30 กรกฎาคม 2547 09:04 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 8 )

สุชาดา โมรา

บุกเดี่ยวมาก็หลายครั้งหลายหนคราวนี้ขอบุกเป็นทีมก็แล้วกัน...  ฉันยังมีความฝันอีกหลาย ๆ อย่างที่จะต้องทำให้สำเร็จเพื่อจะได้ชนะใจตนเองเสียที  ฉันอยากที่จะไปคว้าดวงดาวที่กำลังรอฉันอยู่บนนั้น  ถ้าหากว่าแม็ทนี้ฉันมีชัย  ฉันจะได้ก้าวเข้าไปสู่การแข่งขันระดับใหญ่ ๆ คราวนี้ละฉันจะสร้างชื่อเสียงให้ทั่วประเทศได้รับรู้ว่าฉันก็เป็นหนึ่งในตองอูเหมือนกัน  ไม่ใช่เป็นแค่เศษกระดูกอ่อนที่จะถูกพวกรุ่นใหญ่ขบเขี้ยวเคี้ยวกรามเมื่อไรก็ได้...  ฉันมั่นใจว่าฉันจะต้องทำได้
	ทุก ๆ เย็นฉันรีบไปสมาคมเพื่อซ้อมยูโดด้วยความตั้งอกตั้งใจ  แต่วันนี้เป็นวันที่ฉันตั้งใจเป็นพิเศษ  ฉันเข้ากลุ่มกับพี่ขวัญ  และพี่โบ  ฉันรู้สึกว่าเราเข้ากันได้ดี  แต่เสียอย่างเดียวคือเราต้องไปแข่งระดับรุ่นไม่จำกัดน้ำหนักเพราะน้ำหนักแต่ละคนไม่เท่ากันเลย  ฉันจึงต้องฟิตร่างกายเป็นพิเศษ  ฉันจะอดทนและตั้งใจเพื่องานนี้โดยเฉพาะ...
	"เอี้ย....!!!"
	เราหัดทำเสียงข่งขู่คู่ต่อสู้ให้ดูน่าเกรงขามมากขึ้น  นับว่าเสียงพวกเรานี่ใช้ได้ทีเดียว  ดังกระหึ่มห้องไปหมด  ทำให้เรารู้สึกว่ามีกำลังใจขึ้นเยอะ  เราแรนโดรี่กัน  หาจังหวะทุ่ม  หาข้อบกพร่องของคู่ต่อสู้  และก็หาเทคนิคใหม่ ๆ ซึ่งแต่ละคนก็จะคิดท่าไม้ตายออกมา  แต่สำหรับฉันแล้ว  ฉันมันก็แค่เด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเล่นได้ไม่ถึง 7 เดือน  ก็เลยไม่มีหัวพลิกแพลงอะไรใหม่ ๆ ออกมาใช้
	หลังจากเลิกซ้อมแล้วอาจารย์ดนัย  อาจารย์โจ  อาจารย์ยอร์ท  อาจารย์ไก่  อาจารย์เขียง  อาจารย์ปุ๋ย  และอาจารย์นิพนธ์  เรียกฉันไปพบ
	"ดาว...ครูว่าเธอยังขาดทักษะอยู่มากทีเดียว  รวมทั้งเทคนิกพิเศษด้วยอืม...ครูปรึกษากันแล้วพวกครูจะฝึกซ้อมให้เธอเป็นพิเศษเพราะเธอเป็นคนหัวเร็ว  มองแป๊บเดี๋ยวก็ทำได้"
	อาจารย์ดนัยพูดขึ้นท่ามกลางผู้คนมากมายในเบาะยูโด  อาจารย์ทั้ง 7 ท่านจึงขึ้นไปเล่น
แรนโดรี่ให้ดู  ฉันเองก็นั่งอยู่ที่ขอบเบาะสีแดง  คู่แรกเป็นอาจารย์โจกับอาจารย์ยอร์ท  พอฉันมองฉันก็เริ่มจับจุดได้  หลังจากนั้นอาจารย์ดนัยก็ให้ฉันขึ้นไปเล่นกับอาจารย์โจ  ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่านั่นเขาเรียกว่าท่าอะไรแต่ฉันก็มั่นใจว่าฉันทำได้
	ฉันเดินหาจังหวะของอาจารย์โจ  พอจะเข้าไปกระชากคอเสื้ออาจารย์ก็หลบได้เร็วทำให้ฉันต้องเร่งความเร็วมากขึ้น  ภายในระยะเวลา 2 วินาทีฉันก็สามารถจับคอเสื้อของอาจารย์ได้  แต่ว่าเสียทีโดนอาจารย์ทุ่มตลอด 5 ครั้ง  เนี่ยแหละที่เขาเรียกว่ากระดูกแขวนคอ  ระดับทีมชาติอย่างอาจารย์โจแล้วใครจะหาญไปสู้ได้  ถ้าทุ่มได้สักครั้งก็คงเป็นบุญของคน ๆ นั้นแล้วหละ....
	"อิปโป้ง....!!!!"
	ไม่น่าเชื่อเลยว่าฉันจะสามารถทุ่มอาจารย์โจได้ในท่าที่อาจารย์ยอร์ทได้ทำให้ดูเมื่อกี้นี้  โอ้...ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลย...ฉันแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย  ฉันโค้งคำนับอาจารย์โจ  แล้วก็หันไปคุกเข่าคำนับอาจารย์ยอร์ทที่นั่งอยู่ที่ขอบเบาะแดง  ทุกคนในเบาะถึงกับปรบมือกราวเลยทีเดียว
	"นี่เป็นท่าที่ครูคิดขึ้นเองเรียกว่าท่ากุซุซิ-อุคิวาซายอร์ทดัมดะตะ  แปลว่า การทำให้คู่ต่อสู้เสียการทรงตัวแล้วใช้จังหวะเผลอเข้าประชิดพร้อมกับใช้สีข้างทุ่มคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว"
	เสียงปรบมือในเบาะดังแบบไม่หยุด  ฉันมีความรู้สึกว่าอาจารย์แต่ละคนนี่เก่งสมกับเป็นทีมชาติจริง ๆ...  อาจารย์ดนัยเรียกอาจารย์ยอร์ทและอาจารย์โจขึ้นไปอีกครั้งเพื่อเล่นแรนโดรี่  คราวนี้เป็นทีของอาจารย์โจบ้าง  ฉันตั้งใจดูอย่างใจจดใจจ่ออยู่ข้างเบาะแดงด้วยความสนใจ  ฉันดูจังหวะในการทุ่มและการเข้าประชิดคู่ต่อสู้  จนกระทั่งฉันมองเห็นในจังหวะเดียวกันกับที่อาจารย์โจเห็นจุดอ่อนอาจารย์ยอร์ทจากนั้นฉันก็ตั้งใจดูลีลาจนกระทั่งอาจารย์โจทุ่มอาจารย์ยอร์ทได้
	"มาแววดาว...ขึ้นมา"
	ฉันเดินไปโค้งคำนับอาจารย์ยอร์ทแล้วก็เข้าประชิดตัวทันที  ฉันพยายามกระชากคอเสื้อของอาจารย์แต่ก็โดนหักแขนจนรู้สึกว่าเจ็บ...  ฉันเข้าไปกระชากคอเสื้ออีกครั้งแต่คราวนี้ฉันใช้มืออีกข้างป้องกันแล้วสืบเท้าปัดตาตุ่มจนอาจารย์ลอย  แต่อาจารย์มีเทคนิกสูงสามารถพลิกตัวกลับมาได้จากนั้นฉันจึงใช้ท่าที่อาจารย์โจทำให้ดูเมื่อกี้แล้วเข้าไปทุ่มอาจารย์โดยท่าต่อเนื่อง
	"อิปโป้ง....!!!"
	ฉันก็ไม่คิดไม่ฝันอีกเหมือนกันว่าฉันจะสามารถทุ่มอาจารย์โจได้ทั้ง ๆ ที่ฉันพ่ายให้อาจารย์มาโดยตลอด  นี่ถ้าไม่ได้อาจารย์ยอร์ทแนะแนวทางนะฉันคงไม่รู้หรอกว่าจุดอ่อนของอาจารย์โจอยู่ตรงไหน  ที่แท้จังหวะเผลอนี่เอง  คราวหน้าเราต้องทำให้อาจารย์เสียหลักแล้วตามไปทุ่มอย่างต่อเนื่องทันทีเพื่อไม่ให้ไหวตัวทันทั้ง ๆ นี่ก็เป็นเพียงท่าง่าย ๆที่มีการผสมผสานและการทำให้เสียการทรงตัว
	เสียงปรบมือจากพี่ ๆ เพื่อน ๆ  ที่อยู่ข้างล่างเบาะดังอย่างกึกก้องไปหมด  ทุกคนไม่มีใครยอมกลับบ้าน  แต่ทุกคนมานั่งดูและให้กำลังใจฉัน...
	ฉันคำนับอาจารย์ยอร์ทและหันไปคุกเข่าคำนับอาจารย์โจ
	"ท่านี้ครูผสมผสานระหว่างอาราอิ-โกชิกับท่าโอโกชิ-กูโรม่า  ครูเรียกมันว่าท่าฮาซูมิอาราอิ-กูโรม่า  จำไว้ให้ดี ๆ นะเพราะท่านี้จะเป็นจังหวะที่ใช้กับคู่ต่อสู้ที่แกร่งมาก ๆ และจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเขาเสียการทรงตัวเท่านั้น"
	ทุกคนปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง  อาจารย์ดนัยให้อาจารย์ไก่กับอาจารย์เขียงขึ้นไปแรนโดรี่กัน  ฉันอาศัยความจำจำท่าที่อาจารย์สอนและมาใช้กับอาจารย์จนสำเร็จ  อาจารย์คู่ต่อมาคืออาจารย์นิพนธ์และอาจารย์ปุ๋ย  ฉันก็สามารถเอาสิ่งที่อาจารย์สอนมาใช้ได้สำเร็จ  แต่สิ่งที่หนักใจก็คือการที่ต้องขึ้นไปแรนโดรี่กับอาจารย์ดนัยโดยไม่มีใครชี้แนวทางก่อน  มันทำให้ฉันรู้สึกว่ายากจริง ๆ ฉันทำยังไงก็ไม่ผ่านด่านนี้ได้เลยจนรู้สึกว่าเหนื่อยมาก  อาจารย์จึงพูดขึ้นประโยคนึง
	"เธอเป็นแค่เศษหิน  ครูเป็นภูผา"
	ประโยคนี้มันทำให้ฉันรู้ทันทีว่าการที่แกร่งกับแกร่งมาเจอกันมันก็ไม่สามารถที่จะหักล้างกันได้  ฉันจึงใช้จังหวะของอาจารย์หลาย ๆ คนมาช่วย  จากนั้นก็หาเทคนิกพิเศษของตัวเองและเอาท่าที่ใช้ความนุ่มนวลเข้าโจมตี  ฉันจึงนำท่าของไทเก๊กมาใช้ผสมผสานกันและก็คิดท่า ๆ หนึ่งออกมาใช้ท่านี้เรียกว่า  ไทเดบะ-ดุซุชิการิ  และท่านี้ก็เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฉันเอง...
	เช้าวันใหม่ที่เต็มไปด้วยความสดใส  ฉันรู้สึกว่าร่างกายกระปี้กระเป่าพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น  ฉันนั่งรถของ ร.พ.ศ 2 มาจนถึง ม.รามคำแหง หัวหมาก  ฉันรู้สึกว่าที่นี่ใหญ่โตสวยงาม  พอมาถึงฉันก็ไปส่งใบสมัครและชั่งน้ำหนักดูว่าเราน้ำหนักรวมกันเท่าไร  แต่ที่จริงพวกเราเล่นรุ่นไม่จำกัดน้ำหนักอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องชั่งก็ได้  แต่ฉันอยากจะรู้เพื่อจะได้คำนวณว่าคู่ต่อสู้จะตัวใหญ่ขนาดไหน  ฉันรู้สึกว่าเมื่อ 2 วันก่อนอาจารย์ทุกคนมาช่วยสร้างฝันและให้กำลังใจฉันจนฉันมั่นใจ  ไม่กลัวและพร้อมที่จะสู้เพื่อชิงถ้วยพระราชทานมาให้ได้  เพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลและสมาคมฯ
	เมื่อจับสลากฉันก็ได้รู้ว่ารุ่นไม่จำกัดน้ำหนักทั้งหมดมี 11 ทีม  ทีมของฉันจับได้แม็ทที่ 5 ถ้าเกิดว่าแข่งชนะก็จะเหลืออีก 3 ทีมแล้วก็จะต้องไปแข่งอีก 2 ทีมแล้วถึงจะได้ถ้วยฯ  ฉันก็ฝันไว้อย่างนั้นว่าฉันจะต้องได้มาสักเหรียญก็ยังดี  ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถ้วยไปครองก็ตาม...  ที่จริงเมื่อฉันเห็นหุ่นคู่ต่อสู้แล้วมันทำให้ใจหวิว ๆ เหมือนกัน  แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อฉันก้าวมาแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไปจะถอยหลังไม่ได้...
	ฉันมองดูหลาย ๆ ทีมแข่งกันจนเย็น  ฉันรู้สึกว่าพวกเขาไม่ธรรมดาเลย  ดู ๆ แล้วน่ากลัวชะมัด...  และแล้วก็มาถึงทีมของฉันจนได้  ฉันรู้สึกจุก ๆ เพราะเมื่อกี้เพิ่งกินสปาเก็ตตี้มา  รู้สึกว่าท้องจะอืดเสียด้วย...  เมื่อมือหนึ่งของทีมคือพี่ขวัญสายน้ำตาลปลายดำแข่ง  ทั้งคู่ดูสูสีกันมากเพราะพวกเขาสายเดียวกัน  ลีลาทั้งคู่ถึงกับทำให้หลาย ๆ คนจับจ้อง  นักข่าวก็ถ่ายภาพอย่างไม่หยุด  ฉันรู้ว่าแสงแฟตมีผลต่อประสาทตาของพี่ขวัญแต่พี่ขวัญก็ยังคงตั้งสติใช้สมาธิจนสามารถทุ่มคู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่กว่าถึง 15 กิโลได้สำเร็จ
	......เฮ........!!!!  เสียงผู้คนที่มาเชียรดังสนั่นหอประชุม ม.รามคำแหง 1 ฉันรู้สึกว่ากำลังใจเพิ่มขึ้นมาเป็นกอง  มือที่ 2 รองจากพี่ขวัญก็คือพี่โบ  พี่โบเป็นนักยูโดระดับอาเชียระดับสายน้ำตาลปลายดำเช่นกัน  ฉันเชื่อว่าพี่โบต้องทำได้...  พี่โบใช้เทคนิกชั้นสูงเข้าใส่คู่ต่อสู้ที่เป็นสายดำแล้วก็ถูกคู่ต่อสู้ทุ่มได้พลายในพลิบตาด้วยท่ากาต้า  ซึ่งท่านี้ถ้าเล่นไม่ดีถึงกับตายได้เชียวนะ  แต่โชคดีที่อาจารย์สอนการพลิกตัวและตบเบาะแน่นจึงทำให้พี่โบพลิกตัวทันและไม่ถูกอิปโป้ง  การแข่งขันนั้นดุเดือดมากขึ้น  ฝ่ายตรงข้ามคำรามเสียงดังราวกับฟ้าผ่า  ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกเกร็ง ๆ กลัว ๆ แต่ก็ยังคิดว่าจะสู้ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ความมั่นใจเริ่มลดลงแล้วเพราะคนสุดท้ายก็เป็นสายดำเช่นกัน  ฉันหวั่นใจเหลือเกิน  แต่ก็คิดถึงอาจารย์ที่สอนจนฉันมีแรงและกำลังใจที่จะสู้ต่อไป
	"อิปโป้ง......!!!!"
	เผลอแป๊บเดียวพี่โบก็ชนะแล้ว  คู่ต่อไปเป็นฉัน  ฉันออกไปยืนหลังเส้นแดง  คาดสายแดงทับสายฟ้า  จากนั้นก็คำนับและก็ก้าวข้ามสายแดงที่ขีดเส้นไป
	"ฮาจิเมะ...!!!"
	เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น  ฉันได้ยินเสียงคำรามของคู่ต่อสู้ถึงกับสะดุ้ง  แต่ก็ยังเดินต่อไปเพื่อที่จะไปจับคอเสื้อ  ด้วยความที่สายข้างหน้าเป็นสายดำ  เขาทั้งเก่งและแกร่ง  ฉันพยายามจับคอเสื้อแต่ก็ทำไม่ได้  ในตอนนั้นฉันนึกถึงอาจารย์ดนัยและอาจารย์หลาย ๆ ท่าน  ฉันจึงนำท่าที่ฉันเรียนมาใช้รวมทั้งท่าของฉันด้วย  ฉันทั้งเกี่ยว ปัด  ทุ่มจนคู่ต่อสู้เสียการทรงตัว  จากนั้นฉันจึงเข้าไปซ้ำโดยที่คู่ต่อสู้ไม่ทันจะตั้งตัวทันด้วยท่าที่ฉันคิดขึ้นเองคือท่าไทเดบะ-ดุซุชิการิ
	"อิปโป้ง......!!!!"
	เสียงปรบมือและเสียงเฮ...ดังกึกก้อง  ฉันคำนับคู่ต่อสู้แล้วก็เดินมาที่ขอบเบาะแดงจากนั้นทุกคนก็ลุกขึ้นเดินไปที่ขอบเส้นแดงและคำนับพร้อม ๆ กันเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรก  ผู้ชายคนที่ฉันทุ่มเมื่อกี้เดินมาถามฉัน
	"ท่าเมื่อกี้ไปเรียนมาจากที่ไหนเหรอ..."
	"ท่านั้นฉันคิดขึ้นมาเอง"
	เขาถึงกับตกใจมาก  เพราะไม่คิดว่าเด็กอย่างฉันจะคิดท่าขึ้นมาเองได้  เขาจึงขอแลกที่อยู่กับฉัน  และฉันก็ได้รู้ว่าเขาชื่ออ้น  อยู่มหิดลแต่มาร่วมทีมกับทีมพระจอมเกล้าฯ  เขาสัญญาว่าจะอยู่เชียรฉัน...  ที่จริงเมื่อกี้จุกมาก ๆ เพราะเพิ่งกินอิ่ม ๆ แต่เพราะความจุกเนี่ยแหละถึงทำให้ฉันรีบ ๆ แข่งเพื่อที่จะได้พักท้อง  พวกเราจับสลากกันอีกครั้ง  ฉันได้พักแค่อึดใจก็ต้องไปแข่งต่อหลังจากที่เหลือเพียง 2 ทีมสุดท้าย  ฉันรู้ว่ายังไง ๆ ฉันก็ต้องได้ถ้วยใดถ้วยหนึ่งไปครองแน่ ๆ แต่ฉันก็จะแสดงวิญญาณของนักยูโดที่ดีออกมาจนได้ละ
	พี่ขวัญมือ 1 ของทีมเริ่มแข่ง  คราวนี้คู่ต่อสู้แกร่งกว่าเดิม  ต้องใช้สมาธิและเทคนิกส่วนตัวเข้าช่วย  จนกระทั่งชนะได้อย่างไม่คาดฝันทั้ง ๆ ที่คู่ต่อสู้เป็นถึงสายดำ  ต่อมามือ 2 พี่โบแข่ง  คู่ต่อสู้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันเพราะเขาเป็นสายดำ  พี่โบดูท่าทางเอาจริงเอาจังมาก  กรรมการก็ดูท่าทางจะลุ้นจนสุดตัวทีเดียว  ฉันเหลือบไปมองคนที่จะแข่งกับฉันที่ขอบเบาะแดง  ฉันรู้สึกว่าฉันโล่งใจที่เห็นคู่ต่อสู้เป็นผู้หญิงและใช้สายระดับเดียวกับฉัน  ฉันหันกลับมาอีกครั้งก็เห็นพี่โบยังคงแข้าท่าทุ่มคู่ต่อสู้อยู่อย่างไม่ลดละ  พี่โบร้องคำรามดังลั่นจนคู่ต่อสู้สะดุ้ง  ฉันคิดว่าเขาคงหนวกหูเลยสะดุ้งนะ  แต่นั่นเป็นความคิดในตอนนั้น  พี่โบจัดการงัดมือออกมาจากที่เขานั่งขดตัวล็อกตัวเองเพื่อป้องกันการถูกล็อก  พี่โบจึงใช้ขาหนีบที่รักแร้และงัดมือออกมาหักแขนจนฝ่ายนั้นต้องตบเบาะ 3 ทีเพื่อยอมแพ้
	"วาซาริ-วาซาเตะ-อิปโป้ง....!!!!"
	เสียงปรบมือดังกันเกรียวกราว  จากนั้นฉันจึงลุกขึ้นคำนับคู่ต่อสู้และเข้าใส่ทันที  ดู ๆ แล้วคู่ต่อสู้ไม่เท่าไร  แต่เทคนิกดีเหลือเกิน  ฉันเข้าท่าทุ่มด้วยท่าไท-โอ-โทชิ  แล้วปล่อยให้เขาลุกขึ้น  ฉันรู้ตัวว่าฉันได้แค่วาซาริ  แต่ฉันก็อยากจะยื้อเวลาออกไปอีกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องออกแรงมาก  ฉันตั้งใจจะใช้แรงของคู่ต่อสู้ทำลายตัวเองและฉันก็ทำได้สำเร็จ  เมื่อคู่ต่อสู้ออกแรงมาฉันจึงมุดเข้าคว้าขาจากนั้นก็ใช้แรงคู่ต่อสู้แล้วยกขึ้นทุ่มด้วยท่ากาต้าที่เพิ่งเห็นมาเมื่อกี้นี้ได้สำเร็จ  ทำให้เป็นที่ฮือฮาเป็นอย่างมากเพราะไม่เคยมีใครเห็นคนตัวเล็ก ๆ ที่สายระดับต่ำใช้ท่าชั้นสูง  และสามารถทุ่มคนที่น้ำหนักมากกว่าถึง 8 กิโล  ทุกคนจึงปรบมือเกรียวกราว
	ฉันรู้สึกภูมิใจมากวันนี้ได้คว้าถ้วยไปครองจนได้  เฮ....ฉันกู่ก้องร้องในใจด้วยความดีใจ  เมื่อรับถ้วยเสร็จก็ค่ำพอดี  ฝนก็ตกโปรยปรายอ้นผู้ชายคนเมื่อกี้เขามาชวนฉันไปเที่ยวห้าวฝั่งตรงข้าม  ฉันจึงได้ถ่ายรูปสติกเกอร์เป็นครั้งแรก  เพราะขณะนั้นการถ่ายรูปสติกเกอร์เพิ่งเข้ามา  แต่ยังไงก็ตามเด็กลพบุรีอย่างฉันก็มีโทรศัพท์ใช้ก่อนที่ใครหลาย ๆ คนในกรุงเทพฯจะมีใช้เสียอีก  เพราะฐานะทางบ้านก็ไม่ได้เลวร้ายนัก  นอกจากจะมีมือถือแล้วยังมีเพจเจอร์อีกด้วยเพราะช่วงนั้นเขากำลังเป็นที่นิยมกัน
	ฉันมีความสุขมากที่ได้เที่ยว  เพราะนาน ๆ ที่ฉันถึงจะได้มาเที่ยวกับเพื่อนและผู้ชาย  ปกติแล้วก็ไม่เคยไปไหนกับใครนอกจากแม่  พี่นัทและพี่ดอน  เมื่อพูดถึงพี่นัทมันก็ยิ่งทำให้ฉันหวั่นไหว  ฉันรู้สึกว่าอยากเจอพี่เขาเหลือเกิน...
	กลับจากกรุงเทพฯคราวนี้  ได้บทเรียนหลายอย่างเหลือเกิน  ได้ท่าใหม่ ๆ มาเล่น  ได้เพื่อนใหม่และยังได้เที่ยวด้วย  ฉันนั่งรถมาจนง่วงและก็หลับไป  ตื่นมาอีกทีก็ถึงบ้านของพี่โบ  ฉันจึงบอกกับอาจารย์นิพนธ์ว่าฉันจะนอนบ้านพี่โบ  ทุกคนลงบ้านพี่โบกันหมด 11 คนที่ไป  พวกเราจึงนอนที่นั่นเพราะบ้านพี่โบมีห้องเยอะ  กว้างขวางเพราะเขารวย  ฉันจึงได้รู้จักพี่ชายของพี่โบซึ่งเป็นนัก
บาสชื่อพี่แบต  รวมทั้งเพื่อน ๆ ของพี่เขาด้วยเราจึงสนิทกัน...ฉันง่วงแล้วก็นอนในห้องกับพี่ทิพย์  พี่ขวัญจนลืมโทรไปบอกที่บ้านว่าฉันอยู่ซอย 8  ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน
	ตอนเช้าที่สดใส  ฉันตื่นมาอาบน้ำทำกับข้าวให้ทุกคนทาน  พ่อแม่ของพี่โบบอกว่าฉันทำกับข้าวอร่อยเสียอย่างเดียวคือหวานไปนิด  พอทุกคนทานกันเสร็จฉันก็เดินออกไปดูว่าวันนี้มีรถผ่านมาหรือเปล่า  ฉันจึงมาเก็บข้าวของเตรียมที่จะกลับบ้านพร้อมถ้วยพระราชทานที่เมื่อวานเพิ่งไปรับมาจากพระบรมฉายาลักษณ์  ฉันเดินลงบันไดบ้านอย่างมีความสุข  ส่วนพวกพี่แบตไปกันหมดแล้ว  ฉันมีความรู้สึกว่าใครกำลังมองฉันอยู่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นพ่อยืนอยู่ที่บันไดบ้าน  พ่อขึ้นไปคุยกับพ่อแม่ของพี่ขวัญแล้วก็เดินยิ้ม ๆ ลงมา  จากนั้นก็พาฉันกลับบ้าน
	วันนี้เป็นวันอาทิตย์ทุกคนจึงอยู่กันพร้อมหน้า  แม่ดุฉันตลอดเลย  ส่วนย่าไม่ยอมพูดกับฉันเอะอะก็บอกว่าจะตีฉันจึงคุกเข่าแล้วคลานเข้าไปใกล้ ๆ 
	"คุณย่าขา...ดาวขอโทษนะคะ  เมื่อคืนมันง่วงค่ะ  ฝนก็ตก  ดาวเลยนอนบ้านพี่โบ  ไม่อันตรายสักนิด  จริง ๆ นะคะไม่เชื่อถามคุณพ่อสิคะ"
	"อย่ามาทำปากหวานให้ย่าใจอ่อนเลย  เมื่อรู้ตัวว่าผิดก็มา..."
	"อย่าตีหนูเลยนะคะ  นี่ค่ะหนูมีของมาฝาก"
	ฉันคว้ากระเป๋าและเปิดออกมาเอาถ้วยพระราชทานยกขึ้นมาให้ย่าดู  ย่าถึงกับวางไม้เรียวแล้วก็ยิ้มจนร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ  ย่ากอดฉันและให้ฉันมานั่งใกล้ ๆ ย่ากอดฉันไว้แน่นทีเดียว  ส่วนแม่กับพ่อถึงกับน้ำตาไหล  ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมทุกคนถึงได้ร้องไห้  แต่ฉันรู้อย่างเดียวก็คือฉันไม่ถูกตีก็พอใจแล้วละ....
	"เก่งมากลูก  ย่าอยากให้เจ้ามีฝันแบบนี้ตลอดไป  ฝันแล้วต้องทำให้ได้..."
	คำพูดของย่ายังคงอยู่ในหัวใจของฉันตลอดมา...  ชื่อเสียงของบ้านเราเริ่มดังขึ้น  หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวหน้า 1 ทุกฉบับ  ทำให้ชาวบ้านต่างก็มาซักถามและอยากเรียนยูโดมากขึ้น  ขณะนี้ฉันมีความสุขเหลือเกิน  คราวหน้าจะมีการแข่งอะไรนะ  ฉันรู้สึกว่าเลือดและวิญญาณในตัวฉันเรียกร้องที่จะสู้เต็มทนแล้วละ

                      แววดาวจะไปได้ถึงดวงดาวหรือไม่  ชีวิตของเธอจะเป็นเช่นไร  เหมี่ยวจะยังตามราวีเธอหรือเปล่า...โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ  รับรองว่าเรื่องจะเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ทีเดียว...
                      อย่าลืมอ่านตอนต่อไปนะคะ  ขอขอบคุณที่เพื่อน ๆ ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ....				
29 กรกฎาคม 2547 00:34 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 7 )

สุชาดา โมรา

หลังจากที่เป็นข่าวอื้อฉาวในวงการกีฬา  ฉันมีความรู้สึกว่าฉันกลายเป็นจุดสนใจของคนทั่วไป  ข่าวทุกฉบับต้องพาดหัวเรื่องของฉันตลอดจนฉันไม่อยากจะเดินไปไหนอีกแล้ว  เพราะเดินไปทางไหนก็มีแต่คนถาม...ฉันรู้สึกเบื่อจริง ๆ  เวลาไปโรงเรียนเพื่อน ๆ รวมทั้งอาจารย์ก็ฮือฮากัน  มีแต่คนถามจนฉันไม่รู้จะตอบคำถามยังไงดี...
	"แววดาว...ครูถามหน่อยเถอะมันเกิดอะไรขึ้นเหรอ  เธอไปเป็นนักกีฬาระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไรทำไมไม่บอกครู"
	ฉันไม่รู้ว่าจะตอบปัญหายังไงดีเลย  อาจารย์คนนั้นก็ถามคนนี้ก็ถามจนฉันรู้สึกไม่อยากจะเรียนอีกแล้ว...ฉันไม่รู้ว่าคนพวกนี้ทำไมถึงชอบยุ่งกับฉันนักนะ  ทำไมไม่เอาเวลาเพ้อเจ้อแบบนี้ไปทำอะไรให้มีประโยชน์บ้าง  ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ 
	"แหม...ดังนักนี่ได้ออกทีวีทุกช่อง  ได้ลงหนังสือพิมพ์...นึกว่าเธอแน่นักเหรอไงหา..."
	แก๊ง 7 ห้าวนี่ช่างสอดจริง ๆ เลย  นี่คงยังไม่เข็ดที่โดนไปวันนั้นสิท่า...
	"ระวังตัวเองไว้ให้ดีเถอะ  ฉันจะเอาพวกมารุมโทรมแก...!!!"
	"เอามาเลย...ฉันไม่กลัวหรอกนังต้อม  ถ้าแน่จริงเรียกพวกมาเลยฉันจะได้ไปแจ้งความไว้ก่อน  ถ้าฉันเป็นอะไรแกคนแรกนั่นแหละที่จะโดน  รวมทั้งคนในกลุ่มแกด้วย"
	ฉันยืดอกพูดอย่างเต็มปากเต็มคำทันที  ตอนนั้นถึงแม้ว่าฉันจะหวั่นใจนิด ๆ แต่ฉันก็ต้องข่มใจพูดไปว่าไม่กลัว  อีกอย่างฉันพูดด้วยความโมโหด้วยมันจึงทำให้ฉันพลั้งปากพูดไปแบบนั้น
	ตกเย็นหลังจากเลิกเรียนฉันมีความรู้สึกว่าฉันหดหู่ยังไงชอบกล  ไม่สนุกอย่างที่คิด  วันนี้ดู ๆ แล้วเรียนอะไรก็ไม่รู้เรื่องแถมยังโดนพวกปากไม่อยู่สุขพร่ำทั้งวันจนอารมณ์แทบจะระเบิดออกมา  เนี่ยถ้ายั้งไม่อยู่นะฉันอาจจะเป็นฆาตกรเลยก็ได้...  แต่ดีนะที่แม่สอนว่าต้องมีสติยั้งคิด  รู้จักระงับอารมณ์ของตัวเอง  วันนี้ฉันเลยนั่งนับเลขในใจจนกระทั่งลืมไปว่าพวกนั้นด่าอย่างไรบ้าง  ฉันนะเบื่อพวกเดนสังคมจริง ๆ เชียว...
	ฉันเดินมาถึงหน้าประตูโรงเรียนทางฝั่งตะวันออกซึ่งไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมากนัก  ฉันก็ต้องหยุดชะงักเพราะกลุ่ม 7 ห้าวนี้
	"ไง...แกแน่นักเหรอ...นี่ฉันเอาพวกมาลงแขกแกแล้วไง"
	ฉันรู้สึกขวัญเสียมาก ๆ ที่ยายพวกนี้คิดปองร้ายฉันได้ถึงเพียงนี้  ฉันรู้สึกได้เลยว่าผู้ชายสามคนนี้ต้องเป็นพวกหื่นกาม  เพราะท่าทางมันบ่งบอกว่าต้องใช่แน่ ๆ แต่ถึงฉันจะรู้สึกกลัวแต่ฉันก็ทำเป็นไม่กลัว  ฉันเดินหลบออกไปอีกทางเพื่อที่จะไปออกประตูกลางแต่ผู้ชายคนหนึ่งก็วิ่งมาถลักหน้าเอาไว้
	"ไงน้อง...กลัวเหรอจ๊ะ  ไม่ต้องกลัว ๆ มีพี่อยู่ทั้งคนรับรองไม่เหงา...เดี๋ยวสิจะไปไหน"
	ฉันเบี่ยงตัวหนีออกมาอีกแต่คนพวกนั้นยังตามมาราวีฉันอีก  เห็นทีว่าถ้าฉันไม่สู้ก็คงไม่ได้ซะแล้ว  ฉันจึงหันกลับไปมองด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างโกรธ
	"สวย ๆ แบบนี้ตอนโกรธนี่ก็น่ารักดีนะ  ใช่ไหมพวกเรา"
	"จะทำอะไรก็ทำ ๆๆๆเถอะเดี๋ยวฉันจะไปดูต้นทางให้ว่าจะมีใครผ่านมาเส้นนี้หรือเปล่า"
	ฉันรู้สึกเกลียดคำพูดของนังต้อมเพื่อนเลวคนนี้จริง ๆ เลย  พูดตามตรงนะว่าตั้งแต่เรียนมาฉันไม่เคยถูกชะตามันเลย  ให้ตายสิ...ฉันก็ไม่เคยคิดเลยว่าคนแบบนังต้อมนี่มันจะเลวได้ถึงขนาดนี้
	"ไงน้องยืนมองอะไรอยู่  ไปหาความสุขกันดีกว่านะ  หรือว่าอาย  ไม่ต้องอายเดี๋ยวพี่ให้พวกผู้หญิงที่เหลืออีก 6 คนนี่ออกไปดูต้นทางก่อน  ก็จะเหลือแต่พี่ 3 คน  แฟไหม"
	"ไอ้เลว...!!!!"
	ฉันตอบด้วยเสียงที่โกรธจนถึงขีดสุด  ฉันแทบจะคลั่งจึงเดินหนีออกมาอีก  ฉันย่ำเท้าด้วยความเร็วแต่ชายคนนี้มันมาคว้าแขนฉันไว้  โชคดีที่วันนี้ใส่ชุดกีฬามันจึงทำให้ฉันเตะได้สูง  ฉันกระโดดกลับหลังเตะก้านคอทันที  ชายคนนั้นถึงกับมึนลงไปกองอยู่กับพื้น  และฉันก็เดินหนีออกมา  แต่ชายอีก 2 คนก็ยังคงตามฉันมา  ถ้าฉันไม่สู้เห็นทีคนพวกนี้ก็จะต้องทำร้ายฉันแน่ ๆ ฉันจึงหันกลับไปสู้อย่างคนที่เลือดร้อน
	"หันมาทำไมจ๊ะ  อยากอยู่กับพี่ใช่ไหม...!!!"
	"แกอย่ามาทำเป็นตะคอกใส่ฉันนะ...ไอ้เลว...!!!"
	เมื่อชายคนหนึ่งเข้ามาล็อกคอฉันไว้  ส่วนอีกคนหนึ่งหวังที่จะเข้ามาต่อยลิ้นปี่ฉัน  ฉันจึงเนี่ยวคอชายคนที่จับฉันและก็ถีบทันที  ทำให้ชายคนที่จะมาต่อยนั้นถึงกับหงายท้องทีเดียว  จากนั้นฉันก็ย่อตัวพร้อมกับเหนี่ยวคอชายคนที่ล็อกคอฉันไว้ด้วยท่าทุ่มโคชิ-กูโรม่าทันที  ชายคนนั้นลอยอยู่กลางอากาศประมาณ 3 วินาทีแล้วก็หล่นลงมาด้วยความเร็วทำให้หลังไปกระแทกกับเหล็กที่กั้นขอบถนน  เพราะช่วงนี้เขากำลังทำถนนกันอยู่  ทำให้ชายคนนั้นลุกไม่ขึ้น  ส่วนชายที่ถูกเตะก้านคอไปคนแรกกลับลุกขึ้นได้  เดินกลับมาตบหน้าฉันจนเกือบล้มแต่ฉันก็หันกลับไปเอาคืนด้วยการหักแขนแล้วก็ต่อยที่เบ้าตา  จากนั้นฉันก็ใช้สันมือตบที่ทัดดอกไม้โดยการกระโดดขึ้นไปตบทำให้ชายคนนั้นหูแดงกล่ำและฟุบตัวลง  ส่วนชายที่ถูกถีบนั้นลุกขึ้นมา
	"มึงแน่นักเหรอ...หา...!!!"
	พอฉันเงื้อหมัดขึ้นมาตั้งท่าว่าจะต่อยชายคนนั้นจึงหันไปคว้าคอของแนนแล้ววิ่งหายไปทันที  ส่วนชายที่เหลืออีก 2 คนก็วิ่งตามไปด้วย  ฉันจึงรีบไปที่สมาคมฯเพื่อไปขอคำปรึกษาจากพี่ดอน  ฉันทั้งกลัวและตกใจเป็นอย่างมาก  ฉันเดินไปนึกไปตลอดทางจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก
	"หา...จริงเหรอดาว"
	"จริงสิถ้าไม่จริงจะเล่าทำไม...เนี่ยดาวไม่รู้จะทำยังไงดีเลย  พี่ดอนช่วยคิดหน่อยได้ไหม  ดาวกลัว..."
	"จะกลัวอะไรเก่งขนาดนี้"
	"ต่อให้เก่งแค่ไหนสักวันก็คงจะพลาด...หรือว่าไม่จริง"
	ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่ลนลานจนใคร ๆ ที่เล่นยูโดต่างก็มานั่งฟังและลงมติว่าต้องไปแจ้งความ  ฉันจึงไปกับพวกพี่ ๆ และอาจารย์  ตำรวจซักซะหมดเปลือก  ตำรวจบอกว่าข้อหานี้มันไม่ใช่เล็ก ๆ นี่มันเป็นการขู่พยายามฆ่า  และยังเป็นการทำร้ายร่างกายอีก  ตำรวจจึงบอกว่าจะตามจับมาให้ได้  ฉันจึงบอกรูปพรรณสันฐานไป  รวมทั้งบอกรายชื่อเพื่อน 7 คนนั้นด้วย
	วันนี้ฉันจึงมีความรู้สึกที่โล่งใจมากเมื่อได้แจ้งความไปแล้ว  ฉันจึงกลับไปที่สมาคมฯอีกครั้งและเก็บข้าวของกลับบ้าน
	"พี่ไปส่งนะดาว..."
	"ไม่เป็นไรหรอกดาวกลับเองได้...ขอบคุณนะพี่ดอน"
	ตอนนี้ฉันรู้สึกคิดถึงพี่นัทมากทีเดียว  เมื่อไรนะที่พี่นัทจะกลับมา  ถึงแม้ว่าปากฉันจะบอกว่าเลิกกับเขาแต่ภายในใจลึก ๆ แล้วฉันหวั่นไหวเหลือเกิน  ฉันจะทำอย่างไรดีนะ  แววดาวเอ๊ย...ทำไมถึงไม่ลืมพี่นัทอีกนะ  เนี่ยถ้าพี่นัทอยู่เขาคงให้คำปรึกษาได้มากกว่านี้ทีเดียว  โถ่เอ๊ย...
	พี่ดอนมาส่งฉันที่บ้าน  คุณแม่ทำท่าไม่ค่อยพอใจเพราะท่านคงดูออกว่าพี่ดอนเป็นคนอย่างไร  คุณแม่บอกให้เลิกกันซะเพราะถ้าคบกันต่อไปมันจะทำให้เกียรติเราต่ำลงสักวันหนึ่ง...ฉันก็คิดว่าฉันไม่เหมาะกับพี่ดอนเหมือนกัน  แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะในเมื่อฉันคบกับพี่ดอนเพื่อให้ลืมพี่นัท  ถ้าไม่มีพี่ดอน  ชีวิตฉันคงหักเหมากไปกว่านี้  เพราะพี่ดอนคอยเป็นเพื่อนเวลาฉันท้อแท้  ถึงแม้ว่าพี่ดอนจะเป็นคนก้าวร้าวในสายตาผู้ใหญ่ก็ตามแต่ความดีของเขาก็คือการเทคแคร์เรา  เขาดูแลเราถึงแม้ว่าจะทำได้ไม่ดีเท่าพี่นัทก็ตามเถอะ...
	เช้าวันใหม่ที่อากาศสดใส  ฉันมาเข้าแถวเคารพธงชาติทันเป็นวันแรก  อาจารย์ประจำชั้นเรียกฉันไปพบพร้อมกับกลุ่ม 7 ห้าว  แต่ว่าวันนี้กลุ่ม 7 ห้าวขาดแนนไปคนหนึ่ง  ฉันก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าแนนหายไปไหนจนกระทั่งมาถึงห้องพักครู
	"มากันแล้วเหรอ  นี่ตำรวจมาขอพบพวกเธอ  และนี่ก็ผู้ปกครองของยายจุฑาทิพย์  ก็คุย ๆ กับตำรวจนะครูจะคอยเป็นคนกลาง"
	พออาจารย์ทองพูดเสร็จตำรวจก็ซักทันที  ตำรวจให้ข้อห้าเด็กทั้ง 6 คนว่าสมรู้ร่วมคิดและพยายามฆ่า  รวมทั้งทำร้ายร่างกายด้วย  นี่ก็เป็นข้อหาทางอาญาทั้งนั้น  ส่วนผู้ปกครองของแนนบอกว่าแนนหายไปตั้งแต่เมื่อวานยังไม่กลับเลยฉันจึงบอกกับผู้ปกครองของแนนไป
	"เมื่อวานตอนที่พวกนี้มาดักทำร้ายหนู  แนนก็อยู่ด้วย  แนนเป็นหนึ่งในนั้นที่ตามผู้ชาย 3 คนนั่นมา  และพอผู้ชายคนนั้นทำอะไรหนูไม่ได้เขาก็เลยคว้าคอแนนแล้ววิ่งไป"
	แม่ของแนนถึงกับเป็นลมทันที  ฉันไม่รู้ว่าฉันจะพูดตรงไปหรือเปล่า  แต่ฉันก็ได้บอกความจริงไปแล้ว  ก็สุดแล้วแต่ว่าผู้ปกครองเขาจะรับได้หรือเปล่า
	"ไม่จริงหรอก  เธอนี่คงจะแสบน่าดูเลยเพื่อน ๆ ถึงไม่ชอบขี้หน้า  เธอนี่มันเด็กกาลีบ้านกาลีเมืองจริง ๆ ลูกสาวกูไม่เป็นแบบนั้น"
	พ่อของแนนพูดแล้วก็ทำท่าเหมือนจะเข้ามาตบทำให้ตำรวจต้องเข้าไปดึงตัวไว้และแจ้งข้อหาพ่อของแนนว่าหมิ่นประมาทและประทุสร้าย...
	วันนี้พวกเราทุกคนจึงต้องขึ้นโรงพักพร้อมกับผู้ปกครอง  แม่ของฉันถึงกับปล่อยโฮทันทีเมื่อรู้ว่าฉันจะโดนทำร้ายร่างกาย  แต่ย่าของฉันกลับไม่เป็นเช่นนั้น  ย่าบอกว่าถ้าใครมันทำหลานให้ต้องเจ็บย่าจะไม่ยอม  ย่าจะเอาคืนให้สาสม...ถึงแม้ว่าย่าจะเป็นคนชอบด่าอยู่เสมอ  แต่ย่าก็รักหลานและก็ไม่ยอมยอมความง่าย ๆ ย่าบอกว่าต่อให้ตายก็ไม่ยอม  ทำยังไงก็ไม่ยอมให้ลูกหลานต้องเสียเกียรติเสียศักดิ์ศรี  และต้องถูกปองร้ายแบบนี้
	ตำรวจถามว่าจะยอมความไหม  แต่ย่าไม่ยอมย่าเรียกเงินถึงหัวละ 50,000 บาท แต่ผู้ปกครองพวกนั้นไม่ยอมจ่าย  เด็กทั้งหมด 6 คนจึงถูกขังให้ไปนอนมุ้งสายบัว  ฉันก็รู้สึกเห็นใจพวกนั้นเหมือนกันแต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อพวกนั้นทำกับฉันก่อน  ถึงจะให้อภัยแต่ถ้าเราให้อภัยพวกนี้ก็ไม่ยอมเลิกลา  ต้องให้มันรู้รสชาติของการกระทำที่ก่อเอาไว้บ้าง...แต่สักพักผู้ปกครองของสาก็มาขอประกันตัวและยอมความ  ตกลงยอมจ่ายเงินทันที  สาไม่ยอมพูดจากับเพื่อนที่อยู่ในคุกเพราะสาคงรู้สึกโกรธ  สาเป็นคนนิสัยดีที่สุดในกลุ่มนั้น  ที่จริงฉันก็รู้ว่าสาไม่อยากจะทำแบบนั้นแต่สาติดเพื่อน  นี่ก็เป็นโทษของการติดเพื่อนนะมันจึงทำให้สาต้องมารับผลกรรมโดยที่ไม่ได้อยากจะทำเลย
	"ขอโทษนะดาว...ยกโทษให้ฉันนะฉันไม่ได้ตั้งใจ"
	"อย่าไปยกโทษให้มันอีเพื่อนแบบนี้ย่ารับไม่ได้"
	คำพูดของย่าถึงกับทำให้สาร้องไห้โฮทีเดียวแล้วก็เดินไปกอดแม่ของเธอ  สาหันมามองหน้าฉันด้วยสายตาที่เหมือนอยากจะสารภาพผิดทั้งหมดแล้วก็เดินลงบันไดโรงพักไป  สายไปเสียแล้วละสา  เธอคบเพื่อนไม่ดีเองมันจึงทำให้ชีวิตต้องตกต่ำ...น่าสงสารเหมือนกันนะ
	วันนี้ฉันไม่ได้เรียนทั้งวัน  นั่งอยู่ที่โรงพักกับผู้ปกครอง  ตำรวจสอบปากคำต้อมจนรู้ว่าผู้ชาย 3 คนนั้นต้อมรู้จักเป็นอย่างดีและก็เคยมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งด้วย  ผู้ปกครองของต้อมถึงกับรับไม่ได้  การให้การของต้อมทำให้ต้อมต้องโดนข้อหาหลายคดี  เพราะต้อมเป็นหัวหน้าเด็กแม็ทหรือแม่เล้านั่นแหละ  นอกจากนั้นตำรวจยังให้ต้อมสาวไปถึงขบวนการใหญ่ที่ต้อมต้องส่งส่วยให้เสี่ยยุทธนาอีกด้วย  ต้อมหมดหนทางจึงต้องบอกกับตำรวจทั้งหมด  อนาคตต้อมจึงดับลงในตอนนั้น  ถึงแม้ว่าแม่ของต้อมจะยอมความจ่ายเงินให้ฉันแต่ว่าต้อมต้องติดคุกยาวเพราะข้อหาค้าประเวณีมันร้ายแรงนัก  แม่ของต้อมต้องมาลาออกให้ต้อมที่โรงเรียน  ส่วนอ้อมนั้นพ่อของอ้อมมาประกันตัวและยอมความในที่สุด  ที่เหลือก็ยังคงอยู่ในคุกเพราะไม่มีผู้ปกครองมายอมความ
	สาแม่พาย้ายไปอยู่ลำปาง  อ้อมพ่อบอกให้เลิกเรียนเพราะถึงเรียนก็ดีแต่จะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน  ฉันรู้สึกสงสารเพื่อนจริง ๆ แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อพวกเขาเลือกที่จะทำแบบนั้น...
	วันนี้ฉันไปซ้อมยูโดแต่วัน  พี่ ๆ หลายคนในเบาะไม่ว่าจะเป็นพี่เอก  พี่แท็ก  พี่โจ  พี่โก้  พี่โอม  พี่ป๋อง  พี่ทิพย์  พี่ขวัญ  พี่ตูน  พี่แทน  พี่จง  พี่ออฟ  พี่ตั้น  พี่ไก่  พี่อั๋น    พี่ตา  พี่ทิพย์  พี่เต้  พี่ดอนและอาจารย์ก็มานั่งฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโรงพักวันนี้  ฉันเล่าไปนั่งซึมไปจนอาจารย์ยอร์ท
พูดขึ้น
	"อย่าคิดมาเลยมันเป็นเวรกรรมของคนที่ทำมาไม่เท่ากัน  ชาติที่แล้วเราไม่ได้ทำอะไรเขาแต่เขากลับมาทำเราในชาตินี้เขาก็ควรรับกรรม  อย่าเศร้าเลยมันไม่ใช่เรื่องของเราซะหน่อย"
	ฉันรู้สึกว่าการปลอบใจของอาจารย์ไม่เป็นผลกับฉันเลย  กลับทำให้เครียดหนักกว่าเก่า  วันนี้ฉันจึงซ้อมยูโดเหมือนคนที่ไม่มีหัวใจรักที่จะเล่นเลย
	"แววดาวมานี่หน่อย"
	อาจารย์ดนัยพูดขึ้น  ฉันจึงลงจากเบาะและไปหาอาจารย์
	"ทำไมวันนี้เล่นไม่ดีเลย  อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องเรียน  เราจะต้องไปแข่งอีกไกลเข้าใจไหม  เราจะหยุดอยู่ตรงนี้ไม่ได้  เอาวิญญาณของนักกีฬาที่ดีออกมาสำแดงให้รู้ว่าเราไม่เคยแพ้ใคร  เข้าใจไหม..."
	อาจารย์ดนัยพูดด้วยเสียงที่เข้มงวดจนฉันรู้สึกกลัว  แต่แววตาของอาจารย์ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย  ที่จริงอาจารย์ดูจะเอ็นดูฉันเป็นพิเศษเพราะฉันเป็นคนหัวเร็ว  สอนอะไรก็เป็นเลยจึงทำให้อาจารย์ไม่ต้องมาบ่นฉันหรือสอนมาหลาย ๆ รอบ  แค่ฉันดูครั้งเดียวฉันก็เล่นได้ฉันจึงเป็นที่รักของอาจารย์ในเบาะยูโด...
	เย็นวันนี้พี่ดอนมาส่งฉัน  แต่ฉันให้เขามาส่งแค่หน้าปากซอยเพราะแม่ไม่ชอบพี่ดอน  พี่ดอนจึงทำหน้าเศร้า ๆ ฉันก็รู้สึกว่าพี่ดอนเสียใจแต่จะให้ฉันทำยังไงได้ล่ะในเมื่อผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วย  นับวันเราก็ยิ่งจะไม่ค่อยลงลอยกันเพราะพี่ดอนอยากไปส่งที่บ้านแต่ฉันไม่ให้ไปเพราะฉันก็มีเหตุผลของฉันเหมือนกัน
	ฉันดูข่าวโทรทัศน์พบว่าแนนตายแล้ว  ถูกรุมโทรมแล้วก็ฆ่า  ชาย 3 คนนั้นคงแค้นที่ไม่ได้ฉันในวันนั้นมันจึงเอาแนนไป  ฉันรู้สึกสงสารเพื่อนมากเลย  พ่อแม่ของแนนคงอกสั่นและเสียใจมากทีเดียวเพราะแนนเป็นลูกคนเดียวของท่านเสียด้วย  เนี่ยแหละหนาเขาถึงได้บอกว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว  ฉันถึงได้รู้ซึ้งวันนี้นี่เอง...  แต่ก็ยังดีที่ตำรวจจับชาย 3 คนนั้นได้  พวกนั้นเลยต้องเข้าไปอยู่มุ้งสายบัวด้วย...
	เย็นวันนี้ตำรวจโทรมาบอกว่าผู้ปกครองของฝ้าย  เก๋และก็ฟ้ายอมความแล้ว  ฉันก็ดีใจมาก  แต่ 3 คนนี้ไม่ได้เรียนที่นี่แล้ว  ผู้ปกครองให้ย้ายไปเรียนที่อื่น  เพราะสร้างความอับอายให้ครอบครัวจนแทบจะซุกแผ่นดินหนี  ที่จริงฉันไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นเลยจริง ๆ นะ  ฉันต้องขอโทษด้วยละกันนะ...  ต่อไปนี้ก็คงไม่มีแก๊ง 7 ห้าวในห้องเรียนอีกต่อไปแล้ว  คนในห้องก็จะเหลือแค่ผู้หญิง 9 คนนอกนั้นก็ผู้ชายอีก 15 คน  แต่ถ้าคิดกลับมุมมันก็ดีไปอย่างนะที่ในห้องจะไม่มีอันธพาลขูดรีดเพื่อนและทำร้ายเพื่อน...  แต่มันก็ยังมีเสี้ยนที่ตำหัวใจฉันมาตลอดก็คือเหมี่ยว  ฉันละสงสันจริง ๆ เลยว่าคนท้องอะไรไปเล่นยูโดได้  แล้วทำไมฉันถึงไม่สืบความจริงให้มันรู้แน่นะ...
	บทเรียนในวันนี้มันมีความหมายกับฉันเหลือเกิน  ฉันรู้สึกว่าการคบเพื่อนมันต้องดูให้แน่ชัด  การทำอะไรไปโดยไม่ไตร่ตรองแบบกลุ่ม 7 ห้าวนั้นมันถึงกับทำให้อนาคตดับวูบทีเดียว...  
	เวลาผ่านไปได้เพียงข้ามคืนฉันก็รู้ข่าวของต้อม  ต้อมถูกชายนิรนามฆ่าตายหลังจากที่ชายคนหนึ่งเข้าไปในโรงพักและเอาอาหารให้ต้อมกิน  ทำให้ตำรวจไม่มีพยานที่จะจับเสียคนหนึ่งได้ในข้อหาค้าประเวณี
	ชีวิตของคนเรานี่น่าหดหู่เหลือเกิน  ฉันรู้สึกว่าการใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต้องอาศัยการทำดี  ถ้าหากว่าเราไม่ทำดีแล้วชีวิตเราก็อาจจะเป็นอย่างคนพวกนี้ก็ได้  ฉันเชื่อว่าฉันจะต้องทำให้คนทุกคนเห็นว่าฉันเป็นคนดีคนเก่งให้ได้  ฉันจะไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจ  ฉันจะตั้งใจเรียนและตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล....!!! นัดต่อไปจะเป็นการแข่งยูโดรุ่นไม่จำกัดน้ำหนัก  ฉันจะไม่ยอมแพ้พวกอ้วน ๆ นั่นหรอก  ฉันจะเอาเหรียญทองมาฝากครอบครัวให้ได้  การแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานนี้ฉันต้องทำให้ได้....แววดาวสู้ตายค่ะ...

           อย่าพลาดตอนต่อไปนะคะ  แววดาวจะทำอย่างไร  เธอจะตัดสินใจอย่างไรกับชีวิต  ช่วยลุ้นและเป็นกำลังใจให้สาวน้อยมหัศจรรย์ของเราด้วยนะคะ  โปรดติดตามตอนต่อไป
           ขอขอบคุณที่เพื่อน ๆ ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ...				
27 กรกฎาคม 2547 18:58 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 6 )

สุชาดา โมรา

ตู๊ด....ตู๊ด....ตู๊ด....  เสียงนาฬิกาปลุกดังแต่เช้า  ฉันกดนาฬิกาแล้วนอนหลับต่อ  จนกระทั่งฉันผวาตื่นขึ้นมา
	"เฮ้ย...!!!วันนี้ต้องไปคัดสายที่กรุงเทพฯนี่หว่า  ตายแล้ว...!!!"
	ฉันรีบอาบน้ำแต่งตัวทันที  พ่อฉันมาส่งที่ บ.ข.ส. แต่ฉันมาไม่ทันเพื่อน ๆ และพี่ ๆ  ฉันจึงโทรไปหาพี่ดอน
	"ฮัลโหล  พี่ดอนเหรอคะ  อยู่ไหนคะ  หา...ค่ะ ๆ ๆ เดี๋ยวจะตามไปนะคะ  พี่นั่งรถ ป.2 เหรอเดี๋ยวดาวไป ป.1  งั้นเจอกันที่อนุเสาวรีย์ชัยนะคะ"
	"พ่อคะไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ  เดี๋ยวหนูไปเองได้สบายมาก  แค่จรัญสนิทวงศ์เอง...ไปนะคะ"
	พ่อยิ้มแล้วก็ขับรถกลับไป  ฉันนั่งรถ ป.1ไปกรุงเทพฯ คนเดียวทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเดินทางไปกรุงเทพฯ คนเดียวซะที  เด็กต่างจังหวัดที่ไม่เคยรู้เรื่องกรุงเทพฯ เลยต้องมานั่งเหงาอยู่คนเดียวบนรถ  มองไปทางไหนก็รู้สึกว่ามีแต่คนแปลกหน้า...  ฉันรู้สึกอ้างว้างเดียวดายหาที่พึ่งไม่ได้เลย  ฉันนั่งมาเรื่อย ๆ มองไปข้างทางจนรถจอกที่ป้ายหินกองเพื่อรอเวลา
	"ขอโทษนะคะ  ขอโทษนะคะ..."
	เสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่คุ้นเหลือเกินดังขึ้น  และดังอยู่เรื่อย ๆ จนใกล้เข้ามาถึงฉัน  ฉันจึงเหลือบไปมองผู้หญิงคนนั้น
	"ย่า...!!!!"
	ฉันตกใจมาก  ย่ามาได้ยังไงกันเนี่ย!!!
	"ดาว...แกมาคนเดียวได้ยังไงรู้ไหมย่าเป็นห่วง  พ่อแกก็เหมือนกันปล่อยแกมาได้ไง  เดี๋ยวก็ถูกหลอกไปขาย  เฮ้อ...!!!"
	ย่าตามฉันมาด้วยความเป็นห่วง  ย่ายืนบ่นอยู่นานจนผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ ฉันลุกขึ้นให้ย่านั่ง  ย่าก็บ่น ๆๆๆๆๆ จนฉันหูชาทีเดียว  ไม่เพียงบ่นแต่ฉันยังหันไปบ่นให้คนอื่นฟังอีก  ทำให้กระเป๋ารถถึงกับหัวเราะออกมาทีเดียว...จากที่นั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียวบนรถ  ก็เหมือนกับฟ้าสั่งให้ย่าตามฉันมาด้วยทำให้ฉันไม่เหงาและเดินทางอย่างไม่รู้สึกเคว้งคว้าง
	"พอย่ารู้ว่าพ่อแกให้แกมาคนเดียวย่าก็เลยสั่งให้ขับรถตามมา  โชคดีนะพ่อแกมันช่างสังเกตจำทะเบียนรถได้เลยขับตามมาทันพอดี  ไม่งั้นย่าต้องช็อกตายแน่ ๆ เพราะย่าก็มีหลานสาวอยู่แค่คนเดียวย่าก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา  ส่วนแม่แกน่ะเหรอไปส่งตาแกที่สุราษฎร์ยังมาไม่ถึงเลย  ถ้ารู้นะว่าแกมาคนเดียวสงสัยแกจะโดนหยิกแขนเขียวแหง ๆ ละ"
	คำพูดของย่าทำให้ฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  ฉันรู้สึกได้ว่าที่บ้านทุกคนเป็นห่วงฉันจริง ๆ ฉันรู้สึกอบอุ่น  ไม่เหงาไม่เดียวดายกลับมีความสุขมากที่ได้รู้จากปากย่าซึ่งบอกเป็นนัย ๆ ว่าท่านรักฉันมากกว่าใคร ๆ ฉันจึงโผกอดย่าด้วยความรัก...
	รถมาถึงสถานีหมอชิดใหม่  ฉันพาย่าเดินไปตามทางถนนคอนกรีตผ่านหน้าเซเว่นแล้วเดินไปหารถ  ข.ส.ม.ก. ทันที  แต่ว่ารถสาย 38 ออกไปแล้วคงอีกนานที่จะได้ขึ้น
	ติ๊ดตี่ตีติ๊....!!!! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น  ฉันรับโทรศัพท์ทันที
	"ฮัลโหล...จ่ะ ๆ ๆ ๆ มาถึงแล้ว จ่ะ ๆ ๆ ๆ..."
	"ใครโทรมาเหรอดาว"
	"พี่ดอนพี่ที่เบาะน่ะแหละค่ะ  เขาเป็นห่วงกลัวจะมาไม่ทันแข่ง"
	ฉันไม่กล้าบอกหรอกว่าพี่ดอนเป็นแฟนฉัน  เพราะที่บ้านค่อนข้างเข้มงวดเรื่องการคบผู้ชาย  ฉันจึงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อนกะว่าถ้าถึงเวลาเมื่อไรแล้วจะบอกกับทุกคน  เพราะฉันต้องการความแน่ใจว่าพี่ดอนจะไม่เป็นแบบพี่นัท...  ที่จริงใจจริงลึก ๆ แล้วฉันยังอาลัยอาวรพี่นัทอยู่  เพราะถ้าให้ฉันเทียบระหว่างพี่นัทกับพี่ดอนแล้ว  พี่ดอนไม่มีอะไรเทียบได้กับพี่นัทเลยสักนิด  แต่พี่ดอนเป็นคนที่จริงใจและมั่นคงจึงทำให้ฉันคบกับพี่ดอนได้...
	"ดาวสายแล้ว  ไปคันนี้ก็ได้ผ่านอนุเสาวรีย์เหมือนกัน"
	"แต่หนูว่าไปแท็กซี่ดีกว่าเพราะมันเร็วดี"
	ฉันพาย่าเดินมาขึ้นรถแท็กซี่
	"ไปไหนครับ"
	"ซอยจรัญสนิทวงศ์  โรงเรียนบูรณวิทย์"
	ฉันนั่งรถมาเรื่อย ๆ คนขับก็คุยกับย่ามาตลอด  ย่าก็เล่าเรื่องของฉันให้ฟัง  คนขับรถหัวเราะไม่หยุดทีเดียว  ทำให้ฉันรู้สึกแย่มาก ๆ เหมือนกลายเป็นตัวตลกในสายตาพวกคนกรุง!  ที่จริงย่าก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นหรอกแต่ท่านพูดไปตามประสาคนแก่ขี้บ่นนิด ๆ ละ
	"อ้าวทำไมไม่เลี้ยวขวาเข้าซอยจรัญล่ะ  ทำไมเลี้ยวมาทางนี้  จอด ๆ ๆ ๆเดี๋ยวนี้นะ"
	ฉันร้องตะโกนลั่นรถ  คนขับแท็กซี่จอดรถจนหน้าทิ่ม
	"ก็น้องบอกว่าไปโรงเรียนบวรวิทย์ไม่ใช่เหรอ"
	"ไม่ใช่  บอกว่าไปบูรณวิทย์...เห็นเป็นคนบ้านนอกแล้วไม่รู้เรื่องในกรุงเทพฯ หรือไง  มักง่ายที่สุด  ฉันจะลงแล้ว  จะไปขึ้นคันอื่น"
	ฉันพูดด้วยความโมโห  เลือดในตัวสูบฉีดขึ้นหน้าจนร้อนผ่าว  ดวงตาฉันจับจ้องไปที่คนขับแท็กซี่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อทีเดียว
	"ใจเย็น ๆ ลูก"
	ย่าเตือนฉัน
	"นั่งคันนี้ก็ได้  แต่ต้องปรับมิเตอร์ใหม่ก่อนเพราะฉันรู้ว่าถนนสายนี้ต้องกลับไปที่สะพานพระปิ่นเกล้าก่อนถึงจะมาได้"
	คนขับรถขอโทษขอโพยแล้วก็เก็บเงินในมิเตอร์ตอนแรกก่อนแล้วสัญญาว่าจะพาไปส่งที่โรงเรียนนั้น  และจะไม่เก็บเงินส่วนที่เหลือนี้ ...คนขับแท็กซี่พามาจอดที่ในโรงเรียน  ฉันเจอหน้าเพื่อน ๆ และพี่ ๆ ฉันถึงกับโผกอดพี่ขวัญทันที
	"นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว...กินข้าวมาหรือยัง...ไปกรอกใบสมัครก่อนไหม"
	ฉันรีบจนลืมแนะนำย่ากับพวกพี่ ๆ เพื่อน ๆ เลย...ฉันกรอกใบสมัครและชั่งน้ำหนักทันที  น้ำหนักของฉันลดไปอีก 2 กิโล  ฉันแข่งในรุ่นเล็กลงไปอีก...  ฉันเริ่มหิวก็เลยไปทานข้าวแถว ๆ นั้นซึ่งเป็นร้านประจำที่เรามาทานกันบ่อย ๆ
	"นี่...ทุกคนนี่ย่าของดาวเอง"
	ทุกคนสวัสดีย่า  แต่พี่ดอนเริ่มเข้ามาตีสนิทย่าจนฉันดูออกว่าย่ารำคาญพี่ดอนมาก ๆ  ฉันจึงต้องสะกิดเตือนอยู่บ่อย ๆ แต่พี่ดอนก็ไม่รู้ตัวหรอกยังคิดว่าฉันแอบแตะอั๋งเสียอีก...เมื่อหนักเข้าย่าก็เริ่มยิ้มแบบชักสีหน้า  ฉันรู้ทันทีว่าย่าโกรธ  ฉันจึงต้องออกปากพูดเองก่อนที่ย่าจะระเบิดออกมา
	"พี่ดอน  ว่างนักเหรอไปนั่งที่ของตัวเองแล้วทานข้าวซะ...!!!"
	พี่ดอนทำท่าเหมือนไม่พอใจมาก ๆ ทำจมูกฟุตฟิต  ตาแดงจนฉันสงสาร  แต่ฉันก็ต้องวางตัวเฉย ๆ เพราะฉันกลัวว่าย่าจะไม่พอใจไปมากกว่านี้...  ปกติแล้วย่าไม่ค				
27 กรกฎาคม 2547 18:29 น.

เยียวยา...รัก

สุชาดา โมรา

คลืด....คลืด....
	เสียงรถเข็นในโรงพยาบาลกำลังเข็นเตียงวิ่งเข้าออกในห้องฉุกเฉินอยู่หลายคัน
	"เร็ว ๆ ผู้ป่วยเกิดอาการช็อก...!!!!"
	เสียงพยาบาลตะโกนโหวกเหวกเสียงดังอยู่หลายคน  มีทั้งเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจที่ดังอยู่ตลอดเวลาของโรงพยาบาลและเสียงของผู้ป่วยที่เอะอะโวยวายดังอยู่ตลอดเวลา
	การที่เราแอบรักใครสักคน  ก็เหมือนกับการไล่ตามความฝัน   บางครั้งผมก็พบกับรอยยิ้มที่ได้จากเธอ  เมื่อเจอะเจอกันคราใดหัวใจมันก็เต้นรัวราวกับกลอง   เมื่อได้อยู่ใกล้ ๆ เวลาที่เราเขยิบเข้าไปใกล้ขยับเข้าไปอีกนิดหนึ่งเพื่อให้อยู่ใกล้ ๆ เขามันก็ยิ่งทำให้จิตใจไหวสั่น   แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนกันว่าเรานั้นบ้าไปคนเดียวเพราะดูเธอไม่ได้สนใจเราเลยสักนิด  ทำให้บางทีก็มีน้ำตาแห่งความทดท้อหลั่งไหลอยู่ภายใน  หนทางแห่งรักนี้ทำไมมันจึงเดินทางได้ไกลถึงเพียงนี้ไม่ได้เรียบง่ายสวยงามเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่เราคาดหวังเอาไว้ต่อไปนี้ผมจะต้องเดินทางใช้ชีวิตยังไงดีถึงจะได้เธอมา...
	ผมเป็นคนที่วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ในโรงพยาบาลบ่อย ๆ เพราะผมมีโรคประจำตัวจึงต้องมารักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นประจำ  และโรงพยาบาลแห่งนี้ทำให้ผมได้พบกับนางฟ้าในชุดสีขาวคนนั้นเป็นประจำ
	"สวัสดีค่ะคุณสัณหศิษฐ์วันนี้มาทำอะไรคะ"
	"ก็เหมือน ๆ เดิมแหละครับ"
	"ขอตรวจหน่อยนะคะ"
	มือของเธอมาสัมผัสที่แขนผม  นิ้วที่เรียวยาวอุ้งมือที่แสนจะนุ่มนิ่มของเธอ  แววตาที่เธอมองมันช่างละมุนละไมเหลือเกิน  ยิ่งอยู่ใกล้ ๆ เธอจิตใจผมก็หวั่นไหว  ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ เธอที่สุดเลยนะ  คุณพยาบาลนางฟ้าชุดขาวของผม
	"เสร็จแล้วค่ะเชิญห้องหมายเลข 274 เลยนะคะ"
	ก่อนผมออกมาผมก็เหลือบไปมองเธอตลอด  ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ เธอจริง ๆ ทำไมเธอถึงน่ารักขนาดนี้นะ
	ผมคอยไล่ตามความฝันของตัวเองอยู่ตลอด  ผมไม่เคยคิดว่าจะได้รักจากเธอถึงร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ผมก็แค่อยากให้เธอสนใจผมอยู่ใกล้ ๆ ผมถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยคิดอะไรกับผมเลยก็ตาม   ผมไม่ต้องการให้รักนั้นประสบความสำเร็จแต่ผมแค่อยากจะให้เธอเหลียวแลสนใจผมมากกว่านี้  แต่ยังไง ๆ ผมก็จะพยายามวิ่งไล่ตามฝันของผมที่มันเหลือเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น
	การให้อย่างหมดใจกับคนที่เรารักหรือแอบรักนั้นไม่มีใครบอกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เขาจะเป็นผู้ให้กลับมา แต่ขอเพียงอย่างน้อยที่สุด แค่เรารู้ว่าเขาได้รับไว้อย่างเต็มใจและเราเองก็เป็นสุขกับการให้เพียงแค่นั้นก็ไม่เสียดายแล้วกับหัวใจที่ให้เขาไป
	"คุณสัณหศิษฐ์คะ  ตรวจเรียบร้อยแล้วเหรอ  โชคดีนะคะ"
	เธออ่อนโยนกับทุกคนโดยเฉพาะกับผม  ผมว่าเธอเริ่มมีความรู้สึกที่ดี ๆ กับผมบ้างละเพราะแววตาของเธอมันฟ้อง  เมื่อเธอพูดจาหวาน ๆ ใส่ผมถึงกับตัวลอยทีเดียว  หัวใจผมมันตึก ๆ จนแทบจะทะลักออกมาแล้ว  ผมดีใจจริง ๆ...
	ผมทำงานอยู่ที่บริษัทความฝัน  เพราะที่นี่มีแต่ฝันที่จะให้บ่าวสาวได้สมหวังกัน  บริษัทที่ผมอยู่นั้นทำเกี่ยวกับเรื่องการจัดหาคู่และการจัดงานวิวาห์  ผมอยู่แผนกเจ้าคารมมีหน้าที่เขียนกลอนรักหวาน ๆ เอาไว้ให้บ่าวสาวในงานและมีหน้าที่เครียหัวใจให้คู่แต่งงาน  ผมมีความสุขมากที่ได้ทำงานที่นี่แต่ผมก็อยากที่จะให้คนที่อยู่เคียงข้างผมคือนางฟ้าชุดขาวคนนั้น
	"อ้าว...คุณสัณหศิษฐ์วันนี้มาทำอะไรคะ  ไม่มีคิวนัดไม่ใช่เหรอ"
	"คือผม  ผม  ผม"
	"อาการกำเริบเหรอ"
	"เปล่าครับ  ผมมาหาคุณทิพย์นั่นแหละ"
	"มาหาฉันเรื่องอะไรคะ  ไม่เห็นว่า...."
	"ผมอยากจะชวนคุณไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันครับ"
	"อืม....."
	เธอลังเลอยู่นานจนเธอหันไปมองหน้าเพื่อน ๆ ของเธอที่นั่งอยู่หลังเค้าเตอร์  เพื่อนของเธอพยักหน้าเธอจึงตอบตกลงกับผม  ผมดีใจที่สุดเลยที่เธอยินดีไปกับผม
	ทุก ๆ วันผมก็จะมารับเธอไปทานข้าวเที่ยง  เธอก็ไปกับผมทุกวัน  ผมมีความรู้สึกว่าเหมือนเธอมีใจให้กับผมแล้วละ  หรือว่าผมฝันไปเองกันแน่นะ...  รู้สึกว่าความรักกับความฝันนี้มันช่างสวยงามจริง ๆ โลกใบนี้มันแสนจะสดใส  อะไร ๆ ก็ดูดีไปซะทุกอย่าง  ผมอยากให้ทุก ๆ วันมีสองเราเท่านั้นก็พอใจที่สุดแล้ว...
	หนทางแห่งรักที่แสนจะยาวไกลผมได้เพียงฝันไปวัน ๆ ว่าจะต้องมีสักวันที่ผมจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับเธอ  ก็ไม่ต่างจากคนที่มีฝันอันเลือนลางที่ได้แต่เพ้อไปวัน ๆ หนึ่งว่าเธอจะต้องรักเราความรู้สึกของคนที่เราแอบรักแม้เราจะใกล้ชิดกับความฝัน  แต่เราก็ยังไม่มีโอกาสเก็บมันไว้ในมือของเราถึงแม้ว่าเราจะได้อยู่ใกล้ชิดกับนางฟ้าชุดขาว   แต่เราก็ยังไม่สามารถให้เขาเก็บเราไว้กับเราได้ตลอดเวลาหรือตลอดไปผมรู้ตัวดี...แต่ถึงยังไงผมก็ตั้งใจไว้ว่าความจริงใจกับความฝันที่ผมได้มอบให้กับเธอไปในวันนี้มันคงพอจะทำให้เธอมีความสุขได้ถึงแม้ว่าทดท้อแท้บ้างในบางครา แต่ก็เชื่อว่าผมจะก้าวต่อไปจะไม่ย่อท้อเพราะผมเชื่อในรักถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้อะไรตอบแทนมาก็ตาม
	วันแล้ววันเล่า  ผมมีความสุขที่สุขกับนางฟ้าชุดขาวของผมจนกระทั่งผมรู้สึกตัวว่าผมจะอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว  ผมรู้สึกเจ็บที่หัวใจ  ผมรู้สึกหัวหมุน  ร่างมันลอย ๆ ชอบกล  ผมรู้สึกว่าผมปวดมากปวดจนแทบจะทนไม่ไหว  โอ๊ย....!!!!
	ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันคือความรัก  ความฝัน  ความหวังที่ต้องการมีเธอมาเยียวยาหัวใจ  ผมขอเพียงวาระสุดท้ายที่ผมจะมอบให้แก่เธอ
	"ผมอยากเจอคุณพยาบาล"
	"คนไหนคะ"
	"คุณทิพย์"
	พยาบาลวิ่งกันขวักไขว่  เสียงพูดคุยกันซอกแซก  ผมรู้สึกสังหรณ์ใจว่าเธอจะไม่ได้อยู่ที่นี่  ผมได้ยินคนคุยกันราวกับว่าจะคุยผ่านโทรศัพท์
	"ทิพย์เหรอ  จำคนไข้รายนั้นได้ไหมคุณสัณหศิษฐ์ไง  มาด่วนเลยนะเขาต้องการกำลังใจจากเธอ  เธออยู่กับคุณหมอภัทรใช่ไหม  เลิกสวีทกันก่อน...กลับมาดูคนไข้ทีพาคุณหมอมาด้วยก็ได้"
	ผมรู้แล้วละ  สิ่งที่ผมพยายามบอกเธอแต่เธอก็ไม่เคยสนใจ...มันเป็นเพราะหัวใจของเธอไม่เคยมีผมเหลืออยู่แล้ว  เธอเป็นแฟนของคุณหมอภัทรซึ่งเป็นหมอประจำตัวของผม  ถึงตอนนี้ผมจะรู้สึกผิดหวังยังไงผมก็ยังรักเธอเสมอ
	"เป็นยังไงบ้าง"
	"ผมไม่เป็นอะไรแล้วละ  ผมสบายดี  คุณหมอ..."
	"ว่ายังไง  อาการเจ็บที่อกเป็นยังไงบ้าง"
	"ผมไม่สนใจเรื่องนั้นแล้วละ  ผมอยากจะให้คุณหมอช่วยผม  ผมอยากให้คุณหมอรักเธอนาน ๆ ได้ไหม  สิ่งที่ผมเหลืออยู่ในตอนนี้คือสิ่งที่ผมไม่อาจจะเยียวยามันต่อไปได้แล้ว"
	"นายพูดแปลก ๆ นะ..."
	"คุณทิพย์ผมอยากให้คุณสัญญาว่าคุณจะมีความสุขตลอดไปได้ไหม"
	เธอพยักหน้ารับผมก็ดีใจ
	"ผมขอให้คุณหมอและคุณทิพย์ครองรักกันตลอดไป  ผมได้เอาเงินทั้งหมดในบัญชีฝากไว้เป็นชื่อคุณทิพย์แล้วผมอยากให้คุณเซ็นรับเอกสารนี้"
	"ฉัน...."
	"อย่าปฏิเสธความรักของผมอีกเลย  ผมต้องการให้คุณด้วยหัวใจที่ไม่อาจจะเยียวยาด้วยรักต่อไปได้อีกแล้ว  นางฟ้าชุดขาวของผม..."
	สิ่งนี้แหละที่ผมจะทำให้เธอในวาระสุดท้ายได้  นางฟ้าชุดขาวของผม  ถึงแม้ว่าวันนี้ผมจะต้องหมดลมหายใจไปแต่ผมก็ยังคงตั้งมั่นไว้เสมอว่าก่อนจากไปผมต้องทำให้คุณมีความสุขที่สุด  และตลอดไป...
	ผมรู้สึกตัวลอยเบาสบาย  ชายชุดขาวเดินมาจับข้อมือผมไว้  ผมได้มีโอกาสมองหน้าเธอและคนรักของเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากลา  ลาก่อนนะประตูหัวใจ  ลาก่อนนะเส้นทางแห่งความรักความฝันและความหวังของผม  โลกต่อไปที่ผมจะไปก็คือโลกแห่งนิรันดร์  ผมขอให้คุณเชื่อในรักและมีความสุขตลอดไป				
26 กรกฎาคม 2547 17:53 น.

ใบไม้ในใจเธอ

สุชาดา โมรา

ครั้งหนึ่งในชีวิตอันงดงาม  ฉันอยู่ท่ามกลางความรักความอบอุ่นของผู้คนมากมาย  ฉันมีความสุขเหลือเกิน  ฉันได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าอ่อนละมุนและอบอุ่นของแม่และญาติพี่น้องที่ไม่เคยลืมว่าฉันเกิดมาจากไหน  อยู่เพื่ออะไรกับครอบครัวนี้
	บ้านที่ฉันอยู่ไม่ใหญ่โตสวยงาม  แต่มันก็เป็นบ้านที่อบอุ่นและยังมีความรักที่ฉันได้จากผู้ชายคนนี้อีกด้วย  ผู้ชายที่ใครต่อใครก็หวงแหน  และใครหลาย ๆ คนก็อยากอยู่ใกล้ ๆ เขา
	ฉันเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างอ่อนโยน  น่ารัก  (แหมชมตัวเองมากไปหรือเปล่าเนี่ย ) กิริยามารยาทก็อ่อนช้อยงดงาม  สีหน้านั้นเบิกบานอยู่เสมอโดยเฉพาะเวลาที่เขาอยู่ใกล้ ๆ ฉันแบบนี้
ฉันรู้สึกอิ่มเอมกับความรักมันทำให้ฉันมีความสุขสดชื่น...ไปหมด
	ฉันรู้สึกอบอุ่นเสมอเวลาที่มีเขาอยู่ใกล้ ๆ เอาใจใส่ฉัน  ฉันจึงรักและหวงแหนเขามาก  และรู้สึกว่าจะมากกว่าใคร ๆ เสียด้วย
	จิ๊บ  จิ๊บ  จิ๊บ....เช้าสดใส  ฝูงนกกาออกหาอาหารแต่เช้า  ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าที่มีแต่ความแจ่มใส  ผู้ชายในฝันของฉันตื่นแต่เช้า  เขามากวาดเศษใบไม้ใบหญ้า  ฉันแอบดูเขาทุกวันฉันรู้สึกว่าเขาขยันดีจริง ๆ ถ้าใครได้เขาไปก็คงจะมีความสุขมากทีเดียว  เขาก็รู้นะว่าฉันแอบมองเขาทุกวัน  แต่เขาก็กล้าที่จะมาพูดกับฉัน  ร้องเพลงให้ฉันฟังเป็นประจำ  ฉันมีความสุขมากทีเดียว
	"ผมคิดถึงคุณจังเลยชมพู่  เธอช่างสวยสง่าเหลือเกิน  เมื่คืนหลับสบายไหม...เธอทำงานทั้งวันเลยนี่  เธอคงเหนื่อยสินะเพราะช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้วมันก็คงใกล้เวลาของเธอแล้วสิ...  อ้อ...รักษาสุขภาพด้วยนะ  แล้วก็มีลูกเร็ว ๆ"
	เขามาพูดแบบนี้กับฉันทุกวัน  ฉันเองก็ได้แต่เขินอายไม่กล้าแม้แต่จะบอกหรือถามว่าเขาชื่ออะไร  ถ้าจะถามตัวเองว่ารักเขาไหม...ฉันรู้แต่เพียงว่าเขาห่วงใยฉัน  ฉันคงขาดเขาไม่ได้แน่ ๆ
	ผู้ชายคนนี้เป็นคนหล่อมาก  ใบหน้าขาวสวย  สวยจนผู้หญิงอายเลยทีเดียว  ไม่มีริ้วรอยใด ๆ   ริมฝีปากสวย  สูงยาว  คงประมาณ 190 ซ.ม.ได้ละมั้ง  เขาเป็นผู้ชายที่หลาย ๆ คนหมายปองเพราะเขาเป็นคนปากหวาน
	เขาชอบมายุ่งกับทรงผมของฉัน  เขาชอบตัดผมทรงต่าง ๆ ให้ฉัน  หลายรูปแบบ...ฉันเองก็รู้สึกว่ามันเทห์ดีนะ  เพราะสิ่งที่เขาทำให้ฉันก็เหมือนการที่เขาตอบรับรักจากฉันไปครึ่งหนึ่งแล้ว
	เขารู้จักชื่อของฉันดี  แต่น่าอายที่สุดที่ฉันกลับไม่รู้จักชื่อของเขาจนกระทั่งวันนี้
	"ผมคิดถึงคุณจังเลย..."
	"ศักดิ์....มาตัดแต่งกิ่งไม้ต้นนี้ให้แม่หน่อยนะลูก  รู้สึกว่ากิ่งมันจะยาวเกินไปแล้ว  มันจะดูไม่สวย  อ้อ...ทำพุ่มสวย ๆ ด้วยล่ะบางอย่างจะได้ขายได้"
	"ครับแม่...ไปก่อนนะชมพู่แล้วจะมาคุยด้วยอีก"
	ฉันรู้สึกดีใจทุกครั้งที่เขามาอยู่ใกล้ ๆ พูดหวาน ๆ กับฉันทุกวัน  เขาเป็นคนน่ารักจริง ๆ  รูปก็งามนามก็ไพเราะ  ดูเขาเป็นแมนดีจริง ๆ เลย
	เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว  ฤดูหนาวปีนี้ใบไม้ร่วงเต็มพื้น  เขาก็มากวาดเศษใบไม้เช่นเดิม
	.....................................
	ฉันรู้สึกเกิดอาการใจสั่น ๆ หา...ฉันท้องเหรอนี่  เป็นไปได้ยังไงกันที่จู่ ๆ ฉันจะท้องได้...  ฉันรู้ตัวดีว่าฉันต้องทำหน้าที่รักษาเผ่าพันธ์  ฉันจึงต้องสละชายคนนี้ไว้ข้างหลังเพราะยังไง ๆ ฉันกับเขาก็คงรักกันไม่ได้  เพื่ออนาคตที่ดีของฉัน  ฉันจึงต้องทำหน้าที่สืบสันติวงศ์  เพื่อลูก ๆ ของฉัน  หลาน ๆ ตัวน้อย ๆ ของฉันที่กำลังจะถือกำเนิดมาในไม่ช้านี้....
	ไม่นานนักฉันก็ได้ถือกำเนิดลูกหลานขึ้นมา  ฉันดีใจมากที่ลูกหลานฉันมีมากมาย  ฉันดีใจเหลือเกินที่ลูก ๆ หลาน ๆ มีความสุขอยู่กับฉันตลอดเวลา...
	ฉันดีใจนะที่เขาไม่รังเกียจฉัน  ฉันรู้สึกยินดีเหลือเกินที่ฉันได้ทำประโยชน์ให้แก่เขา  ลูก ๆ หลาน ๆ ของฉันถูกสอยลงเข่งหลายใบทำให้เป็นที่พอใจแก่เขา  ฉันคิดไว้เสมอว่าต้นชมพู่อย่างฉันก็สามารถที่จะทำประโยชน์ให้แก่เขาได้  ฉันรักศักดิ์เจ้านายของฉันเหลือเกิน  ฉันขอสัญญาว่าจะให้ผลผลิตแก่เขาให้มากที่สุด...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา