25 กรกฎาคม 2547 20:04 น.

ฅนสองเงา ( ตอน 5 )

สุชาดา โมรา

"คุณพล ๆ ตอนที่คุณไม่อยู่มีคนมาขอทำข่าวถึง 6 รายการเชียวค่ะ" ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาพูดกับคุณพลราวกับสนิทกันมาก  แต่ก็ดูท่าทางเขายำเกรงคุณพลไม่ใช่น้อย
"พล...เด็กคนนี้ใช่ไหมที่คุณเดย์บอกว่าจะต้องพาตัวมาให้ได้...เออน่ารักดีนะ  ชื่อไรน่ะ"
"อย่าเพิ่มถามน่า...เดี๋ยวคุณเดย์ก็บอกเองนั่นแหละ"
คุณพลตอบชายคนนั้นด้วยท่าทางที่ขึงขัง  ดู ๆ ทุกคนที่นี่จะยำเกรงคุณพลเหมือนกัน
"....เอ๊ะ...!!!  ทำไมทุกคนจึงมองเราเหมือนเราเป็นตัวประหลาด..." จิรมลนึก
..........แอ๊ด..........คุณพลเปิดประตูให้ลงไปในทางแคบ ๆ มีเพียงแสงไฟที่เป็นสีแดงดูน่ากลัวมาก  ทางตรงนี้เป็นทางห้องใต้ดินบรรยากาศตามทางก็วังเวงดูน่ากลัวทำให้จิรมลรู้สึกกลัว ๆ เกร็ง ๆ จนพูดไม่ออก
"....รู้สึกกลัว ๆ ยังไงบอกไม่ถูก  หนาว ๆ ด้วยแฮะ...สงสัยจังว่าคุณพลพามาที่นี่ทำไม  ฉันรู้สึกตื่นเต้นและก็หวาดกลัวเป็นพิเศษ...มันน่ากลัวกว่าทุกครั้งที่ฉันเจอมาซะอีก"จิรมลนึก
เมื่อคุณพลเปิดประตูอีกบานและพาจิรมลเข้าไปข้างใน  แอร์ที่เปิดเย็นเฉียบ  มีแสงและลานเวทีที่ดูเหมือนจริง  ทั้งฉากและผู้คนที่แต่งกายทำให้จิรมลรู้ทันที่ว่านี่มันคือโรงซ้อมละคร
"เอ๊ะ....!!!คุณพลนี่มันโรงซ้อมละครนี่คะ"
"ครับ"  คุณพลตอบด้วยท่าทางขึงขัง
"ยังไม่ได้!!!....แสดงให้ดีกว่านี้เป็นหรือเปล่า!!!.......?"  เสียงชายคนหนึ่งดังเกรี้ยวกราดขึ้นมาทำให้จิรมลยิ่งรู้สึกกลัวเข้าไปใหญ่
"คุณต้องพบพ่อที่เคยเกลียดใช่ไหม  คุณเป็นคนทำให้พ่อต้องสูญเสียอนาคตไปใช่ไหม  และคุณต้องโผเข้ากอดเขาด้วยความรู้สึกที่ผิด  จำได้หรือเปล่า...!!!....ไม่ใช่ว่ามายืนแข็งเป็นตอไม้....โถ่...ไม่ได้เรื่องเลย....ซ้อมใหม่...!!!!"
เสียงชายคนนั้เกลี้ยวกราดจนจิรมลรู้สึกกลัวเข้าไปใหญ่  แต่จิรมลก็อยากที่จะเห็นหน้าชายคนนั้นว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร  ทำไมจึงดุดันได้ขนาดนี้
"ทำไมยังไม่ดีขึ้นอีก..ใบ้กินหรือไง...!!!ตอบมาเร็ว  หลับอยู่หรือไง...หา....!!!...โถ่โว้ย...นี่ผมจะบ้าตายเพราะพวกคุณอยู่แล้วนะ" ชายคนนั้เกรี้ยวกราดอีกครั้ง  แล้วก็ค่อย ๆ สบัดผมและหันมาช้า ๆ
"....ผู้หญิงคนนั้นเขาแสดงดีแล้วนี่นา  ทำไมถึง...อ๊ะ...!!!คุณเดย์นี่...ทำไมดูน่ากลัวจัง...ฉันกลัวไปหมดแล้วนะ..." จิรมลยืนดูอยู่กับกลุ่มนักแสดงข้างล่างพร้อมกับคิดเรื่องที่เห็นคุณอาสาฬห์เกรี้ยวกราดกับนักแสดงด้วยความกลัว
"คุณพล...ฉันว่าเราควรออกไปก่อนดีกว่านะวันนี้อย่าเพิ่งมาพบเขาเลยเขาอารมณ์ไม่ดี  กำลังโมโหโกธาอยู่อย่าไปยุ่งดีกว่านะนะ..." จิรมลค่อย ๆ กระซิบ
"เปล่า...เขาปกติไม่ได้โมโหหรืออะไรหรอก  แต่เขาเป็นคนที่จริงจังเกินไป  นี่เขาแค่พูดตรง ๆ เท่านั้นนะเนี่ย  กลัวเหรอ"
จิรมลถึงกับอึ้งทีเดียวที่ได้ยินคุณพลพูดแบบนั้น
".....เนี่ยเหรอที่บอกว่าปกติ  น่ากลัวจริง ๆ เลย  ไม่อยากอยู่แล้ว..." จิรมลนึกและค่อย ๆ แทรกตัวออกจากที่นั่นทันที
ผู้หญิงคนนั้นยังคงแสดงต่อ
"พ่อคะ..."
พรวด...ซ่า...คุณอาสาฬห์ถึงกับเอาน้ำมาสาดหน้าผู้หญิงคนนั้นทันที  ยิ่งสร้างความน่ากลัวจิรมลเป็นอย่างมาก  จิรมลถึงกับยืนตัวเกร็งอยู่ที่มุมห้องทีเดียว
"ตาสว่างหรือยัง...!!!  ผมจะซ้อมให้เองหันมานี่...!!!" คุณอาสาฬหืกระชากบทออกจากมือผู้หญิงคนนั้นแล้วก็โยนเอาไว้ที่ข้างเวที  แล้วก็พูดขึ้น  "ในเรื่องพ่อของคุณตามใจคุณมาก  คุณอยากได้อะไรก็จะหามาให้  วันหนึ่งพ่อขับรถออกไปซี้อของตามที่คุณต้องการ  จึงขับรถออกไปด้วยความเร็วสูงจนกระทั่งรถเบรคไม่อยู่ชนคนตาย  พ่อของคุณจึงมีชีวิตที่เปลี่ยนไป  ต้องติดคุกหลายปี  พอออกมาจากคุกผู้คนก็เฉยเมยกับเขา  เขาตกงาน  ครอบครัวก็ขับไล่  เขาจึงต้องทิ้งครอบครัวและหนีจากสังคมไปอยู่ในป่า  มีชีวิตที่โดดเดี่ยวเดียวดาย  เหมือนคนที่อยู่แล้วตายทั้งเป็น..."
เมื่อจิรมลได้ยินก็ทำให้เธอคิดถึงพ่อทันที
"ตอนแรกคุณก็โกรธพ่อและเฉยเมยต่อเขา  ต่อมาเมื่อคุณโตขึ้นมีความคิดมากขึ้น  คุณอยากพบพ่ออีกครั้ง...ในตอนนี้เองพอคุณได้พบพ่อคุณจะเรียกเขาว่าอะไร  ต้องใช้อารมณ์ไหน...!!!"คุณอาสาฬห์พูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
"พ่อคะ...." ผู้หญิงคนนั้พูดขึ้น
จิรมลคิดว่าถ้าเธอได้พบพ่ออีกครั้งตอนที่ท่านยังอยู่เมืองไทย  เธอจะขอโทษพ่อเพราะเธอรู้สึกผิดและโทษตัวเองมาโดยตลอดว่าเพราะเธอพ่อจึงต้องป่วยหนัก  เธออยากเจอและทำดีกับพ่อของเธอให้มากกว่านั้น...  "...คุณพ่อคะ..."  จิรมลนึกและก็น้ำตาคลอเบ้า
"พอก่อน...!!! เมื่อกี้คุณใช้อารมณ์ไหน...ลืมบทหรือไง...!!!  ถ้าคุณคิดว่าคนที่แสดงเป็นพ่อได้แค่ลมปาก  คุณมองเห็นเขาเป็นเพศตรงข้าม  เป็นคู่รักหรือคนที่คุณสนใจมันก็จบ...ผมไม่เข้าใจคุณเลยจริง ๆ ....คุณถูกปลดแล้ว..." คุณอาสาฬทำท่ากุมขมับเดินออกไปที่ขอบเวทีจากนั้นก็หันกลับมาชี้หน้าผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับขว้างบททิ้ง  "โถ่โว้ย...!!!!"
ผู้หญิงคนนั้นถึงกับร้องไห้โฮทีเดียว  ทำให้จิรมลทั้งสงสารผู้หยิงคนนั้นและก็อินกับบทที่คุณอาสาฬห์พูดให้ฟัง  เธอถึงกับร้องไห้โฮเสียงดังเพราะสงสารผู้หญิงคนนั้นและคิดถึงพ่อของเธอมาก
"ใครร้องไห้น่ะ...ผมถามว่าใคร...!!! ขึ้นมานี่ซิ" คุณอาสาฬห์พูดขึ้นพร้อมกับเสียงที่เกรี้ยวกราด  ท่าทางขึงขังเหมือนคนบ้าเลือดทำให้จิรมลรู้สึกกลัวมากขึ้น  ผู้คนที่อยู่ในนั้นต่างก็จ้องมองมาที่มุมห้องตรงที่จิรมลนั่งกองอยุ่กับพื้นและร้องไห้อยู่...
"คุณจิรมล...คุณเดย์เรียกแล้วครับ"  คุณพลเดินเข้ามาหาแล้วเอื้อมมือไปฉุดให้จิรมลลุกขึ้น
"ฮือ.....ไม่เอา...ไม่  ไม่  ฉันไม่ขึ้นไป...." จิรมลร้องไห้เสียงดัง
"คุณมลครับขึ้นไปเถอะ...คุณเดย์ไม่ทำอะไรหรอก"
"ไม่จริง.....คุณพลโกหก"
จิรมลท่าทางจะไม่ยอมขึ้นไปบนเวทีง่าย ๆ คุณอาสาฬห์จึงลงมาคว้าข้อมือเดินขึ้นไปบนเวทีทันที  ทุกคนถึงกับเงียบและมองเป็นตาเดียว
"ผมขอแนะนำสมาชิกใหม่  นี่จิรมล  สุวรรณพฤกษ์  เธออายุ 17 ปี  เธอจะมารับบทนางเอกเรื่องคนความเงียบ..."
"ฉะ...ฉันต้องมาเรียนการแสดงไม่ใช่มาเล่นละคร...!!!" จิรมลพูดเสียงดังขึ้น
ผวัะ....คุณอาสาฬห์ถึงกับระงับอารมณ์ไม่อยู่ตบหน้าจิรมลทันที  ทำให้จิรมลงงทำอะไรไม่ถูก  "...นี่มันอะไรกันเนี่ย..." จิรมลนึก
"พล...นายทำไมมาช้าจัง  ฉันรอตั้งนานแล้วนะ...!!!" คุณอาสาฬห์ทำเสียงเกี้ยวกราดใส่คุณพลจนทำให้คุณพลหน้าเสีย
"คือผมมานานแล้วครับ  แต่เห็นคุณยุ่ง ๆ อยู่ผมจึงยืนดูคุณซ้อมบทให้แพรทองอยู่ข้าง ๆ น่ะครับ" คุณพลพูดขึ้น
"...ฉันต้องเป็นนักแสดงเหรอ  ที่ตกลงกันมันไม่ใช่แบบนี้นี่...ทำไมคน ๆ นี้มีสิทธิ์อะไร...ทำไมถึงมาตบหน้าเรา  ตบต่อหน้าคนอื่นด้วย  ฉันรู้สึกเสียหน้าเหลือเกิน  ทำไมนะ..." จิรมลนึกพร้อมกับนั่งกองอยู่กับพื้นเวที  ตัวเธอรู้สึกหน้าชาทำอะไรไม่ถูก...เธอไม่รู้ว่าเธอจะต้องทำอย่างไรดี  ทุกคนที่นี่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเธอเลย
"ฉันจะกลับบ้าน...!!!"  จิรมลวิ่งลงจากเวที  คุณอาสาฬห์จึงเข้ามาฉุดแขนไว้
"ปล่อย...ปล่อยฉันนะ...ปล่อย!!!!"  จิรมลร้องจนสุดเสียง
ผวัะ...จิรมลหันไปตบหน้าคุณอาสาฬห์  
"ฉัน...ฉันไม่ได้ตั้งใจ"  จิรมลตกใจมากที่ตนเองตบหน้าคุณอาสาฬห์  ทุกคนในห้องต่างมองกันเป็นตาเดียวและก็ซุบซิบนินทาซอกแซก ๆ กันยกใหญ่
"...พ่อแม่ยังไม่เคยทำกับเราอย่างนี้เลย...ทำไมนะ...โหดร้ายที่สุด..."  จิรมลนึก
"คุณเดย์ครับ  คุณเดย์...!!!ผมว่าเธอเพิ่งมานะครับ  เราควรจะให้เธอพักผ่อน"
"อย่ามายุ่งนะ...นายพล...!!!"  คุณอาสาฬห์พูดเสียงดังพร้อมกับทำหน้าตาขึงขัง  "เธออยากเรียนการแสดงไปทำไมถ้าเธอคิดว่าจะไม่เป็นนักแสดง  เธอรู้ตัวไหม...ว่าฉันเหนื่อยขนาดไหนกว่าจะเอาตัวเธอมาได้  เธอรู้ตัวเองหรือเปล่าว่าเธอทำให้พ่อเธอต้องป่วย  เธอคิดจะกลับบ้านง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ...มันจะไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือไง"  คุณอาสาฬห์พูดด้วยน้ำเสียงดุดันทำให้จิรมลกลัวจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  เธอฟุบตัวลงกับพื้นต่อหน้าผู้คนมากมาย...เธอรู้สึกอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
"คุณเดย์ครับ...เธอสลบไปแล้วครับ" คุณพลพูดขึ้น
"เธอแค่ทำสำออยเท่านั้นแหละ"  คุณอาสาฬห์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"ผมจะพาเธอไปส่งที่ห้องพัก..." คุณพลอุ้มจิรมลเดินออกมาจากในห้องซ้อมละครทันที  พวกนักแสดงหลายคนยืนดูด้วยความสนใจ  และซุบซิบนินทากัน

โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ
ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ
ตอนต่อไปจะเข้มข้นขึ้นอีก  โปรดติดตามตอนต่อไปของเรื่องนะคะ				
25 กรกฎาคม 2547 19:49 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 5 )

สุชาดา โมรา

ช่วงนี้ถึงแม้ว่าแสงอาทิตย์จะเจิดจ้าแค่ไหนแต่อากาศก็ไม่ได้ร้อนเลย  มันหนาวจนจับเข้าไปในกระดูกทั้ง ๆ ที่นี่มันแค่ลพบุรีไม่ใช่เชียงใหม่ซะหน่อย
	ฉันไปโรงเรียนอย่างเร่งรีบเพราะช่วงนี้อากาศมันเย็นทำให้นอนยาวทีเดียว  ไม่ว่าจะรีบไปเรียนเร็วกว่าเดิมแค่ไหนแต่รถเมย์สายนี้ก็ยังคงแช่และวิ่งช้าอยู่เหมือนเดิม
	ตึก...ตึก...ตึก  ฉันวิ่งเข้าไปในโรงเรียนแต่ก็ถูกกักที่หน้าประตูตามเคย
	"ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย...."
	ต้องมายืนร้องเพลงชาติตรงนี้เป็นรายการประจำจนทำให้วันนี้อาจารย์เรียกไปพบที่ห้องปกครองเรื่องการมาสาย  อาจารย์มีหนังสือเชิญผู้ปกครองมาด้วย
	"นี่แววดาว  ครูถามจริง ๆ เถอะเธอเป็นโรคอะไรต้องมาสายตลอดเลย"
	"หนู...หนู...รถมันแช่ค่ะ"
	"ก็หัดมาเช้า ๆ สิยะ...นี่ไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่ดีเลยนะ...ใช้ไม่ได้!!!"
	ฉันนะอยากจะเถียงอาจารย์เลยว่าถึงจะมาเช้าหรือว่ามาสายก็มีค่าเท่ากันเพราะถนนสายนี้ไม่ค่อยมีรถผ่าน  พอผ่านมาสักคันหนึ่งมันก็แช่ซะจนน่ารำคาญ...  น่าเบื่อที่สุดเลย
	วันี้ฉันเดินเข้ามาในสมาคมด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว  พรุ่งนี้ต้องพาผู้ปกครองไปพบอาจารย์เรื่องการมาสาย  ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดี  ฉันนั่งเหม่อมองดูท้องฟ้าโดยไม่ยอมไปเปลี่ยนชุดยูโด
	"อยู่นี่เองดาว...วันนั้นพี่ขอโทษนะพี่เข้าใจเราผิด"
	"แล้ววันนี้เป็นอะไรไปล่ะทำไมถึงไม่ไปเปลี่ยนชุด  ไม่สบายหรือเปล่า"
	"เปล่า"
	"แล้วมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่าล่ะถึงได้มานั่งซึมกระทือแบบนี้"
	"อาจารย์มีหนังสือเรียกผู้ปกครองน่ะ...เรื่องมาสาย"
	ฉันทำสีหน้าแบบหงอย ๆ แต่พี่ดอนก็เอามือมาขยี้หัวฉัน
	"โถ่...เรื่องแค่นี้เองก็บอก ๆ ท่านไปสิท่านไม่ว่าหรอก"
	"ไม่ได้หรอกเดี๋ยวแม่โกรธตายเลย  แม่ยิ่งไม่เหมือนคนอื่นอยู่ด้วยสิ...แล้วจะทำไงดีนะ...เฮ้อ...กลุ้มใจจริง ๆ เลย"
	"อ๋อ...ไม่ยาก  นี่ไงเรามีพ่ออยู่หลายคน  อยากได้พ่อแบบไหนล่ะ  แต่ต้องนัดแนะให้ดี ๆ นะไม่งั้นเกิดสับสนขึ้นมาอาจารย์จับได้ละก็...!!!"
	"จริงเหรอ...แล้วใครล่ะจะมาเป็นพ่อให้"
	"นั่นไง...คนที่วิ่งอยู่กลางสนามนั่นไง"
	พี่ดอนชี้ไปทางพวกที่วิ่งกันอยู่ที่กลางสนาม  ฉันมองเห็นอาจารย์โจวิ่งอยู่ที่กลางสนาม  ฉันจึงรู้สึกมีกำลังใจที่จะเล่นยูโดขึ้นมา  หลังจากซ้อมเสร็จพี่ดอนจึงไปคุยกับอาจารย์โจให้เรื่องที่จะไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้
	"สวัสดีครับ  ผมผู้ปกครองของแววดาวครับ"
	"อ๋อ...เหรอคะ"
	อาจารย์แฉล้มหัวหน้าฝ่ายปกครองมองลอดแว่นมาดูอาจารย์โจอย่างไม่เชื่อสายตา
	"คุณเป็นญาติข้างไหนคะ  ถึงได้หน้าไม่เหมือนกันเลย"
	"ผมเป็นพ่อของเธอ...ทำไมเหรอครับ...ดูนี่นะครับ  ดวงตาถอดมาจากแม่  คิ้วได้มาจากผม  จมูกนี่ครับเด่นที่สุดของผมเลย  เห็นไหมโด่งขนาดนี้   รูปหน้าเหมือนผมไหม  เรียวยาว  แล้วดูนี่ครับไฝใต้คางเม็ดเล็ก ๆ ถอดผมมาเลย  แล้วอาจารย์จะว่าผมไม่เหมือนลูกตรงไหน"
	อาจารย์โจบรรยายให้อาจารย์แฉล้มฟังจนอาจารย์ทำท่าแบบน่าเชื่อถือ...  จากนั้นอาจารย์แฉล้มก็พูดเรื่องการมาสายของฉัน
	"ผมขออนุญาติให้ลูกมาสายเถอะครับ  บ้านเราลำบากมาก ๆ ตื่นเช้าขึ้นมาก็ต้องไปดูแลทวดที่กำลังป่วยหนัก  พอตกเย็นก็ต้องไปทำงานหาเงินมาเรียน  ต้องไปรับจ้างล้างจานที่ร้านอาหารจนดึกดื่น  อาจารย์จะไม่สงสารเด็กตาดำ ๆ บ้างเหรอครับ  ถึงผมจะเป็นทหารแต่ผมก็มีภาระหลายอย่าง  ต้องส่งบ้านส่งรถ  ไม่มีเงินมาให้ลูกเรียน  เป็นหนี้สหกรณ์  เป็นหนี้ธนาวัตน์   โอ้โหเยอะแยะแล้วยังมีหนี้..."
	"พอเถอะค่ะ...ฉันเข้าใจ  เอาอย่างนี้ละกันฉันอนุญาติให้เธอมาสายได้แต่เธอต้องมาทำงานชดเชยที่ห้องพักครูตอนพักเที่ยง  ครูจะให้รายได้พิเศษกับเธอ  เธอจะได้ไม่ต้องไปล้างจานที่ร้านอาหารดึก ๆ ดื่น ๆ จนตาแดงอิดโรยแบบนี้  เพราะที่ร้านอาหารมันอันตราย  ผู้ชงผู้ชายมันเยอะเดี๋ยวมันก็ลวนลามเอา..."
	ฉันยิ้มแบบแหย ๆ แต่ก็ต้องตอบว่าค่ะ  อาจารย์โจนี่สุดยอดจริง ๆ ทำให้ฉันได้สองเด้ง  ทั้งการมาสายได้  แล้วยังได้เงินกินหนมฟรี ๆ อีก  โอ้โห...สร้างเรื่องได้สุดยอดเลย...น่าจะเอาไปแต่งนิยายนะ  ดู ๆ แล้วพูดหน้าตาเฉยเลย...ทำเอาฉันงงไปหมด
	"ขอบคุณนะคะอาจารย์"
	ฉันเดินไปส่งอาจารย์ที่รถ  อาจารย์ขยี้หัวฉันด้วยความเอ็นดู  แววตาของอาจารย์ยิ้มแย้มสดใสจนฉันมีความรู้สึกเหมือว่าอาจารย์เป็นพ่อของฉันไปแล้วจริง ๆ พออาจารย์ขับรถออกไปจนลับสายตาฉันไปแล้ว  ฉันจึงเดินมาเข้าชั้นเรียน
	"Bonjour,  Comment  allez-vous?"
	"Je  vsis  bien, merci "
	ฉันกล่าวคำทักทายกับอาจารย์ที่สอนวิชาฝรั่งเศสด้วยสำเนียงฝรั่งเศส  อาจารย์ให้นั่งที่ได้  ฉันจึงนั่งฟังตามที่อาจารย์สอนพร้อมกับจดบันทึกอย่างขมักเขม้นจนหมดคาบ
	"Retrouvons-nous  un  de  ces  jours"
	อ๊อด.....เสียงออดดังขึ้น  ฉันเก็บข้าวของแล้วเดินไปห้องปกครองทันที  อาจารย์แฉล้มให้ฉันจัดแฟ้มเอกสารแล้วก็ซื้อข้าวให้ฉันกิน  ที่จริงฉันไม่มีความเดือดร้อนในเรื่องเงินเลย  แต่ก็ดีนะที่จู่ ๆ ก็ประหยัดไปได้เยอะเชียว...
	ฉันมีความรู้สึกว่าวันนี้โลกดูสวยงามไปซะทุกอย่าง  ฉันมีความสุขเหลือเกิน  ฉันออกจากห้องปกครองแล้วเดินไปเรียนต่อในคาบบ่ายที่ตึกใหม่  ฉันขึ้นลิฟท์ไม่ทันเพราะคนแน่นจึงวิ่งขึ้นบันไดไป  
	"หกชั้น  ตายแน่ ๆ เลย"
	แต่ฉันกลับวิ่งขึ้นไปโดยไม่เหนื่อยเลย  อาจจะเป็นเพราะฉันฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี  พอฉันขึ้นมาถึงห้อง  ฉันเข้าไปนั่งที่โต๊ะแล็คเชอร์และเอาหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน  ฉันนั่งอ่านหนังสือได้แป๊บเดียว  จู่ ๆ ฉันก็มีความรู้สึกว่าห้องมันมืดไปหมด  จึงเงยหน้าขึ้นมาฉันเห็นแก๊ง 7 ห้าวมามุงดูฉันคล้ายกับจะเอาเรื่อง
	"ไง...ไปทำอะไรมาถึงได้โดนทำทันบนที่ห้องปกครอง"
	"เปล่านี่..."
	"อย่ามาแก้ตัวเลยดีกว่า  บอกมาซะดี ๆ ว่าไปทำอะไรมา"
	"ฉันแค่มาสายเท่านั้นแหละ"
	"ไม่จริงมั้ง...เหมี่ยวมันบอกว่าเธอมีเรื่องชู้สาวกับผัวมันอาจารย์ก็เลยเรียกไปทำทันบน  สรุปแล้วเธอจะเอาไงกันแน่  จะเลิกยุ่งกับพี่นัทอะไรนั่นหรือยัง"
	"แล้วมันกงการอะไรของเธอด้วย  ถึงได้มาแส่เรื่องนี้"
	"มันก็ไม่มีอะไรหรอกนะ  แค่หมั่นไส้...เหมี่ยวมันน่าสงสารมันมาอ้อนวอนขอร้องให้ช่วยพวกเรามันพลเมืองดีก็เลยเข้ามายุ่ง  มีไรปะ"
	"เหรอ  แล้วทำไมไม่ถามเหมี่ยวล่ะว่าแย่งแฟนเพื่อนเนี่ยสนุกไหม...แล้วไอ้ที่บอกว่าท้องน่ะมันผ่านมา 4 เดือนแล้วทำไมท้องยังไม่ป่องซะที  คนท้องบ้าอะไรไปเล่นยูโดทุกวัน..."
	แก๊ง 7 ห้าวอึ้งแล้วก็หันไปถามเหมี่ยวที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องเพื่อดูต้นทาง
	"ว่าไงเหมี่ยว...!!!"
	"อย่าไปเชื่อมัน  มันโกหก...ฉันไปเฝ้าพี่นัทไม่ได้ไปเล่นยูโด"
	"เหรอ  แต่ว่าไม่จริงมั้ง  พี่นัทเขาไปแข่งยูโดที่ออสเตรเลียเธอจะมาบอกว่าไปเฝ้าพี่เขาได้ไง"
	"อย่า...อย่าไปเชื่อมันนะ"
	พวกแก๊ง 7 ห้าวนิ่งเงียบแล้วก็หันไปซุบซิบกันสักพักแล้วก็หันมาทำท่าเหมือนจะเอาเรื่องฉันแต่ก็เดินไปเฉย ๆ ฉันนั่งลงอ่านหนังสือต่อจนอาจารย์มา...ฉันนั่งเรียนวิชาภาษาไทยในชุมชนจนหมดคาบ  อาจารย์ให้ทำรายงานมาส่งเรื่องการปกครองของจอมพล แปลก  พิบูลสงคราม  ฉันจึงเก็บหนังสือใส่กระเป๋านักเรียนแล้วเตรียมออกจากห้อง  แต่ฉันไม่สามารถที่จะออกจากห้องได้
	ปัง...ปัง...ปัง  ประตูทั้งสามบานถูกปิด  แก๊ง 7 ห้าวกับเหมี่ยวยืนล้อมฉันไว้ที่โต๊ะ  โดยมีอ้อมเป็นหัวหน้าคอยสั่งการ
	"หมั่นไส้ไหมพวกเรา...!!!"
	"เออ...ว่ะ  กูหมั่นไส้มานานแล้วขอตบสั่งสอนสักทีเถอะว่ะ"
	"เดี๋ยวก่อนต้อม  ฉันขอเปิดโรงก่อนโว้ย...!!!"
	อ้อมเข้ามาทำท่าจะตบ  ฉันหลบได้ทันจึงเดินออกไปยืนที่หน้าห้อง
	"อะไรกันเนี่ย...!!!"
	"ไม่มีอะไรหรอกว่ะ  แค่หมั่นไส้เด็กดี...ทำเป็นตั้งใจเรียน  ถุ้ย..."
	ฉันรู้สึกทนไม่ได้  เลือดมันสูบฉีดทั่วร่างไปหมด  รู้สึกว่ามันไม่แฟสำหรับฉันเลย  ฉันทำอะไรผิดพวกนี้ถึงเข้ามาหมายจะทำร้ายฉัน...ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ  เมื่ออ้อมเข้ามาตบฉัน  ฉันจึงคว้ามือและหักแขนทันทีจากนั้นก็ผลักออกไปให้พวกอีกหกคนรับ
	"มึงทำเพื่อนกูเหรอ"
	"ฉันไม่โง่ให้พวกแกตบฟรี ๆ หรอก"
	ต้อมวิ่งเข้ามาใส่ฉันจึงต่อยที่ลิ้นปี่แล้วก็ปัดเท้าจนล้ม  ตามมาด้วยเก๋วิ่งเข้ามาข้างหลัง  ฉันคว้าคอเสื้อได้จึงทุ่มด้วยท่าโคชิ-กูโรม่าทันที  ร่างนั้นกระแทกพื้นอย่างเต็มที่  
	"กูเอง...มึงใช้ยูโดเหรอ"
	"ช่วยไม่ได้  พวกนี้ทำร้ายฉันก่อน"
	เหมี่ยวเข้ามาประชิดตัวแล้วจิกผมฉันตบทันที  ฉันโดนไปหนึ่งที  ด้วยความแค้นฉันจึงบิดตัวกลับเข้ามาหักแขนเหมี่ยวทันที  จากนั้นฉันก็ตบคืนอีกสามทีแล้วก็ผลักให้ล้มลงไปกองกัน  พวกที่เหลือเข้ามาพร้อม ๆ กันจับแขนฉันรวบไว้แล้วก็เข้ามาจะต่อยท้อง  แต่ฉันเหนี่ยวแขนแนนกับฟ้าแล้วถีบทันทีทำให้ฝ้ายจุกและล้มลงไปกองกับพื้น  จากนั้นฉันก็มุดตัวลอดสองคนนั้นแล้วก็ผลักจนหัวโขกกัน  สาเป็นคนสุดท้ายที่ค่อนข้างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็เข้ามาอย่างเงอะ ๆ งะ ๆ ทำท่าเหมือนจะมาทำร้ายฉัน
	"ขอโทษแทนเพื่อนเราด้วยนะดาว...อย่าเอาเรื่องพวกเราเลยฉันไหว้ละ"
	สาคุกเข่าแล้วก็ไหว้ฉัน  ฉันทำเมินไม่สนใจจากนั้นจึงหยิบข้าวของออกจากห้องไป
	ฉันมุ่งตรงไปที่สมาคมอย่างไม่รอช้าแล้วก็เล่าเรื่องให้พี่ดอนฟัง  พี่ดอนโกรธมากถึงกับบอกว่าจะไปจัดการพวกนั้น  แต่ฉันห้ามไว้เพราะเป็นผู้ชายจะไปทำร้ายผู้หญิงได้ยังไงกันมันไม่ถูก  วันนั้นฉันซ้อมยูโดอย่างมีความสุขเพราะฉันมีความรู้สึกว่าแฟนของฉันสนใจฉันมากขึ้น  ดูแลฉันมากขึ้นกว่าเก่า  อาจจะเป็นเพราะหมดห่วงเรื่องพี่นัทแล้วก็ได้  เพราะช่วงนี้พี่นัทไปแข่งยูโดชิงแช้มอาเซี่ยนที่ออสเตรเลีย  หมู่นี้พี่ดอนจึงไม่ค่อยเครียดมากนัก...
	อีก 3 วันจะถึงวันแข่งคัดสายแล้ว  ฉันรู้สึกตื่นเต้นจังเลย  ฉันเร่งซ้อมอย่างเต็มที่เพื่องานนี้โดยเฉพาะ...ตอนนี้ฉันหมดปัญหาเรื่องมาเฟียในห้องแล้ว  ฉันมีความรู้สึกเป็นสุขที่สุดในโลกทีเดียว

โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ
ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามมาโดยตลอดค่ะ
แววดาวนางเอกสาวจะมีชีวิตเป็นเช่นไร  ความฝันของเธอจะเป็นจริงหรือไม่  ตอนต่อไปจะเข้มข้นกว่าเดิม...นะคะ				
25 กรกฎาคม 2547 19:39 น.

เส้นทางชีวิต

สุชาดา โมรา

จากอดีตสู่ปัจจุบันสังคมของคนไทยมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอดและสิ่งที่เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยได้ในทุกวันนี้ก็เห็นจะหนีไม่พ้นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของวงการการเมือง  ๑๔ ตุลา  หลาย ๆ คนคงจะจดจำความเจ็บปวดได้ดี  แต่อีกหลาย ๆ คนก็ไม่อาจจะรับรู้เลยว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเช่นไร  ดิฉันจึงขอย้อนความหลังหลังจากที่ได้ไปศึกษามาว่า  เมื่อครั้งเหตุการณ์ ๑๔ ตุลานั้นเป็นปรากฏการณ์ ทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อเดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๑๖ เยาวชนคนหนุ่มสาวที่เป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้ร่วมกับประชาชนจำนวนแสน เรียกร้องให้รัฐบาลคณาธิปไตย ถนอม-ประภาส- ณรงค์ ปลดปล่อยนิสิต นักศึกษา อาจารย์ และนักการเมือง ๑๓ คน ที่ถูกจับกุมเรียกร้องรัฐธรรมนูญ แต่กลับถูกรัฐบาลตั้งข้อหาว่ากระทำการผิดกฎหมาย มั่วสุมชักชวนให้มีการชุมนุมทาง การเมืองในสาธารณะเกินกว่า 5 คน เป็นบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐเป็นกบฏภายในพระราชอาณาจักร และมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์  

                ในระหว่างวันที่ 9-12 ตุลาคม นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ชุมนุมประท้วง โดยสันติวิธี ณ มหาวิทยาลัยธรรมสาสตร์ ในวันเสาร์ที่ ๑๓ ประชาชนเดินขบวน สำแดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่ดูประหนึ่งว่ากระแสคลื่นมนุษย์จักท่วม ท้นถนนราชดำเนิน ในวันที่ ๑๔- ๑๕ ถัดมาก็เกิดความรุนแรง เยาวชนคนหนุ่มสาวถูกปราบปรามด้วยอาวุธร้าย เป็นผลให้เกิดการลุกขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ต่อมาเผด็จการก็ล้มลง ผู้นำคณาธิปไตย ถนอม-ประภาส- ณรงค์ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ  ธีรยุทธ บุญมี อดีตเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย บัณฑิตวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้ประสานงานกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วยสมาชิกประมาณ ๑๐ คน เปิดแถลงข่าวที่บริเวณสนามหญ้าท้องสนามหลวง ด้านอนุสาวรีย์ทหารอาสา โดยมีวัตถุประสงค์ คือ  เรียกร้องให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยเร็ว  จัดหลักสูตรสอนอบรมรัฐธรรมนูญสำหรับประชาชน  กระตุ้นประชาชนให้สำนึกและหวงแหนในสิทธิเสรีภาพ ธีรยุทธ บุญมี  นำรายชื่อผู้ลงนามเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ๑๐๐ คนแรกประกอบด้วยบุคคลต่าง ๆ มาเปิดเผย เช่น พล.ต.ต สง่า  กิตติขจร นายเลียง ไชยกาล นายพิชัย รัตตกุล นายไขแสง สุกใส นายประพันธ์ศักดิ์ กมลเพชร รวมทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย เช่น ดร.เขียน ธีรวิทย์ ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ ดร.ชัยอนันต์ สมุทรทวณิช อาจารย์ทวี หมื่นนิกร เป็นต้น รวมทั้งจดหมายเรียกร้องจากนักเรียนไทยในนิวยอร์ค  ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นจะสร้างความสูญเสียถึงขนาดทำให้นิสิตนักศึกษาต้องจบชีวิตลงราวกับใบไม้ร่วงโดยที่ไม่มีใครออกมารับผิดชอบก็ตามแต่ประเทศไทยก็มีประชาธิปไตย  ซึ่งการเมืองนั้นเปรียบดั่งก้อนหินที่แข็งแกร่ง  ถ้าหากว่าวันใดก้อนหินถูกกัดเซาะจนบุบสลาย  การเมืองไทยจะอยู่ได้อย่างไร...

                การเมืองก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนไทยทั้งแผ่นดิน  เมื่อมีก้อนหินที่แข็งแกร่งถูกเจียรนัยให้มีความมั่นคงงดงามแล้ว  การเมืองก็จะไปได้ด้วยดี  และทางด้านอื่น ๆ ของชาติ  ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจ  การเกษตร  หรืออื่น ๆ นั้นก็จะมีเสถียรภาพที่มั่นคงซึ่งเป็นเหตุมาจากการเมืองที่มีรากเง้าดั่งก้อนหินที่เจียรนัย

 

เอกสารอ้างอิง

วัฒน์  วรรลยางกูร.๒๕๔๓, ไขแสง  สุกใส  ลูกผู้ชายหัวใจไม่ผูกเชือก.กาญจนบุรี. สำนักพิมพ์ปลายนา				
25 กรกฎาคม 2547 18:57 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 5 พิเศษ)

สุชาดา โมรา

ช่วงนี้ถึงแม้ว่าแสงอาทิตย์จะเจิดจ้าแค่ไหนแต่อากาศก็ไม่ได้ร้อนเลย  มันหนาวจนจับเข้าไปในกระดูกทั้ง ๆ ที่นี่มันแค่ลพบุรีไม่ใช่เชียงใหม่ซะหน่อย
	ฉันไปโรงเรียนอย่างเร่งรีบเพราะช่วงนี้อากาศมันเย็นทำให้นอนยาวทีเดียว  ไม่ว่าจะรีบไปเรียนเร็วกว่าเดิมแค่ไหนแต่รถเมย์สายนี้ก็ยังคงแช่และวิ่งช้าอยู่เหมือนเดิม
	ตึก...ตึก...ตึก  ฉันวิ่งเข้าไปในโรงเรียนแต่ก็ถูกกักที่หน้าประตูตามเคย
	"ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย...."
	ต้องมายืนร้องเพลงชาติตรงนี้เป็นรายการประจำจนทำให้วันนี้อาจารย์เรียกไปพบที่ห้องปกครองเรื่องการมาสาย  อาจารย์มีหนังสือเชิญผู้ปกครองมาด้วย
	"นี่แววดาว  ครูถามจริง ๆ เถอะเธอเป็นโรคอะไรต้องมาสายตลอดเลย"
	"หนู...หนู...รถมันแช่ค่ะ"
	"ก็หัดมาเช้า ๆ สิยะ...นี่ไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่ดีเลยนะ...ใช้ไม่ได้!!!"
	ฉันนะอยากจะเถียงอาจารย์เลยว่าถึงจะมาเช้าหรือว่ามาสายก็มีค่าเท่ากันเพราะถนนสายนี้ไม่ค่อยมีรถผ่าน  พอผ่านมาสักคันหนึ่งมันก็แช่ซะจนน่ารำคาญ...  น่าเบื่อที่สุดเลย
	วันี้ฉันเดินเข้ามาในสมาคมด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว  พรุ่งนี้ต้องพาผู้ปกครองไปพบอาจารย์เรื่องการมาสาย  ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดี  ฉันนั่งเหม่อมองดูท้องฟ้าโดยไม่ยอมไปเปลี่ยนชุดยูโด
	"อยู่นี่เองดาว...วันนั้นพี่ขอโทษนะพี่เข้าใจเราผิด"
	"แล้ววันนี้เป็นอะไรไปล่ะทำไมถึงไม่ไปเปลี่ยนชุด  ไม่สบายหรือเปล่า"
	"เปล่า"
	"แล้วมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่าล่ะถึงได้มานั่งซึมกระทือแบบนี้"
	"อาจารย์มีหนังสือเรียกผู้ปกครองน่ะ...เรื่องมาสาย"
	ฉันทำสีหน้าแบบหงอย ๆ แต่พี่ดอนก็เอามือมาขยี้หัวฉัน
	"โถ่...เรื่องแค่นี้เองก็บอก ๆ ท่านไปสิท่านไม่ว่าหรอก"
	"ไม่ได้หรอกเดี๋ยวแม่โกรธตายเลย  แม่ยิ่งไม่เหมือนคนอื่นอยู่ด้วยสิ...แล้วจะทำไงดีนะ...เฮ้อ...กลุ้มใจจริง ๆ เลย"
	"อ๋อ...ไม่ยาก  นี่ไงเรามีพ่ออยู่หลายคน  อยากได้พ่อแบบไหนล่ะ  แต่ต้องนัดแนะให้ดี ๆ นะไม่งั้นเกิดสับสนขึ้นมาอาจารย์จับได้ละก็...!!!"
	"จริงเหรอ...แล้วใครล่ะจะมาเป็นพ่อให้"
	"นั่นไง...คนที่วิ่งอยู่กลางสนามนั่นไง"
	พี่ดอนชี้ไปทางพวกที่วิ่งกันอยู่ที่กลางสนาม  ฉันมองเห็นอาจารย์โจวิ่งอยู่ที่กลางสนาม  ฉันจึงรู้สึกมีกำลังใจที่จะเล่นยูโดขึ้นมา  หลังจากซ้อมเสร็จพี่ดอนจึงไปคุยกับอาจารย์โจให้เรื่องที่จะไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้
	"สวัสดีครับ  ผมผู้ปกครองของแววดาวครับ"
	"อ๋อ...เหรอคะ"
	อาจารย์แฉล้มหัวหน้าฝ่ายปกครองมองลอดแว่นมาดูอาจารย์โจอย่างไม่เชื่อสายตา
	"คุณเป็นญาติข้างไหนคะ  ถึงได้หน้าไม่เหมือนกันเลย"
	"ผมเป็นพ่อของเธอ...ทำไมเหรอครับ...ดูนี่นะครับ  ดวงตาถอดมาจากแม่  คิ้วได้มาจากผม  จมูกนี่ครับเด่นที่สุดของผมเลย  เห็นไหมโด่งขนาดนี้   รูปหน้าเหมือนผมไหม  เรียวยาว  แล้วดูนี่ครับไฝใต้คางเม็ดเล็ก ๆ ถอดผมมาเลย  แล้วอาจารย์จะว่าผมไม่เหมือนลูกตรงไหน"
	อาจารย์โจบรรยายให้อาจารย์แฉล้มฟังจนอาจารย์ทำท่าแบบน่าเชื่อถือ...  จากนั้นอาจารย์แฉล้มก็พูดเรื่องการมาสายของฉัน
	"ผมขออนุญาติให้ลูกมาสายเถอะครับ  บ้านเราลำบากมาก ๆ ตื่นเช้าขึ้นมาก็ต้องไปดูแลทวดที่กำลังป่วยหนัก  พอตกเย็นก็ต้องไปทำงานหาเงินมาเรียน  ต้องไปรับจ้างล้างจานที่ร้านอาหารจนดึกดื่น  อาจารย์จะไม่สงสารเด็กตาดำ ๆ บ้างเหรอครับ  ถึงผมจะเป็นทหารแต่ผมก็มีภาระหลายอย่าง  ต้องส่งบ้านส่งรถ  ไม่มีเงินมาให้ลูกเรียน  เป็นหนี้สหกรณ์  เป็นหนี้ธนาวัตน์   โอ้โหเยอะแยะแล้วยังมีหนี้..."
	"พอเถอะค่ะ...ฉันเข้าใจ  เอาอย่างนี้ละกันฉันอนุญาติให้เธอมาสายได้แต่เธอต้องมาทำงานชดเชยที่ห้องพักครูตอนพักเที่ยง  ครูจะให้รายได้พิเศษกับเธอ  เธอจะได้ไม่ต้องไปล้างจานที่ร้านอาหารดึก ๆ ดื่น ๆ จนตาแดงอิดโรยแบบนี้  เพราะที่ร้านอาหารมันอันตราย  ผู้ชงผู้ชายมันเยอะเดี๋ยวมันก็ลวนลามเอา..."
	ฉันยิ้มแบบแหย ๆ แต่ก็ต้องตอบว่าค่ะ  อาจารย์โจนี่สุดยอดจริง ๆ ทำให้ฉันได้สองเด้ง  ทั้งการมาสายได้  แล้วยังได้เงินกินหนมฟรี ๆ อีก  โอ้โห...สร้างเรื่องได้สุดยอดเลย...น่าจะเอาไปแต่งนิยายนะ  ดู ๆ แล้วพูดหน้าตาเฉยเลย...ทำเอาฉันงงไปหมด
	"ขอบคุณนะคะอาจารย์"
	ฉันเดินไปส่งอาจารย์ที่รถ  อาจารย์ขยี้หัวฉันด้วยความเอ็นดู  แววตาของอาจารย์ยิ้มแย้มสดใสจนฉันมีความรู้สึกเหมือว่าอาจารย์เป็นพ่อของฉันไปแล้วจริง ๆ พออาจารย์ขับรถออกไปจนลับสายตาฉันไปแล้ว  ฉันจึงเดินมาเข้าชั้นเรียน
	"Bonjour,  Comment  allez-vous?"
	"Je  vsis  bien, merci "
	ฉันกล่าวคำทักทายกับอาจารย์ที่สอนวิชาฝรั่งเศสด้วยสำเนียงฝรั่งเศส  อาจารย์ให้นั่งที่ได้  ฉันจึงนั่งฟังตามที่อาจารย์สอนพร้อมกับจดบันทึกอย่างขมักเขม้นจนหมดคาบ
	"Retrouvons-nous  un  de  ces  jours"
	อ๊อด.....เสียงออดดังขึ้น  ฉันเก็บข้าวของแล้วเดินไปห้องปกครองทันที  อาจารย์แฉล้มให้ฉันจัดแฟ้มเอกสารแล้วก็ซื้อข้าวให้ฉันกิน  ที่จริงฉันไม่มีความเดือดร้อนในเรื่องเงินเลย  แต่ก็ดีนะที่จู่ ๆ ก็ประหยัดไปได้เยอะเชียว...
	ฉันมีความรู้สึกว่าวันนี้โลกดูสวยงามไปซะทุกอย่าง  ฉันมีความสุขเหลือเกิน  ฉันออกจากห้องปกครองแล้วเดินไปเรียนต่อในคาบบ่ายที่ตึกใหม่  ฉันขึ้นลิฟท์ไม่ทันเพราะคนแน่นจึงวิ่งขึ้นบันไดไป  
	"หกชั้น  ตายแน่ ๆ เลย"
	แต่ฉันกลับวิ่งขึ้นไปโดยไม่เหนื่อยเลย  อาจจะเป็นเพราะฉันฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี  พอฉันขึ้นมาถึงห้อง  ฉันเข้าไปนั่งที่โต๊ะแล็คเชอร์และเอาหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน  ฉันนั่งอ่านหนังสือได้แป๊บเดียว  จู่ ๆ ฉันก็มีความรู้สึกว่าห้องมันมืดไปหมด  จึงเงยหน้าขึ้นมาฉันเห็นแก๊ง 7 ห้าวมามุงดูฉันคล้ายกับจะเอาเรื่อง
	"ไง...ไปทำอะไรมาถึงได้โดนทำทันบนที่ห้องปกครอง"
	"เปล่านี่..."
	"อย่ามาแก้ตัวเลยดีกว่า  บอกมาซะดี ๆ ว่าไปทำอะไรมา"
	"ฉันแค่มาสายเท่านั้นแหละ"
	"ไม่จริงมั้ง...เหมี่ยวมันบอกว่าเธอมีเรื่องชู้สาวกับผัวมันอาจารย์ก็เลยเรียกไปทำทันบน  สรุปแล้วเธอจะเอาไงกันแน่  จะเลิกยุ่งกับพี่นัทอะไรนั่นหรือยัง"
	"แล้วมันกงการอะไรของเธอด้วย  ถึงได้มาแส่เรื่องนี้"
	"มันก็ไม่มีอะไรหรอกนะ  แค่หมั่นไส้...เหมี่ยวมันน่าสงสารมันมาอ้อนวอนขอร้องให้ช่วยพวกเรามันพลเมืองดีก็เลยเข้ามายุ่ง  มีไรปะ"
	"เหรอ  แล้วทำไมไม่ถามเหมี่ยวล่ะว่าแย่งแฟนเพื่อนเนี่ยสนุกไหม...แล้วไอ้ที่บอกว่าท้องน่ะมันผ่านมา 4 เดือนแล้วทำไมท้องยังไม่ป่องซะที  คนท้องบ้าอะไรไปเล่นยูโดทุกวัน..."
	แก๊ง 7 ห้าวอึ้งแล้วก็หันไปถามเหมี่ยวที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องเพื่อดูต้นทาง
	"ว่าไงเหมี่ยว...!!!"
	"อย่าไปเชื่อมัน  มันโกหก...ฉันไปเฝ้าพี่นัทไม่ได้ไปเล่นยูโด"
	"เหรอ  แต่ว่าไม่จริงมั้ง  พี่นัทเขาไปแข่งยูโดที่ออสเตรเลียเธอจะมาบอกว่าไปเฝ้าพี่เขาได้ไง"
	"อย่า...อย่าไปเชื่อมันนะ"
	พวกแก๊ง 7 ห้าวนิ่งเงียบแล้วก็หันไปซุบซิบกันสักพักแล้วก็หันมาทำท่าเหมือนจะเอาเรื่องฉันแต่ก็เดินไปเฉย ๆ ฉันนั่งลงอ่านหนังสือต่อจนอาจารย์มา...ฉันนั่งเรียนวิชาภาษาไทยในชุมชนจนหมดคาบ  อาจารย์ให้ทำรายงานมาส่งเรื่องการปกครองของจอมพล แปลก  พิบูลสงคราม  ฉันจึงเก็บหนังสือใส่กระเป๋านักเรียนแล้วเตรียมออกจากห้อง  แต่ฉันไม่สามารถที่จะออกจากห้องได้
	ปัง...ปัง...ปัง  ประตูทั้งสามบานถูกปิด  แก๊ง 7 ห้าวกับเหมี่ยวยืนล้อมฉันไว้ที่โต๊ะ  โดยมีอ้อมเป็นหัวหน้าคอยสั่งการ
	"หมั่นไส้ไหมพวกเรา...!!!"
	"เออ...ว่ะ  กูหมั่นไส้มานานแล้วขอตบสั่งสอนสักทีเถอะว่ะ"
	"เดี๋ยวก่อนต้อม  ฉันขอเปิดโรงก่อนโว้ย...!!!"
	อ้อมเข้ามาทำท่าจะตบ  ฉันหลบได้ทันจึงเดินออกไปยืนที่หน้าห้อง
	"อะไรกันเนี่ย...!!!"
	"ไม่มีอะไรหรอกว่ะ  แค่หมั่นไส้เด็กดี...ทำเป็นตั้งใจเรียน  ถุ้ย..."
	ฉันรู้สึกทนไม่ได้  เลือดมันสูบฉีดทั่วร่างไปหมด  รู้สึกว่ามันไม่แฟสำหรับฉันเลย  ฉันทำอะไรผิดพวกนี้ถึงเข้ามาหมายจะทำร้ายฉัน...ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ  เมื่ออ้อมเข้ามาตบฉัน  ฉันจึงคว้ามือและหักแขนทันทีจากนั้นก็ผลักออกไปให้พวกอีกหกคนรับ
	"มึงทำเพื่อนกูเหรอ"
	"ฉันไม่โง่ให้พวกแกตบฟรี ๆ หรอก"
	ต้อมวิ่งเข้ามาใส่ฉันจึงต่อยที่ลิ้นปี่แล้วก็ปัดเท้าจนล้ม  ตามมาด้วยเก๋วิ่งเข้ามาข้างหลัง  ฉันคว้าคอเสื้อได้จึงทุ่มด้วยท่าโคชิ-กูโรม่าทันที  ร่างนั้นกระแทกพื้นอย่างเต็มที่  
	"กูเอง...มึงใช้ยูโดเหรอ"
	"ช่วยไม่ได้  พวกนี้ทำร้ายฉันก่อน"
	เหมี่ยวเข้ามาประชิดตัวแล้วจิกผมฉันตบทันที  ฉันโดนไปหนึ่งที  ด้วยความแค้นฉันจึงบิดตัวกลับเข้ามาหักแขนเหมี่ยวทันที  จากนั้นฉันก็ตบคืนอีกสามทีแล้วก็ผลักให้ล้มลงไปกองกัน  พวกที่เหลือเข้ามาพร้อม ๆ กันจับแขนฉันรวบไว้แล้วก็เข้ามาจะต่อยท้อง  แต่ฉันเหนี่ยวแขนแนนกับฟ้าแล้วถีบทันทีทำให้ฝ้ายจุกและล้มลงไปกองกับพื้น  จากนั้นฉันก็มุดตัวลอดสองคนนั้นแล้วก็ผลักจนหัวโขกกัน  สาเป็นคนสุดท้ายที่ค่อนข้างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็เข้ามาอย่างเงอะ ๆ งะ ๆ ทำท่าเหมือนจะมาทำร้ายฉัน
	"ขอโทษแทนเพื่อนเราด้วยนะดาว...อย่าเอาเรื่องพวกเราเลยฉันไหว้ละ"
	สาคุกเข่าแล้วก็ไหว้ฉัน  ฉันทำเมินไม่สนใจจากนั้นจึงหยิบข้าวของออกจากห้องไป
	ฉันมุ่งตรงไปที่สมาคมอย่างไม่รอช้าแล้วก็เล่าเรื่องให้พี่ดอนฟัง  พี่ดอนโกรธมากถึงกับบอกว่าจะไปจัดการพวกนั้น  แต่ฉันห้ามไว้เพราะเป็นผู้ชายจะไปทำร้ายผู้หญิงได้ยังไงกันมันไม่ถูก  วันนั้นฉันซ้อมยูโดอย่างมีความสุขเพราะฉันมีความรู้สึกว่าแฟนของฉันสนใจฉันมากขึ้น  ดูแลฉันมากขึ้นกว่าเก่า  อาจจะเป็นเพราะหมดห่วงเรื่องพี่นัทแล้วก็ได้  เพราะช่วงนี้พี่นัทไปแข่งยูโดชิงแช้มอาเซี่ยนที่ออสเตรเลีย  หมู่นี้พี่ดอนจึงไม่ค่อยเครียดมากนัก...
	อีก 3 วันจะถึงวันแข่งคัดสายแล้ว  ฉันรู้สึกตื่นเต้นจังเลย  ฉันเร่งซ้อมอย่างเต็มที่เพื่องานนี้โดยเฉพาะ...ตอนนี้ฉันหมดปัญหาเรื่องมาเฟียในห้องแล้ว  ฉันมีความรู้สึกเป็นสุขที่สุดในโลกทีเดียว

                       โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
แววดาวจะเป็นอย่างไร...				
22 กรกฎาคม 2547 13:08 น.

ฅนสองเงา ( ตอนที่ 4 )

สุชาดา โมรา

บรืน..............
"เฮ้อ....!กลับบ้านได้ซะทีนะลูก..."
จิรมลเอาข้าวของไปเก็บในบ้านและพยุงพ่อให้นั่งตรงโซฟา
ตู๊ด  ตู๊ด............ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
"ฮัลโหล  จิรมลพูดค่ะ"
"จิรมล...เราได้ที่สองนะ  เธออยู่ไหน"
"อยู่บ้านแล้ว...ใครเป็นคนไปรับรางวัลล่ะ"
"ฉันเอง"
"จริงเหรอณัฐ...!!!ได้เงินเท่าไรล่ะ..." จิรมลพูดด้วยน้ำเสียงที่ดีใจมาก ๆ
"แหม...งกจริง ๆ ได้หมื่นนึงจ่ะ"  เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้วจิรมลถึงกลับปลื้มใจจนแทบจะลอยทีเดียว
ขณะที่จิรมลกำลังฝันหวานอยู่นั้นพ่อก็เรียกให้ไปหา
"มล ๆ มานี่หน่อยลูกไปตามน้องกับแม่มาหน่อย...พ่อรู้สึกอาการแย่ ๆ ละ"
"ค่ะ ๆ " จิรมลเดินไปตามแม่และน้องมานั่งที่โซฟา
"มีอะไรหรือคะคุณ"  แม่พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน
"เอาเรื่องของมลก่อนนะ...พ่อนั่งคิดนอนคิดมาตลอดทางในที่สุดพ่อก็ตัดสินใจไม่อยากดับอนาคตลูก  พ่อตกลงจะให้ลูกไปเรียนที่บริษัทเดดิเอกโปรโมชั่น"
"....คุณพ่อให้เราไปเรียนไม่น่าเชื่อเลย" จิรมลนึก "แต่คุณพ่อคะคุณพ่อรู้ได้ยังไงว่า..." จิรมลถามขึ้นอย่างสงสัย
"เขามาติดต่อพ่อไว้แล้ว  ตอนที่เราลงไปกินข้าวนั่นแหละ  ก่อนหน้าที่ลูกมาถึงได้แป๊บเดียวเขาก็ไป"
"แล้วที่คุณเรียกฉันมา...เอ่อ..."
"อืม...พูดแล้วก็ดีเป็นการเตือนผมว่าต้องพูดอะไร...ผมอยากให้คุณไปดูแลกิจการที่ห้างของเรา  อยู่ช่วยผมทำงานบ้าง  เพราะผมรู้ตัวเลยว่าเวลาของผมมันเหลือน้อยเต็มที  ถ้าคุณไม่ไปดูแลแล้วใครจะทำ...หากผมตายไปครอบครัวไม่ต้องแย่จนขายห้างขายบริษัทเลยเหรอ"
"อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ  ถ้าเป็นความต้องการของคุณฉันก็ต้องไปอยู่แล้ว"
"ผมไม่ได้ว่าแบบนั้นเพียงแต่ผมอยากให้คุณเป็นเสาหลักของบ้านอีกคน  ผมไม่อยากให้คุณมัวทำตัวอยู่กับบ้านเฉย ๆ แบบนี้  คุณเรียนจบก็สูงน่าจะดูแลงานได้"
"ค่ะ" แม่ตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะประชดนิด ๆ
"เมย์...ลูกเรียนแย่มากเลยนะ  หัดเอาอย่างพี่มลบ้างสิลูก  พี่เขาเก่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน  หรืองานอะไรพี่เขาก็ทำได้...พ่อขอร้องนะลูกขยัน ๆ หน่อยนะขอให้พ่อได้ชื่นใจกับการขยันของลูกสักนิดก็ยังดี  เทอมหน้าก็จะขึ้น ป.4 แล้วนะลูก" น้องเมย์ถึงกับทำหน้าซึมทีเดียว
หลังจากนั้นได้ 10 วันโรงเรียนปิดเทอมทุกคนในบ้านอยู่กันพร้อมหน้ายกเว้นจิรมล คุณพ่อมีอาการทรุดลงแต่ก็ไม่บอกใครในบ้าน  
อ๊อด.....อ๊อด...มีชายสองคนมากดออดหน้าบ้าน  คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคน  แต่อีกคนหนึ่งคือคนที่จิรมลเจอที่โรงพยาบาล  ทุกคนในบ้านมาคุยกับชายสองคนนั้นที่ห้องลับแขก
"ผมจะทำอย่างไรดีให้ยายมลไปเรียนที่บริษัทของคุณได้  ช่วงนี้แกค่อนข้างติดเพื่อน  ผมก็อาการไม่ค่อยดีนักผมจะไปรักษาตัวที่อเมริกา"
"คุณก็ไปวันนี้เลยสิ....มันจะได้เข้าแผนเรา  ผมต้องการให้คุณจิรมลไปเรียนให้ได้  ไม่งั้นหุ้นส่วนที่บริษัทเราเทไปผมจะเอาคืน"
คุณพ่อนัดแนะกับชายสองคนนั้นที่มาจากบริษัทเดดิเอกโปรโมชั่น
"มลกลับมาแล้วเหรอลูก...มีคนมาหาน่ะ"
"มาหาหนูเหรอคะ...เอ...แล้วคุณพ่อล่ะคะ"
"ไปอเมริกา...คุณพ่อป่วยหนักมาก  ห้างเราจะถูกบริษัทเดย์ดิเอกโปรโมชั่นเทคโอเวอร์แล้วละเพราะแม่ของเขาเป็นเจ้าของบริษัทแม่ของห้างที่พ่อเราไปลงหุ้นทำ  แม่ผิดเองที่ไม่ไปช่วยบริหารแต่แรก...มลลูกต้องตกลงกับเขานะ  เขาต้องการให้ลูกไปจริง ๆ เขายื่นคำขาดว่าถ้าลูกไม่ไปเขาจะทำแบบที่พูดจริง ๆ"  แม่ทำท่าทางเศร้ามากจนเหมือนจริง
จิรมลนั่งที่โซฟาช้า ๆ แล้วก็ไหว้ชายสองคนนั้น
"คือคุณพ่อของหนูบินไปรักษาตัวที่อเมริกา  พวกเราเป็นตัวแทนมาจากบริษัท เกตติ้ง บอดี้กรุฟ  ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของห้างสรรพสินค้าที่พ่อหนูทำอยู่  พ่อหนูให้ทุนไปเรียนต่อที่บริษัทเดย์ดิเอกโปรโมชั่น  ท่านบอกให้หนูไปให้ได้นะเพราะถ้าไม่ไปบริษัทที่ผมอยู่จะจัดการขั้นเด็ดขาด..."
"คุณพ่ออาการทรุดเหรอคะ...คุณพ่อเป็นอะไรมากไหมคะ"
"อันนี้ผมก็ไม่ทราบนะครับ  แต่ท่านบอกให้ผมเป็นทนายส่วนบุคคลจัดสรรค์เงินให้คุณเรียนทุก ๆ สิ้นเดือน"
จิรมลรู้สึกคับแค้นใจมากที่ต้องถูกบีบบังคับให้ไป  แต่ใจจริงลึก ๆ แล้วจิรมลก็อยากจะไปแต่ติดที่ว่าจิรมลมีเพื่อนที่สนิทกันจนแยกจากกันไม่ได้  และช่วงนี้ก็เป็นช่วงเอ็นทรานด้วยถ้าจิรมลต้องไปก็หมายความว่าเธอจะไม่ได้สอบ  เธอจะต้องหยุดเรียนไปหนึ่งไป  เธอจึงรู้สึกรับไม่ได้แล้ววิ่งออกจากบ้านไป...
ตึก...ตึก...ตึก...เธอวิ่งออกมาจนเหนื่อยและมาหยุดอยู่ตรงสวนสาธารณะ  อากาศที่นี่โปร่งและเงียบสงบทำให้จิรมลเริ่มใจเย็นลงบ้าง  เธอค่อย ๆ เดินไปนั่งที่ม้าหินอ่อนแล้วก็เหม่อมองดูผู้คนมากมายที่กำลังมีความสุขกับครอบครัวด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น  เธอคิดอยู่เพียงว่าถ้าวันนั้นพ่อไม่ไปดูเธอแสดงพ่อก็คงไม่เป็นแบบนี้
"อยู่นี่เอง..."  ชายคนนั้นตามเธอมา  เธอสงสัยมากเลยว่าชายคนนั้นตามมาทำไม
"ผมขอคุยด้วยได้ไหม...คุณรู้ไหมว่าตอนที่คุณแสดงเรื่องโรมิโอแอนด์จูเลียตน่ะมีชายคนนึงเขาประทับใจในตัวคุณมาก  เขาชื่ออาสาฬห์  ประชุมเดชา  เป็นลูกชายของเจ้าของบริษัท เกตติ้ง บอดี้ กรุฟ  เขาอยากให้คุณไปเรียนการแสดงกับเขานะ  เขาตั้งใจไว้ว่าเขาจะปั้นคุณให้เป็นดาวเจิดจรัสอยู่ในวงการบันเทิง  คุณจึงควรไปเรียนนะ  เออ...ก่อนที่พ่อคุณจะไปท่านบอกกับผมว่า  ฝากคุณด้วยนะ  ฉะนั้นผมจึงมีหน้าที่ต้องปกป้องและดูแลคุณรวมทั้งครอบครัวของคุณเป็นอย่างดี..."
"แต่...ฉันเป็นคนทำให้พ่อป่วย"
"ไม่เอาน่า...ท่านป่วยมานานแล้ว  ทุกคนก็รู้ดี  ไม่เกี่ยวกับคุณหรอกนะ...คุณเป็นคนมีพรสวรรค์เมื่อโอกาสมาถึงคุณควรที่จะไขว่คว้ามันเอาไว้...อีกสองวันผมจะมารับนะ"
บรื๋น..............เอี๊ยด..........!!!! เสียงรถมาจอดที่หน้าบ้าน....ปรี้น.......ปรี้น........ปรี้น.......
"เอ่อ...ยายมลยังหลับอยู่เลยค่ะ"
"ครับ"  ชายคนนั้นพยักหน้าแต่ก็เดินขึ้นไปที่บันไดทันที
"คุณคะขึ้นไม่ได้นะคะ...คุณ....!!!!" แม่ทำท่าตกใจมากทีเดียว
แอ๊ด................เสียงประตูห้องของจิรมลเปิดออกก่อนที่ชายคนนั้นจะบุกไปถึงห้อง
"เอ่อ......คุณ.......แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอ  เชิญครับ..." ชายคนนั้นทำท่านอบน้อมอย่างน่าแปลก  ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกทำท่าขึงขังเตรียมตัวจะบุกขึ้นไป  ทำให้แม่ได้แต่ยืนมอง...
"แม่...หนูไปนะคะ" จิรมลพูดขึ้นก่อนที่จะขึ้นรถไป
บรื๋น..............พอรถเคลื่อนตัวออกจากบ้านจิรมลก้ทำท่ารู้สึกหงอย ๆ เพราะคิดถึงบ้านคิดถึงเพื่อน  รวมทั้งต้องมานั่งกับคนแปลกหน้าจึงเหงาและไม่รู้จะคุยกับใครดี
"ผมชื่อพลนะ...คุณมล"  ชายคนนั้นแนะนำตัวกับเธอแต่เธอก็ไม่พูดอะไรตอบจนกระทั่งมาถึงกรุงเทพฯ เขาจึงพูดอีกครั้ง
"นี่ไงครับโรงเรียนที่คุณจะต้องเรียน..."
"แวะดูก่อนไม่ได้เหรอคะ"
"คุณเดย์รออยู่ครับต้องไปพบท่านก่อน"
"คุณเดย์เหรอ  ใครกัน..." จิรมลทำท่าสงสัย
"ก็คุณอาสาฬห์นั่นแหละครับ"
".....จริงเหรอ  เขาชื่อเดย์เหรอ  งั้นเขาคงเอาชื่อเล่นมาตั้งชื่อบริษัทละสิ  แล้วคำว่าเอกล่ะ  หรือว่าเขาจะมีพี่ชายหรือน้องชายอีกคนนะ..." จิรมลนั่งนึกสงสัยจนกระทั่งรถมาจอดถึงหน้าบริษัท
"....โอ้โห...! บริษัทใหญ่จริง ๆ ผู้คนก็เข้า ๆ ออก ๆ เยอะแยะไปหมด..." จิรมลยืนตะลึงอยู่ตรงหน้าบริษัท

                      ความต่อไปจะเป็นเช่นไร  จิรมลจะทนอยู่กับที่นี่ได้นานเพียงใด  โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ  ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ติดตามผลงานมาโดยตลอด				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา