4 สิงหาคม 2547 16:23 น.

ซอง(ตอนที่2)

สุชาดา โมรา

 เป็นอย่างไรบ้างครูทศธาร สบายดีใช่ไหม 
 ครับ สบายดีครับ ขอบคุณครับที่ท่านเป็นห่วง เขาตอบ รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
 แล้วการเรียนการสอนล่ะเป็นอย่างไรบ้าง มีปัญหาอะไรบ้างไหม 
 ก็...ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีครับท่าน เด็กๆ ที่นี่ส่วนใหญ่แล้วน่ารักดี ว่านอนสอนง่ายแล้วก็หัวไว ปฏิภาณไหวพริบดี ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรนี่ครับ 
 คุณสอนวิชาอะไรบ้างนะ 
 ผมสอนจริยธรรมกับวิชาแนะแนวครับ 
 อืมม์...คุณสอนที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว 
 หกเดือนครับ 
 ที่โรงเรียนเก่าล่ะ 
 ประมาณสองปีครึ่งครับ 
 แล้วทำไมคุณถึงได้ทำเรื่องขอย้ายซะล่ะ 
 คือว่ามันมีปัญหานิดหน่อยน่ะครับ 
 คุณพอจะบอกผมได้ไหมล่ะว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร 
 เอ่อ...คือว่า มันเป็นเรื่องของความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันน่ะครับ ระหว่างตัวผมกับท่านผอ.ของโรงเรียนเก่า คือว่าท่านไม่เห็นด้วยกับวิธีการสอนของผม 
 อืมม์...เรื่องนั้นผมก็เคยได้ยินมาบ้างแล้ว...เอาล่ะ คุณทศธาร คุณพอจะรู้ไหมว่าที่ผมเรียกคุณมาพบในวันนี้เพราะเรื่องอะไร ถึงตรงนี้สีหน้าและน้ำเสียงของท่านผอ.ดูเคร่งเครียดและจริงจังมากขึ้น
 ม...ไม่ทราบจริงๆ ครับท่าน เขารู้สึกว่าตัวเล็กลีบลงไปอีกครั้ง ท่านผอ.นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ
 ผมขอพูดตรงๆ เลยแล้วกันนะ ก็เรื่องเกี่ยวกับวิธีการสอนของคุณนั่นแหละ 
 ทำไมหรือครับท่าน 
 มีหลายคนมาบอกกับผมว่าคุณสอนนักเรียนแบบแปลกๆ ไม่เหมือนกับที่ครูคนอื่นๆ เขาสอนกัน 
 แปลกยังไงหรือครับท่าน 
 คุณทศธาร...ในชั่วโมงจริยธรรมของชั้นป.6 คุณเคยเบิกโทรทัศน์กับเครื่องเล่นวิดีโอเทปไปจากห้องโสตฯ ใช่ไหม 
 ใช่ครับท่าน 
 จริงหรือเปล่าที่ว่าคุณเอามันไปเปิดหนังการ์ตูนเรื่องอุลตร้าแม นให้เด็กนักเรียนในชั้นดู 
 จริงครับท่าน 
 นั่นยังไงล่ะ 
 ทำไมหรือครับท่าน 
 ยังมีหน้ามาถามอีก ก็ไอ้ที่คุณเอาอุลตร้าแมนไปฉายให้เด็กๆ ดูในชั่วโมงจริยธรรมนั่นยังไม่แปลกพออีกหรือไง มีครูคนไหนบ้างในประเทศนี้ที่เขาทำอย่างคุณกัน ท่านผอ.เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ห้วนขึ้นเรื่อยๆ 
 อ๋อ...ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง ผมก็นึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก แปลกไหม ? ผมว่าก็คงแปลกมั้งครับ ส่วนจะมีครูคนไหนบ้างในประเทศนี้ที่ทำอย่างผม อันนี้ผมก็จนปัญญาที่จะตอบเพราะไม่รู้จริงๆ ครับท่าน...แต่ท่านผอ.ครับ ที่ผมทำไปอย่างนั้นไม่ใช่เพราะว่าผมขี้เกียจสอนหรอกนะครับ หากแต่ว่าการ์ตูนเรื่องอุลตร้าแมนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสื่อการส อนของผม เขาตอบออกไปตามจริง
 ก๊าก ก๊าก ก๊าก...ห้า ห้า ห้า...ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผมอยากจะหัวเราะเสียให้ฟันร่วง คุณไปเอามาจากไหนกันฮ้า ! คุณทศธาร ไหนคุณลองบอกผมหน่อยซิว่า มันอยู่ในหลักสูตรการสอนฉบับไหนกัน ไอ้อุลตร้าแมนเนี่ย ผมไม่เห็นจะเคยได้ยินเลย 
 ใช่ครับท่านผอ. มันไม่มีบรรจุอยู่ในหลักสูตรการสอนฉบับไหนหรอก แต่ท่านผอ.ครับ ในฐานะที่ผมเป็นครูผู้สอน ผมย่อมมีสิทธิ์ที่จะสอดแทรกเนื้อหาใดๆ ก็ตามที่เห็นว่ามีความเหมาะสมได้ รวมถึงการใช้สื่อประกอบการสอนในรูปแบบต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในเนื้อหาของรายวิชานั้น ๆ ได้ดียิ่งขึ้นไม่ใช่หรือครับ ในเมื่อวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของวิชานี้ก็คือ เพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในหลักของจริยธรรม คุณธรรม ศีลธรรม และมโนธรรม ว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร มีที่มาจากไหนและมีความจำเป็นต่อระบบสังคม ต่อการดำรงชีวิตอยู่ของพวกเขาอย่างไร... ลึกๆ แล้วเราหวังว่าระบบการศึกษาจะช่วยปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ลงในหัวใจ ของพวกเขา ให้มันค่อยๆ หยั่งรากลึกลงไปในจิตใจ เพื่อที่วันหนึ่งข้างหน้าพวกเขาจะได้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที ่มีคุณภาพ...ที่ไม่ใช่เพียงแค่เป็นคนฉลาด เรียนจบสูงๆ ได้ปริญญาหลายๆ ใบ ทำงานได้เงินเดือนเรือนหมื่นเรือนแสน มีหน้ามีตาในสังคม แต่พร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งในสิ่งที่ตนเองต้อง การโดยไม่คำนึงถึงวิธีการว่าจะถูกหรือผิด ดีหรือเลว จะชั่วช้าต่ำทรามหรือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นสักเพียงไหน... หากแต่เราหวังว่าพวกเขาจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณธรรม มีศีลธรรมในหัวใจเข้าอกเข้าใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่เอาแต่ได้เห็นแก่เพียงประโยชน์ส่วนตนแต่เพียงอย่างเดียวโดยไ ม่คำนึงถึงผู้อื่น เราหวังว่าพวกเขาจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนดีไม่ใช่หรือครับ... แต่ท่านผอ.ครับ ท่านลองมองไปรอบๆ ตัวทุกวันนี้สิครับ แล้วท่านจะเห็นว่าสังคมของเราทุกวันนี้มันเปลี่ยนแปลงไปมากมายข นาดไหน รอยยิ้มบนใบหน้าของคนไทยค่อยๆ จางหายไป พร้อมๆ กับน้ำใจที่ค่อยๆ แห้งเหือดไปในเวลาเดียวกัน เดี๋ยวนี้กลายเป็นต่างคนต่างอยู่ ต่างทำมาหากิน ต่างเหยียบหลังกันขึ้นไป สังคมมีแต่การแก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่น ผู้คนเร่งรีบกันเสียจนหลงลืมคุณค่าบางอย่างไป ทั้งที่มันเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ทำให้เราแตกต่างไปจาก สัตว์ เดี๋ยวนี้คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม กลายเป็นขั้วตรงกันข้ามกับคำว่าความอยู่รอด คนเรามักจะเอ่ยอ้างเหตุผลเพื่อความอยู่รอดมาเป็นข้ออ้างในการกร ะทำสิ่งที่ผิดต่อหลักคุณธรรม ศีลธรรม และจริยธรรม กลายเป็นว่าถ้าต้องการที่จะอยู่รอดในสังคมก็ต้องทำเป็นแกล้งหลง ลืมสิ่งเหล่านี้ไปเสีย... 
เขาหยุดพูดเพราะไม่แน่ใจว่าท่านผอ.ยังสนใจฟังอยู่หรือเปล่า
 อืมม์...พูดต่อไปสิ ผมกำลังฟังอยู่ ท่านผอ.เริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไป
 แล้วก็แน่นอนครับท่านผอ. ว่าจะต้องมีปัจจัยและตัวแปรที่เกี่ยวข้องมากมายที่ทำให้สังคมเป ลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ ทั้งวัฒนธรรมการบริโภควัตถุ กระแสของค่านิยมตะวันตกที่หลั่งไหลเข้ามา และอีกหลายๆ อย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่สามารถจะปฏิเสธได้ก็คือความล้มเหลวของระบบ ครอบครัว ระบบสังคม รวมทั้งระบบการศึกษาด้วย ที่ไม่สามารถปลูกฝังคุณค่าทางศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรมลงในจิตใจของผู้คนได้สำเร็จ...โดยปกติแล้วสำหรับคนทั่วไป เรื่องของจริยธรรมก็เป็นเรื่องที่น่าเบื่อในตัวของมันเองอยู่แล ้วในความรู้สึกของผู้คน ยิ่งมาบวกกับรูปแบบการเรียนการสอนที่น่าเบื่อ ล้าหลัง ไม่มีการพัฒนาไปตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยแล้ว นั่นยิ่งทำให้เด็กนักเรียนรู้สึกเบื่อและง่วงเหงาหาวนอนมากขึ้น ไปอีกเมื่อเข้าเรียนวิชานี้ ผมจึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรจะหันมาปฎิวัติรูปแบบการเรียนก ารสอนเสียใหม่ ให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น อะไรก็ตามที่จะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ เห็นคุณค่าของการทำความดี และอยากที่จะเป็นคนดี สิ่งที่จะช่วยกระตุ้นให้เด็กๆ ตื่นตัวที่จะแสดงความคิดเห็น สนใจที่จะวิพากษ์วิจารณ์และแลกเปลี่ยนทัศนะระหว่างกัน โดยมีครูผู้สอนคอยดูแลชี้แนะให้คำปรึกษา แทนที่จะเป็นการเขียนกระดานดำแล้วให้นักเรียนจดตามเพื่อกลับไปท ่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง หวังผลระยะสั้นเพียงแค่สอบผ่านให้ได้คะแนนดีๆ แล้วก็ลืมเลือนมันไปโดยที่ไม่เคยเข้าใจอะไรอย่างแท้จริง...ในขณะเดียวกัน ผมคิดว่าก็ถึงเวลาแล้วเช่นกันที่คนที่เป็นครูควรจะหันมาสำรวจตร วจสอบตนเองเสียใหม่ การเป็นครูที่ดีนั้นใช่เพียงการเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ จบปริญญาโท ปริญญาเอกหรือมีพรสวรรค์ในการถ่ายทอดเท่านั้น หากแต่ยังควรที่จะเป็นครูทางจิตวิญญาณด้วย คือสามารถที่จะช่วยชี้แนะ กระตุ้นให้เด็กนักเรียนได้คิด ได้ค้นคว้าหาความหมาย ได้ทำความเข้าใจกับบทบาทและสถานะของตัวพวกเขาเองที่มีต่อครอบคร ัว ต่อสังคมและผู้คนรอบข้าง ต่อประเทศชาติไปจนถึงต่อโลก รวมทั้งช่วยชี้แนะให้พวกเขาได้เข้าใจถึงคุณค่าของการดำรงอยู่ ความหมายของชีวิต วิถีทางที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข ตลอดจนกระตุ้นให้พวกเขาได้ค้นหาเส้นทางของตัวเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้หาใช่เป็นหน้าที่ของครูวิชาแนะแนวหรือครูคนใดค นหนึ่งไม่ หากแต่เป็นหน้าที่ของ  ครู ทุกๆ คนที่จะต้องช่วยกันทำต่างหาก... 
 ........ ท่านผอ.ยังคงนิ่งฟังมองจ้องตรงมายังเขา เขาจึงตัดสินใจพูดต่อ				
4 สิงหาคม 2547 16:21 น.

ซอง(ตอนที่1)

สุชาดา โมรา

สิ่งของมากมายบนโต๊ะทั้งอุปกรณ์การเรียนการสอน เครื่องเขียน กองสมุดการบ้านของนักเรียน โคมไฟ กระถางต้นไม้ขนาดเล็ก กรอบรูปที่เขาถ่ายร่วมกับครอบครัว ขวดโหลใส่ลูกอม หนังสือพิมพ์ ตลอดจนแฟ้มเอกสารต่างๆ ทั้งหมดถูกเขาจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบในความรู้สึกของตัวเองล้อมรอบขอบโต๊ะทั้งสามด้าน เว้นว่างไว้เพียงด้านที่เขาใช้นั่งทำงานอยู่ ดูเผินๆ จึงคล้ายกับกำแพงที่กันเขาออกจากโลกภายนอก คอยปกป้องเขาจากภัยอันตรายต่างๆ ที่จะมากร้ำกลาย เพื่อนครูบางคนเคยเย้าเขาว่าโต๊ะทำงานของเขาเป็นโต๊ะทำงานของคร ูที่รกที่สุดในประเทศไทย เขาได้แต่ยิ้มเล็กน้อยให้กับคำพูดนั้นซึ่งไม่มีเจตนาอะไรมากไปก ว่าหยอกกันเล่นตามประสาเพื่อนร่วมงาน 
สิ่งของมากมายที่วางสุมรุมกันอยู่ทำให้มันดูระเกะระกะและไร้ระเ บียบ แต่สำหรับเขาแล้วในความไร้ระเบียบนั้นมันมีระเบียบบางอย่างในอี กรูปแบบหนึ่งซุกซ่อนอยู่ หากเพียงแต่ใครสักคนแอบมาจัดโต๊ะทำงานเขาเสียใหม่ ดีไม่ดีเขาอาจจะหาอะไรไม่เจออีกเลยก็เป็นได้ ข้อดีอีกอย่างของการจัดโต๊ะแบบนี้ก็คือ ช่วยให้เกิดพื้นที่ว่างตรงกลางไว้สำหรับทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น แต่ในวันนี้ คุณสมบัติที่ดีข้อนั้นกลับให้ผลในทางตรงกันข้าม พื้นที่ว่างสีดำยิ่งช่วยขับให้ซองสีขาวที่วางอยู่ตรงกลางโต๊ะซอ งนั้นดูเด่นมากยิ่งขึ้นกว่าความเป็นจริงในความรู้สึกของเขา ...
อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้จะเป็นใครหน้าไหนก็เถอะ ลองมาเจอสถานการณ์แบบเดียวกันกับที่เขากำลังเผชิญอยู่นี้ เชื่อแน่ว่าทุกคนก็คงจะต้องรู้สึกใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่ต่างไปจากที่เขากำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้สักเท่าไรนัก ถ้าหากว่าใครคนนั้นยังคงเป็นเพียง  ลูกจ้าง เช่นเดียวกันกับเขา ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างชั่วคราว ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างของรัฐ ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างของเอกชน หรือจะเป็นลูกจ้างของอะไรก็ตามทีเถอะ สำหรับการเป็นลูกจ้างแล้วนั้น ย่อมไม่มีอะไรที่จะระทึกใจไปกว่ากรณีนี้...การได้รับซองขาวจากผ ู้ที่ไม่ประสงค์จะออกนามวางอยู่บนโต๊ะทำงาน ย่อมส่งผลต่อระบบการเต้นของหัวใจให้แปรปรวนไปบ้างไม่มากก็น้อย เพราะมันอาจหมายถึงการตักเตือน การคาดโทษ การตัดเงินเดือน คำสั่งโยกย้าย คำสั่งพักงาน การเชิญออก หรือหนักที่สุดอาจถึงขั้นไล่ออก 
แวบแรกที่เขามองเห็นมันวางอยู่บนโต๊ะ เขาถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ไม่คิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น ถึงแม้จะเคยมีเพื่อนครูหลายคนเคยเตือนเขามาก่อนแล้วก็เถอะว่าท่ านผอ.ไม่ค่อยจะชอบขี้หน้าเขาสักเท่าไหร่ แต่จะว่ากันตามจริงแล้ว เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกตกอกตกใจอะไรมากมายนัก เขาเคยลองคิดดูตั้งแต่ตอนที่เดินหันหลังกลับออกมาจากห้องของท่า นผอ.ในวันนั้นแล้วว่า มีความเป็นไปได้ที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้น มันจึงไม่ถึงกับนอกเหนือความคาดหมายเสียทีเดียว แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขายังคงยึดมั่นในจุดยืนทางความคิดของ ตัวเอง เขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำลงไปไม่ได้มีความผิดแต่อย่างใด หากยังส่งผลดีต่อเด็กๆ ด้วยซ้ำ  อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เขาบอกกับตัวเองอย่างนั้น เท่าที่เขาทำหลังจากมองเห็นมันนอนสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะทำงาน จึงมีเพียงแค่เดินไปที่โต๊ะวางกองสมุดการบ้านของนักเรียนลงตรงม ุมซ้าย แล้วนั่งลงเอนหลังกับพนักเก้าอี้จ้องมองมันอยู่อย่างนั้นครู่ให ญ่ ก่อนแหงนหน้ามองเพดานห้องพักครูแล้วปิดเปลือกตาลง คิดทบทวนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสามสี่วันก่อน
บ่ายวันนั้นขณะที่เขากำลังสอนนักเรียนอยู่ตามปกติเหมือนที่เคยท ำเป็นกิจวัตร จู่ๆ ครูสมศรีหัวหน้าหมวดวิชาที่เขากำลังสอนอยู่ ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าของเขาโดยตรง ก็เดินเข้ามากระซิบกับเขาเบาๆ ที่ข้างหู เธอบอกว่าท่านผอ.เรียกให้ไปพบมีธุระจะคุยด้วย ก่อนเดินจากไปเธอยังกำชับเขาว่าให้ใจเย็นๆ เขายิ่งงงเข้าไปใหญ่ว่ามีอะไรเกิดขึ้น นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันเพราะตั้งแต่เขาย้ายเข้ามาบรรจุเป็นครูท ี่โรงเรียนแห่งนี้ น้อยครั้งนักที่เขาจะเคยสนทนากับท่านผอ.เป็นการส่วนตัว ระหว่างที่เดินไปเขาพยายามคาดเดาดูว่าท่านผอ.จะเรียกเขาไปคุยด้วยเรื่องอะไร แต่ยิ่งนึกเท่าไหร่ก็ยิ่งนึกไม่ออกมันทำให้เขารู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างช่วยไม ่ได้ 
ระยะทางจากห้องที่เขากำลังสอนอยู่ไปถึงห้องทำงานของท่านผอ.ไม่น่าจะไกลเกินร้อยเมตร แต่ในวันนั้นมันช่างยาวไกลเหมือนหนึ่งกิโลในความรู้สึกของเขา เหงื่อกาฬเริ่มไหลซึมออกมาจากรูขุมขนเหมือนตาน้ำเล็กๆ ที่ผุดขึ้นมาซึมผ่านเสื้อเชิร์ตสีฟ้าอ่อนที่เขาสวมใส่อยู่จนมอง เห็นเป็นดอกดวง อากาศที่ร้อนอบอ้าวของบ่ายวันนั้นยิ่งทำให้ปลายประสาทของเขาขมว ดแข็งเป็นเกลียวแน่น เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องของท่านผอ. เขาเคาะเบาๆ สามครั้งบนบานประตู ก่อนเอื้อมมือไปบิดลูกบิดผลักบานประตูเข้าไปข้างใน สัมผัสแรกที่รู้สึกคือสายลมที่ผ่านการทำความเย็นมาแล้วเป็นอย่า งดีจากเครื่องปรับอากาศ ไอเย็นของมันที่ลอยมาปะทะใบหน้าและลำตัว น่าจะช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง แต่ตรงกันข้ามมันกลับเพิ่มความรู้สึกกดดันในอารมณ์ของเขาให้มาก ยิ่งขึ้นไปอีก ท่านผอ.นั่งรอเขาอยู่ก่อนแล้วที่โต๊ะทำงาน ท่านบอกให้เขานั่งลง เขาทำตามคำสั่ง วินาทีที่เขาหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่ ท่านผอ.นั่งอยู่ เขารู้สึกเหมือนร่างกายของตัวเองหดเล็กลงกว่าเดิมสักสามเท่า ท่านผอ.มองจ้องตรงมายังเขายิ้มให้นิดหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น				
4 สิงหาคม 2547 16:19 น.

ชิน(ตอนที่3เสนอเป็นตอนจบแล้วค่ะ)

สุชาดา โมรา

สมมติฐานแรกและสมมติฐานเดียวที่หล่อนคิดออกในตอนนี้คือ คงเป็นเพราะหล่อนได้พบเห็น ได้อ่าน ได้ฟัง ได้ดู ได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ ทั้งฆาตกรรม อาชญากรรม โศกนาฏกรรมในรูปแบบต่างๆ มาอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายปี จนเกิดเป็นความเคยชินและเห็นเป็นเรื่องธรรมดาในที่สุด จะให้ไม่ชินได้อย่างไร ก็ในเมื่อหล่อนเองเติบโตมากับข่าวปล้น - ฆ่า - ข่มขืน ที่เสนอผ่านสื่อต่างๆ ทั้งในหนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์อย่างสม่ำเสมอ...
ความเคยชิน
อุสราเผลอรำพึงคำนี้ออกมากับตัวเองเบาๆ ขณะสมองส่วนความทรงจำกำลังถูกใช้งานอย่างหนัก คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยอ่านเจอจากหนังสือบางเล่ม...หล่อนจำได้ว ่าเคยมีนักปรัชญาบางท่านกล่าวเอาไว้...  ความเคยชินเป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดต่อการพัฒนาขีดความสามารถข องปัจเจกบุคคล... หล่อนลองจินตนาการดูว่าทุกวันนี้ คนเราเคยชินกับอะไรบ้าง เคยชินกับสงคราม เคยชินกับความขัดแย้งและความรุนแรงที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก เคยชินกับการคอร์รัปชั่นของนัก
การเมือง เคยชินกับการใช้จุดดึงดูดทางเพศเป็นจุดขายผ่านสื่อต่างๆ เคยชินกับการยอมรับและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อันเดียวกันโดยไม่เคยถา มไถ่ 
แล้วตัวหล่อนเองล่ะ ชินกับอะไรบ้าง...ชินกับรถติด ชินกับระบบเส้นสาย ชินกับการถูกลวนลามทางสายตา ชินกับความเห็นแก่ตัวของตนเองและผู้คนรอบข้าง ถ้ามองจากมุมที่ว่าปัจเจกบุคคลเป็นหน่วยทางสังคมที่ย่อยที่สุด จริงหรือไม่ที่ว่าถ้าหากปัจเจกบุคคลไม่สามารถพัฒนาตนเองได้นั้น ย่อมส่งผลกระทบต่อกระบวนการพัฒนาสังคม ประเทศ และโลกด้วยในที่สุด หล่อนรู้สึกตัวว่าชักจะไปไกลเกินไปแล้วจึงหยุดคิดอยู่เพียงแค่น ั้น
แดดอ่อนๆ เริ่มทอประกายสาดแสงส่องต้องมายังใบหน้าของอุสราบ้างแล้ว หล่อนหยิบนิตยสารเล่มเดิมขึ้นมาเปิดอ่านอีกครั้ง พลิกไปยังหน้าที่มีบทความชื่อ เรื่องธรรมดาๆ กวาดสายตาไปยังย่อหน้าสุดท้าย แล้วอ่านทวนซ้ำอีกครั้ง
... ผมหวังว่าหนังสือพิมพ์คงจะไม่ลงข่าวโศกนาฏกรรมของสัตว์มากเกินไ ปนัก มิฉะนั้น วันหนึ่งผมคงเห็นความตายของสัตว์ที่ไม่มีทางสู้เป็นเรื่องธรรมด า ดังเช่นเรื่องเลวร้ายอื่นๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องสุดแสนธรรมดาในสังคมไทย ถึงตอนนั้น คงจะหาเรื่องที่ไม่ธรรมดาลำบากเสียแล้วครับ... **
อุสราพับหน้านิตยสารปิดลงตามเดิม หล่อนยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ก่อนคว้าบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบอีกครั้งด้วยความเคยชิน. 
.
*, ** = บางตอนจากบทความ เรื่องธรรมดาๆ โดย ทัศนา นาควัชระ นิตยสาร Open ฉบับที่ 27				
4 สิงหาคม 2547 16:17 น.

ชิน(ตอนที่2)

สุชาดา โมรา

ปลายแดงวาบของบุหรี่ลามเลียเข้ามาใกล้ก้นกรองขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่อุสราคีบมันขึ้นสูบเป็นครั้งสุดท้าย หล่อนสัมผัสได้ถึงไอร้อนตรงปลายนิ้ว ก่อนขยี้มันลงกับที่เขี่ย ประกายสีแดงแตกตัวออกเป็นเสี่ยงๆ สว่างวูบอยู่ชั่วครู่ก่อนดับตัวไปกลายเป็นเถ้าสีเทาดำ... วันนี้ก็เฉกเช่นเช้าวันหยุดอื่นๆ อุสรานั่งอยู่ในสวน นิ่งและคิด ว่ากันตามจริงแล้วนิตยสารที่หล่อนเพิ่งพับปิดไปเมื่อครู่ หาใช่นิตยสารเล่มล่าสุด หากแต่เป็นฉบับเก่าย้อนหลังไปสองสามเดือนที่แล้ว มันเป็นนิตยสารฉบับเดียวในชีวิตที่หล่อนเคยบอกรับเป็นสมาชิก หล่อนชอบในความหนักหน่วงของเนื้อหาสาระและความไม่เหมือนใครของม ัน เดิมทีหล่อนไม่ได้หยิบมันติดมือมาด้วยในเช้านี้ เพิ่งเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้วหยิบมันออกมาทีหลัง เรื่องมันมีอยู่ว่า
เมื่อเช้านี้ ขณะที่หล่อนกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตามปกตินั้น พลันความคิดหนึ่งวูบขึ้นมาในหัวสมอง หล่อนผละจากรายละเอียดของข่าวที่กำลังติดตามอยู่ พลิกกลับไปที่หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ อ่านทวนซ้ำอีกครั้ง หล่อนสำรวจดูพบว่าเป็นข่าวฆ่ากันตายสองข่าว ข่าวตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์หนึ่งข่าว อีกข่าวเป็นช้างที่ประสบอุบัติเหตุ ที่เหลือเป็นเรื่องของการเมือง จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นปรากฏการณ์ปกติธรรมดา ไม่ได้แปลกประหลาดพิสดารแต่อย่างใด กลยุทธ์การเลือกข่าวขึ้นพาดหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ก็เป็นกลยุทธ์ปกติธรรมดาตามแบบฉบับที่หนังสือพิมพ์เชิงปริมาณพึงยึดถือปฏิบัติต่อๆ กันมาช้านาน กล่าวคือเลือกนำเสนอข่าวที่อยู่ในความสนใจของคน ข่าวที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก หรือข่าวที่มีความสะเทือนใจกระตุ้นต่อมความอ่อนไหวของผู้คนอย่า ง เช่น ข่าวฆ่ากันตาย ตำรวจวิสามัญผู้ร้ายค้ายาบ้า ข่าวฆ่าข่มขืน ผัวยิงชู้หรือเมียฆ่าผัว หรือไม่ก็พวกพบพืชหรือสัตว์พิสดาร อย่างวัวห้าขา เต่าสองหัว หรือต้นไม้ใบ้หวย อะไรทำนองนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามวิถีปกติธรรมดาเหมือนอย่างที่ม ันเคยเป็น คงมีอยู่เพียงสิ่งเดียวที่ไม่ธรรมดาในความรู้สึกของหล่อน สิ่งนั้นก็คือความรู้สึกของตัวหล่อนเอง...
อุสราพยายามนึกทบทวนถึงความรู้สึกของตัวเองยามได้อ่านข่าวหน้าห นึ่งของหนังสือพิมพ์เมื่อเช้านี้ หล่อนจำได้ว่าอ่านข่าวทั้งหมดผ่านไปอย่างแกนๆ ไม่ได้รู้สึกสะดุดใจกับข่าวใดเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นข่าวอุ้มฆ่าเศรษฐีนี เจ้าของรีสอร์ตบนเกาะพะงันพร้อมลูกหญิงชายวัยกำลังน่ารักอีกสอง คน ข่าวข้าราชการซี 6 ถูกแก๊งค้ายาบ้าสังหารโหดคาม่านรูด หรือข่าวรถทัวร์สายเหนือประสานงาสิบล้อตายกว่า 40 ศพ ทั้งหมดนั้นหล่อนอ่านผ่านมันไปอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนก ับเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่ต่างไปจากมดปลวกตัวหนึ่งตาย จะมีที่สะกิดความรู้สึกอยู่บ้างก็คือข่าวช้างถูกรถชน คงเป็นเพราะไม่ใช่ข่าวที่พบเห็นกันบ่อยนัก หล่อนเลือกที่จะอ่านข่าวนั้นก่อนเป็นอันดับแรก แต่ในขณะที่หล่อนกำลังพลิกอ่านอยู่นั้นเอง พลันประหวัดนึกไปถึงเนื้อหาของบทความหนึ่งในนิตยสารเล่มโปรด หล่อนจำได้ว่าบทความนั้นชื่อ เรื่องธรรมดาๆ กล่าวถึงเนื้อหาของข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ แต่หล่อนไม่แน่ใจนักว่าพูดถึงประเด็นอะไร ตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในบ้าน หยิบนิตยสารเล่มดังกล่าวออกมาอ่านเพื่อทบทวนความทรงจำอีกครั้ง...
ลมหนาวกรรโชกเบาๆ พัดเอาใบลั่นทมที่แห้งเหี่ยวติดต้น ปลิดใบหมุนคว้างทิ้งตัวลงเบื้องล่างตามกระแสของแรงดึงดูดโลก มันตกอยู่ห่างจากปลายเท้าของอุสราไปเล็กน้อย หล่อนเหม่อมองอากัปกิริยานั้นอย่างเลื่อนลอย ในหัวสมองครุ่นคำนึงถึงข้อความที่อ่านเจอในหน้านิตยสารเมื่อครู ่... อดสงสัยถามตนเองไม่ได้ว่า แล้วข่าวที่ผู้คนฆ่ากันตายอยู่เป็นประจำไม่ได้กระทบจิตใจผมเท่า กับข่าวช้างถูกรถชน... หรือว่าผมเป็นคนใจบาป เห็นสัตว์เดียรัจฉานดีกว่ามนุษย์ปุถุชนกระนั้นหรือ 
มันเป็นเรื่องเล็กๆ เล็กมากเสียจนหล่อนไม่เคยใส่ใจฉุกคิดสังเกตถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมทุนนิยมการค้าเสรีปัจจุบันที่กำลังเชี ่ยวกราก ดุจกระแสธารเงินตรากำลังบ้าคลั่ง ดูดกลืนผู้คนลงสู่วังวนแห่งความโลภโมโทสัน จมดิ่งสู่กองกิเลสของตนเอง ต่างคนต่างแก่งแย่งแข่งขัน ก้มหน้าก้มตาทำงาน เก็บเงิน สั่งสมวัตถุ ทั้งที่ไม่เคยรู้ถึงจุดหมายปลายทาง เราต่างเอารัดเอาเปรียบกัน เห็นแก่ตัวจนมันซึมซับเข้าไปกลายเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง คุณค่าทางนามธรรมกลายเป็นเรื่องที่ไม่มีตัวตน โลกหมุนเร็วเสียจนเรามองไม่ทันเห็นว่าปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เรื่อ งธรรมดา การที่เราเห็นข่าว คน ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เดียวกับเรา ฆ่ากันตายอย่างเลือดเย็นแล้วรู้สึกเฉยๆ แต่กลับสะเทือนใจไปกับข่าว ช้าง ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตต่างลำดับชั้นวิวัฒนาการกว่าเราไปอีกมากถูก รถชน สิ่งนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาเป็นแน่ในความคิดของหล่อน มันไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องเล็ก มันก็เป็นเรื่องเล็กที่ไม่ควรจะเล็ก สำหรับหล่อนแล้วมันเป็นดรรชนีที่บ่งชี้ถึงอะไรบางอย่าง
อุสราลองคิดหาเหตุผลต่างๆ นานามาอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าว แน่นอน หล่อนรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คนใจบาปหยาบช้ามาจากไหน แต่ทำไมหล่อนจึงรู้สึกเฉยเมยต่อเรื่องดังกล่าว...คงเป็นเพราะ ความเคยชิน หล่อนตอบตัวเองในใจ...เป็นความเคยชินแบบที่ผู้คนซึ่งอาศัยอยู่แ ถบขั้วโลก เคยชินกับการเห็นดาวตกจนมองเป็นเรื่องปกติธรรมดาไป ในขณะที่คนที่ไม่ค่อยจะได้เห็น รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งสวยงามที่สุดในชีวิต สิ่งใดที่เราได้ประสบพบเจอบ่อยๆ ในที่สุดมันก็จะกลายเป็นความเคยชินเข้าสักวัน แล้วทำไมหล่อนจึงรู้สึกชิน ?				
4 สิงหาคม 2547 16:15 น.

ชิน(ตอนที่1)

สุชาดา โมรา

เวลาที่ผมเดินทางท่องเที่ยวไปในประเทศไทย เมื่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น เกาะสมุยหรือหัวหิน สังเกตว่ามีกลุ่มคนต่างชาติรวมตัวกันตั้งชมรมผู้รักสัตว์และคอย เป็นธุระช่วยเหลือสัตว์ โดยเฉพาะสุนัข ไม่ว่าจะเป็นการรักษาพยาบาลสัตว์ที่เจ็บป่วยหรือทำการคุมกำเนิด เพื่อลดจำนวนประชากรของสุนัขจรจัดลง ในกรุงเทพมหานครเองก็มีหน่วยงานของรัฐที่ออกตระเวนจัดการคุมกำเ นิดสุนัขเช่นกัน
ดูเหมือนว่ากระแสรักสัตว์นั้น ฝรั่งเพิ่งจะมาตื่นตัวกันเมื่อไม่นานมานี้เอง ทราบกันดีว่า เจ้าขุนมูลนายของฝรั่งสมัยก่อนนิยมการล่าสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ มีลูกสมุนลิ่วล้อทั้งคนและสุนัขล่าสัตว์ติดตามกันไป เป็นพิธีการที่ยิ่งใหญ่มโหฬาร ในปราสาทราชวังของยุโรปนั้น มักจะมีห้องที่เป็นที่แสดงให้เห็นถึงฝีมือของผู้ล่า โดยการติดหัวของสัตว์ต่างๆ ไว้เต็มผนังห้อง รวมไปถึงผืนหนังสัตว์บนพื้นด้วย พิธีการล่าสัตว์นั้นแทบจะถือเป็นวัฒนธรรมสำคัญเลยทีเดียว ปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงไป ถ้าผู้นำประเทศ (ฝรั่ง) ยังนิยมการล่าสัตว์อยู่ก็คงถูกประณามไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งได้...แต่ในทางกลับกัน ถ้าผู้นำมีบัญชาให้กองทัพไปเข่นฆ่าชาวบ้านชาวเมืองอื่นๆ ดูเหมือนผู้คนในประเทศนั้นจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดาๆ...*
ลมหนาวต้นเดือนมกราฯ หอบเอาไอเย็นมาปะทะผิวหน้าให้พอรู้สึกเย็นสบาย ขณะที่อุสราพับหน้านิตยสารปิดลงตามเดิม พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ หล่อนทอดสายตาเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย สีเขียวเข้มของแมกไม้ในสวนหลังบ้านให้ความรู้สึกผ่อนคลายได้อย่ างประหลาด เหมือนกับว่ามันได้แผ่เอารังสีแห่งความสุขุมชุ่มชื้นของธรรมชาต ิ เจือจานไปยังทุกสรรพชีวิตที่อยู่รอบข้าง คืนชีวิต คืนลมหายใจ คืนสติปัญญาหล่อนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น คลื่นความคิดนับร้อยพันที่ถาโถมราวพายุบ้าคลั่งอยู่ในหัวของหล่ อนเมื่อครู่นี้ ค่อยๆ สงบลงอย่างช้าๆ
...อเมริกา - อิรัก - ปาเลสไตน์ - ยิว - ระเบิด - สงคราม - เด็ก - ศาสนา - ผู้หญิง - การเมือง - ความโหดร้ายทารุณ - สหประชาชาติ - ผลประโยชน์ - ถูกผิดจริงลวง - จริยธรรม - มนุษยธรรม - การเข่นฆ่า - มหาอำนาจ - ข่าว - ผู้ก่อการร้าย - ความน่าเชื่อถือ - การกดขี่ - ความโลภ - เหยื่อ - ผู้บริสุทธิ์ - ความไม่เดียงสา - มนุษย์... 
ถึงตอนนี้สมาธิของหล่อนกลับมาจดจ้องอยู่ที่คำๆ เดียว ความเคยชิน
อุสรายกถ้วยกาแฟขึ้นจิบนิดหนึ่งแล้วคว้าบุหรี่รสเมนทอลที่วางอย ู่ข้างกายขึ้นจุดสูบ ในคำแรกอัดเข้าไปลึกและนาน ก่อนระบายออกมาเป็นทางยาวสีขาวขุ่น ตัดกับความมันปลาบสีเขียวเข้มของใบไม้เบื้องหน้า ติดหรือไม่ติด...หล่อนไม่รู้และไม่ได้สนใจที่จะคิดหาคำตอบ รู้แต่ว่าพอใจที่จะสูบตราบเท่าที่มันไม่ได้สร้างความรำคาญให้กั บใคร เหมือนๆ กับที่หล่อนพอใจที่จะตื่นแต่เช้าในวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างเช่นว ันนี้ แทนการนอนตื่นสายๆ สักเที่ยงหรือบ่าย ให้เต็มอิ่มและสาสมกับที่ทำงานเหนื่อยมาทั้งอาทิตย์อย่างที่ผู้ คนมากมายเขาทำกัน จะมียกเว้นอยู่บ้างก็เพียงแต่วันหลังค่ำคืนที่หล่อนออกไปพบปะสั งสรรค์กับเพื่อนเก่าบ้างในบางครั้ง ซึ่งนานๆ ทีจะมีสักหน นอกนั้นแล้วหล่อนถือเป็นวัตรปฏิบัติที่ต่อเนื่องยาวนานมาหลายปี 
ตื่นแต่เช้าราวหกโมง เข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนเดินไปกดปุ่มต้มน้ำร้อนชงกาแฟ เดินไปหน้าบ้านหยิบหนังสือพิมพ์รายวันที่บอกรับเป็นสมาชิกอยู่ส องฉบับ ซึ่งคนส่งหนังสือพิมพ์เสียบไว้ที่ประตูรั้วกลับเข้ามา ลงมือชงกาแฟ เสร็จแล้วหนีบหนังสือพิมพ์กับอย่างอื่นที่อยู่ในความสนใจอีกสอง สามเล่ม พร้อมบุหรี่ติดมือไปซองหนึ่ง มุ่งตรงไปยังสวนหลังบ้าน ขังตัวเองอยู่ที่นั่นอย่างน้อยครั้งละหนึ่งชั่วโมงขึ้นไป 
สวนหลังบ้านขนาดไม่เกินสามสิบตารางเมตร ประกอบด้วยพืชทั้งไม้ยืนต้นและล้มลุก ทั้งไม้ดอกและไม้ใบ คละเคล้ากันไปหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งหมดถูกจัดวางซ้อนทับกันไปมา ระโยงระยางจนดูรกครึ้ม เหมือนจะไร้ระเบียบหากแต่เป็นความตั้งใจ ทั้งเฟิร์นข้าหลวงกอใหญ่ เฮลิโคเนีย เบิร์ดออฟพาราไดซ์ แว่นแก้ว โมก ดอกแก้ว จำปี จำปา กระดังงา ลั่นทม ไปจนถึงไม้เล็กๆ อย่างเดปกระดุมหรือหางกระรอกแคระ บริเวณสวนถูกประดับประดาไปด้วยวัตถุโบราณ ทั้งที่เก่าจริงและที่ทำให้ดูเหมือนเก่าตามแต่ที่หล่อนจะจัดหาม าได้ เมื่อทั้งหมดมาอยู่รวมกันในพื้นที่ที่จำกัด มันจึงดูคล้ายผืนป่าน้อยๆ สำหรับหล่อนแล้วมันเปรียบเสมือนโลกส่วนตัวใบย่อม มันคือความลงตัวระหว่าง Time และ Space ที่พอเหมาะพอเจาะ
เช้าวันเสาร์ ทุกคนในบ้านยังคงหลับใหลซุกกายอยู่ใต้ผ้านวมผืนอุ่น ต่างคร้านที่จะลุกจากเตียงนอน บางคนอาจกำลังฝันดี คงมีก็แต่เพียงหล่อนเท่านั้นที่ตื่นแต่เช้า นั่งอยู่คนเดียวในความเงียบ มองดูดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยตัวโผล่พ้นจากขอบฟ้าทิศตะวันออก ฟังสรรพสำเนียงของธรรมชาติรอบตัว เสียงนกร้อง เสียงลมอ่อนๆ โชยมาปะทะใบไม้กรูเกรียว...ความง่ายงามตามวิถีธรรมชาติ บางครั้งหล่อนนั่งหลับตาฟังเสียงนกร้องอยู่นิ่งนาน ไม่ต่างไปจากรถยนต์จอดนิ่งสนิทยามหยุดเติมน้ำมัน วิถีชีวิตในเมืองใหญ่ - ความเร่งรีบ - การแก่งแย่งแข่งขัน บางครั้งก็ทำให้เราหลงลืมความงดงามเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ไปอย่างน่าเสียดาย
หลังดูดซับเอาพลังจากธรรมชาติจนพอเพียงแล้ว อุสราจะกางหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารออกอ่านอย่างละเอียดมากกว่าป กติ เพื่อติดตามข่าวสารบ้านเมืองและแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ซึ่งในวันธรรมดา หล่อนมักไม่ค่อยมีเวลาให้กับกิจกรรมนี้มากเท่าใดนัก นาทีนั้นคล้ายกับว่าหล่อนได้กระโจนลงสู่ทะเลแห่งความคิด หลุดเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการอันไร้ขอบเขต ตัวตนของหล่อนค่อยๆ อันตรธานไปทีละนิด กลายเป็นเพียงคลื่นความคิดไหลรวมไปสู่ทะเลแห่งจินตนาการ เมื่อสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวย สมาธิก่อเกิด Time และ Space มาบรรจบกันตรงจุดตัดที่ลงตัว โลกใบเล็กที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ จึงถือกำเนิด เหมือนอย่างที่เสกสรรค์ ประเสริฐกุล นักเขียนคนโปรดของหล่อนเคยว่าไว้...หนังสือดีกับผู้อ่านที่ดื่มด่ำกับมัน มักหลอมรวมเป็นโลกอิสระใบเล็กๆ ที่ไม่มีแม้แต่ที่ว่างสำหรับแมลงสักหนึ่งตัว...
เมื่ออ่านหนังสือเสร็จ หล่อนจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ก่อนไปทำอย่างอื่นคุยกับตัวเอง ขบคิดใคร่ครวญถึงประเด็นต่างๆ ที่อ่านเจอมา วิเคราะห์หาเหตุผลหักล้างกันเอง เพื่อสรุปเป็นแนวคิดอย่างคร่าวๆ ซึ่งสะท้อนไปสู่จุดยืนทางความคิดและท่าทีที่หล่อนมีต่อสิ่งเร้า ต่างๆ รอบตัว รวมถึงการทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่หล่อนได้คิด พูด และกระทำในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ครอบคลุมในทุกมิติทั้งการงาน ความรัก ชีวิตครอบครัว เพื่อนฝูงและสังคมรอบข้าง มันจึงเป็นชั่วโมงแห่งการพิพากษา - รับผิด ชั่วโมงแห่งการขัดเกลาความเป็นปัจเจก ชั่วโมงที่หล่อนได้คุยกับตัวเองอย่างแท้จริง				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา