาย่าเดินมาขึ้นรถแท็กซี่
	"ไปไหนครับ"
	"ซอยจรัญสนิทวงศ์  โรงเรียนบูรณวิทย์"
	ฉันนั่งรถมาเรื่อย ๆ คนขับก็คุยกับย่ามาตลอด  ย่าก็เล่าเรื่องของฉันให้ฟัง  คนขับรถหัวเราะไม่หยุดทีเดียว  ทำให้ฉันรู้สึกแย่มาก ๆ เหมือนกลายเป็นตัวตลกในสายตาพวกคนกรุง!  ที่จริงย่าก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นหรอกแต่ท่านพูดไปตามประสาคนแก่ขี้บ่นนิด ๆ ละ
	"อ้าวทำไมไม่เลี้ยวขวาเข้าซอยจรัญล่ะ  ทำไมเลี้ยวมาทางนี้  จอด ๆ ๆ ๆเดี๋ยวนี้นะ"
	ฉันร้องตะโกนลั่นรถ  คนขับแท็กซี่จอดรถจนหน้าทิ่ม
	"ก็น้องบอกว่าไปโรงเรียนบวรวิทย์ไม่ใช่เหรอ"
	"ไม่ใช่  บอกว่าไปบูรณวิทย์...เห็นเป็นคนบ้านนอกแล้วไม่รู้เรื่องในกรุงเทพฯ หรือไง  มักง่ายที่สุด  ฉันจะลงแล้ว  จะไปขึ้นคันอื่น"
	ฉันพูดด้วยความโมโห  เลือดในตัวสูบฉีดขึ้นหน้าจนร้อนผ่าว  ดวงตาฉันจับจ้องไปที่คนขับแท็กซี่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อทีเดียว
	"ใจเย็น ๆ ลูก"
	ย่าเตือนฉัน
	"นั่งคันนี้ก็ได้  แต่ต้องปรับมิเตอร์ใหม่ก่อนเพราะฉันรู้ว่าถนนสายนี้ต้องกลับไปที่สะพานพระปิ่นเกล้าก่อนถึงจะมาได้"
	คนขับรถขอโทษขอโพยแล้วก็เก็บเงินในมิเตอร์ตอนแรกก่อนแล้วสัญญาว่าจะพาไปส่งที่โรงเรียนนั้น  และจะไม่เก็บเงินส่วนที่เหลือนี้ ...คนขับแท็กซี่พามาจอดที่ในโรงเรียน  ฉันเจอหน้าเพื่อน ๆ และพี่ ๆ ฉันถึงกับโผกอดพี่ขวัญทันที
	"นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว...กินข้าวมาหรือยัง...ไปกรอกใบสมัครก่อนไหม"
	ฉันรีบจนลืมแนะนำย่ากับพวกพี่ ๆ เพื่อน ๆ เลย...ฉันกรอกใบสมัครและชั่งน้ำหนักทันที  น้ำหนักของฉันลดไปอีก 2 กิโล  ฉันแข่งในรุ่นเล็กลงไปอีก...  ฉันเริ่มหิวก็เลยไปทานข้าวแถว ๆ นั้นซึ่งเป็นร้านประจำที่เรามาทานกันบ่อย ๆ
	"นี่...ทุกคนนี่ย่าของดาวเอง"
	ทุกคนสวัสดีย่า  แต่พี่ดอนเริ่มเข้ามาตีสนิทย่าจนฉันดูออกว่าย่ารำคาญพี่ดอนมาก ๆ  ฉันจึงต้องสะกิดเตือนอยู่บ่อย ๆ แต่พี่ดอนก็ไม่รู้ตัวหรอกยังคิดว่าฉันแอบแตะอั๋งเสียอีก...เมื่อหนักเข้าย่าก็เริ่มยิ้มแบบชักสีหน้า  ฉันรู้ทันทีว่าย่าโกรธ  ฉันจึงต้องออกปากพูดเองก่อนที่ย่าจะระเบิดออกมา
	"พี่ดอน  ว่างนักเหรอไปนั่งที่ของตัวเองแล้วทานข้าวซะ...!!!"
	พี่ดอนทำท่าเหมือนไม่พอใจมาก ๆ ทำจมูกฟุตฟิต  ตาแดงจนฉันสงสาร  แต่ฉันก็ต้องวางตัวเฉย ๆ เพราะฉันกลัวว่าย่าจะไม่พอใจไปมากกว่านี้...  ปกติแล้วย่าไม่ค่อยชอบใครง่าย ๆ แต่คราวนี้ย่ากลับชอบพี่ตูนซึ่งเป็นคนพูดมากเพ้อเจ้อเสียนี่  ก็ตลกดีเหมือนกันนะ
	"เฮ้ย...!!!ดอนกูตีตื้นเว้ย...อาม่าชอบกูเว้ย...มึง...แฮ้ว!!!"
	ทุกคนเมื่อได้ยินพี่ตูนพูดก็ขำกันไปหมด  แต่พี่ดอนทำสีหน้าไม่ค่อยดีเลย  ทำตาแดงราวกับจะร้องไห้  ฉันเห็นแล้วก็อดที่จะสงสารไม่ได้...พี่ดอนไม่ยอมพูดกับใคร  เก็บตัวเงียบจนกระทั่งแข่งคัดสาย
	กรรมการเรียกชื่อ  ฉันไปรายงานตัว
	"ฮาจิเมะ...!!"
	ฉันเดินเข้าไปกระชากคอเสื้ออย่างรวดเร็ว  และจับทุ่มทันทีด้วยท่าฮิปโป้ง-เซโออินาเงะ
	"ฮิปโป้ง...!!!"
	กรรมการบอกว่าฉันชนะ  ฉันคำนับคู่ต่อสู้แล้วก็ยืนรอคนต่อไป  ฉันคิดว่าทำไมมันง่ายแบบนี้  มันเร็วเกินไปที่ฉันจะชนะ...แต่ก็เอาเถอะ  ชนะก็ชนะ...
	"ฮาจิเมะ....!!!"
	กรรมการสั่งให้เริ่มต้น  ฉันมองดูการสืบเท้าของคู่ต่อสู้คนนี้ไม่ธรรมดาเลย  ลักษณะดูแก่วิชา  แต่ฉันก็เข้าไปกระชากเสื้อจนได้และปัดขาทั้งสองข้างลอยแล้วกระทบลงพื้น...ปัก...
	"ยูโก..."
	ฉันได้คะแนนมา 1 ยูโก  ฉันต้องทำให้ได้อีกเพื่อที่คู่ต่อสู้จะได้ตามมาไม่ทัน  ฉันกระชากคอเสื้ออีกแล้วตามด้วยการทุ่มแต่ฉันเข้าทุ่มไม่ได้  คู่ต่อสู้หักแขนฉัน  ฉันจึงถอยหลังออกมาแล้วกระชากคอเสื้อทันที  จากนั้นก็ทำท่าเหมือนจะทุ่มแต่เกี่ยวขาในท่าไท-โอ-โทชิทันทีและตามไปล็อกด้วยท่าเกซ่า-กาตาเมะ  แต่ล็อกด้วยข้างที่ถนัดที่สุดคือข้างซ้ายทันทั
	"โคก้า...!!!"
	ฉันได้อีก 1 โคกา  ทีนี้ก็เหลือแต่เวลาเท่านั้นที่ฉันจะชนะ  คู่ต่อสู้ดิ้นรนจนฉันเกือบยั้งไม่อยู่  แต่ฉันก็กดไว้ได้เพราะท่านี้ไม่มีใครเคยแก้ล็อกในข้างซ้ายสักที  เพราะไม่มีใครเคยสอนให้ล็อกฝั่งซ้ายนั่นเอง
	"วาซารี้-วาซาเตะ-อิปโป้ง...!!!!"
	ฉันชนะมาอย่างขาวสะอาด  แล้วก็ยืนรอคู่ต่อสู้คนต่อไป...  คู่ต่อสู้คนนี้ท่าทางเหยาะแยะไม่รู้ว่าผ่านการคัดสายเขียวมาได้ยังไงกัน...
	"ฮาจิเมะ...!!"
	เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น  ฉันเข้าท่าทุ่มทันที  แต่โดนดัดหลังหงายท้อง  โชคดีที่พลิกตัวกลับทันไม่งั้นหลังโดนพื้นจะต้องแพ้แน่ ๆ ฉันจึงหักแขนและบิดตัวคู่ต่อสู้ให้หงายท้อง  แต่เสื้อและสายรัดเอวหลุดซะก่อน  กรรมการจึงสั่งห้ามและเอามือประสานไว้ที่หน้าขาเป็นสัญลักษณ์การแต่งตัว  ทำให้ฉันคิดถึงการต่อสู้เกมส์ต่อไปได้ว่าจะชนะได้อย่างไร...
	"ฮาจิเมะ...!!"
	กรรมการสั่งให้เริ่มต้นอีกครั้ง  ฉันจึงดัมดะตะ  หรือการประชิดคู่ต่อสู้แล้วจึงใช้ท่าชั้นสูงพิชิดคู่ต่อสู้ทันทีด้วยท่าฮาเน  มากิโคมิ  ทำให้เป็นที่ฮือฮาของวงการยูโด
	"อิปโป้ง...!!!"
	กรรมการเรียกฉันไปถามข้างสนาม
	"ไปฝึกท่านี้มาจากไหน  รู้ไหมว่านี่มันท่าชั้นสูง  ระดับสายดำเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ใช้"
	"ฝึกเองค่ะ  จำมาจากการ์ตูน"
	กรรมการข้างสนามถึงกับอึ้งพูดไม่ออก  ท้าให้ฉันสู้กับอาจารย์สายดำในขณะนั้น  ถ้าฉันสู้ได้จะยอมให้ใช้ท่าชั้นสูงและยกสายฟ้าให้อย่างขาวสะอาด  ฉันจึงยอมตกลง  แต่มีข้อแม้ว่าเวลายังกำหนดเหมือนเดิม  ไม่ใช่กติกาแบบสายดำ
	ฉันรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเมื่อรู้ว่าต้องมาแข่งกับชั้นครู...  ฉันกลัวมาก ๆ ฉันคิดว่าคงสู้ไม่ได้หรอก  ฉันขออนุญาติกรรมการเดินไปขอกำลังใจจากย่าทันที  นักข่าวก็เข้ามาถ่ายรูปกันอย่างคับคั่งทำให้ฉันรู้สึกหวั่นใจกอดย่าทันที  ย่าคงรู้ว่าฉันกลัวแต่ย่าก็บอกให้ฉันเข้มแข็งและสู้
	"อย่ากลัวในสิ่งที่ตัวเองคิดสิ...ใช้วิญญาณของยูโด  ใช้วิญญาณของลูกทหารแล้วจัดการคู่ต่อสู้  อย่าไปกลัว  เราต้องแกร่ง  เข้มแข็งอดทน  อย่ายอมแพ้อะไรง่าย ๆ นะแววดาว  เป็นหลานย่าต้องมั่นใจในสิ่งที่คิดว่ามันถูกต้อง"
	คำพูดของย่าทำให้ฉันมีกำลังใจมากขึ้น  ฉันจึงหอมแก้มย่าแล้วเดินขึ้นสังเวียนของนักสู้ทันที  ฉันจ้องมองหน้าผู้หญิงสายดำอย่างมั่นใจ  ถึงแม้ว่าฉันจะกลัวฉันก็จะสู้...!!!
	"ฮาจิเมะ...!!"
	เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น
	"เอี้ย..........!!!!"
	ผู้หญิงสายดำส่งเสียงร้องข่มฉันอย่างน่ากลัว  แต่ฉันได้พรวิเศษของย่ามาแล้ว  ถึงแม้ว่าจะแพ้หรือชนะถ้าฉันเต็มที่กับมันฉันก็ถือว่าฉันชนะความกลัวได้แล้วละ
	ฉันเข้าไปกระชากคอเสื้อทันทีแล้วเข้าไปทำท่าเหมือนจะทุ่มแต่หมุนออกมาเกี่ยวในท่าโอชิคาริ  ลิชิการิ  ทันที...ผูหญิงสายดำล้มลงไปก้นกระแทกกับพื้น
	"โคกา....!!!"
	ฉันได้คะแนน 1 โคกาทันที  ทำให้เป็นที่ฮือฮาแก่คนอื่น ๆ  จากนั้นฉันก็ตรงเข้าไปในขณะที่ผู้หญิงสายดำคนนี้กำลังลุกขึ้น  ฉันจึงใส่ต่อด้วยท่าโทโมอิ-นากิอีกครั้งแต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลย  พลิกตัวได้ทันหลังจึงไม่กระทบกับพื้น
	"โคกา....!!!"
	ฉันได้ 2 โคกาแล้วแต่ยังไม่ทิ้งห่าง  ฉันจึงใช้ท่าจูจิ-กาตาเมะ  หรือท่ารัดคอก่อนที่ผู้หยิงคนนี้จะลุกขึ้นได้  จากนั้นจึงกดตัวให้หงายแล้วจับล็อกด้วยท่าพื้นฐานที่สุดทันที  เกซ่า-กาตาเมะ  แต่ก็ถูกแก้ล็อกได้  ฉันเป็นฝ่ายถูกล็อกทันทีทำให้มีเสียงวิพากวิจารณ์วันใหญ่  ฉันจึงแก้ล็อกทันที  เมื่อแก้ล็อกได้ฉันก็ล็อกเขาด้วยท่าโททิ-ชิโฮ-กาตาเมะ  ทำให้คู่ต่อสู้ดิ้นไม่หลุดจนหมดเวลา
	"เมะ...!!!"
	กรรมการสั่งให้หยุด  แต่กรรมการไม่ยอมตัดสิน  กลับเดินเข้าไปหากรรมการที่ข้างสนาม  กรรมการทั้งหมด 3 คนจึงมาประชุมกัน  จากนั้นกรรมการคนนั้นก็กลับมาให้คะแนนการตัดสินทันที
	"ไฮกิ-วากิ...!!!"
	สร้างความฮือฮาเข้าไปใหญ่  ทั้ง ๆ ที่ฉันชนะอย่างเห็นได้ชัด  ไม่ว่าจะเป็นคะแนนที่บอร์ดหรือแม้แต่เวลาฉันก็ทำได้ก่อนหมดเวลา  แต่ทำไมถึงให้ฉันเสมอได้  ฉันจึงรู้สึกแค้นใจที่กรรมการตัดสินแบบนี้
	"ทำอย่างนี้ได้ไง...!!!...ทุกคนก็เห็นอยู่ว่าฉันชนะ  คนเราต้องมีสัจจะสิ  ถ้ามีคนแบบนี้อยู่อีก  ชาตินี้ประเทศคงไม่เจริญหรอก"
	"เฮ.................!!!!!!!"
	เสียงผู้คนเฮ...เพราะเห็นด้วยกรรมการจึงหน้าเสีย  แต่การตัดสินก็คือการตัดสินไม่มีสิทธิ์ไปเปลี่ยนแปลงได้  จนกระทั่งผู้คนลุกฮือกัน  นักข่าวก็เข้ามาถ่ายถึงสังเวียนทำให้สร้างความหนักใจแก่กรรมการมาก  กรรมการจึงประชุมกันอีกครั้งที่ข้าง ๆ เบาะ  เวลาผ่านไปถึง 5 นาทีกรรมการคนนั้นจึงเดินกลับมาอีกครั้งแล้วประกาศ
	"นางสาวแววดาว  เมธาธิพญา  ได้สายฟ้า ณ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป...!!!"
	แต่กรรมการก็ไม่ได้บอกให้ฉันชนะ  ทำให้นักข่าวขึ้นมาขอสัมภาษณ์กรรมการสนามทั้ง 3 คนทันที
	"ถ้าเกิดว่าผมตัวสินให้เด็กคนนี้ชนะ  มันก็จะดูน่าเกลียดสำหรับสายดำ  ทำให้ดูอ่อนแอ..."
	"คุณก็เลยหักหาญน้ำใจเด็กรุ่นหลังที่มีฝีมือดีกว่าให้แพ้อย่างนั้นเหรอ"
	"ผมไม่ได้บอกให้แพ้  ผมให้เสมอกัน"
	นักข่าวเร้าและบีบบังคับกรรมการจนเป็นเรื่องใหญ่  จนทำให้เกิดการสัมภาษณ์สดขึ้นมา  ฉันได้ออกทีวีเป็นครั้งแรกเพราะเรื่องการตัดสินเฮงซวยของกรรมการนักเรียนคนนี้เนี่ยแหละ...  นักข่าวมาสัมภาษณ์ฉันในเรื่องนี้เหมือนกัน
	"ถ้ากรรมการว่าอย่างไรเราคงจะไปเถียงไม่ได้หรอกค่ะ...เรามันแค่เด็กส่วนเขามันพวกเดียวกันจะให้ทำยังไงได้"
	ฉันตอบแบบไม่คิดอะไร  แต่ก็มีคนหลายคนที่เห็นด้วยกับฉัน
	เมื่อถึงเวลาฉันจึงเดินทางกลับลพบุรีทันที  นักข่าวขอที่อยู่ฉัน  ฉันก็ให้ไป...  
	วันนี้ฉันจึงตกเป็นข่าวดังของทุกช่อง  และได้ลงหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่พาดหัวข่าวได้แรงจนต้องมีการออกมาแสดงความรับผิดชอบ
	"ผมขอโทษที่ตัดสินไปแบบนั้น  แต่ตอนนั้นมติที่ตกลงร่วมกันของกรรมการทั้งสามคนต้องการรักษาหน้าของสายดำเท่านั้นเอง  ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น"
	"อ๋อ...!!!แล้วคุณก็ลงโทษให้เด็กต้องรู้สึกเจ็บใจถึงพูดเป็นนัยว่ากรรมการรวมหัวกัน  ไม่ยุติธรรมน่ะเหรอ  พวกคุณรู้ไหมว่าเด็กคนนั้นเป็นนักกีฬาของเขตการศึกษา 6  และยังจะเป็นตัวแทนที่ไปแข่งต่างประเทศเร็ว ๆ นี้ด้วย  เด็กคนนั้นชื่อแววดาว  เมธาธิพญานะคะท่าผู้ชมเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์ของวงการยูโดจังหวัดลพบุรี  ซึ่งกำลังโด่งดังมาก  แต่ท่านผู้ชมลองคิดดูเถอะค่ะว่ามันสมควรแล้วหรือกับการกระทำของกรรมการในวันนี้  ดิฉันขอให้ประชาชนที่อยู่ทางบ้านช่วยร่วมตัดสินด้วยค่ะว่าจะเอายังไงดี
	นักข่าวสัมภาษณ์กรรมการแล้วก็หันมาหากล้องพูดคุยกับคนทางบ้าน  ฉันมีความรู้สึกว่าชอบนักข่าวคนนี้มาเลยที่ให้ความเป็นธรรมแก่ฉัน  ทำให้ฉันยิ้มออกได้ทันที  ฉันดูทีวีจนดึก...เพราะดูการวิพากวิจารณ์เรื่องของตัวเองอยู่ว่ากรรมการจะเอาอย่างไรจนจบแต่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้...ฉันง่วงมากเลย  ฮ้าว...!!!  จึงเข้าห้องล้มตัวลงนอนบนเตียง  พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายเลยทีเดียว  พรุ่งนี้ต้องไปเรียนแต่เช้าด้วยสิ...				
4 สิงหาคม 2547 17:10 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 5 )

สุชาดา โมรา

ช่วงนี้ถึงแม้ว่าแสงอาทิตย์จะเจิดจ้าแค่ไหนแต่อากาศก็ไม่ได้ร้อนเลย  มันหนาวจนจับเข้าไปในกระดูกทั้ง ๆ ที่นี่มันแค่ลพบุรีไม่ใช่เชียงใหม่ซะหน่อย
	ฉันไปโรงเรียนอย่างเร่งรีบเพราะช่วงนี้อากาศมันเย็นทำให้นอนยาวทีเดียว  ไม่ว่าจะรีบไปเรียนเร็วกว่าเดิมแค่ไหนแต่รถเมย์สายนี้ก็ยังคงแช่และวิ่งช้าอยู่เหมือนเดิม
	ตึก...ตึก...ตึก  ฉันวิ่งเข้าไปในโรงเรียนแต่ก็ถูกกักที่หน้าประตูตามเคย
	"ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย...."
	ต้องมายืนร้องเพลงชาติตรงนี้เป็นรายการประจำจนทำให้วันนี้อาจารย์เรียกไปพบที่ห้องปกครองเรื่องการมาสาย  อาจารย์มีหนังสือเชิญผู้ปกครองมาด้วย
	"นี่แววดาว  ครูถามจริง ๆ เถอะเธอเป็นโรคอะไรต้องมาสายตลอดเลย"
	"หนู...หนู...รถมันแช่ค่ะ"
	"ก็หัดมาเช้า ๆ สิยะ...นี่ไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่ดีเลยนะ...ใช้ไม่ได้!!!"
	ฉันนะอยากจะเถียงอาจารย์เลยว่าถึงจะมาเช้าหรือว่ามาสายก็มีค่าเท่ากันเพราะถนนสายนี้ไม่ค่อยมีรถผ่าน  พอผ่านมาสักคันหนึ่งมันก็แช่ซะจนน่ารำคาญ...  น่าเบื่อที่สุดเลย
	วันี้ฉันเดินเข้ามาในสมาคมด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว  พรุ่งนี้ต้องพาผู้ปกครองไปพบอาจารย์เรื่องการมาสาย  ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดี  ฉันนั่งเหม่อมองดูท้องฟ้าโดยไม่ยอมไปเปลี่ยนชุดยูโด
	"อยู่นี่เองดาว...วันนั้นพี่ขอโทษนะพี่เข้าใจเราผิด"
	"แล้ววันนี้เป็นอะไรไปล่ะทำไมถึงไม่ไปเปลี่ยนชุด  ไม่สบายหรือเปล่า"
	"เปล่า"
	"แล้วมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่าล่ะถึงได้มานั่งซึมกระทือแบบนี้"
	"อาจารย์มีหนังสือเรียกผู้ปกครองน่ะ...เรื่องมาสาย"
	ฉันทำสีหน้าแบบหงอย ๆ แต่พี่ดอนก็เอามือมาขยี้หัวฉัน
	"โถ่...เรื่องแค่นี้เองก็บอก ๆ ท่านไปสิท่านไม่ว่าหรอก"
	"ไม่ได้หรอกเดี๋ยวแม่โกรธตายเลย  แม่ยิ่งไม่เหมือนคนอื่นอยู่ด้วยสิ...แล้วจะทำไงดีนะ...เฮ้อ...กลุ้มใจจริง ๆ เลย"
	"อ๋อ...ไม่ยาก  นี่ไงเรามีพ่ออยู่หลายคน  อยากได้พ่อแบบไหนล่ะ  แต่ต้องนัดแนะให้ดี ๆ นะไม่งั้นเกิดสับสนขึ้นมาอาจารย์จับได้ละก็...!!!"
	"จริงเหรอ...แล้วใครล่ะจะมาเป็นพ่อให้"
	"นั่นไง...คนที่วิ่งอยู่กลางสนามนั่นไง"
	พี่ดอนชี้ไปทางพวกที่วิ่งกันอยู่ที่กลางสนาม  ฉันมองเห็นอาจารย์โจวิ่งอยู่ที่กลางสนาม  ฉันจึงรู้สึกมีกำลังใจที่จะเล่นยูโดขึ้นมา  หลังจากซ้อมเสร็จพี่ดอนจึงไปคุยกับอาจารย์โจให้เรื่องที่จะไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้
	"สวัสดีครับ  ผมผู้ปกครองของแววดาวครับ"
	"อ๋อ...เหรอคะ"
	อาจารย์แฉล้มหัวหน้าฝ่ายปกครองมองลอดแว่นมาดูอาจารย์โจอย่างไม่เชื่อสายตา
	"คุณเป็นญาติข้างไหนคะ  ถึงได้หน้าไม่เหมือนกันเลย"
	"ผมเป็นพ่อของเธอ...ทำไมเหรอครับ...ดูนี่นะครับ  ดวงตาถอดมาจากแม่  คิ้วได้มาจากผม  จมูกนี่ครับเด่นที่สุดของผมเลย  เห็นไหมโด่งขนาดนี้   รูปหน้าเหมือนผมไหม  เรียวยาว  แล้วดูนี่ครับไฝใต้คางเม็ดเล็ก ๆ ถอดผมมาเลย  แล้วอาจารย์จะว่าผมไม่เหมือนลูกตรงไหน"
	อาจารย์โจบรรยายให้อาจารย์แฉล้มฟังจนอาจารย์ทำท่าแบบน่าเชื่อถือ...  จากนั้นอาจารย์แฉล้มก็พูดเรื่องการมาสายของฉัน
	"ผมขออนุญาติให้ลูกมาสายเถอะครับ  บ้านเราลำบากมาก ๆ ตื่นเช้าขึ้นมาก็ต้องไปดูแลทวดที่กำลังป่วยหนัก  พอตกเย็นก็ต้องไปทำงานหาเงินมาเรียน  ต้องไปรับจ้างล้างจานที่ร้านอาหารจนดึกดื่น  อาจารย์จะไม่สงสารเด็กตาดำ ๆ บ้างเหรอครับ  ถึงผมจะเป็นทหารแต่ผมก็มีภาระหลายอย่าง  ต้องส่งบ้านส่งรถ  ไม่มีเงินมาให้ลูกเรียน  เป็นหนี้สหกรณ์  เป็นหนี้ธนาวัตน์   โอ้โหเยอะแยะแล้วยังมีหนี้..."
	"พอเถอะค่ะ...ฉันเข้าใจ  เอาอย่างนี้ละกันฉันอนุญาติให้เธอมาสายได้แต่เธอต้องมาทำงานชดเชยที่ห้องพักครูตอนพักเที่ยง  ครูจะให้รายได้พิเศษกับเธอ  เธอจะได้ไม่ต้องไปล้างจานที่ร้านอาหารดึก ๆ ดื่น ๆ จนตาแดงอิดโรยแบบนี้  เพราะที่ร้านอาหารมันอันตราย  ผู้ชงผู้ชายมันเยอะเดี๋ยวมันก็ลวนลามเอา..."
	ฉันยิ้มแบบแหย ๆ แต่ก็ต้องตอบว่าค่ะ  อาจารย์โจนี่สุดยอดจริง ๆ ทำให้ฉันได้สองเด้ง  ทั้งการมาสายได้  แล้วยังได้เงินกินหนมฟรี ๆ อีก  โอ้โห...สร้างเรื่องได้สุดยอดเลย...น่าจะเอาไปแต่งนิยายนะ  ดู ๆ แล้วพูดหน้าตาเฉยเลย...ทำเอาฉันงงไปหมด
	"ขอบคุณนะคะอาจารย์"
	ฉันเดินไปส่งอาจารย์ที่รถ  อาจารย์ขยี้หัวฉันด้วยความเอ็นดู  แววตาของอาจารย์ยิ้มแย้มสดใสจนฉันมีความรู้สึกเหมือว่าอาจารย์เป็นพ่อของฉันไปแล้วจริง ๆ พออาจารย์ขับรถออกไปจนลับสายตาฉันไปแล้ว  ฉันจึงเดินมาเข้าชั้นเรียน
	"Bonjour,  Comment  allez-vous?"
	"Je  vsis  bien, merci "
	ฉันกล่าวคำทักทายกับอาจารย์ที่สอนวิชาฝรั่งเศสด้วยสำเนียงฝรั่งเศส  อาจารย์ให้นั่งที่ได้  ฉันจึงนั่งฟังตามที่อาจารย์สอนพร้อมกับจดบันทึกอย่างขมักเขม้นจนหมดคาบ
	"Retrouvons-nous  un  de  ces  jours"
	อ๊อด.....เสียงออดดังขึ้น  ฉันเก็บข้าวของแล้วเดินไปห้องปกครองทันที  อาจารย์แฉล้มให้ฉันจัดแฟ้มเอกสารแล้วก็ซื้อข้าวให้ฉันกิน  ที่จริงฉันไม่มีความเดือดร้อนในเรื่องเงินเลย  แต่ก็ดีนะที่จู่ ๆ ก็ประหยัดไปได้เยอะเชียว...
	ฉันมีความรู้สึกว่าวันนี้โลกดูสวยงามไปซะทุกอย่าง  ฉันมีความสุขเหลือเกิน  ฉันออกจากห้องปกครองแล้วเดินไปเรียนต่อในคาบบ่ายที่ตึกใหม่  ฉันขึ้นลิฟท์ไม่ทันเพราะคนแน่นจึงวิ่งขึ้นบันไดไป  
	"หกชั้น  ตายแน่ ๆ เลย"
	แต่ฉันกลับวิ่งขึ้นไปโดยไม่เหนื่อยเลย  อาจจะเป็นเพราะฉันฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี  พอฉันขึ้นมาถึงห้อง  ฉันเข้าไปนั่งที่โต๊ะแล็คเชอร์และเอาหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน  ฉันนั่งอ่านหนังสือได้แป๊บเดียว  จู่ ๆ ฉันก็มีความรู้สึกว่าห้องมันมืดไปหมด  จึงเงยหน้าขึ้นมาฉันเห็นแก๊ง 7 ห้าวมามุงดูฉันคล้ายกับจะเอาเรื่อง
	"ไง...ไปทำอะไรมาถึงได้โดนทำทันบนที่ห้องปกครอง"
	"เปล่านี่..."
	"อย่ามาแก้ตัวเลยดีกว่า  บอกมาซะดี ๆ ว่าไปทำอะไรมา"
	"ฉันแค่มาสายเท่านั้นแหละ"
	"ไม่จริงมั้ง...เหมี่ยวมันบอกว่าเธอมีเรื่องชู้สาวกับผัวมันอาจารย์ก็เลยเรียกไปทำทันบน  สรุปแล้วเธอจะเอาไงกันแน่  จะเลิกยุ่งกับพี่นัทอะไรนั่นหรือยัง"
	"แล้วมันกงการอะไรของเธอด้วย  ถึงได้มาแส่เรื่องนี้"
	"มันก็ไม่มีอะไรหรอกนะ  แค่หมั่นไส้...เหมี่ยวมันน่าสงสารมันมาอ้อนวอนขอร้องให้ช่วยพวกเรามันพลเมืองดีก็เลยเข้ามายุ่ง  มีไรปะ"
	"เหรอ  แล้วทำไมไม่ถามเหมี่ยวล่ะว่าแย่งแฟนเพื่อนเนี่ยสนุกไหม...แล้วไอ้ที่บอกว่าท้องน่ะมันผ่านมา 4 เดือนแล้วทำไมท้องยังไม่ป่องซะที  คนท้องบ้าอะไรไปเล่นยูโดทุกวัน..."
	แก๊ง 7 ห้าวอึ้งแล้วก็หันไปถามเหมี่ยวที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องเพื่อดูต้นทาง
	"ว่าไงเหมี่ยว...!!!"
	"อย่าไปเชื่อมัน  มันโกหก...ฉันไปเฝ้าพี่นัทไม่ได้ไปเล่นยูโด"
	"เหรอ  แต่ว่าไม่จริงมั้ง  พี่นัทเขาไปแข่งยูโดที่ออสเตรเลียเธอจะมาบอกว่าไปเฝ้าพี่เขาได้ไง"
	"อย่า...อย่าไปเชื่อมันนะ"
	พวกแก๊ง 7 ห้าวนิ่งเงียบแล้วก็หันไปซุบซิบกันสักพักแล้วก็หันมาทำท่าเหมือนจะเอาเรื่องฉันแต่ก็เดินไปเฉย ๆ ฉันนั่งลงอ่านหนังสือต่อจนอาจารย์มา...ฉันนั่งเรียนวิชาภาษาไทยในชุมชนจนหมดคาบ  อาจารย์ให้ทำรายงานมาส่งเรื่องการปกครองของจอมพล แปลก  พิบูลสงคราม  ฉันจึงเก็บหนังสือใส่กระเป๋านักเรียนแล้วเตรียมออกจากห้อง  แต่ฉันไม่สามารถที่จะออกจากห้องได้
	ปัง...ปัง...ปัง  ประตูทั้งสามบานถูกปิด  แก๊ง 7 ห้าวกับเหมี่ยวยืนล้อมฉันไว้ที่โต๊ะ  โดยมีอ้อมเป็นหัวหน้าคอยสั่งการ
	"หมั่นไส้ไหมพวกเรา...!!!"
	"เออ...ว่ะ  กูหมั่นไส้มานานแล้วขอตบสั่งสอนสักทีเถอะว่ะ"
	"เดี๋ยวก่อนต้อม  ฉันขอเปิดโรงก่อนโว้ย...!!!"
	อ้อมเข้ามาทำท่าจะตบ  ฉันหลบได้ทันจึงเดินออกไปยืนที่หน้าห้อง
	"อะไรกันเนี่ย...!!!"
	"ไม่มีอะไรหรอกว่ะ  แค่หมั่นไส้เด็กดี...ทำเป็นตั้งใจเรียน  ถุ้ย..."
	ฉันรู้สึกทนไม่ได้  เลือดมันสูบฉีดทั่วร่างไปหมด  รู้สึกว่ามันไม่แฟสำหรับฉันเลย  ฉันทำอะไรผิดพวกนี้ถึงเข้ามาหมายจะทำร้ายฉัน...ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ  เมื่ออ้อมเข้ามาตบฉัน  ฉันจึงคว้ามือและหักแขนทันทีจากนั้นก็ผลักออกไปให้พวกอีกหกคนรับ
	"มึงทำเพื่อนกูเหรอ"
	"ฉันไม่โง่ให้พวกแกตบฟรี ๆ หรอก"
	ต้อมวิ่งเข้ามาใส่ฉันจึงต่อยที่ลิ้นปี่แล้วก็ปัดเท้าจนล้ม  ตามมาด้วยเก๋วิ่งเข้ามาข้างหลัง  ฉันคว้าคอเสื้อได้จึงทุ่มด้วยท่าโคชิ-กูโรม่าทันที  ร่างนั้นกระแทกพื้นอย่างเต็มที่  
	"กูเอง...มึงใช้ยูโดเหรอ"
	"ช่วยไม่ได้  พวกนี้ทำร้ายฉันก่อน"
	เหมี่ยวเข้ามาประชิดตัวแล้วจิกผมฉันตบทันที  ฉันโดนไปหนึ่งที  ด้วยความแค้นฉันจึงบิดตัวกลับเข้ามาหักแขนเหมี่ยวทันที  จากนั้นฉันก็ตบคืนอีกสามทีแล้วก็ผลักให้ล้มลงไปกองกัน  พวกที่เหลือเข้ามาพร้อม ๆ กันจับแขนฉันรวบไว้แล้วก็เข้ามาจะต่อยท้อง  แต่ฉันเหนี่ยวแขนแนนกับฟ้าแล้วถีบทันทีทำให้ฝ้ายจุกและล้มลงไปกองกับพื้น  จากนั้นฉันก็มุดตัวลอดสองคนนั้นแล้วก็ผลักจนหัวโขกกัน  สาเป็นคนสุดท้ายที่ค่อนข้างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็เข้ามาอย่างเงอะ ๆ งะ ๆ ทำท่าเหมือนจะมาทำร้ายฉัน
	"ขอโทษแทนเพื่อนเราด้วยนะดาว...อย่าเอาเรื่องพวกเราเลยฉันไหว้ละ"
	สาคุกเข่าแล้วก็ไหว้ฉัน  ฉันทำเมินไม่สนใจจากนั้นจึงหยิบข้าวของออกจากห้องไป
	ฉันมุ่งตรงไปที่สมาคมอย่างไม่รอช้าแล้วก็เล่าเรื่องให้พี่ดอนฟัง  พี่ดอนโกรธมากถึงกับบอกว่าจะไปจัดการพวกนั้น  แต่ฉันห้ามไว้เพราะเป็นผู้ชายจะไปทำร้ายผู้หญิงได้ยังไงกันมันไม่ถูก  วันนั้นฉันซ้อมยูโดอย่างมีความสุขเพราะฉันมีความรู้สึกว่าแฟนของฉันสนใจฉันมากขึ้น  ดูแลฉันมากขึ้นกว่าเก่า  อาจจะเป็นเพราะหมดห่วงเรื่องพี่นัทแล้วก็ได้  เพราะช่วงนี้พี่นัทไปแข่งยูโดชิงแช้มอาเซี่ยนที่ออสเตรเลีย  หมู่นี้พี่ดอนจึงไม่ค่อยเครียดมากนัก...
	อีก 3 วันจะถึงวันแข่งคัดสายแล้ว  ฉันรู้สึกตื่นเต้นจังเลย  ฉันเร่งซ้อมอย่างเต็มที่เพื่องานนี้โดยเฉพาะ...ตอนนี้ฉันหมดปัญหาเรื่องมาเฟียในห้องแล้ว  ฉันมีความรู้สึกเป็นสุขที่สุดในโลกทีเดียว				
4 สิงหาคม 2547 17:08 น.

แม่

สุชาดา โมรา

ชีวิตในวัยเยาว์ของฉัน  ฉันเติบโตมาจากครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์มากนัก    ไม่เคยมีแม่และพ่อมาดูแล  เพราะท่านต่างก็มีภาระที่จะต้องทำ  แต่ฉันก็ยังจำได้ว่าทุก ๆ คนในบ้านรักฉันและดูแลฉันมาตลอด  ถึงแม้ว่าฉันจะดื้อและซนเพียงใดแต่ท่านก็เลี้ยงดูฉันมาด้วยความยากลำบาก  ไม่เคยแม้แต่จะบ่นว่าเหน็ดเหนื่อย  และไม่เคยคิดจะนำฉันไปปล่อยเหมือนหมูเหมือนหมาด้วย   
โอละเห่เอยเจ้าเนื้ออ่อนเอย  อ้อนแม่จะกินนม  แม่จะอุ้มเจ้าออกชม  กินนมแล้วนอนเปลเอย  เสียงเพลงที่เยือกเย็นกล่อมฉันให้หลับไหลอยู่ทุกวันจนฉันจำได้ดีว่าใครหนอที่นั่งไกวเปลกล่อมฉัน  ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่าฉันขาดความอบอุ่น  เพราะฉันก็ยังมีย่าและอาอีกสองคนที่เปรียบเสมือนแม่ของฉัน  ท่านคอยดูแลเลี้ยงดู  อบรมสั่งสอนให้ฉันเป็นคนดี  ถึงแม้ว่าตอนนั้นฉันไม่เคยรู้เลยว่าใครกันแน่ที่เป็นแม่ของฉัน  ฉันจึงรักพวกท่านมาก
ย่าเป็นคนชอบดูละครพื้นบ้านมากฉันจำได้ว่าตอนเป็นเด็กทุก ๆ วันเสาร์-อาทิตย์ฉันจะต้องตื่นมาแต่เช้าลุกขึ้นมาเปิดโทรทัศน์ช่อง  7 เพื่อดูละครเรื่องแก้วหน้าม้า  เหตุนี้แหละที่ทำให้ฉันมีความชื่นชอบวรรณคดีเป็นพิเศษ  ทำให้ฉันติดตามดูละครพื้นบ้านที่ออกอากาศทุกเรื่อง
เมื่อฉันอายุสามขวบเริ่มเข้าโรงเรียนได้แล้ว  แม่ของฉันกลับมาหาฉัน  ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่านั่นคือแม่บังเกิดเกล้าของฉัน  ฉันรู้แต่ว่าใคร ๆ เขาก็ให้ฉันเรียกผู้หญิงคนนั้นว่า  อีเหว่า  ที่จริงคำนี้เมื่อฉันมารู้ตอนโตก็คือ  แม่ทิ้งฉันไปเพราะต้องกลับไปเรียนจึงปล่อยให้ฉันกลายเป็นภาระของย่าและอาทั้งสองคน  ภายหลังเมื่อฉันได้รู้ว่าท่านเป็นแม่ฉันก็รู้สึกพูดไม่ออก  ได้แต่ร้องไห้อยากจะไปอยู่กับแม่  แม่หนูอยากไปอยู่กับแม่  ให้หนูไปนะไม่เอาหนูจะอยู่กับแม่!!!  ตอนนั้นฉันโดนตีเกือบตาย  ก้านมะยมฟาดที่น่องอ่อน ๆ ของฉันจนแตกเป็นแนวยาวไปโรงเรียนไม่ได้  ฉันจำได้ว่าหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาฉันก็ไม่เคยมีภาพความทรงจำเกี่ยวกับแม่อีกเลย
จนกระทั่งฉันขึ้นชั้นประถมจึงได้มาอยู่กับแม่  ตอนนั้นฉันมีความสุขมากที่สุด  มีความสุขจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี  วางตัวไม่ถูกเพราะฉันไม่เคยอยู่กับแม่มาก่อน  แม่เคยบอกกับฉันว่า  เมื่อยามที่แม่ท้อง  แม่ต้องคอยระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ  อยากกินอะไรก็ไม่กล้ากินเพราะกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อลูกที่กำลังจะเกิดมา  ตอนนั้นฉันมีความรู้สึกว่ารักของแม่นั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน  เพราะกว่าแม่จะเลี้ยงดู  อบรมสั่งสอนจนลูกเติบใหญ่ได้นั้น  ท่านต้องเหนื่อยทั้งแรงใจแรงกาย  ต้องอดทนสู้ทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีความสุข  อยู่ดีกินดี  ไม่เป็นภาระของสังคม
แม่คำนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่ในใจลูกทุกคน  จนยากที่จะเปรียบเทียบกับสรรพสิ่งในโลกได้ ดังคำขวัญที่สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถทรงพระราชดำรัสไว้ว่า  แม่เป็นพระอรหันต์ของลูก  คนที่เที่ยววิ่งหาพระเพื่อกราบไหว้พระอรหันต์นั้น  ต้องไม่ลืมว่าที่บ้านก็มีพระอรหันต์อยู่องค์หนึ่ง  เราจึงควรปฏิบัติต่อแม่อย่าให้บกพร่องได้  พระคุณของแม่อันประกอบไปด้วยความรักที่มีต่อลูกอย่างสุดหัวใจเช่นนี้ คงไม่ยากจนเกินไปนักหากเอ่ยคำว่ารักให้แม่ได้ชื่นใจบ้าง  เพราะเราอาจจะโชคดีกว่าหลาย ๆ คนที่ได้เพียงแต่รำลึกถึงพระคุณแม่ผ่านภาพ  และเงาที่ตราตรึงไว้ในความทรงจำเท่านั้นว่า ลูกรักแม่  ถึงแม้ว่าแม่จะไม่ได้เลี้ยงเรามาแต่ท่านก็ยังเป็นแม่ของเรา  บุญคุณยิ่งใหญ่นี้จะหาใดเปรียบไม่มีอีกแล้ว  เราจึงควรกตัญญูรู้คุณท่านด้วยการตั้งใจศึกษา  เป็นคนดีมีอนาคตก็เพียงพอต่อการตอบแทนพระคุณของท่านแล้ว
หลังจากที่ฉันได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขอยู่กับแม่ได้ระยะเวลาหนึ่ง  แม่ก็ต้องจากฉันไปเพราะท่านแยกทางกัน  ตอนนั้นฉันมีความรู้สึกว่าฉันกำลังสูญเสียสิ่งที่ฉันถวิลหามาตลอดชีวิต  ฉันคร่ำครวญหาแม่จนไม่เป็นอันกินอันเรียน  เมื่อฉันได้อ่านเสภาขุนช้างขุนแผนตอนกำเนิดพลายงาม  ซึ่งตอนนี้เป็นตอนที่ท่านสุนทรภู่ได้แต่งไว้นั้นมีความว่า
           เจ้าพลายงามความแสนสงสารแม่		
ชำเลืองแลดูหน้าน้ำตาไหล
แล้วกราบกรานมารดาด้วยอาลัย			
ลูกเติบใหญ่คงจะมาหาแม่คุณ
แต่ครั้งนี้มีกรรมจะจำจาก				
ต้องพลัดพรากแม่ไปเพราะไอ้ขุน
เที่ยวหาพ่อขอให้ปะเดชะบุญ			
ไม่ลืมคุณมารดาจะมาเยือน
แม่รักลูกลูกก็รู้อยู่ว่ารัก				
คนอื่นสักหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน
จะกินนอนวอนว่าเมตตาเตือน			
จะจากเรือนร้างแม่ไปแต่ตัว
แม่วันทองของลูกจงกลับบ้าน			
เขาจะพาลว้าวุ่นแม่ทูนหัว
จะก้มหน้าลาไปมิได้กลัว				
แม่อย่ามัวหมองนักจงหักใจ
เสภาบทนี้มีอิทธิพลต่อฉันเหลือเกิน  ฉันมีความรู้สึกถึงการที่แม่จากฉันไปโดยที่ฉันไม่รู้เลยว่าฉันจะมีโอกาสได้เจอแม่อีกหรือไม่  เวลาที่ฉันอ่านตอนนี้ทีไรทำให้ฉันต้องกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่สักที  ฉันมีความรู้สึกเหมือนตัวฉันเองเป็นพลายงามที่กำลังจะต้องจากแม่ไป  มันทำให้ฉันรู้สึกหดหู่  และเศร้าใจยิ่งนัก  ยิ่งฉันได้อ่านความต่อจากนั้นมันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกปวดร้าวในใจอย่างที่สุด เพราะตลอดระยะเวลาที่ฉันอยู่กับแม่มาเพียงไม่กี่ปีฉันก็มีความผูกพันธ์กับแม่บ้าง  ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีความผูกพันธ์กันมากนัก  แต่ก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในใจของฉันเสมอ  และฉันก็ยังไม่เคยพูดสักทีว่า  ฉันรักแม่มาก  
ฉันนึกถึงนางวันทองที่แสดงความรักต่อลูกในวรรณคดีอย่างเห็นได้ชัดคือตอนที่นางวันทองจัดของไปรับลูกที่วัด แล้วพาไปส่งที่ท่าเกวียน ให้พลายงามเดินทางไปหาย่าทองประศรี ที่เมืองกาญจนบุรี เพราะลำพังนางวันทองเองคงไม่สามารถคุ้มครองลูกให้ปลอดภัยจากขุนช้างได้ สองแม่ลูกอำลากันอย่างเศร้าสร้อย     ตอนนี้แหละฉันรู้สึกว่าชีวิตของพลายงามมีอะไรที่คับคล้ายคับครากับชีวิตของฉันเหลือเกิน  จึงทำให้ฉันต้องหยิบยกบทเสภาตอนนี้ขึ้นมาด้วย  ความว่า
           นางกอดจูบลูบหลังแล้วสั่งสอน		
อำนวยพรพลายน้อยละห้อยไห้
พ่อไปดีศรีสวัสดิ์กำจัดภัย				
จนเติบใหญ่ยิ่งยวดได้บวชเรียน
ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ				
เจ้าจงอุตส่าห์ทำสม่ำเสมียน
แล้วพาลูกออกมาข้างท่าเกวียน			
จะจากเจียนใจขาดอนาถใจ
ลูกก็แลดูแม่แม่ดูลูก				
ต่างพันผูกเพียงว่าเลือดตาไหล
สะอื้นร่ำอำลาด้วยอาลัย				
แล้วแข็งใจจากนางตามทางมา
เหลียวหลังยังเห็นแม่แลเขม้น			
แม่ก็เห็นลูกน้อยละห้อยหา
แต่เหลียวเหลียวเลี้ยวลับวับวิญญาณ์		
โอ้เปล่าตาต่างสะอื้นยืนตะลึง
กวีได้แสดงทัศนะในการแต่งไว้เกี่ยวกับแม่อย่างนางวันทองได้เป็นอย่างดี  กล่าวถึงความรักที่มีต่อลูกอย่างท่วมท้นของนางวันทองเป็นความรักที่บริสุทธิ์  การพลัดพรากจากกันซึ่งแม่และลูกทุกคนถ้าวันหนึ่งต้องจากกันไปนานแสนนานก็ทำใจได้ยาก  สำนวนภาษานั้นกวีใช้ภาษาง่าย ๆ ทำให้เข้าใจง่าย กวีจึงสามารถถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกตรงนี้ได้ลึกซึ้งกินใจสื่อออกมาจากตัวละครได้อย่างชัดเจน  ทำให้ผู้อ่านซึ่งเป็นคนธรรมดาทั่วไปได้รับรู้ถึงความรู้สึกของนางวันทองได้เป็นอย่างดี  เข้าถึงอารมณ์เกิดจินตนาการคล้อยตาม  
ลักษณะของนางวันทองนั้นไม่ว่านางวันทองจะเป็นคนอย่างไร  แต่นางวันทองก็ยังมีจิตใจที่รักลูก  ไม่อยากให้ใครมาทำร้ายลูก  สาเหตุที่นางวันทองเลี้ยงลูกไม่ได้และไม่สามารถที่จะปกป้องลูกได้นั้นเป็นเพราะขุนช้างค่อนข้างจะเป็นคนพาล  อย่างไร ๆ ก็จ้องแต่จะทำร้ายลูกอยู่ร่ำไป  นางวันทองจึงจำใจต้องส่งลูกไปอยู่กับย่าทองประศรีเพื่อที่จะหนีขุนช้าง  ลูกก็จะปลอดภัยได้ร่ำเรียน  ความรักที่นางวันทองมีต่อลูกนั้นจะเห็นได้จากตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่ก็คอยปกป้องลูกด้วยการส่งไปอยู่กับย่าเพื่อไม่ให้โดนขุนช้างทำร้าย  ต่อเมื่อตายไปลูกเดือดร้อนก็ยังมาช่วยลูกโดยการแปลงเป็นนางแปลงมาห้ามทัพของขุนแผนกับพลายชุมพลที่ปลอมเป็นมอญใหม่ยกทัพมาท้าพลายงามให้ออกรบ  และเพื่อที่จะไม่ให้พ่อลูกต้องมาสู้รบกันเองนางวันทองจึงเข้าไปขวางการเดินทัพของพลายงามไว้   ทำให้พลายงามออกมาเกี้ยวนางแปลงทำให้การเดินทัพของพลายงามช้าลง  แต่เมื่อพลายงามเข้าไปประทะกับกลุ่มมอญใหม่ครั้นได้ยินเสียงของขุนแผนจึงรู้ว่าเป็นพ่อก็เลยหนีไป   นี่ก็เป็นอีกตอนหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่านางวันทองรักและพร้อมที่จะปกป้องลูกอยู่เสมอ
นางวันทองจึงเป็นแม่ที่ดีที่สุดคนหนึ่งในวรรณคดี  น่าที่จะได้รับการยกย่องให้ผู้อ่านได้รู้และทำความเข้าใจใหม่ว่านางวันทองถึงคนอื่นที่อ่านจะรู้สึกว่านางเป็นคนสองใจแต่ลึก ๆ แล้วนางวันทองเป็นคนดีมีความรักที่แม่มีต่อลูกอย่างเห็นได้ชัดเจน
เมื่อยามที่ฉันท้อแท้  คิดถึงแม่ขึ้นมาคราใดบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนนี้มักจะเป็นเพื่อนในยามนี้ได้ทุกที  จนฉันรู้สึกว่าเสภาตอนนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันไปแล้ว ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไรแม่จะกลับมาหาฉัน  และเมื่อไรที่ฉันกับน้องชายจะได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขอยู่กับแม่สักทีฉันรอคอยวันนั้นมานานเหลือเกิน  
แต่ ณ เวลานี้แม่ได้กลับมาหาฉันแล้ว  เราอยู่เป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้งถึงแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์เท่าที่ฉันอยากจะให้มีก็ตามแต่ฉันก็มีความสุขมาก  เปรียบดั่งสวรรค์บันดาลให้แม่ต้องกลับมาดูแลลูก ๆ อีกครั้ง  ชั่วชีวิตนี้ฉันไม่ขออะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว  นอกจากจะขอให้ฉันได้อยู่กับแม่ตลอดไปฉันก็พอใจและมีความสุขที่สุดแล้ว				
4 สิงหาคม 2547 17:04 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ (ศัพท์เฉพาะ)

สุชาดา โมรา

ภาษาในวงการกีฬา

กีฬายูโด
คำ		ความหมาย
ฮาซูมิ		จุดถ่วง
ฮิกิโฮชิ		การเร่งเร้า
ซิ-เซนโท	                     ตำแหน่งธรรมชาติ
ยิโก-โท		ตำแหน่งป้องกันตัว
ดัมดะตะ		ประชิดคู่ต่อสู้
ชินโท		การรุก-ถอย
ไท-เดบาคิ		การหมุนกลับ
ทสึงิ-อาชิ		การเดินธรรมดา
ไท-ซามาคิ		การเคลื่อนไหวธรรมชาติของร่างกาย
ฟรีสไตล์		อิสระ
ดุซุชิ		การเสียสมดุลย์
กุซุซิ		เสียการทรงตัว
ฮาเน  มากิโคมิ	การโอบตัวแล้วจับทุ่ม
ไทโอโตชิ		การใช้เท้าผลักดัน-ทุ่ม
ฮารายโกชิ		การถีบ-ทุ่ม
อุคิวาซา		การใช้สีข้างทุ่ม
แรนโดรี่		การฝึกรับ-หาจังหวะทุ่ม
ฮิปโป้-เซโออินาเงะ	ท่าทุ่มหัวไหล่แขนเดียว
โมโนเตะ-เซโออิ-นาเงะ	ท่าทุ่มด้วยไหล่สองแขน
โคชิ-กูโรม่า		ท่าทุ่มกอดคอทุ่มสะโพก
ไท-โอ-โทชิ		ท่าทุ่มเหยียดขาขวางรั้ง
โค-ยูชิ-คาริ		ท่าเกี่ยวขาในเล็ก
โอชิคาริ  ลิชิการิ	ท่าเกี่ยวขาในใหญ่
ฮานิโกชิ		ท่าสปริงสะโพก
อาราอิ-โกชิ		ท่าทุ่มกวาดขาทุ่มสะโพก
ยูชิมาตะ		ท่าสอดเข่าระหว่างขา
โทโมอิ-นากิ		ท่าทุ่มยันท้อง
คำ		ความหมาย
ยูกิวาซา		ท่ารั้งให้ลอย
ยูรา-นากิ		ท่านอนหงายหลังทุ่ม
เกซ่า-กาตาเมะ	ท่าล็อคจับแขนกอดคอ
โททิ-ชิโฮ-กาตาเมะ	ท่าล็อคจับทางดิ่ง
กาต้า-กาตาเมะ	ท่าล็อคจับที่ไหล่	
คามิ-ชิโฮ-กาตาเมะ	ท่าล็อคจับทางศีรษะ
โยโก  ชิโฮ-กาตาเมะ	ท่าล็อคจับทางข้าง
สังเวียน		สนามแข่งยูโดที่เป็นเบาะขาวขอบแดง
ฮาจิเมะ		เริ่มต้น
นาโกวาซา		การแข่งด้วยท่าทุ่ม
กาตาเมะ-วาซา	ท่าปล้ำ
จูจิ-กาตาเมะ		ท่ารัดคอ
สุติเมะ-วาซา		การทุ่มท่านอน
ทาทามิ		เสื่อยูโด/เบาะยูโด
ริฟิริ		การชี้ขาด
อิปโป้		คะแนนเต็ม ( ชนะ )
ซีริ-มาดิ		ยุติการแข่งขัน
โยชิ		ขั้นตอนต่อไป
ชิโด		การกระทำผิด 1 ครั้ง ( บันทึก )
ชุ้ย/จุ้ย		การกระทำผิด 2 ครั้ง ( เตือน )
คิโคกุ		ทำผิดมากจึงถูกตัดโทษ ( คาดโทษ )
วาซา-อริ		เกือบได้คะแนนเต็ม 10,000 คะแนน
ยูโก		1,000  คะแนน
โคกา		100  คะแนน
โอซิโกมิ		การจับยึด
ไฮกิ-วากิ		เสมอกัน
โซโน-มาม่า		ห้ามเคลื่อนที่
โยชิ		แข่งต่อไป/พร้อมที่จะแข่ง
อชิ-การามิ		นอนอยู่ในลักษณะขาไขว้พันกัน
คิเคน-คาชิ		การไม่มาแข่งขัน/ถอนตัว
เมะ		หยุด
คำ		ความหมาย
จิคาน		หยุดเวลา
โอชิโคมิ		จับเวลาปล้ำ
โตเคตะ		เลิกจับเวลา
ฮา-นติ		ขอให้ตัดสิน				
4 สิงหาคม 2547 16:56 น.

เส้นทางชีวิต

สุชาดา โมรา

จากอดีตสู่ปัจจุบันสังคมของคนไทยมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอดและสิ่งที่เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยได้ในทุกวันนี้ก็เห็นจะหนีไม่พ้นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของวงการการเมือง  ๑๔ ตุลา  หลาย ๆ คนคงจะจดจำความเจ็บปวดได้ดี  แต่อีกหลาย ๆ คนก็ไม่อาจจะรับรู้เลยว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเช่นไร  ดิฉันจึงขอย้อนความหลังหลังจากที่ได้ไปศึกษามาว่า  เมื่อครั้งเหตุการณ์ ๑๔ ตุลานั้นเป็นปรากฏการณ์ ทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อเดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๑๖ เยาวชนคนหนุ่มสาวที่เป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้ร่วมกับประชาชนจำนวนแสน เรียกร้องให้รัฐบาลคณาธิปไตย ถนอม-ประภาส- ณรงค์ ปลดปล่อยนิสิต นักศึกษา อาจารย์ และนักการเมือง ๑๓ คน ที่ถูกจับกุมเรียกร้องรัฐธรรมนูญ แต่กลับถูกรัฐบาลตั้งข้อหาว่ากระทำการผิดกฏหมาย มั่วสุมชักชวนให้มีการชุมนุมทาง การเมืองในสาธารณะเกินกว่า 5 คน เป็นบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐเป็นกบฏภภายในพระราชอาณาจักร และมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์  
	ในระหว่างวันที่ 9-12 ตุลาคม นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ชุมนุมประท้วง โดยสันติวิธี ณ มหาวิทยาลัยธรรมสาสตร์ ในวันเสาร์ที่ ๑๓ ประชาชนเดินขบวน สำแดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่ดูประหนึ่งว่ากระแสคลื่นมนุษย์จักท่วม ท้นถนนราชดำเนิน ในวันที่ ๑๔-๑๕ ถัดมาก็เกิดความรุนแรง เยาวชนคนหนุ่มสาวถูกปราบปรามด้วยอาวุธร้าย เป็นผลให้เกิดการลุกขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ต่อมาเผด็จการก็ล้มลง ผู้นำคณาธิปไตย ถนอม-ประภาส- ณรงค์ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ  ธีรยุทธ บุญมี อดีตเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย บัณฑิตวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้ประสานงานกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วยสมาชิกประมาณ ๑๐ คน เปิดแถลงข่าวที่บริเวณสนามหญ้าท้องสนามหลวง ด้านอนุสาวรีย์ทหารอาสา โดยมีวัตถุประสงค์ คือ  เรียกร้องให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยเร็ว  จัดหลักสูตรสอนอบรมรัฐธรรมนูญสำหรับประชาชน  กระตุ้นประชาชนให้สำนึกและหวงแหนในสิทธิเสรีภาพ ธีรยุทธ บุญมี  นำรายชื่อผู้ลงนามเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ๑๐๐ คนแรกประกอบด้วยบุคคลต่าง ๆ มาเปิดเผย เช่น พล.ต.ต สง่า  กิตติขจร นายเลียง ไชยกาล นายพิชัย รัตตกุล นายไขแสง สุกใส นายประพันธ์ศักดิ์ กมลเพชร รวมทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย เช่น ดร.เขียน ธีรวิทย์ ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ ดร.ชัยอนันต์ สมุทรทวณิช อาจารย์ทวี หมื่นนิกร เป็นต้น รวมทั้งจดหมายเรียกร้องจากนักเรียนไทยในนิวยอร์ค  ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นจะสร้างความสูญเสียถึงขนาดทำให้นิสิตนักศึกษาต้องจบชีวิตลงราวกับใบไม้ร่วงโดยที่ไม่มีใครออกมารับผิดชอบก็ตามแต่ประเทศไทยก็มีประชาธิปไตย  ซึ่งการเมืองนั้นเปรียบดั่งก้อนหินที่แข็งแกร่ง  ถ้าหากว่าวันใดก้อนหินถูกกัดเซาะจนบุบสลาย  การเมืองไทยจะอยู่ได้อย่างไร...
	การเมืองก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนไทยทั้งแผ่นดิน  เมื่อมีก้อนหินที่แข็งแกร่งถูกเจียรนัยให้มีความมั่นคงงดงามแล้ว  การเมืองก็จะไปได้ด้วยดี  และทางด้านอื่น ๆ ของชาติ  ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจ  การเกษตร  หรืออื่น ๆ นั้นก็จะมีเสถียรภาพที่มั่นคงซึ่งเป็นเหตุมาจากการเมืองที่มีรากเง้าดั่งก้อนหินที่เจียรนัย

เอกสารอ้างอิง
วัฒน์  วรรลยางกูร.๒๕๔๓, ไขแสง  สุกใส  ลูกผู้ชายหัวใจไม่ผูกเชือก.กาญจนบุรี.สำนักพิมพ์ปลายนา				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา