3 สิงหาคม 2547 16:20 น.

มั่นใจ...ว่ารัก (ยังไง?)

สุชาดา โมรา

เป็นครั้งที่ห้าแล้วนะของคืนนี้  ที่ผมลุกจากเตียงขึ้นมาทำอะไรงี่เง่าๆ ซ้ำซากวนเวียนอยู่อย่างนี้  เริ่มจากเดินวนไปวนมาเหมือนหนูติดจั่น  ดื่มน้ำ  จุดบุหรี่สูบ  เดินวนไปวนมาอีก  เข้าห้องน้ำ  หยุดยืนที่หน้ากระจก  จ้องมองภาพผู้ชายในนั้น  เราสบตากัน  ผมจ้องหน้ามัน  มันจ้องหน้าผม  ให้ตายเถอะ ! ผมโคตรเกลียดขี้หน้ามันเลย อยากจะซัดปากมันสักเปรี้ยง ให้มันสาสมกับความโง่ ความซื่อบื้อ ปัญญาอ่อนของมัน เผื่อว่าจะฉลาดขึ้นมาบ้างโธ่  ไอ้ควายเอ๊ย !  ทำไมมึงถึงได้โง่  โง่  โง่  โง่  โง่อย่างนี้  ทำผิดซ้ำผิดซากอยู่นั่นแหละ ทำไมไม่รู้จักจำ...ผมแหกปากตะโกนด่าตัวเองอยู่ในใจ  

                 ใช่...ผมนอนไม่หลับ  คุณเองก็คงเคยนอนไม่หลับใช่ไหม  แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเหมือนกับผมหรือเปล่า  จริงๆ แล้วอาการนอนไม่หลับก็ห่างหายจากผมไปนานเป็นปีแล้ว  เมื่อก่อนนี้ผมเคยมีปัญหามากกับการนอน  ตอนแรกผมแก้ด้วยการดื่มเหล้าเพียวแก้วเล็กๆ ก่อนเข้านอน  ก็ได้ผลดีอยู่หรอก แต่พอนานไปแก้วเดียวชักเอาไม่อยู่  ต้องเพิ่มเป็นสองแล้วก็สาม  ผมชักหวั่นใจว่านอกจากจะไม่หายจากโรคนอนไม่หลับแล้ว  กลับจะกลายเป็นแอลกอฮอลิซึ่มแทนจึงตัดสินใจไปหาหมอ  เขาให้ยานอนหลับผมมากิน หนักข้อเข้าผมก็ซื้อกินเอง เริ่มจากครึ่งเม็ด เป็นหนึ่งเม็ด เป็นเม็ดครึ่ง เป็นสองเม็ด  ผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่าติดยานอนหลับและมันจะไม่หยุดอยู่ที่สองเม็ ดเป็นแน่  ผมจึงหักดิบ  หยุดมันหมดทุกอย่างทั้งเหล้าและยา  เป็นไงเป็นกัน  ถ้ามันจะไม่หลับผมก็จะไม่นอนสองคืนเต็มๆ ที่ผมไม่ได้นอน  พอเข้าคืนที่สามก็หลับเป็นตาย  แล้วจู่ๆ ผมก็หายจากโรคนอนไม่หลับโดยไม่รู้ตัว

                 วันนี้โรคเก่ากำเริบ  มันกลับมาหาผมอีกครั้ง...อาการนอนไม่หลับ  เมื่อคืนผมปิดไฟนอนตั้งแต่สี่ทุ่มกว่า ตอนนี้อีกสิบห้านาทีก็จะตีห้าแล้ว  แว่วเสียงไก่บ้านข้างๆ ขันต่อกันเป็นจังหวะ  แต่ผมก็ยังคงเดินหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่อย่างนี้  ผมกำลังมีปัญหากับตัวเอง  อยากจะหลับตาวิ่งเอาหัวชนกำแพงให้มันรู้แล้วรู้รอดไป  คือผมไม่พอใจในตัวเองน่ะ  ผมไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองกระทำ  ไม่ใช่สิ   ผมไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้กระทำต่างหาก...คือเรื่องมันมีอ ยู่ว่า...เอ่อ...คุณเคยหลงรักคนที่คุณไม่เคยรู้จักบ้างไหม  อาจเป็นคนที่คุณพบบ่อยๆ ที่ป้ายรถเมล์  คนที่เดินสวนกันบนท้องถนน  บนสะพานลอย  บนสถานีรถไฟฟ้า หรือในห้างสรรพสินค้า... ชั่ววินาทีที่คุณเดินสวนกัน  เสี้ยววินาทีที่คุณสบสายตากับเขาหรือเธอคนนั้น  แต่มันจะยังคงประทับอยู่ในความทรงจำของคุณไปอีกนานแสนนาน ชั่วขณะนั้นคุณรู้สึกเหมือนกับว่า  เคยรู้จักกันมาก่อน  ที่ไหนสักแห่ง  อาจเป็นงานแต่งงาน  งานเลี้ยงรุ่น งานวันเกิดเพื่อน  คุณพยายามนึกแต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ก็ยิ่งนึกไม่ออก  เพราะจริงๆ แล้วคุณอาจไม่เคยพบกันมาก่อน  คุณอุปาทานไปเอง...แต่ไม่นะ  คุณรู้สึกได้  รู้สึกจริงๆ ว่าเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน คุณเถียงกับตัวเอง คุณอยากเดินตามเขาไปแล้วสะกิดเขาเพื่อถามถึงคำตอบที่คุณไม่อาจให้กับตัวเองได้  แต่ลึกๆ แล้วคุณไม่ได้สนใจอยากรู้คำตอบนักหรอก  คุณอยากจะพูดคุยกับเขา  อยากจะรู้จักเขามากกว่า  แต่คุณก็ได้แค่คิด...คุณไม่ได้ทำ  คุณไม่กล้าพอ  กลัวว่าเขาจะมองคุณแปลกๆ  คุณอาย...หรือกว่าที่คุณจะรวบรวมความกล้าได้  เขาหรือเธอคนนั้นก็หายไปเสียแล้ว   และคุณรู้ดีว่าโอกาสครั้งที่สองอาจไม่เกิดขึ้นอีกเลย...ชั่วเวล าสั้นๆ นั้น  ช่างเป็นภาวะที่ไร้ระเบียบทางความคิดและอารมณ์สิ้นดี  ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย  มีแต่อารมณ์และความรู้สึกล้วนๆ  แต่คุณก็รู้สึกดีและไม่เคยต้องการหาเหตุผลหรือคำอธิบายใดๆ...

                 คุณเคยหลงรักคนที่คุณไม่เคยรู้จักบ้างไหม...ถ้าเคย  คุณคงเข้าใจ  แต่ถ้าไม่เคยผมก็ขอภาวนาอย่าให้มันเกิดขึ้นกับคุณเลย  จะได้ไม่ต้องมาเป็นเหมือนอย่างผมในตอนนี้...โอ้ ! ให้ตายเถอะพระแม่เจ้า  มันช่างเป็นความรู้สึกที่ทุกข์ทรมานเหลือเกิน  เหมือนถูกจับมัดมือไขว้หลัง แล้วถีบตกน้ำ ทำอะไรไม่ได้เลย ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งจะช่วยเหลือตัวเอง  ค่อยๆ จมลงไปเรื่อยๆ  รอบข้างมีแต่ความมืดมิด  กลัว  กำลังจะขาดอากาศหายใจ  สำลักน้ำ  มันค่อยๆ ไหลผ่านรูจมูกเข้าไปท่วมปอดทีละนิด  สติสัมปชัญญะกำลังจะหลุดลอยไป  พร่าเลือน  ค่อยๆ ตายไปอย่างช้าๆ... เหตุการณ์เมื่อบ่ายวานนี้ทำให้ผมหวนนึกไปถึงอดีตในวัยเยาว์ของต นเองเมื่อสิบกว่าปีก่อน...ภาพความหลังในโลกของความเป็นจริงผุดพ รายขึ้นมาในห้วงคำนึง  ความทรงจำเก่าๆ ถูกรื้อค้นขึ้นมาทีละฉากตอน  ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมานานมากแล้ว   แต่ผมก็ยังจำมันได้ดีเหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่ออาทิตย์ที่แล้ วนี่เอง...ความรักครั้งแรกของผม... 

                 ตอนนั้นเป็นช่วงที่ชีวิตของผมเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง  ผมย้ายบ้านใหม่  ย้ายโรงเรียนใหม่  จากเด็กที่เคยอยู่โรงเรียนประจำมาตลอดระยะเวลาแปดปีกว่า  โรงเรียนที่มีแต่ผู้ชายล้วน  กลับบ้านเดือนละสองครั้งๆ ละสองวัน  ย้ายมาอยู่โรงเรียนไปกลับที่เป็นสหศึกษา  มีทั้งนักเรียนชายและหญิง  ต้องนั่งรถเมล์ไปโรงเรียนเองทุกวัน   มันเหมือนผมย้ายไปอยู่โลกใบใหม่ที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างไปจากเด ิมโดยสิ้นเชิงเลยทีเดียว  สำหรับคุณแล้วอาจจะเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา  แต่สำหรับผม  นั่นคือการผจญภัยครั้งใหญ่เชียวแหละ  นึกแล้วยังอดขำตัวเองไม่ได้  คุณเชื่อไหมวันแรกๆ อย่าว่าแต่พูดคุยเลย  แค่มองหน้าเพื่อนร่วมห้องที่เป็นผู้หญิง ผมก็ยังไม่กล้า  มันเกร็งๆ เขินๆ อย่างไรบอกไม่ถูก   นานพอสมควรกว่าที่ผมจะปรับตัวเข้าร่วมกับกลุ่มอ้างอิงทางสังคมก ลุ่มใหม่ที่มีเพื่อนต่างเพศได้  นาทีนั้นพวกเธอเปรียบเสมือนมนุษย์ต่างดาวสำหรับผม  เพิ่งมารู้ทีหลังว่าพวกเธอเองก็จับกลุ่มนินทาแอบขำท่าทางเก้ๆ กังๆ และพฤติกรรมประหลาดของผมอยู่เหมือนกัน

                 บ้านที่ผมย้ายเข้าไปอยู่ใหม่อยู่แถวสี่แยกเกียกกาย  เกือบถึงเตาปูนนู่นแน่ะ  ส่วนโรงเรียนใหม่อยู่แถวพระโขนง  คนละซีกโลกกันเลยล่ะ  ผมต้องนั่งรถเมล์ถึงสามคันกว่าจะถึงโรงเรียน ผมจึงต้องตื่นแต่เช้า นั่งรถจากเกียกกายมาลงที่เทเวศร์  ต่อรถจากเทเวศร์ไปลงที่หน้าสยามสแควร์  และอีกคันจากสยามสแควร์ไปลงที่หน้าโรงเรียน  ดูลำบากและซับซ้อนเพราะต้องนั่งรถหลายต่อ  แต่ผมกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น  ตรงกันข้ามผมชอบนั่งรถเมล์ด้วยซ้ำไป   อาจเป็นเพราะผมไม่เคยนั่งมาก่อนก็ได้เลยยังตื่นตาตื่นใจและรู้ส ึกสนุกอยู่   ผมชอบบรรยากาศบนรถและบริเวณป้ายรถเมล์  ผมว่ามันมีสีสันมีชีวิตชีวา  ผู้คนดูเร่งรีบ  ถ้าคุณลองมองเข้าไปในแววตาของพวกเขา คุณจะเห็นความมุ่งมั่นสะท้อนออกมา  เหมือนพวกเขาจะรู้ชัดถึงจุดหมายที่แน่นอนในจิตใจ   อย่างน้อยที่สุดชั่วขณะนั้นทุกคนก็รู้ล่ะน่าว่าตัวเองกำลังจะไป ที่ไหนและรอรถสายอะไรอยู่...

                 คุณเคยไปตลาดสดตอนเช้าๆ ไหมล่ะ  พื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ   อาจเป็นน้ำจากแผงขายเนื้อสัตว์หรือน้ำที่แม่ค้าประพรมลงบนผักเพ ื่อให้ดูสดใหม่อยู่เสมอ  เวลาก้าวเดินให้ความรู้สึกเหนอะหนะเฉอะแฉะ   บางคนใช้มือถกขากางเกงให้สูงขึ้นเพื่อไม่ให้เลอะน้ำสกปรกที่ดีด ตัวจากใต้พื้นรองเท้าแตะ  เสียงพูดคุยต่อรองราคา  ตะโกนแซวกันของพ่อค้าแม่ขายหรือบางทีก็ด่ากัน  เสียงเอะอะโวยวายขอทางของเด็กเข็นผัก...นั่นแหละสีสัน  ความมีชีวิตชีวา   มันไม่เหมือนกันเสียทีเดียวหรอกกับบรรยากาศบนรถหรือที่ป้ายรถเม ล์  แต่มันมีบางอย่างที่คล้ายกันเวลายืนรอรถเมล์หรือนั่งอยู่บนรถ  ผมมักจะชอบมองไปรอบๆ ข้าง  เฝ้าดูผู้คน  สังเกตพฤติกรรม  กิริยาท่าทาง  คนๆ หนึ่งช่างมีรายละเอียดซับซ้อนมากมายเหลือเกิน  และแต่ละคนก็ล้วนแตกต่างกัน  ในโลกนี้ย่อมไม่มีคุณคนที่สองหรือผมคนที่สองเป็นแน่   กระทั่งคนที่เหมือนกันมากๆ อย่างคู่แฝดยังมีความแตกต่างกัน  อาจเป็นอวัยวะบางส่วนหรือนิสัยใจคอก็ตามการสังเกตผู้คนจึงเป็นความสุขอย่างหนึ่งของผม  และก็เพราะไอ้สิ่งนี้นั่นแหละ  ที่ทำให้ผมได้ตกหลุมรักเป็นครั้งแรก  รักคนที่ผมไม่เคยรู้จัก  กระทั่งชื่อเธอผมยังไม่รู้เลย...

                 มันเป็นยามเช้าที่อากาศดีเป็นพิเศษ  ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆหมอก  ผมตื่นแต่เช้าและรีบออกจากบ้านเร็วกว่าปกติ   เพื่อนนัดให้ผมไปซ้อมบอลเพื่อเตรียมแข่งกีฬาสีที่จะมีขึ้นในอีก สองอาทิตย์ข้างหน้า  โดยเฉลี่ยแล้วผมจะมาต่อรถที่หน้าสยามสแควร์ราวๆ เจ็ดโมงครึ่งของทุกวัน  แต่วันนั้นผมมาถึงตั้งแต่ยังไม่เจ็ดโมงดี  ออกจะเร็วไปนิด  ...ถ้าผมขึ้นรถตอนนี้ไม่เกินสิบห้านาทีก็คงจะถึงโรงเรียน  เช้าๆ อย่างนี้รถยังไม่ติดเท่าไหร่หรอก  ผมรู้ดี  ถ้าไปถึงก่อนก็คงต้องไปนั่งรอเพื่อนๆ อีก  อย่าเพิ่งไปเลย  นั่งเล่นอยู่แถวนี้สักพักดีกว่าแล้วค่อยไป  ผมตัดสินใจนั่งตรงบันไดทางขึ้นห้างสยามเซ็นเตอร์  ที่ป้ายรถมีคนยืนอออยู่มากแล้ว  นั่งตรงนี้สบายกว่ากันเยอะ  ผมทำเหมือนที่เคยทำอยู่ทุกวัน  สังเกตผู้คน  เฝ้าดูจังหวะหายใจของเมืองใหญ่  รถเมล์วิ่งผ่านไปหลายคันแล้ว  สาย 16   ปอ.1   ปอ.8 ฯลฯ  

                 เวลาที่รถวิ่งเข้าป้ายเพื่อจอดรับ- ส่งผู้โดยสาร  ผมมักจะกวาดสายตามองไปทั่วทั้งคันรถ  สังเกตสีหน้าท่าทางของผู้คน  ตอนนี้รถเว้นระยะไปนานแล้ว  ผมสงสัยเลยหันไปดูจึงเห็นว่ากำลังติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยกข้างๆ  นั่น...วิ่งมาแล้วคันนึง  ปอ.8   รถหยุดแล้ว  ผมมอง...ทันใดนั้นเอง  ผมก็เห็นเธอเป็นครั้งแรก  ที่นั่งด้านหลังของตัวรถ ริมซ้าย ติดกระจก...ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในตอนนั้นให้คุณเข้าใจได ้ยังไง  คุณเคยได้ยินคำว่า A Perfect Moment ไหม  ช่วงเวลาแห่งความสมบูรณ์แบบ  นาทีที่จะประทับอยู่ในความทรงจำของคุณไปตลอดชีวิต  นั่นแหละใช่เลย  ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่ตกตะลึงจ้องมองเธออยู่อย่างนั้น  การได้เห็นหน้าเธอแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจผู้ชายอายุสิบห้าอย่างผมแปรปรวนไปหม ด  ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นผมลืมหายใจหรือเปล่า  ผมอยากจะบอกคุณเหมือนกันว่าเธอสวยหยาดฟ้ามาดินดั่งหล่นมาจากฟาก ฟ้า  แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น  เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง  ร่างเล็กเพรียวบาง ไม่ใช่ผมยาวเลยหัวไหล่  จมูกรั้น หรือริมฝีปากบางและเชิดหรอกที่สะกดผมไว้  แววตาอ่อนโยนดูเศร้าเล็กน้อยคู่นั้นต่างหาก... รถวิ่งออกไปแล้ว  ผมรีบยกข้อมือขึ้นดูเวลา  เจ็ดโมงสิบห้านาที

                 การต้องตื่นแต่เช้าขึ้นกว่าเดิมเพื่อมาดักรอเธอ  กลายเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งของผมทุกวันจันทร์ถึงศุกร์  ทุกคนแปลกใจเพราะคิดว่าผมขยันเรียน  ผมได้แต่แอบยิ้มนึกขำอยู่ในใจ...เจ็ดโมงตรง  ผมจะมานั่งรอดูเธอตรงที่เดิม  ถัดจากนั้นอีกไม่เกินสิบห้านาที  รถปอ.8 ก็จะวิ่งมาจอดที่เดิม  เธอนั่งอยู่บนนั้นตรงที่เดิม  ด้วยอากัปกริยาเดิมๆ ที่ผมมองเพลินไม่รู้เบื่อ  ชั่วขณะนั้นไม่ว่าจะผู้คนบนท้องถนนหรือทิวทัศน์รอบข้าง  ไม่มีอะไรน่ามองเท่าเธอ  สายตาผมจับอยู่ที่เธอคนเดียว  ถ้าวันไหนเธอไม่มาหรือผมไม่ได้เห็นหน้าเธอ  วันนั้นผมแทบจะไม่อยากทำอะไรเลย  ไม่มีสมาธิจะเรียน ไม่มีอารมณ์จะเตะบอลกับเพื่อนๆ เหมือนอย่างทุกวัน  เธอสอนให้ผมได้รู้ว่า การรอคอยก็เป็นความสุขประการหนึ่ง

                 ผมแอบมองเธออยู่อย่างนั้นเกือบเดือน   มีอยู่วันหนึ่งเธอคงรู้สึกตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครบาง คน  เธอมองมาที่ผมและส่งยิ้มให้  ผมดีใจจนบอกไม่ถูก  วันนั้นเป็นวันที่ดีที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของผม  ผมบอกตัวเองว่าเราต้องทำอะไรสักอย่าง...สองวันต่อมา  ผมตัดสินใจก้าวขึ้นรถคันที่มีเธอ  เก้าอี้ฝั่งซ้ายด้านหลังตัวก่อนสุดท้าย คือที่ประจำของเธอ  ส่วนผมเลือกที่นั่งฝั่งขวาเยื้องๆ กันกับของเธอ  ผมยังคงแอบชำเลืองมองเธออยู่ตลอดทาง...อาทิตย์ถัดมา  ผมตัดสินใจเดินไปนั่งที่เบาะยาวตัวหลังสุด  ที่นั่งด้านหลังเธอ  คราวนี้เราอยู่ใกล้กันมาก ขนาดผมได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพูจากเส้นผมของเธอ  ผมอยากจะพูดอยากจะชวนเธอคุยแทบตาย  แต่ก็ไม่กล้าพอ  วันต่อมาผมเขียนข้อความสั้นๆ ลงบนกระดาษโน้ต  แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่กล้ายื่นให้เธอ...เอาเถอะน่า ขอเวลารวบรวมความกล้าอีกสักสามสี่วัน  อาทิตย์หน้าจะต้องเข้าไปคุยกับเธอให้ได้  ผมบอกตัวเองอย่างนั้น  ก็ไอ้นิสัยที่ชอบผัดวันประกันพรุ่งนี่แหละ  ที่ทำให้ผมต้องมานั่งเสียใจอยู่จนทุกวันนี้  ดีแต่คิดแต่ไม่ยอมลงมือทำ...คุณรู้ไหม  นั่นกลับเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้เห็นหน้าเธอ...

                 ผมไม่เคยพบเธออีกเลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว  ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเธอหายหน้าไปไหน   เธออาจจะย้ายที่เรียนหรือว่ามีใครขับรถไปส่งเธอที่โรงเรียนก็เป ็นได้   ผมลองเปลี่ยนเวลาที่มาดักรอเธอเผื่อว่าเธอจะมาเช้าหรือมาสายกว่ าเดิม  ผมเคยนั่งรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ตั้งแต่หกโมงถึงเก้าโมง  แต่ก็ไร้วี่แววของเธอ... หนึ่งเดือนผ่านไป  ผมจึงหมดความพยายาม  ตอนนั้นผมเข้าใจลึกซึ้งเลย... ถึงความรู้สึกที่ว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับมันเป็นยังไง...ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งโกรธแค้นตัวเอง  ผมมีโอกาสแต่ผมกลับปล่อยให้มันหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา  ผมมัวแต่รีรอ  ไม่รู้ว่าจะรออะไร  รอทำไม  นี่ถ้าผมสามารถย้อนเวลากลับได้  ผมจะไม่รออีกต่อไป  ผมจะเดินเข้าไปคุยกับเธอเสียตั้งแต่วันแรก  แต่ผมก็ทำได้แค่หมุนเข็มนาฬิกา  ไม่มีใครสามารถย้อนอดีตกลับไปแก้ไขความผิดพลาดได้  เวลาและสายน้ำไม่เคยคอยใคร   มันไม่มีทางไหลย้อนกลับคืนมาได้...ในวันนั้นผมสัญญากับตัวเองว่ าจะไม่ยอมให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นในชีวิตของผมอีกเป็นครั้ งที่สอง...

 

                 หลายปีผ่านไป   ผมมีโอกาสได้ดูหนังเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ในวันน ั้น  สิ่งที่หนังพยายามจะบอกมันตอกย้ำถึงจุดบอดในใจผม   สิ่งที่พระเอกในเรื่องทำคือสิ่งที่ผมอยากแต่ไม่ได้ทำ...หนังเรื ่องนั้นชื่อ Before Sun Rise  เป็นเรื่องราวการพบรักของหนุ่มอเมริกันกับสาวฝรั่งเศสบนรถไฟ   พระเอกเพิ่งผิดหวังจากความรักจึงเดินทางมาเที่ยวเพื่อรักษาแผลใ จ  ส่วนนางเอกกำลังเดินทางไปทำธุระที่ต่างจังหวัด  ทั้งคู่ขึ้นรถไฟขบวนเดียวกัน  เมื่อพระเอกเห็นนางเอกก็รู้สึกถูกชะตา  พอรถไฟวิ่งไปหยุดอยู่ที่สถานีที่เขาจะต้องลง  ก่อนจะลงจากรถเขาตัดสินใจเดินเข้าไปคุยกับเธอ  ประเด็นสำคัญของเรื่องก็อยู่ตรงฉากนี้นั่นแหละ  เขาบอกกับเธอว่าเขาขอโทษที่เข้ามาคุยด้วย  เธออย่าเพิ่งตกใจหรือคิดว่าเขาบ้านะ  ที่จู่ๆ ก็เดินเข้ามาคุยทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน   เขาแค่อยากจะทำในสิ่งที่เขาไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลังถ้าเขา ไม่ได้ทำ...นั่นก็คือการเดินเข้ามาคุยกับเธอ  เขารู้ดีว่าจะต้องโกรธตัวเองแน่  ถ้าเดินลงจากรถไปโดยที่ไม่ได้เข้ามาคุยกับเธอเสียก่อน  ตอนแรกเธอก็ทำหน้างงๆ แต่พอฟังจบเธอก็เข้าใจ  เขาชวนเธอลงเที่ยวด้วยกันที่เมืองนี้  เธอลังเลแต่สุดท้ายก็ยอมเป็นไกด์ให้กับเขา  ทั้งคู่ใช้เวลาเที่ยวอยู่ด้วยกันทั้งวัน  ตอนเช้าเขามาส่งเธอขึ้นรถที่สถานี  ก่อนจากกันทั้งคู่สัญญาว่านับจากวันนี้ไปอีกหนึ่งปี พวกเขาจะกลับมาพบกันที่สถานีรถไฟแห่งนี้... เป็นหนังที่อบอุ่นมาก  เมื่อดูจบแล้วผมบอกกับตัวเองว่าจะไม่รีรออีกต่อไป   ผมสัญญากับตัวเองอีกครั้งว่าจะไม่ยอมให้เหตุการณ์อย่างนั้นเกิด ขึ้นในชีวิตของผมอีกเป็นครั้งที่สอง...แต่แล้วผมก็พลาดอีกจนได้ 

                 เมื่อวานนี้  ผมกับพ่อไปเดินซื้อของด้วยกันที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง  เราใช้เวลาอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตราวครึ่งชั่วโมง  หลังจากจ่ายเงินเสร็จแล้ว  ผมก็หิ้วถุงเดินตามหลังพ่อขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสอง  พ่อจะไปรับกางเกงที่ซื้อแล้วสั่งให้เขาตัดขาไว้  ขณะที่กำลังยืนรออยู่บนบันไดเลื่อนนั่นเอง  อีกฟากนึงบันไดกำลังเลื่อนลง  มีคนยืนอยู่บนนั้นราว 7-8 คน  ผมกวาดสายตามองผ่านๆ ไป   แต่ทันใดนั้นผมก็ต้องตกตะลึงสุดขีด...เธอนั่นเอง ! สาวบนรถปอ.8 คนนั้น  ถึงเวลาจะผ่านเลยมากว่าสิบปีแล้วก็ตาม  ผมก็ยังจำเธอได้ในทันทีที่เห็นแวบแรก   เธอดูเป็นสาวขึ้นแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสักเท่าไหร่เล ย  ผมแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง  แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ  ปาฏิหารย์มีจริง  เธอยืนอยู่ตรงนั้นห่างจากผมแค่เอื้อม  เธอมองมาแต่คงจำผมไม่ได้  ผมเสไปมองทางอื่นแล้วหันกลับไปจ้องเธอใหม่  เห็นแต่ด้านหลัง  ใจผมเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ  รู้สึกร้อนวูบที่ใบหู  ผมทำอะไรไม่ถูก  ขาผมก้าวเดินตามพ่อไปจนถึงแผนกเสื้อผ้า  แต่ใจผมมันลอยตามเธอไปนานแล้ว  ผมตัดสินใจวางของลงบอกพ่อว่าเดี๋ยวมา  แล้วหันหลังวิ่งฝ่าฝูงคนตรงไปยังบันไดเลื่อน  ลงไปถึงชั้นล่าง  ผมสอดส่ายสายตามองหาเธอเลิ่กลั่กแต่ก็ไม่เห็นแม้เงา  หรือเธอจะเข้าไปซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต  ผมวิ่งวุ่นตามหาเธอจนทั่วทั้งซุปเปอร์ฯ แต่ก็ไม่พบ  ผมเดินออกมาตามหาเธอจนทั่วทั้งบริเวณนั้นแต่ก็ไร้ร่องรอย...

                 เธอหายไปอีกแล้ว  ผมคลาดจากเธออีกจนได้  นี่ถ้าผมไม่มัวแต่ลังเลอยู่ทุกอย่างก็คงจะไม่เป็นอย่างนี้  ผมหยุดยืนอยู่กลางห้าง  ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นจนหลายคนหันมามอง  ผมอยากจะเย้ยหยันในความโง่งี่เง่าของตัวเองนัก   อยากจะทิ้งตัวลงนอนเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้น...นาทีนั้นผมพาลโกรธ ไปหมดทุกอย่าง  ผมโกรธที่

ห้างฯ นี้มันใหญ่โตนัก  ถ้ามันเล็กเท่าร้านขายของชำผมคงจะไม่คลาดกับเธออีก  ผมโกรธผู้คนที่ยืนออกันอยู่บนบันไดเลื่อนทำให้ผมลงมาหาเธอช้า  ผมโกรธทุกคนที่เดินอยู่ในห้างทำให้ผมมองหาเธอได้ยากขึ้น   ผมโกรธตัวเองที่ทำไมถึงได้เป็นคนแบบนี้...ผมโกรธ...ผมเกลียด... หึ หึ หึ...ทีนี้คุณคงรู้แล้วสินะ  ว่าทำไมผมถึงได้อยากชกหน้าตัวเองนัก...

                 คุณเคยหลงรักคนที่คุณไม่เคยรู้จักบ้างไหม

                 ถ้าเคย  คุณคงเข้าใจ.				
3 สิงหาคม 2547 16:16 น.

รักในสายลม

สุชาดา โมรา

บางฤดูของความรัก
 มันหนาว... มันร้อน... มันอบอุ่น... มันเปียกโชก


ถ้าหัวใจพูดได้มันคงจะพูดว่า

ความรักเป็นแบบไหนกันแน่นะ? ก็แบบนี้ไง 

กับใครต่อใคร ไม่สำคัญ ขอให้มีเพียงเราเข้าใจกัน นะฉันว่า 

อืม.ใช่ก็ใช่สิเนอะ

ดูนั่นสิดวงตะวันสดใสนะวันนี้ .. เออ ใช่..ใช่แล้วเธอจ๋าท้องฟ้าไร้ราคีไม่มีสีของเมฆ

ที่สีของมันเทาๆ ดำๆ รบกวนท้องฟ้าและไม่มีเงื่อนงำ ตอกย้ำว่าฝนจะตกเธอว่ามั้ย

งั้นเธอสบายใจได้ เราเชื่อใจกันนะ แล้วเฝ้าดูการเติบโตของสิ่งไม่แน่นอนกันต่อไป

ฉันเฝ้ามองดูมันมาตั้งนาน จนผ่านมาแล้วเก้าชั่วโมงของวันนี้ 

ดู๊..ดูสิ ทำท่าไม่ดีอีกแล้วนะเธอ

อืมใช่ๆ จะเอาอะไรแน่กับฟ้า กับฝน แม้แต่ใจคนอย่างเราๆ รักนั้นก็ไม่แน่เหมือนกัน

เอาอะไรแน่นอนไม่ได้ เดี๋ยวๆ ก็ ใจดำ ใจดี ใจร้าย ใจโกรธ วกวนวนเวียน

จนบางวันฉันก็เดาใจตัวเองไม่ถูกเหมือนกันนะเนี่ย

หวังว่า ตลอดทั้งวันนี้ หัวใจเธอคงสดสว่าง ไม่ต้องรออาทิตย์นำทาง

ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเราไม่ใช่หรือ  เว้นแต่ว่าบางคนต้องยินยอมไม้เท้าให้นำทาง

เพื่อความปลอดภัย ของหัวใจในโลกมืด ระหว่างทางผ่านบนท้องถนน

นี่คือ ความปรารถนาดีจากใจฉันเอง และเพื่อเธอ..

.

หากไม่มีเธอ - ไม่มีฉัน นั่งเคียงกันอยู่ข้างๆ เธอคิดดูสิว่ามันต้องมีช่องว่างนั้นล่ะ

แต่เราต่างก็รู้ว่านั่นมันคือที่อยู่ของหัวใจ มีความรู้สึกภายในให้แด่กัน

ช่องว่างก็เป็นเพียงความรู้สึกแค่รู้สึก.. อันบริสุทธิ์

ข้อความทั้งหมดนี้ล่ะที่เธอฝากมาถึงฉัน 

เอาเป็นว่าขอส่งกลับไปให้เธอละกันนะ

..

ไม่ว่าเธอจะอยู่กับใคร.ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน

ไม่ว่าเธอจะทำอะไร. แค่ฉันรู้ว่าเธอสบายใจ

ฉันก็จะสบายดี และสบายใจไม่ห่วงและไม่คาดหวังอะไร

วันนี้ ขอให้เธอมีความสุข และเดินทางไปกับหัวใจที่สดสว่าง บนหนทางแห่งรักที่มีใครอยู่ในใจ

พร้อมๆ ดวงตะวันที่เริ่มจะลับเหลี่ยมเขา				
3 สิงหาคม 2547 16:12 น.

นึกถึงวันเก่า ๆ ที่เราเคยอยู่ด้วยกัน...(ตอนที่3เสนอเป็นตอนจบแล้วค่ะ)

สุชาดา โมรา

"นายอีกแล้วเหรอ  ว่างนักไง...ถึงได้มาชวนเลขาของผมไปเรื่อยเลย"
"คุณ...นี่มันเลิกงานแล้วนะครับจะใช้แรงงานกันไปถึงไหนกัน"
"นาย...."
คุณติวถึงกับพูดไม่ออกเลยเมื่อถูกคุณปลิวตอกกลับซะหน้าแหกทีเดียว...
เดี๋ยวนี้คนที่ไปรับไปส่งฉันทุกวันก็คือคุณปลิว  เพราะคุณติวเธอไม่ค่อยว่างนัก  อีกอย่างฉันก็รบกวนเขามามากแล้วเหมือนกัน  มีเพื่อนใหม่ก็ดีนะอาศัยเขากลับบ้านทุกวันจนที่บ้านเริ่มพูดแปลก ๆ
"เสน่ห์แรงนะเนี่ย  เดี๋ยวก็เจ้านายมาส่ง  เดี๋ยวก็คุณปลิวลูกเจ้าของหนังสือพิมพ์มาส่ง  เอ...มันยังไง ๆ อยู่นา...สรุปชอบคนไหนนะเรา..."
พี่กอล์ฟมักจะแซวแบบนี้เป็นประจำจนฉันเริ่มรู้สึกเขิน ๆ  แต่ฉันก็แกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามเดิม
คุณปลิวเข้ามามีบทบาทในชีวิตฉันมากขึ้น  เป็นเวลา 1 ปีเต็มที่เรารู้จักกันมา  เขาเอาใจใส่ฉันทุกอย่าง  แต่ก็มีคนที่ทำท่าไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไร  คือคุณติว  เขาชอบทำหน้าเบ้ทุกทีที่คุณปลิวมา  ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรจงเกลียดจงชังเขาจังเลย...เฮ้อ...ฉันเห็นแล้วก็ปวดหัว
"ถามจริง ๆ เถอะคุณเป็นแฟนหมอนั่นเหรอ"
"จะบ้าเหรอคุณติว...ฉันน่ะนะ...ไม่อาจเอื้อมค่ะฉันมันคนเดินดินไม่สมควรจะบินสูงหรอก  อย่างดีถ้าจะหาแฟนก็หาที่มัรระดับเดียวกันจะดีกว่า  เขาจะได้ไม่ดูถูกเราจริงไหมคะ"
คุณติวถึงกับเบรครถกระทันหันทีเดียว...
"อุ้ย....!!!...เบรคทำไมคะ"
"คุณเคยชอบผมไหม"
"หา........................!!!!"
ฉันถึงกลับอึ้งทีเดียว  แต่เขาก็ย้ำกับฉันอีกครั้ง
"คุณเคยชอบผมไหม"
"ก็คุณเป็นเจ้านายฉันจะให้ฉันไม่ชอบได้ยังไงกัน"
"ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...ผมถามว่าคุณน่ะรักผมไหม...."
หัวใจฉันเต้นรัวราวกับลูกสูบทำงานเกินปกติ  ฉันรู้สึกตัวชาหน้าชาแดงกล่ำไปหมด  แล้วฉันก็ไม่ได้ตอบอะไร
"ถ้าคุณไม่ตอบผมถือว่าคุณ OK.นะ"
"เอ่อ....ฉันไม่รู้จะตอบยังไงค่ะ..."
"ก็พุด ๆ มาสิ"
"ฉันเป็นผู้หญิงนะ...แล้วจะให้ฉันมาพูดอะไรแบบนี้ได้ไงกัน"
เขาไม่พูดต่อแต่ก็ขับรถยาวทีเดียว  ฉันไม่รู้ว่าเขาจะพาฉันไปไหนแต่ฉันรู้ว่าเขาต้องไม่ทำอะไรฉันเพราะเขาเป็นสุภาพบุรุษ  เขาขับรถจนฉันหลับไป  พอมาโผล่อีกทีก็เส้นทางไปเชียงใหม่แล้ว
"นี่มันอะไรกันคะ..."
"ผมเห็นคุณชอบที่สวย ๆ ผมก็เลยพาคุณมาสร้างบรรยากาศหน่อย  หรือว่าคุณไม่ชอบ"
"แต่ฉันยังไม่ได้ขออนุ..."
"ผมขออนุญาติคุณแม่คุณแล้วละ...คุณไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้นะ  และผมก็เตรียมเสื้อผ้ามาให้คุณเรียนบร้อยแล้วรวมทั้งของใช้ส่วนตัว"
"คุณ..."
ฉันพูดอะไรไม่ออกเลย  เขาพาฉันมาพักที่รีสอร์ทที่เดิม  พาฉันไปพักห้องที่เดิม  แล้วก็ชวนฉันไปดูดาวเหมือนเดิม
"คุณนัดกับคุณเพียงตาไว้เหรอ..."
"เปล่า...นี่คุณผมมาแค่เรานะไม่ใช่จะมาหาเศษหาเลยกับคนอื่น"
"ฉันไม่เข้าใจอยู่ดีน่ะแหละ"
ฉันไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร  แต่พอฉันเห็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยดาวเต็มท้องฟ้า  หิ่งห้อยบินเป็นกลุ่มใหญ่ดูเพลินตาแบบนี้ก็ชวนให้ฉันหยุดคิดเรื่องทุกเรื่องแล้วก็นั่งมองดูดาวอย่างมีความสุข
"คุณรู้ไหมว่าผมชอบคุณตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้าคุณเลย"
"หือ..."
"พอผมเห็นหน้าคุณผมก็รู้ได้เลยว่านี่แหละสะเป็กผม"
"อือ..."
"ผมขอโทษนะที่ทำตัวเป็นเพลบอยโดยไม่คิดถึงจิตใจของคุณ...คุณแม่ท่านอยากให้เราแต่งงานกัน  แต่ว่าผมมันมัวห่วงแต่ความสำราญอย่างผู้ชายที่ไม่เอาไหน  ผมขอโทษคุณด้วยนะกิ"
"หาอะไรนะ..."
"นี่คุณไม่ได้ฟังที่ผมพูดเลยเหรอ"
ฉันส่ายหน้าคุณติวก็เลยโกรธเดินหนีไป  ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาพูดอะไรเพราะฉันมัวแต่นึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ ของครอบครัวฉัน  ฉันอยากให้คุณแม่มาเห็นที่นี่จังเลย...  จนไม่ได้ฟังที่คุณติวพูด  แต่พอเขาเดินไปได้พักหนึ่งเขาก็กลับมา
"นี่จะไม่ง้อเลยเหรอ  งอนนะ"
ฉันถึงกับหัวเราะเลยละเพราะไม่คิดว่าเขาจะงอนเป็น  ผู้ชายอะไรขี้งอนไปได้  ดูสิจะให้ผู้หญิงง้อ  ไม่เอาด้วยหรอก  ท่าจะบ้า  ลูกคุณหนูนี่ก็เอาใจยากจริง ๆ เลยนะ
"อ่ะง้อก็ได้"
"ไหนล่ะที่บอกว่าง้อ"
"ก็นี่ไง....ง้อ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ"
ฉันหัวเราะขึ้นมาเขาก็เลยเอามือมาขยี้หัวฉัน
"แต่งงานกับผมนะ"
ประโยคนี้ถึงกลับทำให้ฉันอึ้งมากที่สุด  เพราะฉันไม่คิดว่าเขาจะพูดคำนี้กับฉัน  และฉันก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขารักฉัน  ทั้ง ๆ ที่ปกติเขาไม่มีท่าทีที่แสดงออกมาเลยว่ารักฉัน
ฉันแต่งงานได้ 3 ปีก็ท้อง  แต่สุขภาพของฉันไม่แข็งแรงเลยแท้งง่าย  หมอบอกให้พักผ่อนมาก ๆ แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อฉันกำลังบ้างาน  ฉันท้องครั้งต่อมาก็แท้งอีก  สรุปแล้วฉันท้องมาถึง 5 ครั้งแล้วก็แท้ง 5 ครั้งทำให้เขาหมดกำลังใจ  
วันหนึ่งเขาล้มป่วยลง  เพราะข้าวปลากินไม่ตรงเวลา  ปวดท้องอยู่บ่อย ๆ พอไปตรวจก็ทราบว่าเขาเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้ายแล้ว  ฉันเป็นห่วงเขามากเลย  คอยดูแลเขามาโดยตลอด  เมื่อฉันรู้ว่าเขาจะไม่อยู่กับฉันแน่ ๆ ฉันก็ยิ่งเสียใจมากแต่ก็ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ข้างใน  ฉันรู้สึกผิดจริง ๆ เลย
"กิ...จะร้องก็ร้องออกมาเถอะ  อย่าฝืนเก็บไว้คนเดียวเลย"
ตอนที่คุณติวบอกฉัน  ฉันถึงกลับปล่อยโฮออกมาทีเดียว  ฉันไม่รู้ว่าชีวิตของฉันจะอยู่เพื่ออะไรในเมื่อตอนนี้คนที่ฉันรักคนหนึ่งกำลังจะจากฉันไปแล้ว...  ฉันต้องอยู่อย่างเดียวดายอ้างว้างไม่มีใคร  บ้านที่เคยอยู่เคยเห็นหน้ากันทุกวัน  ต้องมีอันต้องขาดใครคนใดคนหนึ่งไป  ฉันหมดกำลังใจที่จะทำงานต่อไปจริง ๆ
"ผมไม่เป็นไรหรอกกิ...ทำใจสบาย ๆ ถือว่าเรามีกรรมร่วมกันมาเท่านี้  รักษาสุขภาพนะกิอย่าหักโหมจนเกินไป  ผมรักคุณนะ  กิ...ผม"
คำพูดคำสุดท้ายมันทำให้ชีวิตฉันจมดิ่งอยู่กับความหลัง  ฉันจำคำพูดทุกคำของเขาได้ดี  คุณติวคุณเป็นคนที่ฉันรักมากที่สุด  แต่ฉันกลับไม่ได้ทำอะไรเพื่อคุณเลย  ฉันกอดแม่ของเขาร้องไห้จนถึงวาระสุดท้ายที่ฉันต้องเผาทั้งเขาและแม่ของเขา  ฉันรู้สึกว่าฉันอ้างว้างเดียวดายที่สุด  ชีวิตของฉันเหลือเพียงฉันคนเดียว...
ฉันยังคงเก็บถาพวันวานของเราไว้เสมอ...คุณติว  คุณแม่ตุ๊กฉันรักทั้งคู่มากเลยค่ะ  ลาก่อนนะคะขอให้ดวงวิญญาณไปสู่สุขติด้วยเถิด  แล้วฉันก็เอากระดูกและขี้เถ้าไปลอยอังคารที่กลางทะเล  ฉันหวังแค่เพียงฝันถึงเขาทุกวันก็พอแล้ว...				
3 สิงหาคม 2547 16:10 น.

นึกถึงวันเก่า ๆ ที่เราเคยอยู่ด้วยกัน...(ตอนที่2)

สุชาดา โมรา

"หนังสือเล่มนี้เข้าท่าดี  เอาไปอ่านดูไหมครับ"
"หนังสืออะไรคะ..."
"หนังสือเกี่ยวกับการบริหารไง  เป็นเรื่องการครองใจคนในสำนักงาน  ผมว่าเข้าท่าดี"
ผู้ชายอะไรชวนผู้หญิงอ่านหนังสือเครียด ๆ ฉันนะงงไปหมด  สงสัยจะแก่เรียนจนไม่รู้ว่าจะชวนคุยเรื่องอะไรแล้วมั้ง  แต่ฉันก็รับหนังสือมาเปิดอ่านดู  ก็เข้าท่าดีนะ  ฉันจึงเลือกซื้อหนังสือเล่มนั้นมาอ่านเวลาว่าง  คุณติวพาซื้อของจนข้าวของเยอะแยะไปหมดต้องให้พนักงานร้านเอาหนังสือไปส่งที่รถ  จากนั้นเขาก็พาฉันไปเที่ยวต่อที่สนามหลวง  พาฉันมาดูคนเล่นว่าว  เราทั้งคู่เล่นไม่เป็นเลย  ก็เลยได้แต่นั่งมองว่าวที่อยู่บนท้องฟ้า...  ฉันก็รู้สึกแปลก ๆ อยู่เหมือนกันนะ  คนเราเพิ่งรู้จักกันวันแรกแต่กลับทำท่าเหมือนรู้จักกันมานานแสนนานทีเดียว  เขาตามใจฉันทุกอย่าง  ลักษณะของเขานี่ถอดแบบน้าตุ๊กมาเลยทีเดียว
วันทั้งวันนั่งดูเขาเล่นว่าวกันจนบรรยากาศเริ่มมืดแล้วคุณติวจึงพาฉันแวะไปทานอาหารก่อนที่จะพาฉันมาส่งไว้ที่บ้านพี่ชาย  ฉันจะปฏิเสธได้อย่างไรในเมื่ออาศัยเราเขามา  ก็เลยต้องกลับบ้านค่ำ  พี่ชายฉันถึงกับมายืนรอหน้าบ้านทีเดียว
"ไปไหนกับใครมา  ทำไมกลับเอาป่านนี้"
"เอ่อ...กิ...."
"สวัสดีครับ  คือผมเป็นลูกชายเจ้าของร้านที่น้องกิเขาไปทำงานอยู่น่ะ  คือเราไปซื้อหนังสือเข้าร้านกันเลยกลับช้าไปหน่อย  ขอโทษนะครับ  แล้วที่คุณแม่ไม่มาด้วยเพราะท่านติดธุระน่ะครับ"
คุณติวพูดซะยืดยาวพี่กอล์ฟจึงเข้าบ้าน  ฉันยืนส่งคุณติวจนรถแล่นไปสุดสายตา  วันนี้ฉันรู้สึกดีนะที่ได้ไปเที่ยวหลาย ๆ ที่   ฉันนอนอ่านหนังสือเล่มนั้นจนดึกแล้ก็เผลอหลับไป
ตั้งแต่มีคุณติวก้าวเข้ามาในชีวิต  ฉันก็รู้สึกว่าโลกใบนี้มันเป็นสีชมพูไปหมด  ฉันไม่รู้ตัวหรอกนะว่ารู้สึกเกินเลยกับคำว่าเจ้านายกับลูกจ้างไปแล้ว  ตอนเย็นทุก ๆ วันศุกร์คุณติวจะขับรถมารับฉันทุกครั้งเพราะวันศุกร์คือวันหยุดของเขา  คุณติวเป็นสจ๊วตอยู่สายการบินแอร์ไอทิสตี้  เขามีโครงการที่จะเปิดบริษัททัวร์  ก็เลยคิดโครงการกับฉันเพราะฉันก็กำลังเรียนมัคคุเทศก์อยู่ด้วย  เมื่อวางแผนกันเป็นเวลา 2 ปีเต็มบริษัทก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา  เริ่มมีการก่อสร้าง  คุณติวก็มักจะพาฉันไปดูการก่อสร้างอยู่เสมอ ๆ จนตอนนี้ฉันเรียนใกล้จะจบแล้ว
พอฉันเรียนจบน้าตุ๊กก็เชียรให้ฉันไปเป็นเลขาของคุณติว  คุณติวยังไม่ลาออกจากการเป็นสจ๊วตแต่คุณติวก็มักจะให้ฉันรักษาการแทนไปก่อนจนฉันเป็นงานทุกอย่างในบริษัท  สามารถรู้และเข้าใจระบบโครงสร้างของบริษัทได้เป็นอย่างดี  ฉันรู้สึกว่าฉันรักบริษัทนี้มากทีเดียว  เพราะคนในบริษัทนี้ดูแลฉันเป็นอย่างดีโดยเฉพาะมีคุณติวและน้าตุ๊กที่คอยเป็นห่วงเป็นใยฉันราวกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน...
"เอ่อ...คุณกิผมมีเรื่องอยากจะถามคุณ"
"คะ"
"ผมกำลังหนักใจมากเลย  ผมอยากจะลาออกมาทำงานที่บริษัทแต่ว่า  ผมก็รักการเป็นสจ๊วต  ผมรักแอร์คนนึงเธอน่ารัก  สวย  อ่อนหวาน  เธอเป็นคนสุภาพ  ดูดีไปซะทุกอย่าง  คุณว่าผมควรจะทำอย่างไรดี"
ฉันรู้สึกว่ามันเจ็บแป๊บ ๆ เข้าไปในใจของฉัน  แต่ฉันก็ตีหน้าเฉย ๆ เหมือนกับว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
"คุณก็ทำตามที่ใจคุณปรารถนาเถอะ...เพราะฉันคงจะไปห้ามคุณไม่ได้หรอก"
คุณติวจึงไม่ลาออก  ทีแรกฉันก็รู้สึกเสียใจเหมือนกันแต่ตอนหลังฉันเริ่มชินชาเสียแล้ว  เพราะฉันก็รู้ ๆ อยู่ว่าเจ้านายกับลูกน้องที่ไหนจะมารักกันได้  ฉันไม่กล้าบินสูงขนาดนั้นหรอก
"คุณติวคะ  คุณไม่ไปทำงานเหรอคะ  นี่มันไม่ใช่วันศุกร์นะคะ"
"ผมทุกข์ใจ  ผมหาทางออกไม่ได้แล้ว  แอร์ที่ผมรักเธอมีสามีแล้ว  ผมทำใจไม่ได้...เอือก"
คุณติวดื่มเหล้าเมามายอยู่ในออฟฟิต  ฉันทนไม่ได้จึงพยุงตัวออกมาจากบริษัทแล้วก็พาไปส่งไว้ที่บ้านของน้าตุ๊ก
"กิ...ติวทำไมเป็นแบบนี้ล่ะลูก"
"สงสัยจะอกหักจากแอร์น่ะค่ะ"
"โถ่...ลูก  แม่บอกแล้วว่าแม่มีคนให้ลูกเลือกอยู่แล้วลูกจะไปรักคนอื่นทำไมกัน"
น้าตุ๊กพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อย ๆ แล้วก็หันมามองหน้าฉัน  ฉันจึงขอปลีกตัวกลับไปทำงานก่อน...  คุณติวเป็นแบบนี้มานานหลายสัปดาห์จนฉันทนไม่ไหว
"นี่คุณ  รักอนาคตบ้างหรือเปล่า...เป็นบ้าไปแล้วหรือไงกัน  เอาแต่เมา ๆๆๆแล้วก็เมาชีวิตจะเจริญได้ยังไงกัน  ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลกซะหน่อย  ทำไมต้องทำฟูมฟายเป็นเด็ก ๆ ไปได้"
"เธอจะมารู้อะไร  ในเมื่อเธอไม่เคยอกหัก"
"ทำไมฉันจะไม่เคยอกหัก  ฉันอกหักก็เพราะมีผู้ชายแบบคุณอยู่บนโลกใบนี้เนี่ยแหละ"
เขาถึงกับส่างเมาทีเดียว  วันรุ่งขึ้นจึงไปลาออกแล้วก็หันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำงาน  ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาจะรู้หรือเปล่า  ว่าไอ้ที่ฉันพูดไปน่ะมันคือเขา  แต่ฉันก็ยังเป็นคนเดิมที่วางมาดนิ่ง ๆ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  คุณติวเห็นฉันเหมือนน้องสาวคอยเอาใจใส่ฉันเสมอ  ไปรับไปส่งไม่เว้นแต่ละวันจนคนที่บ้านคิดว่เราเป็นแฟนกันเสียด้วยซ้ำ
"เนี่ยคุณกิ...พนักงานต้อนรับคนใหม่ของเราน่ารักดีนะ  ผมว่าผมน่าจะจีบเธอนะ"
"ก็ตามใจคุณเถอะ"
ฉันรู้สึกเฉยชาต่อเรื่องนี้  เพราะเขามักจะเอาเรื่องสาว ๆ มาปรึกษากับฉันอยู่เสมอ  แต่ก็มักจะแฮ้วทุกที  ฉันต้องคอยมีหน้าที่เป็นศิลานีให้เขาปรึกษาอยู่เรื่อย ๆ จนเขาพอใจ  ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเมื่อไรเขาถึงจะหันมาดูฉันบ้าง  แต่ก็คงชาติหน้าตอนบ่าย ๆ นั่นแหละ
"วันนี้อากาศดีเป็นพิเศษนะกิ  ช่วงหน้าหนาวแบบนี้ผมอยากจะชวนคุณไปเที่ยวเชียงใหม่จริง ๆ ไปชมพระธาตุ  ไปดูสาวเชียงใหม่  แหมมันท่าจะสนุกพิลึกนะ...ไปกันนะ"
"แล้วมีใครไปกันบ้างล่ะ"
"ก็มีผมกับคุณแม่  แล้วผมก็เลยชวนคุณไปด้วยเพราะเห็นเราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน"
"จะบ้าเหรอ...พูดแบบนี้ฉันเสียหายนะ"
"เสียหายยังไง..."
ฉันเงียบแล้วก็ทำหน้าแดง ๆ เดินหนีไป  นั่งทำงานต่อจนเย็น
"ไปกับผมนะ...นะนะนะ..."
เขามาอ้อนวอนให้ฉันไปราวกับเด็ก ๆ จนฉันต้องตอบตกลง  แต่ต้องให้เขาไปขอร้องคุณแม่กับพี่กอล์ฟ  เพราะมันไม่ดีถึงจะมีแม่เขาไปด้วยก็ตามเถอะใครมองมันก็จะยังไง ๆ อยู่นะ...  เขามาขอร้องที่บ้าน  ที่บ้านตอบตกลงแล้ววันรุ่งขึ้นก็ขนข้าวของไปกัน
อากาศที่นี่สวยจริง ๆ แหละ  เราเดินทางมากันถึง 3 วันกว่าจะมาถึงเชียงใหม่เพราะคุณติวต้องขับรถมาตลอดทาง  แวะพักที่โรงแรมตั้งแต่สุโขทัยไปเลย  ฉันมีความรู้สึกว่าเหมือนฉันเป็นลูกสาวคนหนึ่งของน้าตุ๊กทีเดียว...
"คืนนี้พักที่นี่ก่อนละกัน"
คุณติวพาเข้าไปในรีสอร์ทแห่งหนึ่งของเชียงใหม่  จองบ้านพักหลังนึง  ฉันอยู่ห้องข้าง ๆ คุณติว  ส่วนน้าตุ๊กอยู่ห้องชั้นบน  ฉันรู้สึกแปลก ๆ เหมือนกัน  อาจจะเป็นเพราะต่างที่ต่างทาง...  ฉันนอนอย่างไม่ค่อยมีความสุข  ฉันรู้สึกเหมือนใครบางคนกำลังจ้องมองฉันอยู่  ฉันจึงค่อย ๆ ลืมตาช้า ๆ
"อื้อ...อื้อ...อื้อ..."
ฉันพยายามส่งเสียงร้องแต่ใครคนนั้นเอามือมาปิดปากฉันไว้  ฉันพยายามดิ้นยังไงเขาก็ไม่ปล่อย  ฉันรู้แน่ว่านั่นเป็นผู้ชายแน่ ๆ แต่ฉันต้านแรงไม่ไหวแล้ว  ฉันจะทำยังไงดี...
"อย่าเอะอะโวยวายนะ  ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก  ผมเอง...ติวไง"
ฉันถึงกับแทบช็อกทีเดียวเมื่อรู้ว่าเป็นคุณติว  แต่ฉันก็ไม่ปิปากร้องเพราะเขาสั่งห้ามฉันไว้  เขาค่อย ๆ เดินไปเปิดไฟแล้วก็มานั่งคุยกับฉัน
"กิ...ออกไปข้างนอกกันไหม  ไปดูดาวกัน  เขาว่าดาวที่นี่สวยกว่าที่อื่นนะ"
"สวยกว่ายังไงคะ"
"ก็มันสูงและโล่งไง  ไปดูให้ได้เชียว"
ฉันเดินออกจากห้องไปกับคุณติว  ทีแรกฉันตกใจแทบแย่นึกว่าเขาจะมาทำอะไรซะอีก  แต่ตอนนี้โล่งใจแล้วละเพราะเขามาดี
"ทำไมถึงชวนฉันมาดูดาวคะ...เห็นเมื่อเย็นบ่นว่าอยากจะชวนผู้หญิงที่นั่งทานกาแฟอยู่ในร้านค็อฟฟี่ช็อฟไปดูดาวไงคะ"
"อย่าพูดมากเลยเดินตามมาดีกว่านะ"
แนเดินตามเขาไป  จนเขามาหยุดอยู่ที่ลานโล่ง ๆ มีเพียงต้นไม้ใหญ่ต้นเดียวที่เรายืนอยู่  ฉันเห็นดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า  หมู่หิ่งห้อยก็บินวนไปวนมาเป็นกลุ่มใหญ่  ช่างสวยงามเหลือเกิน...ฉันรู้สึกว่าถ้ามีคนที่รักฉันพาฉันมาเที่ยวและมาดื่มด่ำบรรยากาศ  ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่นี่ก็คงจะดีไม่น้อยเทียวละ  ฉันมัวแต่ยืนฝันอยู่เสียนานเทียว
"กิ...นั่นไงสิ่งที่ผมให้คุณมา  คุณดูนั่นสิ  สาวน้อยคนนั้น  คุณช่วยผมหน่อยสิ  ไปชวนเธอมาที่นี่แล้วก็ให้นั่งคุยกับผมหน่อย"
อ๋อ...ก็เพิ่งรู้เดียวนี้นี่เองว่าเรากลายเป็นแม่สื่อไปแล้ว...ไม่น่าเชื่อเลย  อุตส่าห์ฝันลม ๆ แล้ง ๆ อยู่ตั้งนาน  ที่แท้ก็เห็นประโยชน์เราตรงนี้นี่เอง...เรานี่มันบ้าไปแล้วเหรอนี่  ให้เราเดินมาทั้ง ๆ ที่ใส่ชุดนอน  เฮ้อ...  น้ำค้างก็ลงแต่ก็ต้องจำใจทนหนาวหน่อยเดินไปคุยกับผู้หญิงคนนั้นจนสามารถพาเขามาหาคุณติวจนได้  คืนนี้คุณติวเลยได้เธอไปควงแถมยังได้เธอไปนอนเคียงข้างด้วย  ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะยอมคุณติวง่าย ๆ แบบนี้...  แต่ฉันก็ได้เพื่อนใหม่นะคือเพื่อนของคุณเพียงตาคนที่ฉันไปหว่านล้อมให้ไปคุยกับคุณติว  ฉันจึงสนิทกันเพราะเหตุการณ์มันพาไป
"คุณชื่ออะไรครับ"
"คุณบอกฉันก่อนสิคะ..."
"ผมปลิวครับ"
"ฉันกิค่ะ"
"มาเที่ยวที่นี่ครั้งแรกเหรอครับ"
"ค่ะ...แล้วคุณล่ะคะ"
"ก็หลายครั้งอยู่ครับ  ผมติดใจตั้งแต่มาเที่ยวกับแฟนคนแรกแล้วจนตอนนี้เลิกลากันไปก็ยังมาเที่ยวอยู่  ที่จริงผมมากันหลายคนแต่ยายเพียงตาน่ะสิชวนผมมาเพราะอยากจะเจอหน้าแฟนคุณไง"
"ไม่ใช่...เขาเป็นเจ้านายฉัน  ไม่ใช่ฟงแฟนอะไรหรอก"
ฉันถึงกับตอบเสียงหลงทีเดียว  ฉันคุยกันจนเริ่มรู้สึกว่าง่วงมาก ๆ ก็เลยเดินกลับบ้านหลังที่พักอยู่  คุณปลิวก็เลยมาส่ง  เราแลกที่อยู่กันจากนั้นพอเช้าขึ้นมาเราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย  แต่น้าตุ๊กน่ะสิเสียความรู้สึกมาก ๆ ที่คุณติวเอาคุณเพียงตาเข้ามานอนด้วย  น้าตุ๊กถึงกลับช็อกทีเดียว  เลยจะขอกลับกรุงเทพฯก่อน  แต่คุณติวไม่ยอม  น้าตุ๊กเลยไม่พูดกับคุณติวเลย...  ฉันนะสงสารคุณติวและสงสารน้าตุ๊กมาก ๆ เลย  ครอบครัวที่สงบสุขกลับแย่เพราะผู้หญิงคนเดียว  ที่จริงฉันก็โทษตัวเองอยู่เหมือนกันที่เป็นสื่อให้น้าตุ๊กต้องหมางใจกับลูกชาย  ฉันนี่มันบ้าจริง ๆ ...การเที่ยวครั้งนี้เลยกล่อยเพราะสถานการณ์ไม่ค่อยดี
พอกลับมาได้สามวันคุณปลิวก็ติดต่อมา  เรานัดเจอกันบ่อยครั้งจนคุณติวไม่ค่อยพอใจหาว่าฉันอู้งาน  ฉันก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาโกรธทำไมเพราะว่าฉันไม่เห็นว่าฉันจะใช้เวลางานตรงไหนเลย  แต่คุณติวกลับแสดงออกจนน่าเกลียด				
3 สิงหาคม 2547 16:07 น.

นึกถึงวันเก่า ๆ ที่เราเคยอยู่ด้วยกัน...(ตอนที่1)

สุชาดา โมรา

ผ่านมาแล้ว 3 ปี  กับชีวิตที่หักเหหาทางออกไม่ได้  มีชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับความผิดหวังและสิ่งต่าง ๆ ที่สวรรค์บันดาลให้เป็นไป  รวมทั้งเรื่องราวที่ไม่อาจคาดฝันว่าอนาคตเราจะดำเนินชีวิตไปอย่างไร  มีใครมาคอยดูแลเราหรือไม่  จะมีใครมาคอยปลอบใจเวลาที่เราเหงา  ยามท้อแท้อ่อนแอสิ้นหวังหมดกำลังใจ  หรือยามปวดใจบ้างไหม  ซึ่งมันก็เกิดจากปัญหาที่เราเองนั้นไม่อยากให้มันเกิดขึ้นมาเลยจริง ๆ และเราก็ไม่อาจที่จะทำใจให้เข้าใจได้ว่าเหตุใดผู้ใหญ่ถึงเป็นแบบนี้
	ฉันไม่เคยมีความสุขในชีวิตของฉันเลย  ตั้งแต่ฉันเกิดมาฉันก็พบแต่สภาพของครอบครัวที่แตกร้าว  มีแต่ความร้าวฉานอยู่ตลอดเวลา  ตัวฉันเองเป็นลูกคนกลาง  ฉันมีพี่ชายและน้องสาวที่คอยเป็นกำลังใจให้เสมอ  บ้านฉันค่อนข้างยากจนข้นแค้น  ขัดสนไปเสียทุกเรื่อง  เวลาไปเรียนฉันก็ต้องเป็นเด็กอยู่ในความอนุเคราะห์ของทางโรงเรียน  เพื่อน ๆ ก็ชอบล้อว่าฉันเป็นเด็กอนาถา  ฉันไม่เข้าใจว่าฉันผิดตรงไหนที่เกิดมาจน  คนจนไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียนเหรอฉันมักจะถามตัวเองแบบนี้อยู่เสมอ ๆ จนมีอยู่วันหนึ่งด้วยความที่ฉันเป็นคนช่างอ่าน  ฉันก็ไปสมัครทำงานพิเศษในห้องสมุดของโรงเรียน  ตอนนั้นฉันมีความสุขมากกับการที่ได้อ่านหนังสือมากมายทำให้ฉันเริ่มรอบรู้มากขึ้น  ฉันรู้สึกได้ว่าการอ่านเป็นสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตฉันมาก  และการอ่านก็ทำให้ฉันเรียนดีมากขึ้นด้วย
	พอฉันโตขึ้นได้เรียนสูงขึ้นฉันก็เข้าใจปัญหาที่ฉันมีอยู่ในขณะนี้  ฉันพยายามขยันเรียนให้ดีที่สุดถึงแม้ว่าจะต้องกัดก้อนเกลือกินก็ตาม  พี่ชายฉันเรียนจบออกมาก็มาส่งฉันเรียน  ตอนนี้พี่ทำงานอยู่กรมทางหลวงเป็นวิศวะเงินเดือนดีจึงสามารถส่งฉันและน้องเรียนได้  ส่วนพ่อหลังจากที่เลิกลากับแม่ไปนานมากฉันก็ไม่ได้ข่าวคราวเลย...  ถึงแม้ว่าช่วงนี้พี่ชายของฉันจะช่วยเหลือเจือจุนบ้านอย่างไรแต่ความเป็นอยู่ของเราก็ยังไม่แตกต่างจากเดิม  แม่เป็นคนที่รักฉันและน้องมากที่สุดเพราะเราเป็นผู้หญิง  ผู้หญิงมีโอกาสที่จะเสียคนได้ง่ายที่สุด  แม่มักจะพร่ำสอนฉันอยู่เสมอ ๆ
	อย่าชิงสุกก่อนห่ามนะลูก  อย่าเกเรตั้งใจเรียนนะ
	ฉันและน้องก็ทำตามที่แม่สอนทุกเรื่อง  แม่ยังคงทำงานเหมือนเดิม  ยังเข็นรถไปขายส้มตำเป็นปกติ  ความฝันของแม่คืออยากให้ลูก ๆ เรียนจนจบปริญญา  อยากมีร้านอาหารเป็นของตัวเองจะได้ขายส้มตำได้
	ฉันเรียน ม.ปลายแล้ว  ฉันเริ่มเป็นสาวเต็มตัวหลังจากที่ผ่านอายุ  16    ด้วยความที่ฉันเป็นคนชอบอ่านชอบเขียนอยู่เสมอ ๆ เมื่อมีร้านหนังสือมาเปิดที่ฝั่งตรงข้ามของโรงเรียนฉันจึงไปสมัครสมาชิกทันที  แต่ทว่าค่าสมัครสมาชิกมันแพงเหลือเกิน  ตั้ง  30  บาทก็เท่ากับที่ฉันไปเรียนเลย  คงไม่ไหวแน่ ๆ  แต่เจ้าของร้านใจดีบอกให้ฉันมาทำงานด้วยแล้วจะให้ค่าขนมแถมยังได้อ่านหนังสือฟรีอีก  นับว่าเป็นโชคสองชั้นของฉันจริง ๆ
	ฉันทำงานอยู่ 2 เดือนเจ้าของร้านก็ไว้วางใจให้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายในร้าน  ให้บริหารงานเองจนใคร ๆ ต่างก็คิดว่าฉันเป็นเจ้าของร้านไปแล้ว  ตกเย็นหลังจากเลิกเรียนฉันก็มาทำงานจนดึก  บ้านช่องไม่ได้กลับเพราะกินนอนเสร็จสับที่ร้าน  เจ้าของร้านก็ไม่อยู่ปล่อยให้ฉันดูแลกิจการแทนเขาทั้งหมด  ฉันได้เจอลูกค้ามากหน้าหลายตา  สนิทกับคนมากมายไม่ว่าจะอายุมากกว่าหรือเด็กกว่า  ฉันมีความสุขที่สุดกับการที่ได้ทำงานตรงนี้มากทีเดียว
	วันหนึ่งแม่ฉันป่วยหนัก  พี่ชายฉันไปต่างจังหวัด  ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไงดีไม่รู้จะพึ่งพาใครได้  ไม่รู้ว่าจะพาแม่ไปหาหมอยังไง  ฉันกลับไปที่ร้านเช่าหนังสือดึงลิ้นชักออก  ในนั้นมีเงินอยู่จำนวนหนึ่ง  ใจฉันก็คิดว่าน่าจะเอาไปรักษาแม่ก่อน  แต่อีกใจนึงบอกว่าอย่าทำเลยมันไม่ดีเพราะแม่เคยสอนอยู่บ่อย ๆ ว่าของเขาไม่เอาของเราไม่ให้ฉันจำคำสอนของแม่ได้ดี  แต่จะปล่อยให้แม่ต้องตายงั้นเหรอ  ฉันลังเลอยู่นานไม่รู้จะทำยังไงดี  ได้แต่ยืนกุมขมับไว้แล้วก็ตัดสินใจปิดลิ้นชักซะแล้วก็ตั้งใจทำงานโชคดีที่เจ้าของร้านมาพอดี
	ไงกิวันนี้....ยอดเช่าเป็นยังไงบ้าง
	ก็ดีกว่าทุกวันค่ะ
	อ่ะนี่เงินเดือนของเธอนะ  แล้วอืมโทษฐานที่เป็นคนดีน้าให้โบนัสพิเศษด้วยอ่ะ
	น้าตุ๊กส่งเงินให้ฉัน  ฉันดีใจมากรับเงินและไหว้ขอบคุณน้าตุ๊กทันที
	อืมกิวันนี้เลิกงานได้เลยนะเดี๋ยวจะกลับบ้านไม่ทัน  หมู่นี้ไม่ค่อยได้กลับบ้านนี่เดี๋ยวคุณแม่จะบ่นเอานะ
	ฉันรีบกลับบ้านมาพาแม่ไปหาหมอทันที  โชคดีจังที่ไม่เป็นอะไรมาก  ทีแรกฉันกลัวว่าแม่จะเป็นไข้หวัดนกจะตายไปเฮ้อโล่งอกไปที  เพราะหมู่นี้ไก่ย่างมันเหลือแม่ก็เลยเอามากินกับข้าวด้วยฉันละเป็นห้วงเป็นห่วง  แต่ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วละ
ฉันมาคิดได้ว่าการที่ฉันไม่ขโมยเงินในร้านมาคือการทำความดีอย่างหนึ่ง   ทำให้ได้กำไรชีวิต เพราะว่าความดี เท่านั้นเป็นสิ่งที่เพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิต ทำชีวิตให้มีความสุข ความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น หากปราศจากการทำความดีแล้ว ชีวิตที่แสนสั้นในโลกใบนี้ ก็ยิ่งจะหมดค่าลงไปทุกทีๆ เพราะฉะนั้นเราจึงควรรีบทำความดีทุกๆ วัน เพื่อแข่งกับเวลาที่มันกลืนเอาชีวิตของเราไปทุกขณะจิต  ฉะนั้นเมื่อฉันไม่ได้ทำบาปลงไปผลดีเลยมาตอบแทนเราทำให้สวรรค์ส่งน้าตุ๊กมาเป็นคนช่วยเราทำให้ฉันมีเงินมาพาแม่ไปรักษา...
เด็วสาววัยรุ่นที่อยากมีเหมือนเพื่อน  อยากได้อะไรมาเป็นของตัวเองแต่ละครั้งต้องขวนขวายหาเงินมาซื้อให้ได้  ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน  แต่ด้วยความที่ฉันทำงานกับน้าตุ๊กทำให้น้าตุ๊กเอ็นดูฉันมาก  ถึงกับจะรับฉันเป็นลูกบุญธรรมเลยทีเดียว  น้าตุ๊กเป็นคนดีคอยช่วยเหลือฉันมาโดยตลอด  อยากได้อะไร  อยากทำอะไร  แค่น้าตุ๊กมองตาก็รู้ใจฉันทันที  เที่ยวหาซื้อข้าวของมาให้ราวกับฉันเป็นลูกของเขา  ฉันจึงรักและเทิดทูนน้าตุ๊กมากเป็นอันดับสองรองจากแม่ทีเดียว
เวลาผ่านไปจนฉันเรียนจบ  น้าตุ๊กให้คำแนะนำในการศึกษาต่อ  ฉันจึงเอ็นทรานติดมัคคุเทศก์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง  พี่ชายของฉันก็ขวนขวายหาเงินมาให้ฉันเรียนจนฉันรู้สึกว่าฉันเป็นภาระของพี่  แต่ฉันก็ยังดีที่ฉันมีน้าตุ๊กคอยดูแลฉัน  ฉันเรียนไปทำงานไป  ถึงแม้ว่าเงินเดือนจะได้น้อย  แต่น้าตุ๊กก็ปรนเปรอฉันด้วยสิ่งอื่น ๆ ที่เงินเดือนฉันไม่อาจจะหาซื้อได้  ฉันรู้สึกว่าน้าตุ๊กดีกับฉันเหลือเกิน
วันนั้นฉันจำได้ดีว่าน้าตุ๊กชวนฉันไปที่ดอนเมืองเพื่อไปรับใครคนหนึ่ง  ฉันไปยืนเป็นเพื่อนน้าตุ๊กจนมีผู้ชายคนหนึ่งมาพร้อมสัมภาระ
"สวัสดีครับคุณแม่...เอ่อนี่ใครกันครับ..."
"กิจ่ะ  คนที่แม่เล่าให้ฟังบ่อย ๆ ไง"
"อ๋อ!..สวัสดีครับ"
ฉันจึงยกมือไหว้ผู้ชายคนนี้  ผู้ชายคนนี้แต่งตัวดีดูภูมิฐาน  เรียนจบนอกมาด้านการบินพลเรือนจากนอร์เวย์  เป็นคนพูดนิ่ม ๆ สุภาพ  หน้าตาดูดี  สูงขาว  แก้มใสดูขาวอมชมพูราวกับปัดบรัซออนทีเดียว  ฉันเดินไปแอบมองไปเพราะความชื่นชมในผิวของเขา
"เอ่อคุณแม่ครับเราจะไปทานข้าวกันที่ไหนดี  คือผมหิวแล้ว  ผมอยากทานอาหารไทย ๆ แบบว่าไม่ได้ทานมานานแล้วครับ"
ผู้ชายคนนี้ยืนกอดเอ็วน้าตุ๊กอย่างน่าเอ็นดูเทียวละ  ฉันรู้สึกประทับใจมาก ๆ เมื่อได้เห็นครอบครัวนี้มีความสุข....
น้าตุ๊กพาพวกเราไปทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งย่านสำเพ็ง  ร้านนี้อาหารอร่อยมาก  ฉันไม่ค่อยกล้าทานอะไรมากเพราะดูสองแม่ลูกคู่นี้เขาทานแบบผู้ดี  ฉันจึงค่อย ๆ ทานแล้วก็รีบอิ่ม
"อิ่มแล้วเหรอจ๊ะลูก..."
"ค่ะ"
"ทานของหวานก่อนไหม"
"ไม่ละค่ะ  ขอบคุณค่ะ"
"เอ่อคุณแม่ผมก็อิ่มแล้วเหมือนกันครับ"
"งั้นเหรอติว...เก็บเงินด้วยจ่ะ"
เราออกจากร้านแล้วก็เดินไปร้านหนังสือด้วยกัน  แต่น้าตุ๊กบอกกับฉันว่าติดธุระให้คุณติวอยู่เป็นเพื่อนฉันเลือกหนังสือ  ส่วนน้าตุ๊กก็ให้กุญแจรถไว้กับคุณติวแล้วก็ขึ้นแท็กซี่ไป...ฉันมีความรู้สึกเกร็ง ๆ ยังไงชอบกล  ต้องมายืนอยู่กับคนที่ไม่ค่อยสนิท  ทำอะไรก็ไม่ถนัด				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา