14 กรกฎาคม 2555 00:45 น.

หนูเกิดผิดยุค(รึเปล่าคะ?)

เปลวเพลิง

หนูเกิดในยุคนี้-ดีมากค่ะ		
คนแทบจะเปลือยกายเดินให้ว่อน
กับหลากหลายปัญหาจราจร		
และโลกร้อน น้ำ ไฟ ภัยมากมี
		
ข้าวของก็แพงมากไม่อยากบ่น		
เกินจะพ่นปราศรัยไปแล้วนี่
น้ำมันขึ้นราคา บ้าสิ้นดี!  			
หาของฟรี ต้องบนขอเจ้าพ่อเอา
		
เพี้ยง! เพี้ยง! เพี้ยง! ขอเงินให้เพลินใช้	
หนูจะได้เป็นเศรษฐีนีอย่างเขา
เบื่อ-ต้องมานั่งแกร่วเหมือนแมวเซา	
หาเงินเข้ากระเป๋าวันต่อวัน
		
โอ๊ย! หนูขอเกิดใหม่ได้ไหมคะ?		
ยุคนี้น่ะ-พิษภัย ร้าย หื่นหรรษ์
ลองเกิดเป็นคนถ้ำดึกดำบรรพ์		
คงสุข สันติกว่า-ว่าไหมคะ?
		
ก็มันแสนห่างไกลสมัยนี้			
เทคโนโลยีร้างไร้ไปเลยหละ
เก็บผักและล่าเนื้อเอื้อโอชะ		
เพื่อที่จะประทังชีวังตน
		
เดี๋ยวนี้คนล่ากันทุกวันวี่			
ด้วยวิธีเห็นแก่ตัวอย่างชั่วฉล
ดับชีพลาญ ผลาญ พิษ อิทธิพล		
คิดคด ปล้น โกงเก่งเก็งกำไร
		
เฮ้อ! บ่นไป คนหาว่าพูดมาก		
น้ำท่วมปากมิดเชียวน่าเสียวไส้
เชิญค่ะเชิญ อยู่กันให้สบายใจ		
หนูขอไปคุยกะม้าดีกว่าค่ะ 

.........................................

:p				
13 กรกฎาคม 2555 01:02 น.

โศลกร่ำวันอำลา

เปลวเพลิง

อย่าร้องไห้เสียใจไปเลยน้อง	
พี่หมายปองเดินทางอย่างชาติทหาร
ศึกผจญผองริปูผู้รุกราน			
ด้วยเชิงชาญณรงค์รบทบธรณี
		
ทุ่มแรงกาย กำลังนี้ทั้งหมด		
สร้างทางสู่อนาคตอันสดศรี
บ้านเราจักปลอดภัยในเสรี		
ทั้งวันนี้ พรุ่งนี้ ตราบนิรันดร์
		
พี่จ๋า					
นับเวลาผ่านปีหรี่ตาฝัน
ในวงแวดผุดผ่องของนวลจันทร์		
ในเพชรพรรณแสงพราวของดาวพราย
		
พี่กลับมาที่นี่ที่อบอุ่น			
เขนยหนุนน้ำจิตมิตรสหาย
หลับลงกับนิยามของความตาย		
นอนอยู่ภายใต้หลุมหญ้าคลุมดิน
		
วีรกรรมความกล้าในคราก่อน		
อนุสรณ์ตรึงจิตชีวิตสิ้น
เกียรติขจรเจือผสานสายธารริน		
ศักดิ์กสิณหอมในดอกไม้บาน
		
และแม้ว่าตัวน้องจะร้องไห้		
ก็ภูมิใจยามพี่ยากลับมาบ้าน
ไผ่เสียดสีบทเพลงวังเวงมาน		
เปล่งคำขานโศลกร่ำน้ำตานอง
		
กับอีกหลายหลายคนบนโลกนี้		
ชีพยอมพลีเพื่อชาติเห็นไม่เป็นสอง
ยอมฝังร่างภายใต้หินทรายรอง		
หลังปกป้องรักษามายาวนาน
		
นิทราเถิดพี่ยาใต้ฟ้าค่ำ			
ดาวจะร่ำโศลกแว่วผิวแผ่วผ่าน
หลับจากสงคราม ท้อ ทรมาน		
อยู่ที่บ้านเรานั้นนิรันดร				
5 กรกฎาคม 2555 02:15 น.

อ้างว้าง โดย ครูจินตนา ปิ่นเฉลียว

เปลวเพลิง

โอ้ว่าพื้นพสุธากว้างกว่ากว้าง
ความอ้างว้างแผ่ทั่วหัวระแหง
ถึงผู้คนล้นเอียดเบียดเสียดแซง		
ก็ยังแฝงความอ้างว้างในใจ
		
สำหรับผู้เร่ร่อนไม่ผ่อนพัก		
ไร้แหล่งหลักเคหาจะอาศัย
ไร้ญาติมิตรชิดเชื้อเอื้ออาลัย		
ถึงอยู่ในหมู่คนก็หม่นทรวง
		
ยิ่งยามยากจากกรุงเร่งมุ่งหน้า		
ท่องไปเยือนเถื่อนท่าภูผาหลวง
พายุจัดพัดผันหวั่นแดดวง			
ยิ่งฝนร่วงกรูกราวยิ่งหนาวใจ
		
นึกถึงบ้าน-ป่านนี้-ถ้ามีบ้าน		
คงสำราญกับมิตรผู้พิสมัย
หลังคาคุ้มครองหัวไม่กลัวภัย		
อุ่นด้วยไฟ ด้วยรักที่พักพิง
		
นี่เดินเดียวเปลี่ยวกายกลางสายฝน		
ฟ้าคำรณหม่นมัวน่ากลัวยิ่ง
หนาวแสนหนาวร้าวในดวงใจจริง		
อยากจะวิ่งจนตกโลกไปตาย
		
ถ้ามีหวังว่าวันหนึ่งจะถึงบ้าน		
ใจสะท้านคงทุเลาเศร้าสลาย
นี่กี่ปีจึงจะมีที่พักกาย			
ได้แต่หมายแล้งลมมานมนาน
		
ถ้ามีบ้านมีผู้อยู่รับขวัญ			
ขวัญที่มันเพริดหลงคงสุขศานต์
ถึงเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ำหลังกรำงาน	
ยังมีบ้านคอยรับกลับมานอน
		
แต่สิ้นไร้ไม้ตอกออกอย่างนี้		
ก็ฝันค้างอย่างทุกทีที่เร่ร่อน
แม้แต่ว่าวันซึ่งถึงม้วยมรณ์		
หลุมศพตอนสิ้นใจ คงไม่มี				
26 มิถุนายน 2555 02:29 น.

มนตร์ธาร

เปลวเพลิง

กับแดดลอดร่มไผ่ในวันหนึ่ง	
เราเดินถึงลำธารซ่าซ่านไหล
พลิ้วระยับกระเซ็นเย็นยวนใจ		
ดุจภาพในความฝันอันเพราตา
		
เพลงนกร้องก้องเคล้าลำเนาไม้		
หวามหทัยสู่ถิ่นถวิลหา
วารีรื่นระรวยด้วยมนตรา			
กล่อมวิญญาณ์สุขเปี่ยมคราวเยี่ยมยล
		
เราจึงวักน้ำใสขึ้นไล้หน้า			
พอหรรษาฉ่ำชุ่มทุกขุมขน
ทัศนาปลาว่ายกลางสายชล		
หอมลมปนกลิ่นบุหงาสุมาลิน
		
ณ ลำแก่งแห่งนี้มีมนตร์ขลัง		
ร่มไม้บังปกแผ่กระแสสินธุ์
เราหนีห่างความล้าเคยชาชิน		
มาเพื่อผินพบเห็นสิ่งเย็นทรวง
		
แล้วลงเกลือกกลิ้งตัวหัวร่อร่า		
กอดหญ้าเกลื่อนเถื่อนท่าภูผาหลวง
ม่านอุษาเลื่อมปรุทะลุทะลวง		
ทาบบนปวงผีเสื้อเมื่อเราชม
		
ครั้นเปลวแดดแผดคุระอุอ้าว		
เราย่างก้าวราวไพรเรไรขรม
ใบไม้ทิ้งต้นกรูลงปูพรม			
เพื่อภิรมย์จมจิตนิจกาล
		
เราสัมผัสมนตร์ธารละหานห้วย		
และความสวยสงบซึ้งซึ่งสุขศานต์
เพื่อลบภาพแล้งโรยโหยกันดาร		
ที่ไม่พานพบได้จากในเมือง				
25 มิถุนายน 2555 00:50 น.

แด่...ดอกหญ้าที่น่ารัก

เปลวเพลิง

ผมได้อ่านรวมกลอนชื่อ "ดอกหญ้า"    
ของคุณครู "จินตนา ปิ่นเฉลียว"
เป็นหนังสือที่ดีมากทีเดียว		
ครบรส เปรี้ยว เผ็ด เค็ม หวานเต็มคอ
		
ถ้วนทุกบทเหมือนมีเงาชีวิต		
เนรมิตอักขระทักษะส่อ
เคล้าอารมณ์ ไหว หวาม งามลออ		
แฝงด้วยข้อคิดดีแก่ชีวัน
		
ผมจึงเริ่มพากเพียรเขียนกลอนมั่ง		
ก่อนนี้ยังซาบซึ้งไม่ถึงขั้น
ก็ตั้งจิตพยายามอยู่ครามครัน		
และยืนยันเขียนต่อไปไม่สร่างซา
		
แล้ววันนี้เริ่มเห็นว่าเป็นผล		
ผมได้ดลกลอนที่รักเป็นหนักหนา
สมที่คิด คัด เขียน พากเพียรมา		
คุ้มเวลายาวนานผ่านเดือนปี
		
แม้จะไม่พริ้งเพราะเสนาะนัก		
แต่ใจรักผมใส่ให้เต็มที่
พอผสมเป็นพจน์บทกวี			
กล่อมฤดีแล้งรื่นให้ชื่นบาน
		
ทั้งต้องขอคารวะมาจากจิต		
ทุกความคิดเห็นของผองผู้อ่าน
เปรียบน้ำทิพย์ถั่งไหลอยู่ในมาน		
ให้ผมสานสืบต่อกลอนต่อไป
		
ด้วยรวมกลอน ดอกหญ้า ที่น่ารัก	
ผมประจักษ์โลกซึ่งซึ้งสดใส
จำหลักชื่อ จินตนา ไว้อาลัย		
ด้วยดอกไม้คำกลอนสุนทรเทอญ

............................................................

แด่ ครูจินตนา ปิ่นเฉลียว
ครูกลอนที่ผมชอบมาก
แม้ท่านจะเสียชีวิตไปนานมากแล้ว
แต่ผลงานของท่านก็ยังคงเป็นแบบอย่าง
ให้แก่คนรุ่นหลังได้เสมอ				
ไม่มีข้อความส่งถึงเปลวเพลิง