3 สิงหาคม 2547 16:40 น.

บารมี....?!!!

สุชาดา โมรา

 คดีนี้ต้องไม่แพ้  ไอ้นพย้ำ  เพราะมันหมายถึงอนาคตหน้าที่การงานของกูด้วย

 ก็มันแพ้เขาแหงๆ  ต่อให้เอาเทวดามาว่าความให้ก็แพ้  

เอาเหอะ  มึงขึ้นมาช่วยกู  เพราะกูเองไม่มีปัญญาทำอะไรแล้ว  และนัดคราวนี้ศาลก็กำชับไม่ให้ขอเลื่อนคดีแล้ว แต่กูบอกมึงก่อนนะว่ากูมีเงินแค่ซื้อตั๋วรถไฟไป-กลับให้มึง

แล้วมึงจะเสียตังค์โดยใช่เหตุทำไมวะ  กูบอกแล้วไงว่าโอกาสชนะเป็น 0  ผมไม่วายทักท้วงมันก่อนที่จะยอมทำตามคำขอร้องของมัน

 


ผมเพิ่งรู้จักไอ้นพได้ไม่นานนัก  ตอนที่ผมเดินทางไปว่าความที่สงขลา  แล้วบังเอิญว่ามันโดยสารรถไฟขบวนเดียวกับผม  โดยเพื่อนร่วมทางของผมเป็นผู้แนะนำให้รู้จักกัน  

ความที่วิชาการที่จำเป็นในการว่าความของมันค่อนข้างอ่อนแอ  ทำให้มันต้องเอางานที่มันได้รับมอบหมายมาปรึกษาผมอยู่เนืองๆ  จนกระทั่งมันตัดสินใจกลับไปตายรัง  คือกลับไปทำมาหากินที่เชียงใหม่

 


แล้ววันหนึ่ง  มันก็โทรศัพท์ทางไกลมาหาผมเพื่อปรึกษาคดีที่มันรับมา

ก็แค่คดีแพ่งที่ฟ้องเรียกเงินตามเช็ค  จำนวนเงินตามเช็คแค่ห้าหมื่นบาท  แถมเป็นทนายความฝ่ายจำเลยด้วย  แบบนี้มันจะได้ค่าจ้างว่าความไม่กี่พันบาทหรอก

หลังจากที่ลงทุนเสียค่าโทรศัพท์ทางไกลเพื่อปรึกษาผมได้ไม่กี่คร ั้ง มันก็ตัดบทเอาดื้อๆว่าให้ผมเดินทางไปเชียงใหม่เพื่อว่าความคดีน ั้นแทนมัน

 


จากข้อมูลที่ไอ้นพมันบอกมา  จำเลยในคดีดังกล่าวคือพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งขณะนั้นกำลังมีชื่อเ สียงขจรขจายเล่าลือกันว่าท่านเทศนาได้ไพเราะจับใจคนฟังจนเป็นที ่ศรัทธาของบรรดาญาติโยมทั่วประเทศไทย   ส่วนเช็คฉบับที่ถูกฟ้องเป็นเช็คผู้ถือ  หมายถึงเช็คที่สั่งธนาคารจ่ายเงินให้แก่ใครก็ตามที่นำเช็คฉบับน ั้นมาเรียกเก็บเงิน  เช็คแบบนี้หากจะโอนเปลี่ยนมือก็เพียงแค่ส่งมอบเช็คให้กันไปโดยไ ม่ต้องมีการสลักหลังให้ยุ่งยาก  ซึ่งถ้านำมาฟ้องร้องทางแพ่งแล้ว ฝ่ายโจทก์มีภาระการพิสูจน์เพียงแค่นำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายในเช็คฉบับนั้นๆ และเมื่อได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินหรือที่ภาษาชาวบ้านพูดกันสั้น ๆว่า ขึ้นเงิน แล้ว  ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน  ส่วนฝ่ายจำเลยมีหนทางเดียวที่จะเอาตัวรอดได้คือต้องหาพยานหลักฐ านมาแสดงให้ศาลเชื่อว่าโจทก์ได้รับเช็คมาโดยไม่สุจริต   แต่หนทางเดียวที่ว่านี้เป็นทางตันเพราะในทางปฏิบัติแล้วเป็นเรื ่องที่เป็นไปไม่ได้

 

เกือบตลอดระยะทางบนรถไฟเที่ยวนั้น  ผมนึกถึงแต่ภาพยนตร์โทรทัศน์ชุดหนึ่งมีชื่อภาษาไทยว่า ขบวนการพยัคฆ์ร้าย  แต่ชื่อภาษาอังกฤษสิ Mission impossible  แปลเป็นไทยว่าภารกิจที่เป็นไปไม่ได้  มันช่างเหมาะเจาะกับสภาพภารกิจที่ผมกำลังเดินทางไปปฏิบัติเสียจ ริงๆ

 


หลังจากไปถึงเชียงใหม่  ไอ้นพก็โอดครวญให้ผมฟังว่ามันคงไปไม่รอดในวิชาชีพทนายความแล้ว  เพราะนอกจากมันจะไม่แม่นข้อกฎหมาย  และไม่ค่อยรู้จักใครแล้ว  มันยังเสือกไม่มีใจรักที่จะเป็นทนายความด้วย  และตอนนั้นมันเพิ่งจะได้เป็นลูกจ้างชั่วคราวของมหาวิทยาลัยแห่ง หนึ่ง  โชคดีที่ได้รู้จักอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่จะสามารถสนับสนุ นให้มันเลื่อนฐานะเป็นลูกจ้างประจำและข้าราชการประจำไปในที่สุด ได้  และอาจารย์คนนี้เป็นคนหนึ่งที่เลื่อมใสศรัทธาพระภิกษุรูปนี้  และติดต่อให้มันเป็นทนายความต่อสู้คดีให้พระ  รวมทั้งเป็นคนกำหนด เงื่อนไขของการแพ้ไม่ได้ให้กับมันด้วย 

ตอนนั้นผมก็ยังอ่อนเยาว์ทั้งในฐานะทนายความและต่อโลก   เลยนึกไม่ออกว่ามันมีความจำเป็นอะไรที่พระภิกษุจะแพ้คดีชาวบ้าน ไม่ได้  โดยเฉพาะในเมื่อพิจารณาทั้งจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายโดยละเอี ยดแล้วก็ไม่มีหนทางใดๆ ที่จะพลิกแพลงรูปคดีได้เลย  จนกระทั่งไอ้นพพาผมไปพูดคุยกับอาจารย์คนนี้แหละผมถึงได้รับรู้ว ่าการพ่ายแพ้คดีนั้นอาจหมายถึงการเสื่อมศรัทธาของคนทั่วไปที่มี ต่อพระด้วย  ซึ่งเป็นเรื่องที่พระจะยอมเสี่ยงไม่ได้อย่างเด็ดขาด

ผมหายแปลกใจแล้วว่าทำไมไอ้นพถึงไม่เชื่อฟังตอนที่ผมแนะนำให้มัน ขอประนีประนอมด้วยการขอลดยอดหนี้หรือขอผ่อนชำระให้แก่โจทก ์  ซึ่งเป็นวิธีการง่ายๆ ที่ทำกัน   แต่ที่ไม่หายไปซ้ำกลับพอกพูนขึ้นก็คือความอึดอัดใจ   ภาระของไอ้นพที่ตอนนั้นถูกโอนมายังผมทั้งหมดแล้วมีเป้าหมายที่ม ืดแปดด้านจริงๆ  จนแม้คืนนั้นผมจะลองนอนคิดอีกทั้งคืนก็ยังมองไม่เห็นช่องทาง

 


เช้าวันรุ่งขึ้น  เราออกเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปยังอำเภอพร้าว    เพราะสมัยนั้นยังมีการส่งผู้พิพากษาจากศาลจังหวัดเชียงใหม่ไปนั ่งพิจารณาคดีที่นั่น  โดยอาศัยสถานที่ของที่ว่าการอำเภอพร้าวทำเป็นห้องพิจารณา  และเรียกเป็นภาษาราชการว่า ศาลเคลื่อนที่ประจำอำเภอพร้าว

เราแวะกินข้าวมื้อเช้าที่บ้านโยมของพระก่อนที่จะไปศาล  ที่นั่นทำให้ผมยิ่งเครียดกับภารกิจที่ได้รับนั้นมากขึ้นเพราะมี ชาวบ้านมาคอยต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แถมไอ้นพดันเสือกบอกกับคนพวกนั้นว่าผมเป็นทนายความฝีมือดีที่มั นจุดธูปเชิญมาจากกรุงเทพฯ เสียอีก

ตอนรถแล่นออกจากบ้านนั้น  สายตาหลายคู่ที่แสดงการฝากความหวังทั้งหมดไว้กับผมทำให้ผมแอบอธ ิษฐานขอให้มีเครื่องบินสักลำบินมาตกใส่รถที่ผมนั่งอยู่นั้นเสีย   แต่คำอธิษฐานของผมไร้ผล

 


ขณะที่รถค่อยๆแล่นผ่านประตูรั้วของที่ว่าการอำเภอพร้าวเข้าไป  ไอ้นพชี้ให้ผมดูรถเบ๊นซ์ 300 ป้ายแดงซึ่งจอดอยู่พร้อมบอกผมว่าฝ่ายโจทก์มาถึงก่อนเราแล้ว  

แสงแห่งความหวังเจิดจ้าขึ้นมาในความคิดของผมทันที  ผมรีบบอกให้ไอ้นพชี้ตัวโจทก์ให้แล้วโอนภาระงานธุรการเกี่ยวกับก ารติดต่อกับศาลทั้งหมดให้มันก่อนที่จะเข้าไปยกมือไหว้ทักทายคู่ ความฝ่ายตรงข้าม


 พ่อเลี้ยงครับ   ผมเอ่ยทักก่อนที่จะแนะนำตัว

 ผมขอรบกวนคุยกับพ่อเลี้ยงสักนิด   คือผมคิดดูแล้วว่าคนระดับพ่อเลี้ยงไม่น่าจะลงทุนขับรถมาจากน่าน เพื่อฟ้องคดีนี้เลยนี่ครับ

 ผมต้องการพิสูจน์ว่าตุ๊ตนนี้บ่ดี พ่อเลี้ยงตอบเสียงเครียด

 ไม่ดียังไงบ้างครับ  ผมก็ไม่รู้จักหรือสนใจอะไรท่านมาก่อนหรอก  คดีนี้เพื่อนมันขอให้ผมมาช่วยผมก็มา  ยังไม่รู้เรื่องอะไรในคดีนี้มากด้วยซ้ำ

ได้ผลแฮะ  พ่อเลี้ยงระบายความอัดอั้นใจให้ผมฟังเสียยืดยาว  ซึ่งผมก็ฟังด้วยความเห็นอกเห็นใจ


 

 พ่อเลี้ยงคงไม่มีโอกาสทำอย่างที่ตั้งใจหรอกครับ  ผมติงหลังจากพ่อเลี้ยงเล่าความเป็นมาจบแล้ว

 ในศาลนี่เราไม่ได้มีโอกาสให้การนอกเรื่องนอกราวตามใจเรา  อย่างคดีนี้ประเด็นมีแค่ว่าเช็คนี่พระลงชื่อสั่งจ่ายแล้วก็มีคน เอาไปจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างที่ซื้อจากพ่อเลี้ยง   เรื่องอื่นๆที่พ่อเลี้ยงเล่าให้ผมฟังนี่มันนอกประเด็นนะครับ  ผมพักหายใจหายคอบ้าง   ผมเชื่อว่าพ่อเลี้ยงไม่ได้โกหกผม  แต่พ่อเลี้ยงก็น่าจะเชื่อผมบ้างว่าพ่อเลี้ยงไม่มีโอกาสเอาเรื่อ งนอกประเด็นมาพูดได้มากขนาดนั้นหรอก 

ถึงตอนนี้พ่อเลี้ยงอึ้งไป

 คดีนี้พ่อเลี้ยงชนะแน่นอนครับ  แต่พ่อเลี้ยงจะไปยึดทรัพย์พระถึงในวัดเชียวหรือ  แล้วทรัพย์สินเหล่านั้นก็มาจากศรัทธาชาวบ้านทั้งนั้นด้วย  ตอนท้ายนี่ผมอาศัยความรู้ว่าชาวล้านนามีความเชื่อเคร่งครัดเรื่ องไม่ควรเอาของวัดมาเป็นของตน

 ได้มาเท่าไหร่ผมก็จะเอาไปทำบุญทั้งหมด  พ่อเลี้ยงตอบไม่ทันขาดคำเจ้าหน้าที่ศาลก็เรียกให้รีบเข้าห้องพิ จารณาเพราะผู้พิพากษากำลังจะขึ้นนั่งบนบัลลังก์ 


 

เมื่อเข้าไปในห้องพิจารณาซึ่งอยู่มุมสุดของอาคารชั้นล่าง  ผมมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นชาวบ้านยืนกันสลอน  ลองกะประมาณด้วยสายตาก็คงสักสองร้อยคนขึ้นไป   ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชาวบ้านเหล่านี้คอยเอาใจช่วยฝ่ายไหน 

ทันทีที่ศาลเริ่มดำเนินกระบวนพิจารณา  ผมรีบแถลงต่อศาลว่าผมได้คุยอะไรกับพ่อเลี้ยงมาบ้าง และเน้นว่าไม่อยากเห็นคดีนี้ลงเอยอย่างน่าอเน็จอนาถต่อความรู้ส ึกของชาวพุทธ  ปิดท้ายด้วยการเสนอขอให้โจทก์เอาเงินจำนวนนั้นทำบุญกับวัดที่จำ เลยจำพรรษาโดยไม่ต้องไปทำบุญที่อื่น 


 โจทก์จะว่าอย่างไรล่ะ  ศาลว่าที่ทนายจำเลยเขาเสนอมานี่ก็ดีนะ  ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นคล้อยตามผมช่วยไกล่เกลี่ย

  ผมไปทำบุญที่อื่นดีกว่าครับ  เพราะถ้าทำที่นี่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเอาเงินผมไปทำอะไร  

 ทำไมจะต้องคิดมากขนาดนั้นล่ะ  ผู้พิพากษาติง   คนเราทำบุญมันสำคัญตรงได้ทำ  ทำแล้วก็อิ่มเอิบใจ  ไม่ต้องเก็บมาวิตกวิจารณ์อะไรหรอก

 ผมกลัวว่าเงินจำนวนนี้จะไม่เข้าวัดจริงน่ะสิ  พ่อเลี้ยงไม่วายอิดเอื้อน

 เรื่องนี้หมดห่วงได้เลยครับ ผมได้โอกาสพูดบ้าง   วัดทุกแห่งต้องอยู่ในการดูแลของกรมการศาสนา ต้องทำบัญชี  ถ้าพ่อเลี้ยงยินดีตามที่ผมเสนอแล้วทางวัดก็จะต้องออกใบอนุโมทนา บัตรให้เป็นหลักฐาน  แบบนี้พ่อเลี้ยงก็มั่นใจได้เลยว่าเงินต้องเข้าวัดแน่

ถึงตอนนี้พ่อเลี้ยงหันไปสบตาทนายความของตนในเชิงขอความคิดเห็น  ก่อนที่จะยอมถอนฟ้องคดีนั้น   แลกกับการที่มีผู้ที่ศรัทธานับถือพระออกเงินบริจาคเท่ากับทุนทร ัพย์ของคดีแล้วให้วัดออกใบอนุโมทนาบัตรให้แก่พ่อเลี้ยงเพื่อเป็ นหลักฐานยืนยันว่ามีเงินเข้าบำรุงวัดตามจำนวนนั้นจริง 


 

ผมเดินออกจากห้องพิจารณามาอย่างยิ้มย่อง  ในที่สุดคดีนี้ฝ่ายจำเลยก็ไม่ได้แพ้  ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ฝ่ายตรงข้ามสามารถกินเลือดกินเนื้อได้เลย ถ้าตัวจำเลยโผล่หน้ามาให้เห็น   แต่ตอนนี้เขาถอนฟ้องไปแล้ว   และถ้าผมเดินออกไปถึงกลุ่มชาวบ้าน  พวกเขาคงจะรุมล้อมแสดงความชื่นชมยินดีกับผม   

ชาวบ้านกำลังสลายกลุ่มทยอยกันกลับ   แต่ไม่มีใครสักคนให้ความสนใจผม   ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มหรือการสบตาทักทาย

ผมรู้สึกเก้อกับสถานการณ์ตอนนั้น  งุนงงด้วยความแปลกใจจนกระทั่งได้ยินชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์ถึงเห ตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งผ่านพ้นไปตามความรู้สึกของพวกเขา และคนหนึ่งพูดว่า

 บารมีตุ๊แต๊ๆ    เปิ้นตึงยอมถอนฟ้อง 

หรือว่าไม่จริง  อิ ๆ ๆ ๆ ๆ.................................?
ใช่มะ.........................................?				
3 สิงหาคม 2547 16:37 น.

ทำนายรัก...ทำนายฝัน

สุชาดา โมรา

ผมเป็นนักโบราณคดีอยู่ที่กรมศิลปากร  อาชีพหลักของผมคือสอนหนังสือแต่ที่จริงใจผมอยากไปขุดเจาะหาร่องรอยทางประวัติศาสตร์มากกว่าเพราะผมชอบและถนัดทางด้านนี้  แต่มันติดตรงที่ว่ายังไม่มีแหล่งข้อมูลใหม่ ๆ ที่พวกเราจะไปเก็บข้อมูลและทำการขุดน่ะสิ...
	.......ในคืนที่เงียบสงัดผมเดินออกไปที่หลังบ้านคนเดียว  ผมรู้สึกเหมือนใครกำลังจ้องมองผมอยู่  พอผมหันไปก็ไม่มี  จู่ ๆ สายลมก็พัดวูบมาทั้ง ๆ ที่ใบไม้ไม่กระดิกเลยแม้แต่นิดเดียว  มันถึงกับทำให้ผมขนลุกซู่ขึ้นมาทันที...  ผมหันไปที่ข้างหลังผมเห็นอะไรขาว ๆ ลอยผ่านหน้าผมไป  ผมรู้สึกกลัวมากจึงวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเลย  ทำไมแถวบ้านจากที่มีแต่ตึกกลับกลายเป็นป่าไปได้  ผมรู้สึกกลัวและสังหรณ์ใจไม่ดีเลย  ยิ่งผมเร่งฝีเท้าก็ยิ่งเหมือนถูกจ้องและถูกไล่ตามมากเท่านั้น  โอ๊ย....!!!! ผมสะดุดตอไม้ล้ม  ที่ขามีรอยกรีดเหมือดถูกมีดบาด  เลือดค่อย ๆ ซึมออกมาและก็หยดลงไปที่พื้น  ทำไมบาดแผลนิดเดียวจึงมีเลือดออกมามากขนาดนี้เนี่ย...  ผมรู้สึกเหมือนใครบางคนกำลังจ้องมองผมอยู่ผมจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเธอสวยมาก  เธอมายืนจ้องมองผม  เธอยิ้มแล้วก็ผยุงตัวผมขึ้น  "คุณมาทำอะไรที่นี่ในยามดึกดื่นป่านนี้  ขอบคุณนะที่ช่วยผม"  ผมถามเธอในใจแต่เธอกลับตอบผมเสียนี่  "ไม่เป็นไรค่ะ  บ้านฉันอยู่ที่นี่ตรงนี้  คุณหลวงฉันรอคุณอยู่  มองดูสินี่มันบ้านของเรา......."
	เฮือก..........!!!!
	ผมสะดุ้งตื่นจนสุดตัว  ผมฝันไปหรือนี่  เฮ้อ...ทำไมมันจึงเหมือนจริงได้ขนาดนี้....ผมเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้วก็เดินไปนั่งดูทีวี  พอผมเปิดทีวีก็เห็นเป็นภาพผู้หญิงคนนั้นจึงทำให้ผมต้องขยี้ตาหลายที  ผมตาฝาดไปเอง

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ				
3 สิงหาคม 2547 16:34 น.

ทรัพย์ธรนินทร์

สุชาดา โมรา

ท่านผู้หญิงผอบแก้วเป็นภรรยาเอกมีบุตรธิดาด้วยกัน 4 คน  คุณเรณูเป็นลูกสาวคนโตเธอเป็นคนสวยเรียบร้อยอ่อนหวานหัวอ่อน  ออกเรือนไปกับเจ้าคุณรัตนาซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับพ่อของเธอ  คุณปราบเป็นบุตรคนรองชีววิตของเธอค่อนข้างผาดโผน  ความฝันของเธอคืการได้เป็นนายทหารให้สมหน้าสมตากับชาติตระกูล  และเธอก็ทำสำเร็จเธอได้เป็นถึงพระยาปราบราชบดินดร์  แต่เธอก็มิใคร่ที่จะหาลูกสาวบ้านไหนมาเป็นภรรยาถึงแม้ว่าคุณหญิงและเจ้าคุณพ่อของเธอจะจัดหาให้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม  คุณเทพเป็นบุตรคนที่สามไม่ได้รับราชการเพราะเธอถนัดการค้าขายเธอจึงไม่เคยอยู่ติดกับบ้านเหมือนคุณปราบ  เธอมักจะล่องสำเภาตามแบบอย่างของคนจีนเพื่อไปเร่ขายสินค้าที่จีนบ่อย ๆ เธอจึงแต่งงานกับลูกเจ้าสัวจีนไล้ที่อยู่เมืองจีนชื่อเหมยลี่  มีลูกด้วยกันสองคน  ชื่อลูกท้อและตี๋น้อย  ส่วนคุณโสภีลูกสาวคนเล็กเธอเป็นคนสวยมากเรียบร้อยอ่อนหวาน  เด็ดเดี่ยวและไม่เคยยอมคน  เธอค่อนข้างหัวทันสมัยเพราะเธอเป็นลูกสาวคนเดียวที่ได้เรียนหนังสือ  มีผู้ชายหลายคนมาสู่ขอแต่เธอก็ไม่ตกลง  เธอยอมที่จะขึ้นคานดีกว่าที่จะเป็นเหมือนครอบครัวของตัวเอง  ทรัพย์สินธุ์ทุกอย่างในบ้านจึงตกเป็นของเธอเพราะคุณปาบก็ไม่ใคร่ที่จะอยากได้ของบรรพบุรุษเนื่องจากเธอมีบ้านหลวงพระราชทานอยู่แล้ว
	ส่วนบรรดาภรรยาน้อยของท่านเจ้าพระยาบริบาลย์อุดมศักดิ์มนตรีนั้นไม่มีบุตรหรือธิดาเนื่องจากท่านผู้หญิงผอบแก้วนั้นเธอเป็นคนร้ายกาจถึงแม้ว่าเธอจะยอมให้สามีมีภรรยาหลายคนแต่เธอก็ไม่ยอมให้ภรรยาน้อยคนใดหรือเมียบ่าวคนใดมีลูกได้เลย  เธอจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เมียของท่านมีลูกได้  ไม่ว่าจะเป็นการเอาน้ำมะนาวกรอกลงไปในมดลูกหรือแม้แต่การทำแท้งก็ตาม  เพราะเธอไม่อยากให้ลูกของเมียคนใดได้สมบัติไป  เธอจะมีบ่าวที่สนิทอยู่สองคนคือนางรื่น  นางแดง  นางมา  และนางสาย  ซึ่งบ่าวพวกนี้มักจะทำการสำเร็จโทษบรรดาเมีย ๆ ของท่านทุกคนเพื่อไม่ให้มีลูกได้
	"โอ๊ย....!!!!อย่า...ท่านคะช่วยด้วย...เมตตาอิฉันเถอะ....กรี๊ด......!!!!!"
	เสียงกรีดร้องจากความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานแสนสาหัสของภรรยาน้อยทุกคนที่หลังจากถูกเรียกตัวไป...ก็จะถูกบ่าวทั้งสี่มาลากตัวออกไปจากห้องเพื่อไปสำเร็จโทษที่เรือนหลังเก่าท้ายที่  ถึงแม้ว่าท่านเจ้าพระยาจะรู้แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรคุณผอบแก้วได้เพราะเธอเป็นถึงเมียพระราชทานมาจากข้างใน...  ทุก ๆ ครั้งที่บ่าวทั้งสี่ทำการสำเร็จโทษนั้นคุณผอบแก้วก็มักจะไปควบคุมด้วยตนเองเสมอ
	"อย่าดิ้นหรือร้องไปเลยนางลำไย  ช่วยไม่ได้นี่ที่เธอมาเป็นเมียของท่าน  มันก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอที่จะมาเทียบตำแหน่งกับฉัน"
	"อิฉันก็เป็นถึงลูกเจ้าพระยาทำไมต้องทารุณกับอิฉันอย่างนี้..."
	"ทนไม่ได้ก็ต้องทน  ฉันจะไม่ให้แกหนีรอดไปได้หรอก...มานี่  อวดดีดีนัก....!!!!"
	เพี๊ยะ  เพี๊ยะ  เพี๊ยะ.........!!!!
	คุณผอบแก้วหัวเราะชอบใจที่ได้เห็นความทุกข์ของภรรยาน้อยของท่าน...  หลายคนแล้วที่ต้องตายไปเพราะการทรมานของคุณผอบแก้ว  ภรรยาหลายคนทนไม่ไหวถึงกับผูกคอตายบนขื่อบ้านคนแล้วคนเล่าจนเหลือภรรยาที่ตบแต่งมาเพียง 4 คน  คือคุณผยอม  คุณไฉไล  คุณอัญชัญ  และคุณไข่มุก

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...				
3 สิงหาคม 2547 16:30 น.

ฝัน...คนละใบ

สุชาดา โมรา

เล็กชอบเพลงพวกนี้หรือ  

เขาพลิกหน้าหนังสือเพลงค่ายอาสาพัฒนาชนบทที่วางอยู่ตรงหน้า

           ชอบเกือบทุกเพลงค่ะ

           และเล็กก็เล่นเพลงพวกนี้ได้

           ค่ะ

 

           ดวงจันทร์กลมโตพ้นปลายไม้ด้านตะวันออกราวสองคืบสาดกระจ่างทั่วช านบ้านด้านไม่มุงหลังคาแลเห็นกระถางดอกไม้ป่าแจ่มชัด     กระนั้นแสงเทียนก็ยังทำหน้าที่ขับความมืดหม่นตรงหน้าระหว่างคนส องคนอยู่อย่างซื่อตรงและเป็นผล

           บ้านหลังนี้ชาวบ้านสร้างเป็นบ้านพักครูหลังแรกของโรงเรียนป่าเต ็งวิทยา  ส่วนหลังที่สองที่อยู่ถัดไปเป็นบ้านพักครูจากงบประมาณของรัฐ  บ้านหลังที่สองดูสวยงามต่างจากหลังที่หนึ่งลิบลับ แต่กนกวรรณก็เลือกบ้านหลังแรกแม้ครูอีกคนในโรงเรียนเสนอให้เธออ ยู่บ้านพักหลังที่ดีกว่า

           พิษณุนั่งเอนหลังพิงหมอนสามเหลี่ยมที่วางอยู่ชิดเสาหันหน้าไปทา งเหนือ     กนกวรรณยังประคองกีตาร์นิ่งคล้ายเหม่อมองจันทร์แต่ไม่ใช่  เธอยังไม่ขยับนิ้วเล่นสายใด ๆ   ในความนิ่งงันชั่วครู่มีแต่เสียงน้ำตกที่ห่างออกไปไม่เกินห้าสิ บเมตรได้ยินเสียงซ่าซ่าซู่ซู่อยู่อย่างนั้น     ชายหนุ่มเดินทางมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น  ระยะทางเกือบสองร้อยกิโลเมตรห่างจากตัวจังหวัดอาจดูไม่ไกลสำหรั บเขากับโฟวีลไดรฟ์สีเข้มที่จอดอยู่หน้าบ้านพัก   แต่มันก็ทุลักทุเลเอาการเพราะต้องไต่มาตามทางชันแคบ ๆ ร่วมสิบสามกิโลเมตรกว่าจะถึงโรงเรียนบ้านป่าเต็งวิทยา

           ทั้งพิษณุและกนกวรรณต่างเป็นเพื่อนร่วมคณะแต่ต่างสาขา ของมหาวิทยาลัยในภูมิภาค  ฝ่ายชายเลือกที่จะทำงานกับบริษัทเอกชน  แต่ฝ่ายหญิงเลือกที่จะเป็นครูตามความใฝ่ฝันวัยเด็ก

           เล็กไม่คิดเปลี่ยนใจหรือ

           ก็ไม่แน่ค่ะ     อาจจะเปลี่ยนเร็ว ๆ นี้ก็ได้  

เธอตอบออกไปอย่างนั้น  แต่ความจริงเธอยังรู้สึกห่วงใยแววตาแป๋วแสนซื่อของเด็กบ้านป่าล ูกศิษย์ของเธอ

           ไปทำงานกับผมไหม  มีตำแหน่งโปรโมตขึ้นใหม่  คิดว่าเหมาะกับเล็กมาก

           เป็นยังไงคะ

           เป็นงานฝ่ายอบรมและพัฒนาบุคลากร   ก็เหมือนกับที่เล็กทำตอนนี้   เพียงแต่เป็นทำกับผู้ใหญ่เท่านั้นเอง     เงินเดือนมากพอที่เล็กจะออกรถสบาย ๆ ในหนึ่งปี

           หรือคะ

           หญิงสาวเริ่มเกาสายกีตาร์ เป็นบทเพลงเปลี่ยวเหงาแห่งค่ำคืนของคนที่พลัดหลงไปบนเส้นทางอัน ไม่คุ้นเคย   คนฟังไม่รู้จักเพลงนั้น  ถ้าเธอเล่นเพลงสากลเก่า ๆ ยังจะรู้จักดีกว่า

           ถ้าเล็กตัดสินใจ  พรุ่งนี้ผมจะเข้าไปติดต่อเดินเรื่องย้ายให้    ผมมีญาติที่อยู่ข้างในและรู้จักกับนักการเมืองด้วย

           เขาพูดแทรกเสียงจากสายคีย์ไมเนอร์ ส่วนหญิงสาวยังไม่ตอบรับและปฏิเสธ  ความอึดอัดจึงเริ่มแผ่คลุมหัวใจเขา   แต่ในใจของเล็กนั้นก็ยากที่ใครจะรู้   เธออาจอยากได้ยินถ้อยคำอย่างหนึ่งอย่างใดให้ชัดเจน  หรืออาจอยากให้คืนนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว หรือสว่างเสียที เพื่อทีจะได้กลับไปอยู่กับแววตาซื่อ ๆ ของเด็กน้อย

           ณุคะ   เล็กขอคิดดูก่อนได้ไหมซักเดือนนึง แล้วเล็กจะเขียนไปบอก

           นั่นเป็นคำพูดสั้น ๆ ที่ให้ความหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ แก่หนุ่มหล่อมีอนาคตในการที่เขาบากบั่นเข้ามาเยี่ยมเพื่อนสาวหน แรกนี้  

           รุ่งเช้าฝุ่นแดงทิ้งตัวลงแล้วหยุดนิ่งหลังจากรถขับเคลื่อนสี่ล้ อจากไปไม่นาน

 

           ครูคะ  แฟนของครูมาเยี่ยมหรือคะ  เด็กน้อยท่าทางฉลาดที่สุดในห้องถามซื่อ ๆ

           เพื่อนของครูจ้ะ   เขาแวะมาเยี่ยม

           เขาทำงานอะไรคะ   ดูโก้จัง

           เขาทำงานในบริษัท

           พวกเรากลัวครูจะจากพวกเราไป

           ไม่หรอกจ้ะ  ครูจะอยู่กับพวกหนูที่นี่

           เด็กน้อยแย้มยิ้มดีใจ น้ำตาเอ่อไหลยินดี

 

OOOOOOOO

 

           สมปอง  เป็นครูสอนอยู่ที่นี่ก่อนหน้ากนกวรรณไม่นานนัก  ก่อนหน้านี้เขาพักอยู่กับชาวบ้าน  พอหญิงสาวเดินทางมาบรรจุทำงานที่นี่เขาก็เข้ามาอยู่บ้านพักด้วย ความเป็นห่วงเธอ    ถึงแม้ว่าบ้านพักครูกับบ้านชาวบ้านจะห่างกันไม่มากนักแต่หญิงสา วก็เป็นคนตัวคนเดียวจากต่างถิ่น

แถมไม่อยากเข้าไปพักกับชาวบ้านตามคำขอของผู้ใหญ่บ้านเสียด้วย เธอกลัวว่าจะเป็นการรบกวนสร้างความยุ่งยากให้ชาวบ้านนั่นเอง

           สมปองยังไม่แต่งงานด้วยเหตุผลง่าย ๆ คือยังไม่พร้อม  แม้ว่าจะมีสาวชาวบ้านหน้าตาดีมาแสดงความสนใจใยดีมากมายอย่างไรก ็ตาม   เขาว่าเขาต่ำต้อยเกินจะเอ่ยคำว่ารักกับใคร  ชายหนุ่มจึงมีแต่ท่าทีสงบเสงี่ยมเจียมตัว  ในขณะที่หญิงสาวในหมู่บ้านหลายคนกล่าวหาว่าเขาเย่อหยิ่งถือตัว  เขาได้ยินก็ยิ้มแล้วปล่อยให้ผ่านเลย   หนุ่มโสดไร้พันธะจึงขึ้นเขาลงห้วยไปไร่ไปสวนกับชาวบ้านได้อย่าง เสรี

           พี่สมปอง  กลับบ้านบ้างหรือเปล่า    ตั้งแต่หนูมาเห็นพี่ไปโน่นไปนี่กับชาวบ้าน  ไม่เห็นพี่เข้าเมืองเลย

           ครูหนุ่มสาวคุยกันระหว่างอาหารมื้อเที่ยงที่เพิงกินข้าวข้างอาค ารเรียน

           พี่เพิ่งกลับไปเยี่ยมบ้านเมื่อสองเดือนนี่เอง  พ่อกับแม่ว่าพี่แก่ดำคล้ำไปเยอะ

           เขาหัวเราะหึ ๆ  หญิงสาวก็พลอยยิ้มกว้างไปด้วย  เด็กที่กินข้าวอยู่ใกล้ ๆ มองครูของพวกเขาอย่างชื่นชม

           หนูอยากใช้ชีวิตอย่างพี่จัง  ทำโน่นทำนี่คงไม่เหงา

           ก็ไม่ใช่พี่ไม่เหงานะ  เวลาว่าง ๆ มันก็มีบ้าง    แต่ส่วนใหญ่พี่ก็ไม่ให้มันว่าง ออกไปคุยกับคนเฒ่าคนแก่  เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่เราไม่ต้องปลูก  ที่สนุกกว่านั้นคือลงไปลุยกับเขา ขึ้นเขาลงห้วย หาปูหาปลา ทำไร่ทำนาอะไรก็ว่าไป  มีอะไรที่เรายังไม่ได้เรียนรู้อีกมาก

           หนูเพิ่งรู้จักชาวบ้านไม่กี่คนเลย

           ก็ไม่เป็นไร   ถ้าอยากเรียนรู้ก็เริ่มจากคนที่เราสนิทสนมรู้จักและไว้ใจก็ได้   น้องอยากไปช่วยเขาเกี่ยวข้าวขนข้าวไหมล่ะ

           อืม  น่าสนใจ   ถ้าพี่ไปชวนหนูได้ไหมคะ

           เดี๋ยวพี่จะบอกนะ

           ขอบคุณค่ะ

 

           สมปองกับกนกวรรณสอนนักเรียนคนละ 3 ชั้น ครูใหญ่ช่วยบ้างเป็นบางครั้ง ก่อนหน้านี้โรงเรียนป่าเต็งวิทยามีครูหลายคนแต่ก็ย้ายเข้าเมือง กันหมด  ครูใหญ่เป็นครูที่พักอยู่ต่างหมู่บ้านออกไป  เขาเข้ามาโรงเรียนสลับกับออกไปข้างนอกอยู่เสมอ    ครูในบ้านพักครูจึงต้องอยู่กันอย่างเอื้อเฟื้อเอื้ออาทรทั้งชั่ วโมงสอนและการใช้ชีวิต

           ปีนี้ชาวบ้านป่าเต็งปลูกข้าวได้ผลดีเพราะน้ำท่าอุดม  พวกเขาลงแขกเกี่ยวข้าวจนแล้วเสร็จและกำลังขนขึ้นลานเพื่อนวดก่อ นขนขึ้นยุ้ง   สมปองกับกนกวรรณมาช่วยชาวบ้านขนข้าวขึ้นลาน  ชาวบ้านซึ่งเป็นผู้ปกครองของนักเรียนในชั้นที่กนกวรรณสอนปลื้มอ กปลื้มใจมากคาดไม่ถึงว่าครูทั้งสองจะมาช่วย 

           อาหารบ้านป่าอร่อยไหมครับแม่ครู

           เจ้าของลานนวดข้าวเอ่ยถามขณะล้อมวงกินข้าวเที่ยงกันใต้ร่มไม้ให ญ่

           อร่อยมากค่ะ

           อาหารมื้อเที่ยงที่รสชาติไม่เผ็ดร้อนจนเกินไปนักคือยำไข่มดแดง  นอกนั้นเผ็ดร้อนทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นผัดเผ็ดปูหินพริกไทยอ่อน , คั่วอ่อมตะกวดหนุ่ม , ต้มยำปลากั้ง  เผ็ดจนเหงื่อเม็ดโป้งๆผุดและย้อยเปียกชื้นไรผม

           หาเกลือมาให้แม่ครูหน่อย   แม่  

           เจ้าของนาหันไปบอกภรรยาของเขา  เพราะรู้ว่าเกลือจะช่วยให้ครูไม่รู้สุกเผ็ดร้อนทรมานเกินไป

           ครูสมปองกับแม่ครู  อยู่ด้วยกันที่นี่เถิดนะ ได้ไหม   พวกเราจะยกที่ดินให้ซักห้าสิบไร่กับปลูกบ้านหลังใหญ่ๆให้อยู่

           แหม  เล่นจีบกันดื้อ ๆ แบบนี้หนูก็เขินอายแย่ซิคะ   แต่ว่าที่ดินที่ดอนยังมีเหลืออยู่เยอะขนาดนั้นหรือคะ  เห็นครูสมปองบอกว่าแถวนี้เป็นป่าสงวน

           เขามาสงวนกันตอนหลังนี้ดอกแม่ครู    พวกเราตั้งหมู่บ้านอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แปดสิบปีที่แล้ว โรงเรียนหมู่บ้านและวัดวามันอยู่ในที่สงวนหมดแหละถ้าจะว่าตามนั ้น     แต่ว่าแม่ครูก็ยังไม่ตอบคำถามของพวกเราอยู่ดี

           ให้เวลาหนูคิดดูก่อน  นะคะ

           ไม่เป็นไรครับ  ตามใจแม่ครูก็แล้วกัน   พวกเรายินดีมากที่ครูมาสอนลูกหลานพวกเราที่นี่  พวกเขาจะได้ฉลาดทันเล่ห์เหลี่ยมคนในเมืองบ้าง

           เย็นย่ำและค่ำนั้นหลังจากสมปองกับกนกวรรณกลับบ้านพักอาบน้ำอาบท ่าแล้วต่างคนต่างม่อยหลับไปง่ายดายด้วยความเหน็ดเหนื่อยแต่เป็น สุขบนบ้านพักของแต่ละคน

 

 

OOOOOOOOOOOO

 

           

           ไม่ถึงเดือนพิษณุก็กลับมาอีกครั้งตอนสาย ๆ   พร้อมกับรถคันใหญ่ที่ยกสูงขึ้นใหม่  เขาเปิดเพลงเสียงทุ้มกระแทกดังมาแต่ไกล   ยิ่งใกล้เข้ามายิ่งก้องสะท้อนแปลกแยกกับหุบผาและป่าเขา  เมื่อรถจอดที่หน้าบ้านพักหลังแรกเครื่องเสียงกระหึ่มจึงสงบลงได ้  เขาขึ้นบ้านไปพบหญิงสาวที่นิ่งเงียบอยู่บนนั้น  เสียงพูดคุยกันหลายประโยคแต่น้ำเสียงดูไม่แจ่มใสนัก

           ครูสมปองเดินมาชะโงกหน้าถามหญิงสาว  

           ครูเล็กอยากได้อะไรไหมวันนี้พี่จะออกไปอำเภอกับผู้ใหญ่บ้าน

           ยังหรอกค่ะ  เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน  ขอบคุณมากนะคะ

           เมื่อสมปองเดินห่างไป พิษณุจึงเริ่มสนทนา

           เล็กไม่ไปกับผม  เพราะไอ้หมอนั่นใช่ไหม

           ณุไม่มีสิทธิ์ว่าอะไรเขาแบบนั้นนะ   และเหนืออื่นใดเล็กก็มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจอะไรเอง เห็นไหมคะ  แค่นี้ก็พอรู้แล้วว่าในความพร้อมของณุ มันเป็นคนละอย่างกับความพร้อมของเล็ก

           หญิงสาวพูดแล้วก็นิ่ง  ปล่อยให้ความอึดอัดดำเนินไปตามสภาพของมัน

           

           ขุนเขาลำเนาป่าก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง   หลังจากรถเสียงดังคันนั้นจากไปแล้วในตอนเที่ยงวัน  ครูสาวมีสีหน้าเหงาปนว้าวุ่น  ในใจของเธอนั้นบอกไม่ถูกว่าเป็นอย่างไรแน่   เวลาผ่านไปเร็วแต่เหมือนช้านัก  เย็นย่ำค่ำแล้ว  ครูสมปองยังไม่กลับมา  ส่วนเธอก็ยังกอดกีตาร์ตัวนั้นไม่เล่นเพลงใด ๆ				
3 สิงหาคม 2547 16:27 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 10 )

สุชาดา โมรา

เช้าวันใหม่แห่งวันอันสดใส  ฉันเดินเข้ามาในโรงเรียนแต่เช้าเข้ามาหาอาจารย์แฉล้มที่ห้องปกครอง  วันนี้เป็นวันที่อาจารย์เกษียณอายุราชการ  นักเรียนทุกคนต่างก็เศร้าใจรวมทั้งฉันด้วยคนหนึ่ง  ฉันเอามาลัยไปคล้องที่มืออาจารย์  อาจารย์ยิ้มให้ด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงเป็นใยฉัน  ฉันดีใจที่อาจารย์ยิ้มแต่ก็เสียใจที่อาจารย์จะไป  ใครหลายคนอยากให้อาจารย์ไปแต่ฉันอยากให้อาจารย์อยู่เพราะอาจารย์เหมือนที่พึ่งทางใจของฉัน...
	ฉันเข้าห้องเรียนด้วยจิตใจที่สงบ  ใกล้วันสอบปลายภาคเข้ามาทุกทีฉันจึงตั้งใจเรียนเป็นพิเศษด้วยความตั้งใจจริง  เพราะยิ่งแข่งกีฬาฉันก็จะยิ่งไม่มีเวลาอ่านหนังสือฉันจึงต้องตั้งใจพยายามเข้าใจในบทเรียนให้มากขึ้นเพื่ออนาคตที่ดีของฉัน 
	ข่าวร้ายของวันนี้ก็คือเหมี่ยวตั้งแก๊งใหม่  ทำตัวเกะกะระรานผู้อื่น  ในกลุ่มมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย  เหมี่ยวพยายามเป็มาเฟียของห้อง  ฉันเข้าใจดีว่าเหมี่ยวเสียใจเรื่องพี่นัท  แต่สิ่งที่ฉันเล็งเห็นความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคือเหมี่ยวจ้องจะทำร้ายฉันอย่างเห็นได้ชัด  คำพูดที่เสียดแทงใจฉันมันทำให้ฉันไม่อยากจะอยู่ในห้องนี้อีกเลย...
	หลังจากเลิกเรียนฉันเดินไปซ้อมยูโดเป็นปกติแต่วันนี้มันเหมือนวันที่แย่ ๆ อีกวันหนึ่ง  กลุ่มของเหมี่ยวเดินมาขวางฉัน
	"สนุกนักเหรอ"
	"เรื่องอะไร"
	"ก็มึงแย่งผัวกู  มึงยุผัวกูใช่ไหม  ทำไมมึงไม่บอกว่าพี่นัทมาแล้ว..."
	"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่นัทจะมายืนที่ข้างหลังเธอนี่"
	"ยังมาทำท่าเป็นนางเอกอยู่ได้  ระวังตัวไว้เถอะ  อย่าให้เผลอนะมึง..."
	แล้วเหมี่ยวก็ขึ้นรถเมย์ไปที่สมาคมฯทันที  ส่วนฉันก็เดินตามไปเรื่อย ๆ จนมาถึง  ฉันเจอพี่เจี๊ยบสาวสวยของเบาะฉันถึงกับปล่อยโฮทันที  ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ได้เข้มแข็งเหมือนทุกครั้ง  ฉันเล่าเรื่องราวให้พี่เจี๊ยบฟังพี่เขาก็ปลอบใจฉันและก็ให้ข้อคิดดี ๆ หลายอย่าง
	"ดาว...ใช้สตินะ  สู้สิอย่ายอมแพ้  เราไม่ผิดนี่เขาต่างหากที่ผิด  อย่าเสียใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย"
	"แต่มันหลายครั้งแล้วนะ  เหมี่ยวทำสงครามประสาทและก็สงครามทางใจกับดาวมาตลอดแต่คราวนี้มันหนักกว่าครั้งก่อน ๆ มันตั้งแก๊งและจ้องจะเล่นงานอยู่ตลอดเวลาจะให้ดาวทำยังไงดี"
	พี่เจี๊ยบปลอบใจอยู่นานจนฉันเดินเข้าไปแต่งตัวและก็ออกมาซ้อม  ฉันรู้สึกจิตใจสงบมากขึ้นเมื่อได้ระบายสิ่งที่เลวร้ายออกไป  วันนี้ฉันจึงตั้งใจซ้อมเป็นพิเศษเพื่อที่จะให้เหมี่ยวรู้ว่าเรามันคนละชั้นกัน  อย่าพยายามมาเทียบรุ่นกับฉันอีก
	"ดาว  มันต้องอย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าแกร่งทั้งนอกและใน"
	พี่เจี๊ยบเตือนสติตลอดจนฉันรู้สึกไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว  ฉันจะสู้  สู้ยิบตาทีเดียว....
	พี่ดอนไปแข่งชิงตัวเอเชียที่กรุงเทพฯ  ส่วนฉันก็อยู่ที่นี่อย่างเดียวดายเพราะไม่มีใครมาปกป้อง  พี่นัทก็ไม่สามารถช่วยเราได้หรอกเพราะพี่นัทไม่ได้เป็นแฟนเรา  ดู ๆ แล้วที่นี่ในขณะนี้ก้เห็นจะมีศิลานีอย่างพี่เจี๊ยบคนนี้แหละที่ฉันพอจะปรึกษาและพึ่งพาได้  พรุ่งนี้ฉันต้องเดินทางไปอุบลเพื่อที่จะไปแข่งชิงตัวเยาวชนทีมชาติฉันต้องแกร่งพอที่จะทำได้  ฉันจึงกลับบ้านไปด้วยจิตใจที่เบิกบานและรู้สึกว่าไม่กลัวอะไรทั้งนั้น
	เช้าแล้วอาจารย์ดนัยกลัวว่าฉันจะไม่ตื่นก็เลยโทรปลุกตั้งแต่ตี 4 ฉันจึงตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวและออกจากบ้าน  แต่ฉันก็เห็นอาจารย์ดนัยมายืนอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว  อาจารย์รับฉันขึ้นรถและก็มุ่งหน้าไปที่ชมรมเพื่อมารับนักกีฬาคนอื่น ๆ ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากทีเดียว  วันเสาร์นี้มันเป็นวันที่แสนสนุกของฉันจริง ๆ เลย
	ฉันเดินทางมากับนักกีฬาหลายคนเมื่อมาถึงอุบลฉันก็เอาสัมภาระไปเก็บที่ห้องและออกมานั่งฟังอาจารย์พูดเรื่องกฎต่าง ๆ ที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ถึง 1 อาทิตย์  หลังจากนั้นฉันกับพี่ๆ ก็ไปหาอะไรกินกัน  อาจารย์จ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงให้คนละ 3,000 บาทเราก็เลยเดินเที่ยวอย่างสบายใจ  แต่ฉันไม่ค่อยได้ซื้ออะไรหรอกนอกจากเดิน ๆ ดูเฉย ๆ ฉันกะว่าวันสุดท้ายค่อยมาซื้อ  อีกอย่างก็งกนิด ๆ ด้วย
	เฮ............
	เสียงผู้คนครึกครื้นกันเพราะจะได้แข่ง  การแข่งกระดับนี้มันเหมือนกระดูกชิ้นโตทีเดียว  ฉันรู้สึกว่าจะเจอแต่ทีมชาติที่เป็นเบอร์ 1 ทั้งนั้นเลย
	อาจารย์เรียกตัวไปให้ลงชื่อและชั่งน้ำหนัก  จู่ ๆ ฉันก็น้ำหนักขาดไป 1กิโล  ฉันรู้สึกกังวลใจมาก  อาจารย์จึงเอาเหรียญบาทใส่ถุงมาใส่ไว้ในกระเป๋าและเอาเสื้อยูโดมาให้ฉันใส่น้ำหนักก็เลยถึง 45 โล  ทุกคนดีใจมากทีเดียว  แต่ฉันก็รู้สึกเกร็ง ๆ มือเย็นจนต้องหักนิ้วอยู่หลายครั้ง  รู้สึกสั่น ๆ ยังไงไม่รู้แม็ทนี้มันน่ากลัวกว่าที่ผ่าน ๆ มาจริง ๆ
	"สาวน้อยมหัศจรรย์สู้เขา...สู้...!!!"
	พี่ทิพย์ยกแขนฉันขึ้น  พี่เจี๊ยบก็มากอดฉันไว้  พี่ ๆ คงรู้ว่าฉันกลัวก็เลยมาให้กำลังใจฉันจึงมีแรงใจที่จะสู้ถึงแม้ว่ารู้ตัวว่าคงผ่านไปได้ไม่เท่าไรนัก
	ฉันได้แข่งเป็นคู่ที่ 6 ฉันเดินลงมาที่สนามแข่งอย่างคนที่ใจตุ๊บตั้มตุ่มต่อมแต่ยังไง ๆ ก็จะสู้ไว้ลายให้เขารู้ว่าเราก็มีวิญญาณของนักกีฬายูโดเหมือนกัน
	"ฮาจิเมะ...!!!"
	เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น  ฉันได้ยินเสียงคำรามของคู่ต่อสู้ถึงกับสะดุ้ง  แต่ก็ยังเดินต่อไปเพื่อที่จะไปจับคอเสื้อ  ด้วยความที่สายข้างหน้าเป็นสายดำ  เขาทั้งเก่งและแกร่ง  ฉันพยายามจับคอเสื้อแต่ก็ทำไม่ได้  ในตอนนั้นฉันนึกถึงอาจารย์ดนัยและอาจารย์หลาย ๆ ท่าน  ฉันจึงนำท่าที่ฉันเรียนมาใช้รวมทั้งท่าของฉันด้วย  ฉันทั้งเกี่ยว ปัด  ทุ่มจนคู่ต่อสู้เสียการทรงตัว  จากนั้นฉันจึงเข้าไปซ้ำโดยที่คู่ต่อสู้ไม่ทันจะตั้งตัวทันด้วยท่าที่ฉันคิดขึ้นเองคือท่าไทเดบะ-ดุซุชิการิ
	"อิปโป้ง......!!!!"
	ฉันดีใจเหลือเกินที่ฉันชนะได้  เมื่อลงจากสังวียนก็เดินไปไหว้อาจารย์ทันที  และก็กอดพี่ทิพย์ไว้  ฉันรู้สึกหัวใจเบิกบานดีจริง ๆ
	คู่ต่อไปฉันต้องมาแข่งอีกคราวนี้รู้สึกว่ามันจะเป็นเขียงนะ  แต่หมายถึงฉันเนี่ยแหละที่จะเป็นหมูถูกเขียงทับ
	"ฮาจิเมะ...!!!"
	เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น  ฉันเดินหาจังหวะคู่ต่อสู้จนพบและเข้าท่าทุ่มทันทีด้วยท่าโมโนเตะ-เซโออินาเงะทันที
	"อิปโป้ง....!!!"
	ความฝันเริ่มใกล้เข้ามาทุกที  ฉันจะชนะได้ไหมหนอ  จะผ่านเข้าไปเป็นทีมชาติได้หรือไม่นะ  ฉันรู้สึกดีใจจริง ๆ ที่ชนะมาจนเกือบถึงเข้ารอบ 10 คนสุดท้ายแล้ว  คู่ต่อไปฉันแข่งแต่ครวนี้หนักหน่วงเหลือเกิน  คนที่อยู่ข้างหน้าเป็นอดีตแชมป์อาเซี่ยนและเป็นไทยทูบี  หมายถึงตัวจริงของเมืองไทยอันดับสอง  น่ากลัวที่สุด
 	"ฮาจิเมะ...!!!"  
	เสียงกรรมการสั่งให้เริ่มต้น  ฉันเข้าไปกระชากเสื้อคู่ต่อสู้ทันที  แต่เขากลับจับข้อมือฉันหักและบิดออก  ฉันรู้สึกเจ็บมากทีเดียว  คู่ต่อสู้คนนี้เล่เหลี่ยมแพรวพราวทีเดียว  นักข่าวก็จับภาพจนฉันรู้สึกเกร็ง ๆ ทำอะไรไม่ถูกไปซะทุกอย่าง
	"ฮาเน  มากิโคมิ...!!!"
	เสียงใครบางคนตะโกนขึ้น  ฉันจึงเข้าท่าฮาเน  มากิโคมิทันที  เป็นโชคดีของฉันจริง ๆ ที่คู่ต่อสู้หลังหระแทกพื้นได้อย่างสวยงามทีเดียว
	"อิปโป้ง...!!!"
	เสียงกรรมการพูดดังก้องหูของฉัน  คู่ต่อสู้ทำท่าทางไม่ค่อยพอใจที่ฉันชนะ  ฉันคำนับแล้วก็เดินลงจากสังเวียน  กรรมการเรียกคู่น้ำหนักรุ่นต่อไปทันที  ฉันเดินมาหาอาจารย์แล้วก็ยิ้มแก้มปลิทีเดียว
	"ขอบคุณนะคะอาจารย์ที่ช่วยหนู"
	"ไม่ใช่ครูหรอก  นั่นอาจารย์ของสมาคมยูโดกองทัพอากาศในพระบรมราชูประถัมป์ฯนั่นเขาเป็นคนบอก"
	"แล้วเขามาบอกหนูทำไมในเมื่อเขาน่าจะบอกคนของเขามากกว่า"
	"อย่าไปสนใจเลยเข้าไปขอบคุณท่านสิ  ท่านดังมากปั้นนักกีฬาระดับโลกมาแล้ว  เข้าไปฝากเนื้อฝากตัวสิอนาคตจะได้ไกล"
	ฉันจึงเดินไปขอบคุณอาจารย์ท่านนั้นและรู้ว่าอาจารย์ท่านนั้นชื่ออาจารย์สุพจน์  เป็นพันเอกพิเศษและเป็นโค้สของกองทัพอากาศ  ฉันดีใจมากที่ได้รู้จักท่าน
	"ไปอยู่กับเราไหม  แม็ทหน้าเป็นชิงแชมป์ระดับอาเซี่ยนที่ฟิลิปปินล์ครูอยากให้หนูไปเพราะท่าทางหนูไปได้..."
	อาจารย์ให้เบอร์มา  ฉันก็รับไว้เพราะฉันก็ต้องการที่จะก้าวไปถึงดวงดาวให้ได้  อาจารย์บอกว่าแข่งที่นั่นไม่ต้องมาแข่งกันเองและแข่งในนามทหารของกองทัพอากาศไทยที่จะไปแข่งกับกองทัพอากาศระดับอาเซี่ยนที่นั่นฉันจะต้องฟิตให้มากกว่านี้เพราะความหวังของชาติอยู่ในมือฉันแค่เอื้อมเท่านั้น
	คู่ต่อไปในการชิงดำชิงแดง 10 คนสุดท้าย  ฉันได้เข้ารอบมาอย่างหวุดหวิด  แต่ฉันก็เป็นกระดูกอ่อนให้พวกทีมชาติปีที่แล้วขบเขี้ยวแน่นอน  แต่ยังไง ๆ ฉันก็จะสู้ให้ถึงที่สุดเท่าที่พยายามฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดีเหมือนกันถึงแม้จะรู้ว่าแพ้ก็ต้องสู้
	"เอี้ย...!!!"  
	...เสียงร้องข่มคู่ต่อสู้ของฉันดังขึ้นพร้อม ๆ กับอารมณ์ที่บ้าครั่ง   ฉันไม่รู้สึกตัวเลยว่าฉันกระชากคอเสื้อคู่ต่อสู้สายน้ำตาลปลายดำคนนั้นแรงขนาดไหน ฉันคิดเพียงว่าจะไม่แพ้  ไม่แพ้  และก็ไม่มีวันแพ้... ฉันใส่ท่าโตโมนาเงะทันที
	"อิปโป้ง...!!!"
	เสียงกรรมการบอกว่าฉันชนะแล้วแต่ฉันก็ยังไม่รู้ตัว  ฉันใส่ต่อด้วยท่าล็อกเกซ่ากาตาเมะทันที  ฉันกดด้วยแรงอาฆาตนิด ๆ ของคนที่จะต้องไม่ยอมที่จะแพ้  หรือแม้แต่คิดฉันยังไม่ยอมคิดเลย  ทั้ง ๆ ที่ฉันก็ค่อนข้างตาขาวนิด ๆ เพราะเขาเป็นอดีตทีมชาติปีที่แล้วและเป็นคนตัวโต  เขาเล่นในรุ่นน้ำหนัก 50 กิโลในขณะที่ฉันเล่นในรุ่น 45 กิโล  แต่คราวนี้มีคนแข่งในรุ่นของฉันน้อย  ฉันจึงต้องพลาสขึ้นไปแข่งกับรุ่นที่ใหญ่กว่า...  แต่ถึงแม้ว่าคู่ต่อสู้จะตัวใหญ่กว่าแค่ไหน  ถ้าลองให้เลือดสูบฉีดทั่วร่างแบบนี้แล้วรับรองว่าฉันสู้ตายทีเดียว...จนกรรมการต้องเดินเข้ามามาสะกิดบอกว่าฉันชนะแล้ว  ฉันชนะอย่างไม่รู้ตัวเลยว่าฉันชนะ
	ฉันดีใจเป็นที่สุดเพราะไม่คิดว่าจะผ่านมาถึง  8 คนสุดท้ายได้  ฉันรู้สึกโล่งใจและตัวลอยทีเดียว  แม่หนูจะไปถึงดาวตามที่แม่ตั้งชื่อให้หนูแล้ว  แววดาวของหนูกำลังสดใสทีเดียว
	"ฮาจิเมะ...!!!"  
	เสียงกรรมการสั่งให้เริ่มต้น  ฉันเดินหาจังหวะของคู่ต่อสู้  พอจะเข้าไปกระชากคอเสื้อเขาก็หลบได้เร็วทำให้ฉันต้องเร่งความเร็วมากขึ้น  ภายในระยะเวลา 2 วินาทีฉันก็สามารถจับคอเสื้อของเขาได้  แต่ว่าเสียทีโดนเขาทุ่มตลอด 5 ครั้ง  เนี่ยแหละที่เขาเรียกว่ากระดูกแขวนคอ  ระดับทีมชาติอย่างพี่คนนี้ใครจะหาญไปสู้ได้  ถ้าทุ่มได้สักครั้งก็คงเป็นบุญของคน ๆ นั้นแล้วหละ....
	"อิปโป้ง....!!!!"
	ฉันรู้ตัวว่าแพ้โดยสิ้นเชิงแต่ฉันก็ดีใจที่ได้มีโอกาสมายืนที่จุดนี้  แม่หนูทำดีที่สุดแล้วค่ะ  ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการแพ้ครั้งแรกของหนูก็ตามแต่แม่ต้องเข้าใจว่านี่มันกระดูกระดับงาช้างทีเดียว...ฉันเข้าไปจับมือกับพี่คนนั้นและลงมาจากสังเวียนยูโดเข้ามากอดพี่ทิพย์แล้วก็ยิ้ม  ฉันไม่ได้รู้สึกเสียใจเลย
	"เก่งมากเลยแววดาว"
	เสียงนี้ถึงกับทำให้ฉันอึ้งเพราะฉันไม่เคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน  พอฉันหันไปก้เห็นพี่ที่แข่งกับฉันคนเมื่อกี้
	"พี่รู้จักหนูได้ยังไง"
	"ใครจะไม่รู้จักข่าวก็ลงออกบ่อยไป  โดยเฉพาะข่าวหนังสือพิมพ์ที่มีขายเฉพาะคนในวงการเท่านั้นแล้วเขาก็ต้องรู้ว่านี่คือใคร  เราออกจะดังจะตาย  1 ปีที่พี่ตามข่าวมาเธอนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆพี่ไม่อยากจะเชื่อเลยเธอนี่สมฉายาจริง ๆถึงแม้ว่าครั้งนี้จะแพ้แต่เธอก็ก้าวมาจุดนี้ได้พี่นับถือเธอมากเพราะกว่าพี่จะมาถึงจุดนี้ได้พี่ต้องใช้เวลาถึง 6 ปีทีเดียวแต่เธอมาภายในระยะเวลาไม่ถึงปีนี่ก็ยอดมาก ๆ เลยนะหวังว่าคราวหน้าเราคงได้เจอกันอีกนะ"
	ฉันแลกที่อยู่กับพี่คนนี้  ฉันดีใจมากที่มีคนรู้จักฉัน  วันนี้ถึงฉันจะแพ้แต่ฉันก็ได้อะไร ๆ หลาย ๆ อย่างกลับไปมากมายเลือดของยูโดที่อยู่ในกายฉันมันสามารถผูกไมตรีกับคนอื่น ๆ ได้ทั่วไปหมด  ฉันดีใจที่มีวันนี้...ขากลับฉันจึงซื้อของกลับไปมากมายด้วยเงินเบี้ยเลี้ยงของฉันเอง  ส่วนเงินที่แม่ให้มานั้นฉันไม่ได้ใช้จ่ายเลยสักนิด  อย่างน้อย ๆ เที่ยวนี้ก็มีเหรียญกล้าหาญกลับไปให้แม่ดูเป็นรางวัลนะแม่...

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...รับรองว่าเข้มข้นกว่าเดิมแน่นอนค่ะ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา