22 กรกฎาคม 2547 12:40 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ (ตอนที่ 4)

สุชาดา โมรา

"ดาว...เธอรู้ไหมว่าอาจารย์สิงห์ทองรถคว่ำคอหักตาย"
	"หา...!!!"
	ฉันตกใจอย่างมากที่พี่โจ้พูดแบบนั้น   ฉันรู้สึกว่าทำไมอาจารย์ถึงได้จากฉันไปเร็วนัก  อาจารย์เป็นคนดีคอยช่วยเหลือฉันมาตลอด  คอยให้ความรู้เรื่องยูโดทั้ง ๆ ที่อาจารย์ส่วนใหญ่มักจะหวงวิชา  โดยเฉพาะกับเด็กที่เพิ่งเช้ามาเรียนได้เพียงไม่กี่เดือน...  แต่อาจารย์คนนี้ก็จะคอยแนะนำและบอกการดูจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ให้เสมอ ๆ  สอนฉันในท่านางลอยทั้ง ๆ ที่นี่ก็เป็นท่าชั้นสูงซึ่งเขาไม่ให้เด็กสายระดับต่ำมาเล่น  แต่อาจารย์ก็คอยเทรนฉันมาโดยตลอด...
	วันนี้ฉันรู้สึกหดหู่ใจมาก ๆ ทำอะไรไม่ถูก  พอขึ้นไปซ้อมก็รู้สึกว่าเล่นอะไรก็ไม่ได้เรื่อง  เข้าท่าผิด ๆ ถูก ๆ เพราะมัวใจลอยคิดอยู่เพียงว่า  "ทำไม  ทำไม  ทำไม"  คนที่รู้ถึงจิตใจฉันดีก็คงหนีไม่พ้นพี่นัท  แต่ส่วนพี่ดอนแฟนใหม่ฉันน่ะเหรอ  ขานี้ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับแฟนตัวเองเลย
	"มานั่งหลบผู้คนอยู่นี่ นี่เอง...อ่ะ"
	พี่นัทส่งผ้าเช็ดหน้าให้  ฉันร้องไห้โฮเสียงดังทันที
	"อย่าร้องไห้ไปเลยนะอาจารย์ไปดีแล้ว..."
	ฉันไม่ทันได้คิดอะไร  เมื่อมีคนมาปลอบใจก็ยิ่งร้องห่มร้องไห้เสียใจไปใหญ่  ถึงกับไม่ทันคิดว่าพี่นัทไม่ใช่แฟนของฉันแล้ว  ฉันเข้าไปซบอกพี่นัทร้องไห้ทันที...
	"ไอ้นัท..."  ผั๊วะ
	"พี่ดอน...ฮือ ๆ...มาต่อยพี่นัททำไม"
	ฉันร้องไห้แล้วก็จ้องมองพี่ดอนแบบไม่พอใจ
	"อ๋อ...!!รู้แล้วละทำไมเหมี่ยวถึงจองเวรเธอนัก  เพราะอย่างนี้นี่เอง...ถามจริง ๆ เถอะเธอยังไม่ตัดใจจากไอ้นัทใช่ไหม...หา...!!!"
	พี่ดอนพูดอย่างโกรธสุด ๆ เดินออกไปด้วยท่าทางอย่างอารมณ์ร้อน  ฉันวิ่งตามเขาไปแต่วิ่งไม่ทัน  พี่ดอนคว้ารถได้ก็ขับออกไปเลย  ฉันก็เลยเดินกลับเข้ามานั่งที่ใต้ต้นไทรอีกครั้ง...แล้วก็ร้องไห้...
	"อย่าคิดมากนะแววดาว...ดอนมันอารมณ์ร้อนพอโอ๋ ๆ มันหน่อยเดี๋ยวก็หายโกรธแล้ว...อย่าคิดมากนะ...เรื่องอาจารย์สิงห์ทองก็อย่าคิดมากอีกนะ"
	ฉันยิ่งร้องไห้ใหญ่ทีเดียว  วันนี้ทุกคนในเบาะซึมกระทือดูไม่มีชีวิตชีวาเลยยกเว้นพี่ตูนที่ซ้อมเป็นบ้าเป็นหลังราวกับคนบ้า  นั่นอาจจะเป็นการแสดงความเสียใจของพี่คนนี้ก็ได้
	"พี่นัทดาว...ดาวขอโทษนะที่ทำให้พี่เจ็บตัว"
	"ไม่เป็นไร..."
	"แล้ววันนี้เหมี่ยวไม่มาเหรอ"
	"ไม่หรอก...เดี๋ยวพี่ไปส่ง"
	"ไม่เป็นไรหรอกมันดูไม่ดี  ถ้าจะส่งจริง ๆ ก็ส่งที่ท่ารถก็พอ...นะคะขอร้อง  อย่าให้ดาวต้องกลายเป็นคนเลวในสายตาของทุกคนเลย...ขอร้องนะคะ"
	ในยามเย็นหลังที่แดดเปลี่ยนสี  อากาศที่เยือกเย็นเข้ามาสุมอยู่ในรูขุมขนแล้วก็ทวีความหนาวเหน็บให้เจ็บเข้าไปถึงในหัวใจ  ฉันเดินออกมาจากชมรมยูโดพร้อมคู่รักเก่าด้วยความหมองหม่นในจิตใจและความอ่อนล้าจากการฝึกซ้อม  เพราะวันนี้ฉันได้รับรู้สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของฉัน...  ฉันเฝ้าแต่รำพันกับตัวเองอยู่เรื่อยมาว่า  "ทำไม  ทำไม  ทำไม"
	พลันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งเรียก
	"พี่ ๆ จะหลงไหน  สุดป้ายแล้ว...!"
	ฉันก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที  "บ้าจริง ๆ เลย  ฉันนี่นั่งคิดอะไรเพลินจนลืม...นี่เอง"  ฉันนึกแล้วก็รีบเดินเข้าซอยอย่างเร่งรีบเพราะสองข้างทางมีแต่ป่ารกรุงรังเต็มไปด้วยต้นไม้ต้นหญ้าที่มืดครึ้มไม่มีแสงไฟ  มองไปทางไหนก็เห็นแต่หมอกควันและความมืด  สายตาของฉันเพ่งมองไปทุก ๆ ที่ด้วยความหวาดระแวง  ในใจนั้นยังคงคิดอยู่ว่า  "ทำไม  ทำไม  ทำไม"
	ขณะที่ฉันเดินมาเรื่อย ๆ นั้น  หูของฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคน  เหมือนว่ากำลังมีใครสักคนหนึ่งเดินตามมา  อากาศที่มืดครึ้มพร้อมกับความเงียบสงัดในตอนนั้นทำให้ฉันรับรู้ได้ทันทีว่าใครคนนั้นปองร้ายฉันแน่ ๆ ฉันจึงรีบย่ำเท้าให้เร็วขึ้นจนเกือบจะวิ่ง...
	ยิ่งฉันย่ำเท้าเท่าไรเสียงฝีเท้านั้นก็ยิ่งเข้ามาใกล้ทุกที ๆ คล้ายกับว่าเขาเร่งฝีเท้าตามฉันมา  ฉันจึงหันกลับไปจ้องมองคนที่เดินตามฉันมา  แล้วก็เห็นคนใส่เสื้อขาว ๆ สองคน  ดูท่าทางและลักษณะเหมือนคนงานก่อสร้างที่มาทำงานอยู่ตามแถวนั้น  เมื่อฉันหันกลับมาฉันก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นไปอีก....
	ชายสองคนนั้นก็วิ่งเข้ามาจับแขนฉันและถามฉัน
	"กลับบ้านดึกอย่างนี้พี่ไปส่งไหมน้อง  ทางมันเปลี่ยวนะ..."
	ฉันได้แต่บอกปฏิเสธไปพร้อมกับสะบัดแขนและวิ่งทันที  ชายสองคนนั้นวิ่งตามเข้ามากอดที่เอวฉัน  ฉันดิ้นจนสุดแรงเกิดแต่ก็ไม่หลุด  ด้วยความรู้สึกที่กลัวในตอนนั้น  ประจวบกับความโกรธและอารมณ์ที่บ้าคลั่ง  ฉันย่อตัวลงมือหนึ่งยกขึ้นเข้าไปโอบที่คอทำท่าเหมือนจะหักคอให้ตายในตอนนั้นแต่ก็เปล่า  ฉันย่อตัวและยืดขึ้นในท่าทุ่มทันที  ร่างของชายคนนั้นก็ลอยข้ามหัวไปทันที  ภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 วินาที  ร่างนั้นแน่นิ่งลงกับพื้น  ฉันทั้งกลัวและทั้งโกรธ  ไม่รู้จะทำอย่างไรดี  ฉันเกิดความสับสนขึ้นมาทันที...จะตายไหมนะ...
	ฉันกล้า ๆ กลัว ๆ ใจนึงก็คิดว่าถ้าไปสะกิดแล้วมันเกิดลุกขึ้นมาจับปล้ำคงจะแย่  แถวนี้ก็ไม่มีบ้านคนซะด้วย...ฉันจึงเอาเท้าสะกิดดู  ร่างนั้นก็ไม่ขยับเขยื่อน  ดูแล้วเหมือนคนกำลังหลับ  ฉันเงยหน้าขึ้นมาดูชายอีกคนที่ตามฉันมา  ฉันรู้สึกว่าเหมือนเป็นคนเสียสติ  เพราะฉันไม่รู้ว่าชายที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นเป็นอะไรหรือเปล่า  ชายอีกคนก็ทำท่าหวาด ๆ ฉันอยู่เหมือนกัน  ฉันจึงพูดอย่างคนเสียสติไป
	"ลองเข้ามาสิฉันไม่กลัวแกหรอก  ถ้าขยับอีกก้าวเดียวตายแน่...!!!!"
	เมื่อฉันพูดจบชายอีกคนที่ตามมาด้วยนั้นก็วิ่งเปิดไปทีเดียว
	ฉันทำอะไรไม่ถูกขยับตัวไม่ได้  แล้วก็นึกกลัวอยู่ในจิตใจเพราะไม่อาจรู้ได้ว่าชายคนนั้นตายไปแล้วหรือยัง  เพราะวินาทีที่ฉันเห็นร่างเขากระแทกกับพื้นนั้น  ฉันเห็นหัวของเขาฟาดกับมุมถนนพอดี  ฉันจึงทำใจตั้งสติโทรหาอา  โทรหาแม่  โทรหาตาทันที  ฉันรู้สึกตกใจมาก ๆ  สักพักน้ำตาของฉันก็หลั่งไหลออกมาราวกับสายฝน  แล้วฉันก็ทำใจให้เข้มแข็งเช็ดน้ำตาทันทีที่แม่มาถึง  น้ำตาฉันค่อย ๆ เหือดหายไปจากใบหน้า  แล้วก็ไหลย้อนกลับเข้ามา ณ จุดเริ่มต้นอีกครั้ง...ฉันรู้ตอนนี้นี่เองว่าน้ำตาตกในมันเป็นยังไง  แต่ในครั้งนี้มันไม่เกี่ยวกับเรื่องความรักแต่มันเกี่ยวในเรื่องของความกลัวมากกว่า...
	ฉันโทรหาตำรวจ  พอตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ  ตำรวจก็เชิญตัวไปสอบปากคำที่โรงพัก  ตำรวจซักวนไปวนมาจนฉันร้องไห้  ฉันรู้สึกเหมือนว่าตำรวจไม่เชื่อฉันหาว่าเป็นเรื่องชู้สาว  คนอย่างฉันน่ะเหรอต้องลดตัวไปคบคนพันนั้น  แค่หน้าฉันยังไม่เคยเห็นเลย...  ผู้ใหญ่นี่ไม่เคยเชื่อเด็กอย่างเราเลย  น่าเบื่อที่สุด...
	"สวัสดีครับ  เอ่อเมื่อกี้มีคนวอไปบอกผมว่าพบตัวคนร้ายฆ่าข่มขืน 25 ศพเสียชีวิตแล้ว  ผมขอดูหน้าหน่อยได้ไหม  ผมร้อยตำรวจโทถกล  เกียรติกาณต์  ผมทำคดีนี้โดยเฉพาะ  คุณช่วยพาผมไปหน่อย"
	ตำรวจคนนี้มาช่วยชีวิตฉันไว้พอดี  ก่อนที่ฉันจะถูกซักจนเป็นบ้าเพราะดาบตำรวจคนนี้  ฉันรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลยฉันไม่ผิดแต่กลับกลายเป็นคนผิด  เขาหาว่าฉันฆ่าผู้ชายคนนั้นเพราะมีเรื่องชู้สาว...  ฉันรู้สึกเหมือนว่าหาที่พึ่งไม่ได้  รู้สึกหดหู่  ตำรวจทำไมไม่ฟังคนดี ๆ บ้าง
	"ขอโทษครับ  คุณแววดาว  เมธาธิพญาใช่ไหมครับ"
	"ค่ะ"
	"ผมขอโทษที่เข้าใจคุณผิดนะครับ"
	"เรื่องอะไรคะคุณดาบ"
	"แหมเรียกแบบนี้ผมก็ขำแย่เชียวละ  เรียกเหมือนหมาเลย"
	"อะไรนะคะ...!"
	ฉันได้ยินแต่ก็อยากจะถามให้แน่อีกครั้งเพราะฉันรู้สึกไม่แน่ใจว่านายดาบคนนี้พูดว่าฉันเรียกเขาเหมือนหมาหรือเปล่า
	"คือที่ผมบอกว่าขอโทษก็เพราะผมเข้าใจคุณผิด  นายคนนั้นคือนักโทษแหกคุกที่ต้องข้อหาฆ่าข่มขืน 25 ศพที่แหกคุกออกไปเมื่อ 3 วันที่แล้ว  ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ"
	ฉันรู้สึกโล่งอกที่ตำรวจคนนั้นไม่เอาผิดฉันเรื่องที่นายคนนั้นตาย
	"ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมจับผู้ร้าย  นี่ดีนะที่มันเจอคุณไม่งั้นถ้ามันเจอคนอื่นคงมีคนตายอีกหลายคน  นี่ไปเรียนยูโดที่ไหนเหรอผมจะได้ส่งลูกไปเรียนบ้าง"
	ฉันยิ้มแล้วก็เดินออกจากโรงพักด้วยความสบายใจ  แต่แม่เนี่ยสิทำท่าเหมือนไม่ค่อยพอใจฉันมาก ๆ พอแม่ขับรถกลับมาถึงบ้านแม่ก็หยิกฉันทันทีเลย
	"โอ๊ย...!!!!...แม่..."
	ฉันถึงกับร้องเสียงหลงและก็พยายามหลบที่แม่หยิก  แม่เนี่ยเวลาทำโทษลูกทีไรชอบหยิกที่ท้องแขนทุกทีไม่รู้ทำไม...
	"นี่แน่ะ...บอกแล้วใช่ไหมว่าทางมันเปลี่ยวให้กลับบ้านแต่วันไม่เชื่อ...เป็นไงล่ะ...สมน้ำหน้า  ที่จริงน่าจะให้นอนมุ้งสายบัวซะคืนนะ"
	สักพักแม่ก็ร้องไห้
	"โถ่เอ๊ย...!!!นี่ถ้าไม่มีวิชาพอป้องกันตัวลูกของแม่ก้ต้อง....ฮือ ๆ..."
	แม่ร้องไห้เสียงดังลั่นบ้าน  มือก็โอบกอดฉันไว้แน่น  นี่เป็นครั้งแรกที่แม่กอดฉันแน่นขนาดนี้  ฉันรู้สึกถึงความรักความอบอุ่นที่แม่มอบให้ฉันมากทีเดียว  ไม่มีรักใด ๆ เท่ารักของแม่อีกแล้ว...
	"ไหน...ยายดาวเป็นไงบ้าง  พ่อเพิ่งรู้เรื่องจากอาเขาเนี่ย  ยายาดาวล่ะ"
	"หนูอยู่นี่ค่ะ...ไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ"
	"พ่อไปหาหนูที่โรงพักมา  แต่ไม่เจอ  พ่อเป็นห่วงมาก  นั่นย่ากับอาเขามาด้วย  ทุกคนเป็นห่วงเรานะ  พ่อว่าเตรียมตัวหารถมาขับดีกว่าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนี้"
	ฉันรู้สึกว่าหลังจากที่เกิดเรื่องร้าย ๆ มาได้ไม่ถึงสี่ชั่วโมงครอบครัวเราก็อยู่กันพร้อมหน้า  พ่อไม่กลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ เพราะธุรกิจรัดตัว  แม่ก็ไม่ต้องไปเข้าเวรในค่ายทหาร  ฉันรู้สึกมีความสุขจริง ๆ มีทั้งย่า  อา  แม่  พ่อ  และคุณตา  ขาดเพียงคนเดียวก็คือปู่ของฉัน  เพราะท่านกำลังป่วยจึงไม่สามารถมาได้
	แข่งแม็ทนัดต่อไปนี้ฉันจะต้องทำให้ดีที่สุด...สู้เขา...แววดาว  สู้!!!

                       แววดาวนางเอกสาวนักยูโด  สาวน้อยมหัศจรรย์จะเป็นเช่นไร  การแข่งขันจะดำเนินไปอย่างไรอย่าพลาดในตอนหน้านะคะ 
                      โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ  รับรองว่าเข้มข้นกว่าเดิมแน่นอนค่ะ  ขอขอบคุณที่เพื่อน ๆ ติดตามผลงานมาโดยตลอดนะคะ  และเพื่อน ๆ ที่ตามมาจากหรรษาไม่ต้องน้อยใจนะคะเร็ว ๆ นี้ค่ะจะกลับไปโชว์ผลงานอีกครั้ง...				
20 กรกฎาคม 2547 10:11 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 3 )

สุชาดา โมรา

ซ่า....
	ฝนตกโหมกระหน่ำ  ฉันรีบขึ้นรถเมย์มาด้วยความเร่งรีบเนื้อตัวเปียกโชคไปด้วยฝน  ฉันต้องไปที่สมาคมเพื่อซ้อมยูโดทุกวัน...หมู่นี้ฝนฟ้าไม่ค่อยจะเป็นใจมากนักแต่ก็เอาเหอะฉันจะพยายามซ้อมให้ดีที่สุดถึงแม้ว่าสนามหญ้าจะเปียกแต่ฉันก็ยังไม่สิ้นหวัง  ไม่มีที่จะวิ่งฉันก็ไปวิ่งบนเบาะยูโดจนได้  ทั้งยุบข้อ  ยึดพื้น  ซิทอัพ  ฉีกขา  สไลท์ขา  สืบเท้า  ฉันพยายามฟิตร่างกายอย่างเต็มที่  เพราะนัดที่จะมีต่อไปนี้คงต้องแข่งกันอีกยาวนาน  เพราะต้องไปแข่งอย่างไม่มีวันหยุด 

                  หลังจากเลิกเรียนฉันมาซ้อมยูโดที่สมาคม  แต่วันนี้มันแตกต่างจากทุก ๆ วันเพราะวันนี้ฉันต้องซ้อมให้หนักเพื่ออีก 5 วันจะมีการแข่งยูโดคัดสายเขตกัน  ฉันตั้งใจซ้อมอย่างเอาจริงเอาจังจนสามารถล้มคู่ต่อสู้อย่างรุ่นพี่ผู้ชายหลายคนได้
	"ถามจริง ๆ เถอะดาว  เธอไปเอาแรงฮึดมาจากไหนถึงได้เล่นรุดหน้าเด็กรุ่นเดียวกันได้"
	"แรงอาฆาตไง...พี่โจ้"
	ฉันตอบอย่างเครียดแค้น...เพราะฉันรู้สึกได้ว่าฉันชิงชังและต้องไปยืนในจุดที่เหนือกว่าทั้งเหมี่ยวและพี่นัท  ฉันอาฆาตไว้กับตัวเองว่าถ้าฉันทำไม่ได้ก็ให้ไปลาหมาตายได้แล้ว
	"ดาว...หมู่นี้ทำไมฝีมือดีจังเลย  ท่าทางจะไปได้ไกลนะเนี่ย"
	"แหมพี่โก้ทำเป็นชมไปได้...ไม่ได้มีอะไรมากนักหรอกแค่ขยันหน่อยฟิตร่างกายก็เท่านั้น"
	"ที่จริงหายากนะเนี่ย  เด็กที่เข้ามาเล่นยูโดได้แค่ 6 เดือนก็สามารถได้สายเขียวแล้วยังไปคว้าตำแหน่งนักกีฬาจังหวัดได้นี่มันไม่ธรรมดาเลยนะ  เลือดนักสู้นี่หว่า...ใช่ไหมพวกเรา"
	พี่โก้ตะโกนขึ้นทำให้พวกที่นั่นอยู่ข้างเบาะชมฉันไม่หยุดปาก  ฉันจึงได้ฉายาสาวน้อยมหัศจรรย์เป็นครั้งแรกมันจึงทำให้ฉันเริ่มมีชื่อเสียงในวงการกีฬามากขึ้น
	"เอ้า...นักกีฬาพรุ่งนี้เรามีนัดที่โรงยิมส์แห่งนี้   ขอให้นักกีฬามาตามที่นัดด้วย  เวลา 6 โมเช้าพร้อมกัน  รถออกเวลา 6.30 น.  อย่าลืม  ถ้ามาไม่ทันก็ตามไป  ช่วยเหลือตัวเองได้ยินไหม"
	"รับทราบ"
	อาจารย์ดนัยครูฝึกที่เก่งที่สุดของพวกเราพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดเป็นพิเศษ  ครูคนนี้เป็นคนที่ตรงต่อเวลามาก ๆ เป็นคนสุขุมรอบคอบ  และมีเหตุผลที่สุดในบันดาครูฝึกทั้งหมด 7 คน
	ตอนเช้าฉันรีบมา  นั่งรถเป็นคนแรกแล้วก็เผลอหลับไปจนกระทั่งมีคนเดินมาปลุก
	"ดาว ๆ เขาขึ้นรถคนนั้นกัน  มานอนอะไรคันนี้"
	"อ้าวเหรอ..."
	ฉันเดินลงจากรถทหารคันใหม่  เดินตามโก้เพื่อนนักยูโดที่อยู่ต่างโรงเรียนกันไปที่รถคันเก่าที่สุดของที่นี่
	"หา...คันนี้เหรอ"
	ทุกคนที่อยู่บนรถยิ้ม  ฉันถึงกับทำหน้าเบ้ทีเดียว  แล้วก็เดินขึ้นไปนั่งบนรถ  ฉันต้องนั่งประจันหน้ากับพี่นัทแฟนเก่าของฉัน  ฉันรู้สึกไม่อยากจะมองหน้าเขาเลย  ฉันจึงมองออกไปนอกรถตลอดเวลา
	"มาพร้อมหรือยัง...ได้เวลาแล้วไม่รอละนะ"
	รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกช้า ๆ จนพ้นประตูค่ายเอราวัณไป
	"จอด ๆ ครับ จอด"
	พี่นัทบอกให้อาจารย์จอดรถ
	เอี๊ยด...!!!  รถต้องเบรกกระทันหันฉันถึงกับเซถลาไปใกล้พี่โอมทีเดียว  ฉันจึงกระเถิบตัวออกมาห่าง ๆ เขา
	"เป็นไรไปหรือเปล่า"
	"ไม่เป็นไรค่ะ..."
	"นู่นดาวดูสิใครมา..."
	พี่โอมชี้ให้ฉันดูผู้หญิงที่กำลังจะขึ้นรถคนนั้น  เหมี่ยว...!!!  ฉันถึงกับตะลึงทีเดียว  เหมี่ยวมาทำอะไรที่นี่ก็ในเมื่อเหมี่ยวบอกว่าท้องแล้วจะเลิกเล่น  หรือว่าตอนคัดสายวันนั้นจะแท้งลูกแล้ว...ฉันนั่งนึกอยู่นานจนรถมาจอดที่วิทยาลัยพละอ่างทอง
	"นักกีฬาทั้งหลายอัญเชิญลงจากรถได้แล้วมัวนั่งบื้อกันอยู่ได้"
	อาจารย์ดนัยพูดประชดพวกเรา  ทำให้ฉันรู้สึกหน้าเสียทีเดียว...
	"พี่นัทคะเหมี่ยวมาให้กำลังใจ  พี่นัทชอบไหมคะ"
	ฉันรู้สึกหมั่นไส้ทีเดียว  แต่ก็ทำท่าเฉย ๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  พวกเราไปชั่งน้ำหนักกันที่ห้องกีฬา  แต่ฉันน้ำหนักไม่ถึงรุ่นที่เล่นต้องหาอะไรถ่วงน้ำหนักเพื่อที่จะได้ไม่มาเล่นรุ่นเดียวกับเด็กที่มาจากที่เดียวกัน  ส่วนรุ่นพี่หลายคนเช่นพี่โอม  พี่ตูน  พี่โจ้  หรือแม้แต่โก้เองก็ต้องไปรีดน้ำหนักออกด้วยการใส่เสื้อวอมรูดซิปจนติดคอหอยแล้วก็วิ่งไปเรื่อย ๆ จนกว่าน้ำหนักจะพอกับที่ตัวเองเล่น  ฉันเห็นแล้วก็ต้องยิ้มอยู่นานทีเดียว
	"เธอรู้ไหมว่าฉันมาทำไม"
	"ฉันไม่สนหรอก  เธอมีสิทธิที่จะมา  แล้วมาถามฉันทำไม...ไม่ใช่เรื่องของฉันซะหน่อย"
	"ใช่สิ...มันต้องใช่...ฉันกลัวว่าเธอจะมาแย่งพ่อของลูกฉันไง  เข้าใจหรือยัง"
	"ฉันไม่หน้าหนาขนาดนั้นหรอกที่จะแย่งแฟนเพื่อนได้...อีกอย่างฉันว่าเธอไม่ได้ท้องหรอก  คนท้องอะไร...วันนั้นยังกล้ามาแข่งคัดสายกับฉันเลย...ฉันไม่เชื่อเธอหรอก"
	เหมี่ยวถึงกับเงียบทีเดียว  ฉันไม่รู้หรอกว่ามันจริงหรือเปล่า  แต่ฉันคิดว่ามันน่าจะจริงเพราะถ้าไม่จริงเหมี่ยวคงไม่เงียบ  เหมี่ยวคงไม่อยากเอาอนาคตของตัวเองมาจบกับอีแค่เรื่องผู้ชายหรอก  เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ละก็แม่ของเหมี่ยวคงจะเสียใจมาก ๆ เพราะแม่เขาเป็นแค่ลูกจ้างของกรมศิลป์เท่านั้นเอง  เงินเดือนก็น้อย  ถ้าจะต้องมาเลี้ยงทั้งลูกและหลานก็คงจะทำใจลำบาก  และก็ต้องลำบากมาก ๆ เลยด้วย...
	ได้เวลาแข่ง  ฉันเดินไปดูป้ายที่ติดไว้  รุ่นของฉันมี 9 คนต้องมีการจับสลากเพื่อที่จะแข่งว่าจะได้คู่ไหนก่อนดี  ฉันได้แข่งเป็นคู่แรก  ฉันรู้สึกตื่นเต้นจริง ๆ ฉันเดินไปวอมร่างกายจนเครื่องอุ่นเต็มที่แล้วก็เดินมานั่งดูรุ่นจิ๋วกับรุ่นเล็กแข่งกัน  คู่ต่อสู้น่ากลัวมาก ๆ เลย  แต่ฉันก้พยายามข่มใจตัวเองไว้ว่าไม่ตื่นเต้น...ไม่กลัว
	"รุ่นน้ำหนัก  45  กิโลมารายงานตัวด้วย"
	เสียงกรรมการประกาศเรียกให้รุ่นของฉันไปรายงานตัว  ฉันถอนใจเฮือกใหญ่แล้วก็เดินเข้าไปหากรรมการในขณะที่คู่สุดท้ายของ  ร.พ.ศ 2 ยังแข่งอยู่  ฉันเห็นคู่ต่อสู้ของฉันที่ค่อนข้างน่ากลัวมาก ๆ...แต่ฉันก็ต้องข่มใจตัวเองไว้  เมื่อกรรมการเรียกให้ขึ้นเบาะฉันก็เดินไปอย่างสุขุมทันที
	"ฮาจิเมะ...!!!"  
	เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้นได้  ฉันจึงเข้าคว้าคอเสื้อของฝ่ายตรงข้ามก่อน  แล้วก็เข้าท่าทุ่มด้วยท่าโมโนเตะ-เซโออินาเงะทันที  ตัวของคู่ต่อสู้ลอยข้ามหัวไปฉันไป  ฉันจับข้อมือคู่ต่อสู้ไว้แน่นเพื่อเซฟตัวคู่ต่อสู้  ท่าลอยลงมาได้สวยมาก  ทุกคนถึงกับปรบมือกันกราวทีเดียว
	"อิปโป้ง...!!!"
	เสียงกรรมการพูดดังขึ้น  ฉันคำนับคู่ต่อสู้แล้วก็หันมาคำนับกรรมการก่อนจะลงจากสังเวียน  ฉันมีความรู้สึกว่าโล่งอกมาก ๆ การแข่งขันดำเนินมาจนเหลือ 3 คนสุดท้ายของรุ่นน้ำหนักเดียวกับฉัน  ฉันต้องมาแข่งอีกครั้ง  ต้องมีการจับสลาก  ฉันได้เป็นคนที่ 3  เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้นอีกครั้ง  ฉันดูท่าทางแล้วคน ๆ นี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว  ฉันรู้สึกกลัวยังไงชอบกล...
	คนที่ฉันกลัวมากที่สุดกลับชนะและยืนหยัดรอฉันอยู่อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ  ฉันรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็ทำใจสู้
	"ฮาจิเมะ...!!!"  
	เสียงกรรมการสั่งให้เริ่มต้น  ฉันเข้าไปกระชากเสื้อคู่ต่อสู้ทันที  แต่เขากลับจับข้อมือฉันหักและบิดออก  ฉันรู้สึกเจ็บมากทีเดียว  คู่ต่อสู้คนนี้เล่เหลี่ยมแพรวพราวทีเดียว  นักข่าวก็จับภาพจนฉันรู้สึกเกร็ง ๆ ทำอะไรไม่ถูกไปซะทุกอย่าง
	"ฮาเน  มากิโคมิ...!!!"
	เสียงใครบางคนตะโกนขึ้น  ฉันจึงเข้าท่าฮาเน  มากิโคมิทันที  เป็นโชคดีของฉันจริง ๆ ที่คู่ต่อสู้หลังหระแทกพื้นได้อย่างสวยงามทีเดียว
	"อิปโป้ง...!!!"
	เสียงกรรมการพูดดังก้องหูของฉัน  คู่ต่อสู้ทำท่าทางไม่ค่อยพอใจที่ฉันชนะ  ฉันคำนับแล้วก็เดินลงจากสังเวียน  กรรมการเรียกคู่น้ำหนักรุ่นต่อไปทันที  ฉันเดินมาหาอาจารย์แล้วก็ยิ้มแก้มปลิทีเดียว
	"ขอบคุณนะคะอาจารย์ที่ช่วยหนู"
	อาจารย์ดนัยทำท่างง ๆ แล้วก็แสดงสีหน้าแบบไม่เข้าใจ
	"ก็เรื่องที่อาจารย์ช่วยบอกให้หนูใช้ท่าฮาเน  มากิโคมิไงคะ"
	"อ๋อ...ครูไม่ได้พูดหรอก  โน้นนายนัทเขาเป็นคนตะโกนไป"
	ฉันรู้สึกหน้าเสียทีเดียว  และนี่ก็เป็นครั้งแรกนับจากวันที่เราเลิกลากันไป  ฉันเข้าไปขอบคุณพี่นัทโดยไม่สนใจว่าจะมีเหมี่ยวอยู่ด้วยหรือไม่...
	"ขอบคุณค่ะ"
	แล้วฉันก็เดินออกมา  มานั่งใกล้ ๆ พี่โอม  พี่โอมชมฉันอย่างไม่ขาดปากทีเดียว  แต่ในขณะที่คุยกันอยู่นั้นฉันเหลือบไปเห็นเหมี่ยวคุยอยู่กับฝ่ายตรงข้ามแล้วหันมาจ้องที่ฉัน  สายตาแบบนี้ฉันรู้สึกกลัวเหลือเกิน...  ฝ่ายนั้นจ้องมองมาเป็นตาเดียวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ  จนฉันต้องสะกิดให้พี่โอมดู
	"อย่าไปสนใจเลย...ดาวเธอนั่งดูไปก่อนนะพี่จพต้องขึ้นแข่งแล้ว"
	ฉันรู้เพียงแต่ว่าตอนนี้ฉันนั่งอยู่กับพี่แกะ  แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามมาพี่แกะก็คงช่วยเหลือฉันไม่ได้หรอก...ฉันรู้สึกลางสังหรมันจะไม่ดีเลย  สักพักฝ่ายตรงข้ามก็ตรงดิ่งมาหาฉันแล้วก็มีคนหนึ่งตบหน้าฉัน
	"นี่...อะไรกันเนี่ย"
	พวกนี้ไม่ตอบสักนิดจู่ ๆ ก็มารุมทำร้ายฉัน  ฉันก็ต้องสู้  อาจารย์ก็เข้ามาห้ามคนพวกนี้  กรรมการก็เข้ามาห้าม  ฉันเหลือบไปเห็นเหมี่ยวยืนยิ้มเยาะอยู่ห่าง ๆ ฉันรู้ทันทีเลยว่านี่ต้องเป็นแผนการของเหมี่ยวแน่ ๆ ฉันรู้สึกแย่มาก ๆ ทีเดียว
	"ผมขอประกาศตัดสิทธิ์  ห้ามไม่ให้นักกีฬาของสมาคมยูโดคังชิเข้ามาแข่งขันยูโดที่นี่อีกเป็นเวลา 4 ปี  เพราะนักกีฬาเหล่านี้ไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา  ใช้วิชาในทางที่ผิด  จึงไม่สมควรเข้ามาแข่งที่นี่อีก  นี่เป็นการลงโทษสถานเบา  ประกาศนี้เริ่มมีสิทธิ์ใช้นับตั้งแต่พูดจบประโยคทันทีโดยไม่มีการต่อรอใด ๆ ทั้งสิ้น"
	ประธานกรรมการลุกขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ขึงขังจนดูน่ากลัว  อย่างว่าแหละปาเน่าแค่ตัวเดียวก็ทำให้มันเหม็นไปทั้งค่องได้  น่าสงสารสมาคมคังชิจริง ๆ เลย  กับอีแค่นักกีฬาไม่กี่คนที่ทำความเลวแต่กลับต้องถูกลงโทษทั้งสมาคม  ฉันถึงกับอึ้งพูดไม่ออกทีเดียว
	พอนักกีฬาพวกนี้ออกจากโรงยิมส์  เหมี่ยวก็หายไปด้วย  พอฉันมารู้อีกทีก็รู้สึกสมน้ำหน้าแล้วละ  เพราะคนเราเมื่ให้ทุกขืแก่ท่านทุกข์นั้นก็จะมาถึงตัวเร็วขึ้น  เหมี่ยวโดนพวกนักกีฬาซ้อมซะกระอักกระอ่วง  ไปแจ้งความตำรวจก็ไม่รับแจ้งเพราะบอกเขาไม่ได้อีกว่าใครทำร้าย...เห็นแล้วก็อดที่จะนึกขำไม่ได้
	วันนี้ฉันได้เป็นนักกีฬาเขตแล้ว  ฉันกำลังจะก้าวขึ้นไปให้สูงที่สุด  ฉันจะทำให้ดีที่สุด  นอกจากฉันจะได้เป็นตัวเขตแล้ว  วันนี้ฉันยังได้มิตรภาพจากพี่นัทอีกด้วย  ฉันต้องขอบคุณเขาจริง ๆ ที่ทำให้ฉันชนะได้ไม่อย่างนั้นฉันคงก้าวมาไม่ถึงจุดนี้

                      ติดตามตอนต่อไป  ซึ่งจะเริ่มเข้มข้นกว่าเดิม...อย่าพลาดนะคะ
ขอขอบคุณที่ทุกท่านติดตามผลงานมาโดยตลอด				
19 กรกฎาคม 2547 11:08 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 2 )

สุชาดา โมรา

สายลมที่โชยมาเอื่อย ๆ สร้างความหนาวสะท้านให้แก้ฉัน  ฉันรู้ตัวทันทีเลยว่าเวลาได้ผ่านมาอีกช่วงชีวิตหนึ่งแล้ว...  ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะมีฝนตกบ้างแต่สายลมที่เย็นยะเยือกผ่านเข้ามาทุกซอกทุกมุมของรูขุมขนนี้ทำให้ฉันต้องคลุมโปงนอนต่อด้วยความง่วง
	"ตื่นได้แล้วยายดาว...แม่สอนกี่ครั้งแล้วว่าอย่านอนกินบ้านกินเมือง...ตะวันส่องดากแล้ว...!...ตื่น ๆๆๆๆๆๆ...."
	"โอยแม่...นี่มันวันอะไรกันน่ะ  ไม่รู้เรื่องเลย  นี่มันวันอาทิตย์นะแม่"
	"นี่...เดี๋ยวตีก้นลายเลย  วันอาทงอาทิตย์บ้าอะไร  เมื่อวานวันอาทิตย์เราไปแข่งคัดสายที่กรุงเทพฯมา  วันนี้มันวันจันทร์  จะไม่ไปเรียนหรือไงหา...!"
	แม่พูดประโยคนี้ทำให้ฉันลุกขึ้นมาจากเตียงและกระวีกระวาดไปอาบน้ำแต่งตัวไปเรียนทันที  เพราะฉันจะไปไม่ทันเข้าแถวเคารพธงชาติ
	"ไม่กินนมก่อนเหรอลูก..."
	"ขนมปังแผ่นเดียวก็พอแล้วค่ะ...ไปนะคะ  แม่คะสวัสดีค่ะ  คุณตาสวัสดีค่ะ...!"
	ฉันรีบวิ่งออกจากบ้านเพื่อไปเรียนจนเกือบไม่ทันขึ้นรถเมย์  รถเมย์ต่างจังหวัดเนี่ยดีอย่างเสียอย่างนะ  ตรงที่จอดรับคนเรื่อย ๆ จอดได้ทุกที่แต่ข้อเสียคือชอบจอดแช่นาน ๆ ทำให้ฉันไปโรงเรียนไม่ทันจนได้
	"ชื่ออะไรน่ะเรา..."
	"สวัสดีค่ะอาจารย์"
	ฉันนึกอยู่แล้วเชียวว่าต้องไปไม่ทันแน่ ๆ  โถ่เอ้ย...!!!!  ถูกอาจารย์กักตัวจนได้  ชื่อได้ติดบอร์ดหน้าห้องปกครองแน่ ๆ เลยเรา  ถ้ามาสายถึง 3 ครั้งถูกเรียกผู้ปกครองแน่ ๆ...ซวยเลย...
	วันนี้ฉันเรียนอย่างไม่ค่อยมีความสุขนักเพราะฉันรู้สึกว่ามีคนจับจ้องฉันอยู่หลังห้อง  พอฉันหันไปมองฉันก็เห็นเหมี่ยวและเพื่อน ๆ จ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออย่างนั้น...จนฉันรู้สึกเกร็ง ๆ ยังไงชอบกล  พอพักเที่ยงฉันจะไปกินข้าวก็ถูกพวกเพื่อน ๆ กลุ่มนี้ถลักไว้
	"ไง...แน่นักเหรอที่แย่งแฟนเพื่อน..."
	ฉันทำท่างง ๆ เพราะฉันไม่รู้ว่าพวกนี้พูดถึงอะไร
	"ยังมาทำหน้ามึนอีก  แกแย่งพี่นัทไปจากเหมี่ยวทำไม...แกรู้ไหมเหมี่ยวมันท้อง"
	"ฉันว่าพวกเธอบ้าไปแล้วเหรอ...ใครกันแน่ที่แย่งแฟนฉัน...ไม่ใช่เหมี่ยวหรอกเหรอ  ที่จริงไม่น่าหน้าหนาเลยนะ  มากุเรื่องว่าคนอื่นเขาเพราะเมื่อวานแข่งกับฉันแล้วแพ้เลยเก็บกด  วันนี้กะจะเอาคืนด้วยคนหมู่มากเหรอ...หมาหมู่นี่หว่า...!"
	ฉันพูดอย่างไม่กลัวใครเพราะถ้าฉันไม่พูดพวกนี้ก็จะข่มขู่ฉันเพราะเห็นว่าฉันเป็นคนเงียบ ๆ เลยอยากจะคุกคาม  แต่ผิดแล้วฉันเป็นคนที่ไม่เคยยอมคน  และถ้าใครมาราวีฉันจะสู้ ๆๆๆๆๆ ให้ตายกันไปข้างนึงเลย...  ฉันจ้องหน้าเพื่อน 7 คนที่ยืนมุงดูฉันอย่างเอาเรื่อง  และฉันก็มองไปที่เหมี่ยว
	"สรุปจะเอาไง...!"
	ฉันถามอย่างไม่กลัว  ทำให้พวกนั้นต้องละสายตาเดินออกห่างฉันไป  ฉันเห็นสีหน้าของเหมี่ยว  เหมี่ยวทำท่าไม่ค่อยพอใจทั้ง ๆ ที่อุตส่าไปยั่วยุให้กลุ่ม 7 ห้าวแก๊งเก๋าในทางเลวของห้องมาข่มขู่ฉัน  แต่ขอโทษ...ฉันไม่กลัว  ถึงกลัวฉันก็จะสู้สู้ให้มันตายไปข้างเลย...
	ผ่านมาอีกหลายวัน...
	วันนี้เป็นวันแข่งยูโดชิงตัวนักกีฬาจังหวัด  ผู้คนเข้ามาดูกันคับคั่ง  พวกเราทำพิธีไหว้ครู  และแสดงศิลปะป้องกันตัวแบบยูโดโชว์ต่อหน้าผู้คนมากมา  โดยเฉพาะแสดงต่อหน้าท่าน ผบ.สูงสุดของที่นี่  นักข่าวมาดูกันอย่างคับคั่งทีเดียว
	ฉันดูพวกที่แข่งฝึกซ้อมในห้องซ้อมแล้วก็รู้สึกขนหัวลุก  ทุกคนดูขมักเขม้นกันดีจัง  ดูท่าทางจะต้องสู้ให้ตายกันไปข้างแน่ ๆ แล้วฉันก็แอบเข้าไปดูนักยูโดของชมรมอื่นที่มาร่วมแข่งที่ ร.พ.ศ. 2 ด้วย  ดูท่าทางโหด ๆ ทั้งนั้น  ฉันรู้สึกตาขาวขึ้นมาทันที
	เมื่อเสียงกรรมการประกาศให้นักกีฬามานั่งประจำที่เพื่อที่จะแข่ง  ฉันนั่งประจันหน้ากับฝ่ายตรงข้ามที่ท่าทางน่ากลัวมาก ๆ  ฉันรู้สึกปอดแหกจริง ๆ พอกรรมการเรียกชื่อให้นักกีฬาขึ้นไปแข่ง  ฉันก็จ้องมองตาแทบไม่กระพริบทีเดียว  ฉันมองเห็นจุดอ่อนของคู่ต่อสู้หลายอย่าง   มองเห็นเทคนิกพิเศษของคู่ต่อสู้ฉันจึงจำเอาไว้ใช้บ้าง  เมื่อกรรมการเรียกชื่อฉัน  ฉันก็ลุกขึ้นไปยืนอยู่ที่เส้นสีแดง  ฉันได้คาดสายแดง  แค่คาดสายแดงก็มีกำลังใจไปครึ่งนึงแล้วละ  เพราะอีกฝ่ายหนึ่งคาดสายขาว  มันทำให้ฉันมีแรงผลักดันที่จะสู้ให้ชนะให้ได้เพราะสายแดงคือสายนำโชค...ฉันเชื่อว่าอย่างนั้น
	"ฮาจิเมะ...!!!"
	กรรมการสั่งให้เริ่มต้น  ฉันเข้าไปคว้าคอเสื้อทันที  คู่ต่อสู้กำลังดีมาก ๆ และแกร่งมาก ๆ ถึงฉันพยายามจะเข้าท่าอย่างไรแต่ก็ไม่สามารถที่จะทุ่มได้เลย  มีแต่จะเสียเปรียบเพราะฝ่ายตรงข้ามจะพยายามทำให้หลังฉันแนบกับพื้นให้ได้เพื่อที่จะฉวยโอกาสล็อกฉัน  ฉันจึงต้องหลบออกมาอยู่บ่อย ๆ  จนทำให้ดูเหมือนฉันจะหนีคู่ต่อสู้
	"ชิโด...!!!"
	กรรมการคาดโทษครั้งที่ 1 ให้แก่ฉัน  ฉันรู้สึกหูชาเพราะเสียหน้ามาก ๆ ก็เลยเข้าท่าเตรียมที่จะทุ่มแล้วไม่ทุ่มกลับหันออกมาใช้ท่าไทโอโตชิ  ทำให้คู่ต่อสู้ลอยตัวกลางอากาศประมาณ 3 วินาทีก่อนจะกระแทกลงที่พื้นเบาะ
	"วาซารี่..."
	กรรมการยกมือไปทางด้านขวา  แล้วให้คะแนนวาซา-อริกับฉัน  ถ้าฉันได้วาซา-อริอีกครั้งเดียวก็จะชนะแล้ว  ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬากา  ยังคงเหลือเวลาอยู่อีก 30 วินาที  ฉันจึงเข้าไปล็อกคู่ต่อสู้ด้วยท่าโยโกชิโฮ-กาตาเมะทันทีก่อนที่คู่ต่อสู้จะลุกขึ้นมาทัน  ฉันก้มหน้ากดสายรัดเอวให้แน่น  คู่ต่อสู้พยายามที่จะดิ้นแต่ฉันก็กดเขาเอาไว้แล้วก็เปลี่ยนท่าเป็นท่า เกซ่า-กาตาเมะทันทีเพื่อที่จะได้ล็อกแน่น ๆ เพราะท่านี้เป็นท่าที่ถนัดของฉัน  คู่ต่อสู้พยายามดิ้นรนอีกครั้งแต่ฉันก็ไม่ยอมปล่ยจนหมดเวลา
	"วาซารี่-วาซาเตะ-อิปโป้ง...!!!"
	เสียงกรรมการพูดดังขึ้น  ฉันลุกขึ้นมาและก็ส่งมือให้คู่ต่อสู้  เธอคนนี้จับมือฉันแล้วลุกขึ้นมาแอบอมยิ้มนิด ๆ เราคำนับซึ่งกันและกันแล้วเธอคนนั้นก็ลงจากสังเวียน  เหลือเพียงฉันที่ต้องรอคนแข่งคนต่อไป...
	"ฮาจิเมะ...!!!"  
	เสียงกรรมการบอกให้เริ่มแข่งได้  ฉันจึงเดินเข้าไปจ้องคู่ต่อสู้แล้วก็พบจุดอ่อนที่ขาของคู่ต่อสู้ทันที  ฉันคว้าคอเสื้อได้ก็เข้าใส่ด้วยท่ายูชิมาตะทันที  ทำให้คู่ต่อสู้ตั้งตัวไม่ทันลอยตัวขึ้นมาและกระแทกกับพื้นเบาะทันที
	"ยูโก้...!!!"
	เสียงกรรมการบอกให้รู้ว่าฉันกำลังได้คะแนนยูดก้อยู่  ถ้าฉันทำคะแนนวาซา-อริครั้งนี้ได้คะแนนฉันจะนำโด่งทีเดียว
	ฉันเข้าใส่ด้วยท่าเดิมอีกครั้งเพื่อให้คู่ต่อสู้รู้ตัวว่าฉันรู้ว่าขาเขามีปัญหา
	"ยูโก้...!!!"
	เสียงกรรมการให้คะแนนอีกครั้ง  แต่คะแนนของฉันก็ยังไม่ทิ้งห่างคู่ต่อสู้เลย  คู่ต่อสู้มีสิทธิ์ที่จะตามฉันทันภายใน 2 เกมส์นี้  ฉันจะทำยังไงดีนะ  คู่ต่สู้ก็แกร่งเหลือเกินถึงแม้ว่าจะมีจุดอ่อนที่ขาก็ตามเถอะแต่ฉันก็หาทางเข้าทุ่มลำบาก  มีวิธีเดียวก็คือต้องใช้ท่านี่ไปเรื่อย ๆ อย่าให้ไหวตัวตามเกมส์ทันปล่อยให้หมดเวลาเร็ว ๆ ก็เท่านั้น
	ฉันตรงลี่เข้าไปกระชากคอเสื้อคู่ต่อสู้จากนั้นก็ทำท่าเหมือนจะออกอาวุธทำให้คู่ต่อสู้ตั้งรับท่าทุ่มด้วยการย่อเข่า  โอกาสนี้แหละที่ฉันจะได้เปรียบฉันจึงปัดข้อเท้าคู่ต่อสู้ลอยขึ้นมาจนหลังกระแทกพื้นเต็ม ๆ ทันที
	"อิปโป้ง...!!!"
	ฉันชนะอย่างไม่คาดฝัน  น่าจะเป็นเพราะการใช้สมาธิและมองจุดอ่อนของคู่ต่อสู้อย่างละเอียด  จึงทำให้ฉันชนะได้อย่างสวยงาม
	วันนี้ฉันได้เป็นนักกีฬาตัวแทนจังหวัดแล้ว  ฉันได้ติดเข็มนักกีฬา  ได้ติดธงจังหวัดไว้ที่เสื้อยูโด  ได้ชุดยูโดตัวใหม่ที่ดูดีกว่าชุดเก่า  ได้บัตรนักกีฬา  ได้ชื่อเสียง  ฉันมีความสุขมากทีเดียว  อาจารย์ก็เข้ามาชมฉันอย่างไม่หยุดปากทีเดียว
	"เก่งเหมือนกันนะเรานี่...เที่ยวหน้ามีแข่งคัดตัวเขตไปแข่งกันไหม"
	"ที่ไหนคะอาจารย์..."
	"ที่อ่างทอง..."
	อาจารย์นิพนธ์พูดขึ้นพร้อมกับขยี้หัวฉัน  ฉันมีความรู้สึกว่าฉันทำได้  ฉันไม่แพ้  ฉันก้าวขึ้นมาเหนือเหมี่ยวแล้ว...ฉันจะต้องสู้ต่อไป  สู้ ๆๆๆๆๆๆๆ  เพื่อชัยชนะของเรา
	ฉันเหลือบไปเห็นพี่นัทยืนมองฉันอยู่  เขายิ้มให้ฉันแต่ฉันก็ทำเมินใส่  เพราะฉันคิดว่าฉันคงไม่ให้อภัยเขาง่าย ๆ หรอก  ฉันรู้สึกเข็ดที่เจอคนอย่างพี่นัท...  นักกีฬาที่ฉันแข่งด้วยเมื่อกี้มาแสดงความยินดีกับฉัน  เราแลกที่อยู่กันแล้วก็เชียรกันและกัน
	"นัดหน้าถ้ามีโอกาสพี่จะมาแข่งกับน้องอีก  น้องดาว...ไปนะ"
	รุ่นพี่หลายคนที่คัดตัวจังหวัดไม่ผ่านมาให้กำลังใจฉัน  เพราะจะหานักยูโดที่ผ่านเข้าไปยากมาก  นี่ถือว่าเป็นโชคของฉันที่ได้มายืนในจุดนี้  ฉันรู้สึกภาคภูมิใจจริง ๆ เลย
	...เฮ้อ...วันนี้ก็ผ่านไปได้อีก 1 วันฉันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก  ฉันโล่งใจไปหมดทีเดียว...แม่จ๋าหนูทำสำเร็จแล้วจ่ะ  หนูจะสร้างชื่อเสียงมาให้ตระกูลเร็ว ๆ นี้...หนูสัญญา...
	ฉันสัญญากับตัวเองไว้ว่าต้องทำให้ได้  จะนำชื่อและเกียรติยศกลับมาฝากแม่ให้ได้  คอยดูสิ...  ฉันกลับบ้านด้วยความสุขและสดชื่นมากทีเดียวถึงแม้ว่าเหงื่อจะไหลออกมาท่วมตัวก็ตาม  แต่ฉันก็รู้สึกสดชื่นมากทีเดียว...
                
                               โปรดติดตามตอนต่อไป...นะคะ
                      แววดาวเด็กสาวผู้มีจิตใจรักยูโดจะทำอย่างไรกับเหมี่ยว  แล้วจะตัดสินปัญหาอย่างไรกับแฟนเก่า...โอ๊ย...ปวดหัวใจแทนแววดาวจริง ๆ ....เธอจะมีโอกาสไปถึงฝันได้ไหม  เธอจะไปแข่งคัสายเขตเพื่อไปคัดตัวเขตตัวจริงหรือเปล่า  เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป...ติดตามตอนหน้านะคะ  ....อย่าพลาด...!!!
                     ขอขอบคุณที่เพื่อน ๆ ไม่ลืมกัน  ติดตามผลงานมาโดยตลอด  ขอบคุณค่ะ...ขอบคุณทุกคน...				
19 กรกฎาคม 2547 10:48 น.

ฉันเป็น…ของเธอ

สุชาดา โมรา

ชีวิตของพวกเราอยู่ท่ามกลางหมอกควันที่ไม่รู้จักจบสิ้น  กลิ่นอายที่ฟุ้งกระจาย  เปรียบดังสายหมอกขาว ๆ ในยามเช้า  แต่ทว่าหมอกสายนี้มีอยู่ทั้งวี่ทั้งวัน  เมื่อไรหนอที่พวกเราทั้งหมดนี้จะได้ไปสูดกลิ่นอายที่สดใสไร้หมอกควันเสียที
	พวกเราอยู่ที่บ้านริมน้ำจังหวัดกาญจนบุรี  แสงสว่างยามที่พระสุริยาฉายเจิดจรัสช่างสวยงามเสียจริง ๆ แต่ถึงอย่างไรชีวิตของพวกเราก็ยังคงอยู่ที่เดิมตลอดมา  ที่ที่มีแต่ความอุดอู้ไม่มีสิ่งดี ๆ เหลืออยู่เลย  และเป็นไปได้ไหมหนาที่ทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ในขณะนี้จะลืมวิถีชีวิตของตัวเองที่กินอยู่กับเรา  พวกเราจึงไม่เคยมีคุณค่าและไม่มีความหมายสำหรับพวกเขาเลย
	"นี่เธอมาดูห้องนี้สิ...โห...สวยจริง ๆ เลย  เฟอร์นิเจอร์ก็ครบครัน  มองออกไปก็เห็นธรรมชาติที่สดใสงดงาม...เอางี้ละกันฉันตกลงซื้อบ้านหลังนี้"
	หญิงอ้วยกับนายหน้ามาดูบ้านหลังที่พวกเราอยู่  เธอตกลงที่จะซื้อบ้านหลังนี้  หญิงอ้วนหรือคุณนายนิวเครียจึงขนของเข้ามาในบ้านพร้อมกับลูกชายอ้วน ๆ ของเธอในเย็นวันนั้น  เด็กอ้วนคนนั้นเมื่อมาถึงก็สำรวจบ้านทันที
	"แม่ฮะผมว่าบ้านมันใหญ่เกินไปหรือเปล่าฮะ  แล้ว...แล้วเราจะทำความสะอาดไหวเหรอฮะ"
	"ไหวสิจ๊ะทอมลูกรัก...เราแค่ทำเฉพาะที่เราใช้กันก็พอ  เช่นห้องนอน  ห้องครัว  ห้องรับแขกแล้วก็ห้องน้ำ  ส่วนทางเดินก็ทำบ้างไม่ทำบ้างก็ได้ลูก..."
	สองแม่ลูกจัดแจงทำความสะอาดจนเสร็จจากนั้นก็เข้านอน
	เป็นเวลาหลายสิบปีที่พวกเราถูกทอดทิ้งให้อยู่บ้านกันตามลำพังซึ่งไม่มีใครเคยเหลียวแล  และไม่มีใครมองเห็นคุณค่า  ได้แต่ปล่อยทิ้งพวกเราให้อยู่กันตามยถากรรม..........บางสิ่งบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวในบ้านพูดคุยกัน
	"นี่คันฉ่อง  เราว่าเจ้าของบ้านลำเอียงนะ"
	"เออจริงนะ...เราก็ไม่รู้เหมือนกันนะขนไก่"
	พวกเรารวมตัวกันประชุมหารือกันจนถึงรุ่งเช้า
	สองแม่ลูกไม่อยู่ในบ้าน  ไปเที่ยวในตลาดกาญจนบุรี  และก็คงเลยต่อไปเที่ยวที่อื่น......พวกเราจึงเดินสำรวจบ้านและเราก็พบบางสิ่งบางอย่าง  คือสองแม่ลูกกวาดเอาขยะไปซ่อนไว้ที่ใต้พรม  ซอกตู้และที่ต่าง ๆ ที่มองไม่เห็น  พวกเราจึงสลัดฝุ่นและกวาดขยะออกมา  กระจัดกระจายไปทั่วบ้านเพื่อจะลองใจเจ้าของบ้าน
	แอ๊ด..........เสียงประตูบ้านดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงฝีเท้าคน
	"มาแล้ว ๆ ........"  เสียงนีออนส่งเสียงบอกเพื่อน ๆ
	มู่ลี่จึงบอกเพื่อน ๆ ต่อ ๆ กันไปอีกทอดหนึ่ง  ".........หลบเร็ว"
	พวกเราหลบไปที่ต่าง ๆ เพื่อไม่ให้คุณนายนิวเครียเห็น
	ทั้งคู่ตะลึงในความยับเยิน  เน่าเหม็นของบ้าน  มันไม่น่าเชื่อเลยว่าบ้านจะสกปรกโสโครกได้ถึงเพียงนี้
	"อี๋.........เหม็นจังสกปรกด้วย  ลูกทำสิทอม"
	"ไม่ฮะแม่  ผมหยะแหยง"
	สองแม่ลูกเกี่ยงกันทำความสะอาดบ้าน  และเขาก็ปล่อยให้บ้านเน่าเหม็นอยู่อย่างนี้
	"มืดค่ำป่านนี้แล้วแม่จะพาผมไปไหนฮะ"
	"ก็ไปเที่ยวน่ะสิลูก....ล่องแพชมบรรยากาศและก็ชมการแสดงน่ะสิลูก"
	สองแม่ลูกคุยกันหนุงหนิง ๆ สักพักหนึ่งก็ออกจากบ้านไป
	พวกเรามีความรู้สึกว่าเราโดนทิ้งอีกตามเคย  พวกเราทนทุกข์ทรมานอยู่กับความเน่าเหม็นและโสมมของเจ้าของบ้าน  และเราก็วางแผนร้ายกัน  จนสำเร็จ
	แอ๊ด.........
	"หล่อนมาแล้ว......."  เสียงนีออนพูดขึ้น
	พวกเราเตรียมไปซ่อนตัวในที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในครัว  เมื่อสองแม่ลูกหิว  คุณนายนิวเครียจึงเดินมาล้างจานในครัว  ส่วนลูกชายก็นั่งดูทีวี
	พวกเราไม่รอช้ารีบปฏิบัติการทันทีที่หล่อนล้างจาน
	เพล้ง........!!!!  "โอ๊ย!"
	จานชามและอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในบ้านทั้งหมด  ออกมารุมทำร้ายร่างกายคุณนายนิวเครียจอมขี้เกียจกับคุณทอมลูกชายจอมโสโครก
	"ผีหลอก......โอ๊ย!"
	พวกเราต้อนทั้งคู่มารวมกัน
	"ไม่ใช่ผีหลอก.....หรอกคุณนาย  พวกเราเพียงแต่ทนมานานแล้ว  คุณนายและลูกไม่เคยสนใจไม่เคยรับรู้ถึงจิตใจของเครื่องใช้ภายในบ้านอย่างพวกเราเลย  พวกเราเสียใจที่ต้องทำแบบนี้  แต่ถ้าเราไม่ทำคุณนายก็ยังคงต้องทำอยู่อย่างนี้  ยังคงสกปรกโสโครก  และคงไม่ทำความสะอาดพวกเราเลย  ดีแต่ใช้...คุณนายนี่มันมนุษย์งี่เง่าจริง ๆ"  ไมโครเวฟพูดขึ้น
	"ใช่...พวกเราตั้งใจจะสั่งสอนให้คุณนายเข็ดหลาบ  จะได้รู้จักทำความสะอาดบ้านมั่ง  ขอบอกไว้ก่อนเลยนะ  ถึงพวกเราเป็นแค่สิ่งของแต่พวกเราก็มีหัวใจ  มีชีวิตจิตใจ  และพวกเราก็ไม่ชอบความสกปรก  พวกเราเป็นของคุณนายนะ  ใช้เราให้มันดี ๆ หน่อย"  บุ๊คพูดเสริมขึ้น 
	"จ่ะ...ฉันยอมแล้ว  ต่อไปนี้ฉันจะรักษาความสะอาดนะ  จะไม่ปล่อยให้เธอเน่าเหม็น  ฉันจะรักษาความสะอาด  ฉันสัญญา"
	หลังจากที่คุณนายนิวเครียสัญญากับพวกเราในวันนั้นพวกเราก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติ...แล้วบ้านคุณล่ะสะอาดหรือยัง  ระวังไว้ให้ดีเถอะถ้าเผลอเมื่อไรพวกเราจะเอาคืน...!!!!				
18 กรกฎาคม 2547 17:31 น.

วันวาน… (ภาค 4 ต่อจากพ่ายให้แก่เธอ เป็นภาคสุดท้ายแล้วค่ะ)

สุชาดา โมรา

ฉันไม่เคยมีความสุขในชีวิตของฉันเลย  ตั้งแต่ฉันเกิดมาฉันก็พบแต่สภาพของครอบครัวที่แตกร้าว  มีแต่ความร้าวฉานอยู่ตลอดเวลา  ตัวฉันเองเป็นลูกคนกลาง  ฉันมีพี่ชายและน้องสาวที่คอยเป็นกำลังใจให้เสมอ  บ้านฉันค่อนข้างยากจนข้นแค้น  ขัดสนไปเสียทุกเรื่อง  เวลาไปเรียนฉันก็ต้องเป็นเด็กอยู่ในความอนุเคราะห์ของทางโรงเรียน  เพื่อน ๆ ก็ชอบล้อว่าฉันเป็นเด็กอนาถา  ฉันไม่เข้าใจว่าฉันผิดตรงไหนที่เกิดมาจน  คนจนไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียนเหรอฉันมักจะถามตัวเองแบบนี้อยู่เสมอ ๆ จนมีอยู่วันหนึ่งด้วยความที่ฉันเป็นคนช่างอ่าน  ฉันก็ไปสมัครทำงานพิเศษในห้องสมุดของโรงเรียน  ตอนนั้นฉันมีความสุขมากกับการที่ได้อ่านหนังสือมากมายทำให้ฉันเริ่มรอบรู้มากขึ้น  ฉันรู้สึกได้ว่าการอ่านเป็นสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตฉันมาก  และการอ่านก็ทำให้ฉันเรียนดีมากขึ้นด้วย
	พอฉันโตขึ้นได้เรียนสูงขึ้นฉันก็เข้าใจปัญหาที่ฉันมีอยู่ในขณะนี้  ฉันพยายามขยันเรียนให้ดีที่สุดถึงแม้ว่าจะต้องกัดก้อนเกลือกินก็ตาม  พี่ชายฉันเรียนจบออกมาก็มาส่งฉันเรียน  ตอนนี้พี่ทำงานอยู่กรมทางหลวงเป็นวิศวะเงินเดือนดีจึงสามารถส่งฉันและน้องเรียนได้  ส่วนพ่อหลังจากที่เลิกลากับแม่ไปนานมากฉันก็ไม่ได้ข่าวคราวเลย...  ถึงแม้ว่าช่วงนี้พี่ชายของฉันจะช่วยเหลือเจือจุนบ้านอย่างไรแต่ความเป็นอยู่ของเราก็ยังไม่แตกต่างจากเดิม  แม่เป็นคนที่รักฉันและน้องมากที่สุดเพราะเราเป็นผู้หญิง  ผู้หญิงมีโอกาสที่จะเสียคนได้ง่ายที่สุด  แม่มักจะพร่ำสอนฉันอยู่เสมอ ๆ
	อย่าชิงสุกก่อนห่ามนะลูก  อย่าเกเรตั้งใจเรียนนะ
	ฉันและน้องก็ทำตามที่แม่สอนทุกเรื่อง  แม่ยังคงทำงานเหมือนเดิม  ยังเข็นรถไปขายส้มตำเป็นปกติ  ความฝันของแม่คืออยากให้ลูก ๆ เรียนจนจบปริญญา  อยากมีร้านอาหารเป็นของตัวเองจะได้ขายส้มตำได้
	ฉันเรียน ม.ปลายแล้ว  ฉันเริ่มเป็นสาวเต็มตัวหลังจากที่ผ่านอายุ  16    ด้วยความที่ฉันเป็นคนชอบอ่านชอบเขียนอยู่เสมอ ๆ เมื่อมีร้านหนังสือมาเปิดที่ฝั่งตรงข้ามของโรงเรียนฉันจึงไปสมัครสมาชิกทันที  แต่ทว่าค่าสมัครสมาชิกมันแพงเหลือเกิน  ตั้ง  30  บาทก็เท่ากับที่ฉันไปเรียนเลย  คงไม่ไหวแน่ ๆ  แต่เจ้าของร้านใจดีบอกให้ฉันมาทำงานด้วยแล้วจะให้ค่าขนมแถมยังได้อ่านหนังสือฟรีอีก  นับว่าเป็นโชคสองชั้นของฉันจริง ๆ
	ฉันทำงานอยู่ 2 เดือนเจ้าของร้านก็ไว้วางใจให้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายในร้าน  ให้บริหารงานเองจนใคร ๆ ต่างก็คิดว่าฉันเป็นเจ้าของร้านไปแล้ว  ตกเย็นหลังจากเลิกเรียนฉันก็มาทำงานจนดึก  บ้านช่องไม่ได้กลับเพราะกินนอนเสร็จสับที่ร้าน  เจ้าของร้านก็ไม่อยู่ปล่อยให้ฉันดูแลกิจการแทนเขาทั้งหมด  ฉันได้เจอลูกค้ามากหน้าหลายตา  สนิทกับคนมากมายไม่ว่าจะอายุมากกว่าหรือเด็กกว่า  ฉันมีความสุขที่สุดกับการที่ได้ทำงานตรงนี้มากทีเดียว
	วันหนึ่งแม่ฉันป่วยหนัก  พี่ชายฉันไปต่างจังหวัด  ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไงดีไม่รู้จะพึ่งพาใครได้  ไม่รู้ว่าจะพาแม่ไปหาหมอยังไง  ฉันกลับไปที่ร้านเช่าหนังสือดึงลิ้นชักออก  ในนั้นมีเงินอยู่จำนวนหนึ่ง  ใจฉันก็คิดว่าน่าจะเอาไปรักษาแม่ก่อน  แต่อีกใจนึงบอกว่าอย่าทำเลยมันไม่ดีเพราะแม่เคยสอนอยู่บ่อย ๆ ว่าของเขาไม่เอาของเราไม่ให้ฉันจำคำสอนของแม่ได้ดี  แต่จะปล่อยให้แม่ต้องตายงั้นเหรอ  ฉันลังเลอยู่นานไม่รู้จะทำยังไงดี  ได้แต่ยืนกุมขมับไว้แล้วก็ตัดสินใจปิดลิ้นชักซะแล้วก็ตั้งใจทำงานโชคดีที่เจ้าของร้านมาพอดี
	ไงกิวันนี้....ยอดเช่าเป็นยังไงบ้าง
	ก็ดีกว่าทุกวันค่ะ
	อ่ะนี่เงินเดือนของเธอนะ  แล้วอืมโทษฐานที่เป็นคนดีน้าให้โบนัสพิเศษด้วยอ่ะ
	น้าตุ๊กส่งเงินให้ฉัน  ฉันดีใจมากรับเงินและไหว้ขอบคุณน้าตุ๊กทันที
	อืมกิวันนี้เลิกงานได้เลยนะเดี๋ยวจะกลับบ้านไม่ทัน  หมู่นี้ไม่ค่อยได้กลับบ้านนี่เดี๋ยวคุณแม่จะบ่นเอานะ
	ฉันรีบกลับบ้านมาพาแม่ไปหาหมอทันที  โชคดีจังที่ไม่เป็นอะไรมาก  ทีแรกฉันกลัวว่าแม่จะเป็นไข้หวัดนกจะตายไปเฮ้อโล่งอกไปที  เพราะหมู่นี้ไก่ย่างมันเหลือแม่ก็เลยเอามากินกับข้าวด้วยฉันละเป็นห้วงเป็นห่วง  แต่ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วละ
                     ฉันมาคิดได้ว่าการที่ฉันไม่ขโมยเงินในร้านมาคือการทำความดีอย่างหนึ่ง   ทำให้ได้กำไรชีวิต เพราะว่าความดี เท่านั้นเป็นสิ่งที่เพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิต ทำชีวิตให้มีความสุข ความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น หากปราศจากการทำความดีแล้ว ชีวิตที่แสนสั้นในโลกใบนี้ ก็ยิ่งจะหมดค่าลงไปทุกทีๆ เพราะฉะนั้นเราจึงควรรีบทำความดีทุกๆ วัน เพื่อแข่งกับเวลาที่มันกลืนเอาชีวิตของเราไปทุกขณะจิต  ฉะนั้นเมื่อฉันไม่ได้ทำบาปลงไปผลดีเลยมาตอบแทนเราทำให้สวรรค์ส่งน้าตุ๊กมาเป็นคนช่วยเราทำให้ฉันมีเงินมาพาแม่ไปรักษา...
                       เด็วสาววัยรุ่นที่อยากมีเหมือนเพื่อน  อยากได้อะไรมาเป็นของตัวเองแต่ละครั้งต้องขวนขวายหาเงินมาซื้อให้ได้  ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน  แต่ด้วยความที่ฉันทำงานกับน้าตุ๊กทำให้น้าตุ๊กเอ็นดูฉันมาก  ถึงกับจะรับฉันเป็นลูกบุญธรรมเลยทีเดียว  น้าตุ๊กเป็นคนดีคอยช่วยเหลือฉันมาโดยตลอด  อยากได้อะไร  อยากทำอะไร  แค่น้าตุ๊กมองตาก็รู้ใจฉันทันที  เที่ยวหาซื้อข้าวของมาให้ราวกับฉันเป็นลูกของเขา  ฉันจึงรักและเทิดทูนน้าตุ๊กมากเป็นอันดับสองรองจากแม่ทีเดียว
                        เวลาผ่านไปจนฉันเรียนจบ  น้าตุ๊กให้คำแนะนำในการศึกษาต่อ  ฉันจึงเอ็นทรานติดมัคคุเทศก์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง  พี่ชายของฉันก็ขวนขวายหาเงินมาให้ฉันเรียนจนฉันรู้สึกว่าฉันเป็นภาระของพี่  แต่ฉันก็ยังดีที่ฉันมีน้าตุ๊กคอยดูแลฉัน  ฉันเรียนไปทำงานไป  ถึงแม้ว่าเงินเดือนจะได้น้อย  แต่น้าตุ๊กก็ปรนเปรอฉันด้วยสิ่งอื่น ๆ ที่เงินเดือนฉันไม่อาจจะหาซื้อได้  ฉันรู้สึกว่าน้าตุ๊กดีกับฉันเหลือเกิน
                       วันนั้นฉันจำได้ดีว่าน้าตุ๊กชวนฉันไปที่ดอนเมืองเพื่อไปรับใครคนหนึ่ง  ฉันไปยืนเป็นเพื่อนน้าตุ๊กจนมีผู้ชายคนหนึ่งมาพร้อมสัมภาระ
                      "สวัสดีครับคุณแม่...เอ่อนี่ใครกันครับ..."
                      "กิจ่ะ  คนที่แม่เล่าให้ฟังบ่อย ๆ ไง"
                      "อ๋อ!..สวัสดีครับ"
                        ฉันจึงยกมือไหว้ผู้ชายคนนี้  ผู้ชายคนนี้แต่งตัวดีดูภูมิฐาน  เรียนจบนอกมาด้านการบินพลเรือนจากนอร์เวย์  เป็นคนพูดนิ่ม ๆ สุภาพ  หน้าตาดูดี  สูงขาว  แก้มใสดูขาวอมชมพูราวกับปัดบรัซออนทีเดียว  ฉันเดินไปแอบมองไปเพราะความชื่นชมในผิวของเขา
                          "เอ่อคุณแม่ครับเราจะไปทานข้าวกันที่ไหนดี  คือผมหิวแล้ว  ผมอยากทานอาหารไทย ๆ แบบว่าไม่ได้ทานมานานแล้วครับ"
ผู้ชายคนนี้ยืนกอดเอ็วน้าตุ๊กอย่างน่าเอ็นดูเทียวละ  ฉันรู้สึกประทับใจมาก ๆ เมื่อได้เห็นครอบครัวนี้มีความสุข....
                        น้าตุ๊กพาพวกเราไปทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งย่านสำเพ็ง  ร้านนี้อาหารอร่อยมาก  ฉันไม่ค่อยกล้าทานอะไรมากเพราะดูสองแม่ลูกคู่นี้เขาทานแบบผู้ดี  ฉันจึงค่อย ๆ ทานแล้วก็รีบอิ่ม
                        "อิ่มแล้วเหรอจ๊ะลูก..."
                        "ค่ะ"
                       "ทานของหวานก่อนไหม"
                       "ไม่ละค่ะ  ขอบคุณค่ะ"
                       "เอ่อคุณแม่ผมก็อิ่มแล้วเหมือนกันครับ"
                       "งั้นเหรอติว...เก็บเงินด้วยจ่ะ"
                       เราออกจากร้านแล้วก็เดินไปร้านหนังสือด้วยกัน  แต่น้าตุ๊กบอกกับฉันว่าติดธุระให้คุณติวอยู่เป็นเพื่อนฉันเลือกหนังสือ  ส่วนน้าตุ๊กก็ให้กุญแจรถไว้กับคุณติวแล้วก็ขึ้นแท็กซี่ไป...ฉันมีความรู้สึกเกร็ง ๆ ยังไงชอบกล  ต้องมายืนอยู่กับคนที่ไม่ค่อยสนิท  ทำอะไรก็ไม่ถนัด
                        "หนังสือเล่มนี้เข้าท่าดี  เอาไปอ่านดูไหมครับ"
                        "หนังสืออะไรคะ..."
                      "หนังสือเกี่ยวกับการบริหารไง  เป็นเรื่องการครองใจคนในสำนักงาน  ผมว่าเข้าท่าดี"
                       ผู้ชายอะไรชวนผู้หญิงอ่านหนังสือเครียด ๆ ฉันนะงงไปหมด  สงสัยจะแก่เรียนจนไม่รู้ว่าจะชวนคุยเรื่องอะไรแล้วมั้ง  แต่ฉันก็รับหนังสือมาเปิดอ่านดู  ก็เข้าท่าดีนะ  ฉันจึงเลือกซื้อหนังสือเล่มนั้นมาอ่านเวลาว่าง  คุณติวพาซื้อของจนข้าวของเยอะแยะไปหมดต้องให้พนักงานร้านเอาหนังสือไปส่งที่รถ  จากนั้นเขาก็พาฉันไปเที่ยวต่อที่สนามหลวง  พาฉันมาดูคนเล่นว่าว  เราทั้งคู่เล่นไม่เป็นเลย  ก็เลยได้แต่นั่งมองว่าวที่อยู่บนท้องฟ้า...  ฉันก็รู้สึกแปลก ๆ อยู่เหมือนกันนะ  คนเราเพิ่งรู้จักกันวันแรกแต่กลับทำท่าเหมือนรู้จักกันมานานแสนนานทีเดียว  เขาตามใจฉันทุกอย่าง  ลักษณะของเขานี่ถอดแบบน้าตุ๊กมาเลยทีเดียว
                     วันทั้งวันนั่งดูเขาเล่นว่าวกันจนบรรยากาศเริ่มมืดแล้วคุณติวจึงพาฉันแวะไปทานอาหารก่อนที่จะพาฉันมาส่งไว้ที่บ้านพี่ชาย  ฉันจะปฏิเสธได้อย่างไรในเมื่ออาศัยเราเขามา  ก็เลยต้องกลับบ้านค่ำ  พี่ชายฉันถึงกับมายืนรอหน้าบ้านทีเดียว
                    "ไปไหนกับใครมา  ทำไมกลับเอาป่านนี้"
                    "เอ่อ...กิ...."
                    "สวัสดีครับ  คือผมเป็นลูกชายเจ้าของร้านที่น้องกิเขาไปทำงานอยู่น่ะ  คือเราไปซื้อหนังสือเข้าร้านกันเลยกลับช้าไปหน่อย  ขอโทษนะครับ  แล้วที่คุณแม่ไม่มาด้วยเพราะท่านติดธุระน่ะครับ"
                    คุณติวพูดซะยืดยาวพี่กอล์ฟจึงเข้าบ้าน  ฉันยืนส่งคุณติวจนรถแล่นไปสุดสายตา  วันนี้ฉันรู้สึกดีนะที่ได้ไปเที่ยวหลาย ๆ ที่   ฉันนอนอ่านหนังสือเล่มนั้นจนดึกแล้ก็เผลอหลับไป
                    ตั้งแต่มีคุณติวก้าวเข้ามาในชีวิต  ฉันก็รู้สึกว่าโลกใบนี้มันเป็นสีชมพูไปหมด  ฉันไม่รู้ตัวหรอกนะว่ารู้สึกเกินเลยกับคำว่าเจ้านายกับลูกจ้างไปแล้ว  ตอนเย็นทุก ๆ วันศุกร์คุณติวจะขับรถมารับฉันทุกครั้งเพราะวันศุกร์คือวันหยุดของเขา  คุณติวเป็นสจ๊วตอยู่สายการบินแอร์ไอทิสตี้  เขามีโครงการที่จะเปิดบริษัททัวร์  ก็เลยคิดโครงการกับฉันเพราะฉันก็กำลังเรียนมัคคุเทศก์อยู่ด้วย  เมื่อวางแผนกันเป็นเวลา 2 ปีเต็มบริษัทก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา  เริ่มมีการก่อสร้าง  คุณติวก็มักจะพาฉันไปดูการก่อสร้างอยู่เสมอ ๆ จนตอนนี้ฉันเรียนใกล้จะจบแล้ว
                      พอฉันเรียนจบน้าตุ๊กก็เชียรให้ฉันไปเป็นเลขาของคุณติว  คุณติวยังไม่ลาออกจากการเป็นสจ๊วตแต่คุณติวก็มักจะให้ฉันรักษาการแทนไปก่อนจนฉันเป็นงานทุกอย่างในบริษัท  สามารถรู้และเข้าใจระบบโครงสร้างของบริษัทได้เป็นอย่างดี  ฉันรู้สึกว่าฉันรักบริษัทนี้มากทีเดียว  เพราะคนในบริษัทนี้ดูแลฉันเป็นอย่างดีโดยเฉพาะมีคุณติวและน้าตุ๊กที่คอยเป็นห่วงเป็นใยฉันราวกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน...
                    "เอ่อ...คุณกิผมมีเรื่องอยากจะถามคุณ"
                   "คะ"
                   "ผมกำลังหนักใจมากเลย  ผมอยากจะลาออกมาทำงานที่บริษัทแต่ว่า  ผมก็รักการเป็นสจ๊วต  ผมรักแอร์คนนึงเธอน่ารัก  สวย  อ่อนหวาน  เธอเป็นคนสุภาพ  ดูดีไปซะทุกอย่าง  คุณว่าผมควรจะทำอย่างไรดี"
ฉันรู้สึกว่ามันเจ็บแป๊บ ๆ เข้าไปในใจของฉัน  แต่ฉันก็ตีหน้าเฉย ๆ เหมือนกับว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
                 "คุณก็ทำตามที่ใจคุณปรารถนาเถอะ...เพราะฉันคงจะไปห้ามคุณไม่ได้หรอก"
                   คุณติวจึงไม่ลาออก  ทีแรกฉันก็รู้สึกเสียใจเหมือนกันแต่ตอนหลังฉันเริ่มชินชาเสียแล้ว  เพราะฉันก็รู้ ๆ อยู่ว่าเจ้านายกับลูกน้องที่ไหนจะมารักกันได้  ฉันไม่กล้าบินสูงขนาดนั้นหรอก
                 "คุณติวคะ  คุณไม่ไปทำงานเหรอคะ  นี่มันไม่ใช่วันศุกร์นะคะ"
                 "ผมทุกข์ใจ  ผมหาทางออกไม่ได้แล้ว  แอร์ที่ผมรักเธอมีสามีแล้ว  ผมทำใจไม่ได้...เอือก"
                คุณติวดื่มเหล้าเมามายอยู่ในออฟฟิต  ฉันทนไม่ได้จึงพยุงตัวออกมาจากบริษัทแล้วก็พาไปส่งไว้ที่บ้านของน้าตุ๊ก
                "กิ...ติวทำไมเป็นแบบนี้ล่ะลูก"
                "สงสัยจะอกหักจากแอร์น่ะค่ะ"
                "โถ่...ลูก  แม่บอกแล้วว่าแม่มีคนให้ลูกเลือกอยู่แล้วลูกจะไปรักคนอื่นทำไมกัน"
                น้าตุ๊กพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อย ๆ แล้วก็หันมามองหน้าฉัน  ฉันจึงขอปลีกตัวกลับไปทำงานก่อน...  คุณติวเป็นแบบนี้มานานหลายสัปดาห์จนฉันทนไม่ไหว
               "นี่คุณ  รักอนาคตบ้างหรือเปล่า...เป็นบ้าไปแล้วหรือไงกัน  เอาแต่เมา ๆๆๆแล้วก็เมาชีวิตจะเจริญได้ยังไงกัน  ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลกซะหน่อย  ทำไมต้องทำฟูมฟายเป็นเด็ก ๆ ไปได้"
                "เธอจะมารู้อะไร  ในเมื่อเธอไม่เคยอกหัก"
                 "ทำไมฉันจะไม่เคยอกหัก  ฉันอกหักก็เพราะมีผู้ชายแบบคุณอยู่บนโลกใบนี้เนี่ยแหละ"
                  เขาถึงกับส่างเมาทีเดียว  วันรุ่งขึ้นจึงไปลาออกแล้วก็หันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำงาน  ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาจะรู้หรือเปล่า  ว่าไอ้ที่ฉันพูดไปน่ะมันคือเขา  แต่ฉันก็ยังเป็นคนเดิมที่วางมาดนิ่ง ๆ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  คุณติวเห็นฉันเหมือนน้องสาวคอยเอาใจใส่ฉันเสมอ  ไปรับไปส่งไม่เว้นแต่ละวันจนคนที่บ้านคิดว่เราเป็นแฟนกันเสียด้วยซ้ำ
                "เนี่ยคุณกิ...พนักงานต้อนรับคนใหม่ของเราน่ารักดีนะ  ผมว่าผมน่าจะจีบเธอนะ"
               "ก็ตามใจคุณเถอะ"
               ฉันรู้สึกเฉยชาต่อเรื่องนี้  เพราะเขามักจะเอาเรื่องสาว ๆ มาปรึกษากับฉันอยู่เสมอ  แต่ก็มักจะแฮ้วทุกที  ฉันต้องคอยมีหน้าที่เป็นศิลานีให้เขาปรึกษาอยู่เรื่อย ๆ จนเขาพอใจ  ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเมื่อไรเขาถึงจะหันมาดูฉันบ้าง  แต่ก็คงชาติหน้าตอนบ่าย ๆ นั่นแหละ
             "วันนี้อากาศดีเป็นพิเศษนะกิ  ช่วงหน้าหนาวแบบนี้ผมอยากจะชวนคุณไปเที่ยวเชียงใหม่จริง ๆ ไปชมพระธาตุ  ไปดูสาวเชียงใหม่  แหมมันท่าจะสนุกพิลึกนะ...ไปกันนะ"
             "แล้วมีใครไปกันบ้างล่ะ"
            "ก็มีผมกับคุณแม่  แล้วผมก็เลยชวนคุณไปด้วยเพราะเห็นเราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน"
            "จะบ้าเหรอ...พูดแบบนี้ฉันเสียหายนะ"
            "เสียหายยังไง..."
             ฉันเงียบแล้วก็ทำหน้าแดง ๆ เดินหนีไป  นั่งทำงานต่อจนเย็น
             "ไปกับผมนะ...นะนะนะ..."
             เขามาอ้อนวอนให้ฉันไปราวกับเด็ก ๆ จนฉันต้องตอบตกลง  แต่ต้องให้เขาไปขอร้องคุณแม่กับพี่กอล์ฟ  เพราะมันไม่ดีถึงจะมีแม่เขาไปด้วยก็ตามเถอะใครมองมันก็จะยังไง ๆ อยู่นะ...  เขามาขอร้องที่บ้าน  ที่บ้านตอบตกลงแล้ววันรุ่งขึ้นก็ขนข้าวของไปกัน
              อากาศที่นี่สวยจริง ๆ แหละ  เราเดินทางมากันถึง 3 วันกว่าจะมาถึงเชียงใหม่เพราะคุณติวต้องขับรถมาตลอดทาง  แวะพักที่โรงแรมตั้งแต่สุโขทัยไปเลย  ฉันมีความรู้สึกว่าเหมือนฉันเป็นลูกสาวคนหนึ่งของน้าตุ๊กทีเดียว...
               "คืนนี้พักที่นี่ก่อนละกัน"
คุณติวพาเข้าไปในรีสอร์ทแห่งหนึ่งของเชียงใหม่  จองบ้านพักหลังนึง  ฉันอยู่ห้องข้าง ๆ คุณติว  ส่วนน้าตุ๊กอยู่ห้องชั้นบน  ฉันรู้สึกแปลก ๆ เหมือนกัน  อาจจะเป็นเพราะต่างที่ต่างทาง...  ฉันนอนอย่างไม่ค่อยมีความสุข  ฉันรู้สึกเหมือนใครบางคนกำลังจ้องมองฉันอยู่  ฉันจึงค่อย ๆ ลืมตาช้า ๆ
                "อื้อ...อื้อ...อื้อ..."
                 ฉันพยายามส่งเสียงร้องแต่ใครคนนั้นเอามือมาปิดปากฉันไว้  ฉันพยายามดิ้นยังไงเขาก็ไม่ปล่อย  ฉันรู้แน่ว่านั่นเป็นผู้ชายแน่ ๆ แต่ฉันต้านแรงไม่ไหวแล้ว  ฉันจะทำยังไงดี...
                 "อย่าเอะอะโวยวายนะ  ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก  ผมเอง...ติวไง"
ฉันถึงกับแทบช็อกทีเดียวเมื่อรู้ว่าเป็นคุณติว  แต่ฉันก็ไม่ปิปากร้องเพราะเขาสั่งห้ามฉันไว้  เขาค่อย ๆ เดินไปเปิดไฟแล้วก็มานั่งคุยกับฉัน
                  "กิ...ออกไปข้างนอกกันไหม  ไปดูดาวกัน  เขาว่าดาวที่นี่สวยกว่าที่อื่นนะ"
                  "สวยกว่ายังไงคะ"
                   "ก็มันสูงและโล่งไง  ไปดูให้ได้เชียว"
                     ฉันเดินออกจากห้องไปกับคุณติว  ทีแรกฉันตกใจแทบแย่นึกว่าเขาจะมาทำอะไรซะอีก  แต่ตอนนี้โล่งใจแล้วละเพราะเขามาดี
                    "ทำไมถึงชวนฉันมาดูดาวคะ...เห็นเมื่อเย็นบ่นว่าอยากจะชวนผู้หญิงที่นั่งทานกาแฟอยู่ในร้านค็อฟฟี่ช็อฟไปดูดาวไงคะ"
                    "อย่าพูดมากเลยเดินตามมาดีกว่านะ"
                    ฉันเดินตามเขาไป  จนเขามาหยุดอยู่ที่ลานโล่ง ๆ มีเพียงต้นไม้ใหญ่ต้นเดียวที่เรายืนอยู่  ฉันเห็นดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า  หมู่หิ่งห้อยก็บินวนไปวนมาเป็นกลุ่มใหญ่  ช่างสวยงามเหลือเกิน...ฉันรู้สึกว่าถ้ามีคนที่รักฉันพาฉันมาเที่ยวและมาดื่มด่ำบรรยากาศ  ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่นี่ก็คงจะดีไม่น้อยเทียวละ  ฉันมัวแต่ยืนฝันอยู่เสียนานเทียว
                   "กิ...นั่นไงสิ่งที่ผมให้คุณมา  คุณดูนั่นสิ  สาวน้อยคนนั้น  คุณช่วยผมหน่อยสิ  ไปชวนเธอมาที่นี่แล้วก็ให้นั่งคุยกับผมหน่อย"
                    อ๋อ...ก็เพิ่งรู้เดียวนี้นี่เองว่าเรากลายเป็นแม่สื่อไปแล้ว...ไม่น่าเชื่อเลย  อุตส่าห์ฝันลม ๆ แล้ง ๆ อยู่ตั้งนาน  ที่แท้ก็เห็นประโยชน์เราตรงนี้นี่เอง...เรานี่มันบ้าไปแล้วเหรอนี่  ให้เราเดินมาทั้ง ๆ ที่ใส่ชุดนอน  เฮ้อ...  น้ำค้างก็ลงแต่ก็ต้องจำใจทนหนาวหน่อยเดินไปคุยกับผู้หญิงคนนั้นจนสามารถพาเขามาหาคุณติวจนได้  คืนนี้คุณติวเลยได้เธอไปควงแถมยังได้เธอไปนอนเคียงข้างด้วย  ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะยอมคุณติวง่าย ๆ แบบนี้...  แต่ฉันก็ได้เพื่อนใหม่นะคือเพื่อนของคุณเพียงตาคนที่ฉันไปหว่านล้อมให้ไปคุยกับคุณติว ฉันจึงสนิทกันเพราะเหตุการณ์มันพาไป
                     "คุณชื่ออะไรครับ"
                    "คุณบอกฉันก่อนสิคะ..."
                    "ผมปลิวครับ"
                     "ฉันกิค่ะ"
                     "มาเที่ยวที่นี่ครั้งแรกเหรอครับ"
                    "ค่ะ...แล้วคุณล่ะคะ"
                    "ก็หลายครั้งอยู่ครับ  ผมติดใจตั้งแต่มาเที่ยวกับแฟนคนแรกแล้วจนตอนนี้เลิกลากันไปก็ยังมาเที่ยวอยู่  ที่จริงผมมากันหลายคนแต่ยายเพียงตาน่ะสิชวนผมมาเพราะอยากจะเจอหน้าแฟนคุณไง"
                   "ไม่ใช่...เขาเป็นเจ้านายฉัน  ไม่ใช่ฟงแฟนอะไรหรอก"
ฉันถึงกับตอบเสียงหลงทีเดียว  ฉันคุยกันจนเริ่มรู้สึกว่าง่วงมาก ๆ ก็เลยเดินกลับบ้านหลังที่พักอยู่  คุณปลิวก็เลยมาส่ง  เราแลกที่อยู่กันจากนั้นพอเช้าขึ้นมาเราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย  แต่น้าตุ๊กน่ะสิเสียความรู้สึกมาก ๆ ที่คุณติวเอาคุณเพียงตาเข้ามานอนด้วย  น้าตุ๊กถึงกลับช็อกทีเดียว  เลยจะขอกลับกรุงเทพฯก่อน  แต่คุณติวไม่ยอม  น้าตุ๊กเลยไม่พูดกับคุณติวเลย...  ฉันนะสงสารคุณติวและสงสารน้าตุ๊กมาก ๆ เลย  ครอบครัวที่สงบสุขกลับแย่เพราะผู้หญิงคนเดียว  ที่จริงฉันก็โทษตัวเองอยู่เหมือนกันที่เป็นสื่อให้น้าตุ๊กต้องหมางใจกับลูกชาย  ฉันนี่มันบ้าจริง ๆ ...การเที่ยวครั้งนี้เลยกล่อยเพราะสถานการณ์ไม่ค่อยดี
                     พอกลับมาได้สามวันคุณปลิวก็ติดต่อมา  เรานัดเจอกันบ่อยครั้งจนคุณติวไม่ค่อยพอใจหาว่าฉันอู้งาน  ฉันก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาโกรธทำไมเพราะว่าฉันไม่เห็นว่าฉันจะใช้เวลางานตรงไหนเลย  แต่คุณติวกลับแสดงออกจนน่าเกลียด
                     "นายอีกแล้วเหรอ  ว่างนักไง...ถึงได้มาชวนเลขาของผมไปเรื่อยเลย"
                      "คุณ...นี่มันเลิกงานแล้วนะครับจะใช้แรงงานกันไปถึงไหนกัน"
                       "นาย...."
                         คุณติวถึงกับพูดไม่ออกเลยเมื่อถูกคุณปลิวตอกกลับซะหน้าแหกทีเดียว...
                      เดี๋ยวนี้คนที่ไปรับไปส่งฉันทุกวันก็คือคุณปลิว  เพราะคุณติวเธอไม่ค่อยว่างนัก  อีกอย่างฉันก็รบกวนเขามามากแล้วเหมือนกัน  มีเพื่อนใหม่ก็ดีนะอาศัยเขากลับบ้านทุกวันจนที่บ้านเริ่มพูดแปลก ๆ
                      "เสน่ห์แรงนะเนี่ย  เดี๋ยวก็เจ้านายมาส่ง  เดี๋ยวก็คุณปลิวลูกเจ้าของหนังสือพิมพ์มาส่ง  เอ...มันยังไง ๆ อยู่นา...สรุปชอบคนไหนนะเรา..."
พี่กอล์ฟมักจะแซวแบบนี้เป็นประจำจนฉันเริ่มรู้สึกเขิน ๆ  แต่ฉันก็แกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามเดิม
                         คุณปลิวเข้ามามีบทบาทในชีวิตฉันมากขึ้น  เป็นเวลา 1 ปีเต็มที่เรารู้จักกันมา  เขาเอาใจใส่ฉันทุกอย่าง  แต่ก็มีคนที่ทำท่าไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไร  คือคุณติว  เขาชอบทำหน้าเบ้ทุกทีที่คุณปลิวมา  ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรจงเกลียดจงชังเขาจังเลย...เฮ้อ...ฉันเห็นแล้วก็ปวดหัว
                           "ถามจริง ๆ เถอะคุณเป็นแฟนหมอนั่นเหรอ"
                            "จะบ้าเหรอคุณติว...ฉันน่ะนะ...ไม่อาจเอื้อมค่ะฉันมันคนเดินดินไม่สมควรจะบินสูงหรอก  อย่างดีถ้าจะหาแฟนก็หาที่มัรระดับเดียวกันจะดีกว่า  เขาจะได้ไม่ดูถูกเราจริงไหมคะ"
                            คุณติวถึงกับเบรครถกระทันหันทีเดียว...
                            "อุ้ย....!!!...เบรคทำไมคะ"
                             "คุณเคยชอบผมไหม"
                              "หา........................!!!!"
                             ฉันถึงกลับอึ้งทีเดียว  แต่เขาก็ย้ำกับฉันอีกครั้ง
                             "คุณเคยชอบผมไหม"
                            "ก็คุณเป็นเจ้านายฉันจะให้ฉันไม่ชอบได้ยังไงกัน"
                             "ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...ผมถามว่าคุณน่ะรักผมไหม...."
                             หัวใจฉันเต้นรัวราวกับลูกสูบทำงานเกินปกติ  ฉันรู้สึกตัวชาหน้าชาแดงกล่ำไปหมด  แล้วฉันก็ไม่ได้ตอบอะไร
                             "ถ้าคุณไม่ตอบผมถือว่าคุณ OK.นะ"
                             "เอ่อ....ฉันไม่รู้จะตอบยังไงค่ะ..."
                               "ก็พูด ๆ มาสิ"
                               "ฉันเป็นผู้หญิงนะ...แล้วจะให้ฉันมาพูดอะไรแบบนี้ได้ไงกัน"
                               เขาไม่พูดต่อแต่ก็ขับรถยาวทีเดียว  ฉันไม่รู้ว่าเขาจะพาฉันไปไหนแต่ฉันรู้ว่าเขาต้องไม่ทำอะไรฉันเพราะเขาเป็นสุภาพบุรุษ  เขาขับรถจนฉันหลับไป  พอมาโผล่อีกทีก็เส้นทางไปเชียงใหม่แล้ว
                              "นี่มันอะไรกันคะ..."
                             "ผมเห็นคุณชอบที่สวย ๆ ผมก็เลยพาคุณมาสร้างบรรยากาศหน่อย  หรือว่าคุณไม่ชอบ"
                            "แต่ฉันยังไม่ได้ขออนุ..."
                           "ผมขออนุญาติคุณแม่คุณแล้วละ...คุณไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้นะ  และผมก็เตรียมเสื้อผ้ามาให้คุณเรียนบร้อยแล้วรวมทั้งของใช้ส่วนตัว"
                          "คุณ..."
                          ฉันพูดอะไรไม่ออกเลย  เขาพาฉันมาพักที่รีสอร์ทที่เดิม  พาฉันไปพักห้องที่เดิม  แล้วก็ชวนฉันไปดูดาวเหมือนเดิม
                        "คุณนัดกับคุณเพียงตาไว้เหรอ..."
                         "เปล่า...นี่คุณผมมาแค่เรานะไม่ใช่จะมาหาเศษหาเลยกับคนอื่น"
                         "ฉันไม่เข้าใจอยู่ดีน่ะแหละ"
                         ฉันไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร  แต่พอฉันเห็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยดาวเต็มท้องฟ้า  หิ่งห้อยบินเป็นกลุ่มใหญ่ดูเพลินตาแบบนี้ก็ชวนให้ฉันหยุดคิดเรื่องทุกเรื่องแล้วก็นั่งมองดูดาวอย่างมีความสุข
                        "คุณรู้ไหมว่าผมชอบคุณตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้าคุณเลย"
                        "หือ..."
                        "พอผมเห็นหน้าคุณผมก็รู้ได้เลยว่านี่แหละสะเป็กผม"
                        "อือ..."
                          "ผมขอโทษนะที่ทำตัวเป็นเพลบอยโดยไม่คิดถึงจิตใจของคุณ...คุณแม่ท่านอยากให้เราแต่งงานกัน  แต่ว่าผมมันมัวห่วงแต่ความสำราญอย่างผู้ชายที่ไม่เอาไหน  ผมขอโทษคุณด้วยนะกิ"
                         "หาอะไรนะ..."
                         "นี่คุณไม่ได้ฟังที่ผมพูดเลยเหรอ"
                          ฉันส่ายหน้าคุณติวก็เลยโกรธเดินหนีไป  ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาพูดอะไรเพราะฉันมัวแต่นึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ ของครอบครัวฉัน  ฉันอยากให้คุณแม่มาเห็นที่นี่จังเลย...  จนไม่ได้ฟังที่คุณติวพูด  แต่พอเขาเดินไปได้พักหนึ่งเขาก็กลับมา
                         "นี่จะไม่ง้อเลยเหรอ  งอนนะ"
                        ฉันถึงกับหัวเราะเลยละเพราะไม่คิดว่าเขาจะงอนเป็น  ผู้ชายอะไรขี้งอนไปได้  ดูสิจะให้ผู้หญิงง้อ  ไม่เอาด้วยหรอก  ท่าจะบ้า  ลูกคุณหนูนี่ก็เอาใจยากจริง ๆ เลยนะ
                        "อ่ะง้อก็ได้"
                        "ไหนล่ะที่บอกว่าง้อ"
                        "ก็นี่ไง....ง้อ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ"
                        ฉันหัวเราะขึ้นมาเขาก็เลยเอามือมาขยี้หัวฉัน
                       "แต่งงานกับผมนะ"
                       ประโยคนี้ถึงกลับทำให้ฉันอึ้งมากที่สุด  เพราะฉันไม่คิดว่าเขาจะพูดคำนี้กับฉัน  และฉันก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขารักฉัน  ทั้ง ๆ ที่ปกติเขาไม่มีท่าทีที่แสดงออกมาเลยว่ารักฉัน
                       ฉันแต่งงานได้ 3 ปีก็ท้อง  แต่สุขภาพของฉันไม่แข็งแรงเลยแท้งง่าย  หมอบอกให้พักผ่อนมาก ๆ แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อฉันกำลังบ้างาน  ฉันท้องครั้งต่อมาก็แท้งอีก  สรุปแล้วฉันท้องมาถึง 5 ครั้งแล้วก็แท้ง 5 ครั้งทำให้เขาหมดกำลังใจ  
                        วันหนึ่งเขาล้มป่วยลง  เพราะข้าวปลากินไม่ตรงเวลา  ปวดท้องอยู่บ่อย ๆ พอไปตรวจก็ทราบว่าเขาเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้ายแล้ว  ฉันเป็นห่วงเขามากเลย  คอยดูแลเขามาโดยตลอด  เมื่อฉันรู้ว่าเขาจะไม่อยู่กับฉันแน่ ๆ ฉันก็ยิ่งเสียใจมากแต่ก็ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ข้างใน  ฉันรู้สึกผิดจริง ๆ เลย
"กิ...จะร้องก็ร้องออกมาเถอะ  อย่าฝืนเก็บไว้คนเดียวเลย"
                       ตอนที่คุณติวบอกฉัน  ฉันถึงกลับปล่อยโฮออกมาทีเดียว  ฉันไม่รู้ว่าชีวิตของฉันจะอยู่เพื่ออะไรในเมื่อตอนนี้คนที่ฉันรักคนหนึ่งกำลังจะจากฉันไปแล้ว...  ฉันต้องอยู่อย่างเดียวดายอ้างว้างไม่มีใคร  บ้านที่เคยอยู่เคยเห็นหน้ากันทุกวัน  ต้องมีอันต้องขาดใครคนใดคนหนึ่งไป  ฉันหมดกำลังใจที่จะทำงานต่อไปจริง ๆ
                      "ผมไม่เป็นไรหรอกกิ...ทำใจสบาย ๆ ถือว่าเรามีกรรมร่วมกันมาเท่านี้  รักษาสุขภาพนะกิอย่าหักโหมจนเกินไป  ผมรักคุณนะ  กิ...ผม"
                      คำพูดคำสุดท้ายมันทำให้ชีวิตฉันจมดิ่งอยู่กับความหลัง  ฉันจำคำพูดทุกคำของเขาได้ดี  คุณติวคุณเป็นคนที่ฉันรักมากที่สุด  แต่ฉันกลับไม่ได้ทำอะไรเพื่อคุณเลย  ฉันกอดแม่ของเขาร้องไห้จนถึงวาระสุดท้ายที่ฉันต้องเผาทั้งเขาและแม่ของเขา  ฉันรู้สึกว่าฉันอ้างว้างเดียวดายที่สุด  ชีวิตของฉันเหลือเพียงฉันคนเดียว...
                        ฉันยังคงเก็บถาพวันวานของเราไว้เสมอ...คุณติว  คุณแม่ตุ๊กฉันรักทั้งคู่มากเลยค่ะ  ลาก่อนนะคะขอให้ดวงวิญญาณไปสู่สุขติด้วยเถิด  แล้วฉันก็เอากระดูกและขี้เถ้าไปลอยอังคารที่กลางทะเล  ฉันหวังแค่เพียงฝันถึงเขาทุกวันก็พอแล้ว...

                   จบแล้วค่ะกับเรื่องสั้นทั้ง 4 ภาค  
ตั้งแต่ภาคแรก  เรื่อง  คนที่ไม่เคยสำคัญ
         ภาคสอง      "     มรสุมทางใจ
         ภาคสาม      "     พ่ายให้แก่...เธอ
และภาคสุดท้าย    "     วันวาน...
                   เป็นอย่างไรบ้างคะ  สมกับที่รอคอยหรือเปล่า...ขอบคุณนะคะที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ  ถ้าอยากให้ต่อภาค 5 โปรดเขียนมาบอกด้วยนะคะว่าจะให้แต่งเรื่องของใคร  หรือจะให้เพื่มตอนไหน...อยากให้มีตัวละครชื่ออะไรอีกช่วยบอกนะคะ  ต้องการให้แต่งแนวไหน  จะจัดให้ค่ะ  และจะไปเก็บข้อมูลมาแต่งให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ...
                    ...............ขอบคุณค่ะ.....................				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา