บารมีตุ๊

เวทย์

ผมเพิ่งรู้จักไอ้นพได้ไม่นานนัก  ตอนที่ผมเดินทางไปว่าความที่สงขลา  แล้วบังเอิญว่ามันโดยสารรถไฟขบวนเดียวกับผม  โดยเพื่อนร่วมทางของผมเป็นผู้แนะนำให้รู้จักกัน  
ความที่วิชาการที่จำเป็นในการว่าความของมันค่อนข้างอ่อนแอ  ทำให้มันต้องเอางานที่มันได้รับมอบหมายมาปรึกษาผมอยู่เนืองๆ  จนกระทั่งมันตัดสินใจกลับไปตายรัง  คือกลับไปทำมาหากินที่เชียงใหม่
แล้ววันหนึ่ง  มันก็โทรศัพท์ทางไกลมาหาผมเพื่อปรึกษาคดีที่มันรับมา
ก็แค่คดีแพ่งที่ฟ้องเรียกเงินตามเช็ค  จำนวนเงินตามเช็คแค่ห้าหมื่นบาท  แถมเป็นทนายความฝ่ายจำเลยด้วย  แบบนี้มันจะได้ค่าจ้างว่าความไม่กี่พันบาทหรอก
หลังจากที่ลงทุนเสียค่าโทรศัพท์ทางไกลเพื่อปรึกษาผมได้ไม่กี่ครั้ง มันก็ตัดบทเอาดื้อๆว่าให้ผมขึ้นไปเชียงใหม่เพื่อว่าความคดีนั้นแทนมัน
จากข้อมูลที่ไอ้นพมันบอกมา  จำเลยในคดีดังกล่าวคือพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งขณะนั้นกำลังมีชื่อเสียงขจรขจายเล่าลือกันว่าท่านเทศนาได้ไพเราะจับใจคนฟังจนเป็นที่ศรัทธาของบรรดาญาติโยมทั่วประเทศไทย  ส่วนเช็คฉบับที่ถูกฟ้องเป็นเช็คผู้ถือ  หมายถึงเช็คที่สั่งธนาคารจ่ายเงินให้แก่ใครก็ตามที่นำเช็คฉบับนั้นมาขึ้นเงิน  เช็คแบบนี้หากจะโอนเปลี่ยนมือก็เพียงแค่ส่งมอบเช็คให้กันไปโดยไม่ต้องมีการสลักหลังให้ยุ่งยาก  ซึ่งถ้านำมาฟ้องร้องทางแพ่งแล้ว ฝ่ายโจทก์มีภาระการพิสูจน์เพียงแค่นำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายในเช็คฉบับนั้นๆ และเมื่อได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินหรือที่ภาษาชาวบ้านพูดกันสั้นๆว่า ขึ้นเงิน แล้ว  ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน  ส่วนฝ่ายจำเลยมีหนทางเดียวที่จะเอาตัวรอดได้คือต้องหาพยานหลักฐานมาแสดงให้ศาลเชื่อว่าโจทก์ได้รับเช็คมาโดยไม่สุจริต  แต่หนทางเดียวที่ว่านี้เป็นทางตันเพราะในทางปฏิบัติแล้วเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เกือบตลอดระยะทางบนรถไฟเที่ยวนั้น  ผมนึกถึงแต่ภาพยนตร์โทรทัศน์ชุดหนึ่งมีชื่อภาษาไทยว่า ขบวนการพยัคฆ์ร้าย  แต่ชื่อภาษาอังกฤษสิ Mission impossible  แปลเป็นไทยว่าภารกิจที่เป็นไปไม่ได้  มันช่างเหมาะเจาะกับสภาพภารกิจที่ผมกำลังเดินทางไปปฏิบัติเสียจริงๆ
หลังจากไปถึงเชียงใหม่  ไอ้นพก็โอดครวญให้ผมฟังว่ามันคงไปไม่รอดในวิชาชีพทนายความแล้ว  เพราะนอกจากมันจะไม่แม่นข้อกฎหมาย  และไม่ค่อยรู้จักใครแล้ว  มันยังเสือกไม่มีใจรักที่จะเป็นทนายความด้วย  และตอนนั้นมันเพิ่งจะได้เป็นลูกจ้างชั่วคราวของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่  โชคดีที่ได้รู้จักอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่จะสามารถสนับสนุนให้มันเลื่อนฐานะเป็นลูกจ้างประจำและข้าราชการประจำไปในที่สุดได้  และอาจารย์คนนี้เป็นคนหนึ่งที่เลื่อมใสศรัทธาพระภิกษุรูปนี้  และติดต่อให้มันเป็นทนายความต่อสู้คดีให้พระรวมทั้งเป็นคนกำหนดเงื่อนไขของการแพ้ไม่ได้ให้กับมันด้วย
ตอนนั้นผมก็ยังอ่อนเยาว์ทั้งในฐานะทนายความและต่อโลก  เลยนึกไม่ออกว่ามันมีความจำเป็นอะไรที่พระภิกษุจะแพ้คดีชาวบ้านไม่ได้  โดยเฉพาะในเมื่อพิจารณาทั้งจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายโดยละเอียดแล้วก็ไม่มีหนทางใดๆ ที่จะพลิกแพลงรูปคดีได้เลย  จนกระทั่งไอ้นพพาผมไปพูดคุยกับอาจารย์คนนี้แหละผมถึงได้รับรู้ว่าการพ่ายแพ้คดีนั้นอาจหมายถึงการเสื่อมศรัทธาของคนทั่วไปที่มีต่อพระด้วย  ซึ่งเป็นเรื่องที่พระจะยอมเสี่ยงไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ผมหายแปลกใจแล้วว่าทำไมไอ้นพถึงไม่เชื่อคำแนะนำของผมที่เคยบอกให้มันขอประนีประนอมด้วยการขอลดยอดหนี้หรือขอผ่อนชำระให้แก่โจทก์  ซึ่งเป็นวิธีการง่ายๆ ที่ทำกัน   แต่ที่ไม่หายไปซ้ำกลับพอกพูนขึ้นก็คือความอึดอัดใจ   ภาระของไอ้นพที่ตอนนั้นถูกโอนมายังผมทั้งหมดแล้วมีเป้าหมายที่มืดแปดด้านจริงๆ  จนแม้คืนนั้นผมจะลองนอนคิดอีกทั้งคืนก็ยังมองไม่เห็นช่องทาง
เช้าวันรุ่งขึ้น  เราออกเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปยังอำเภอพร้าว   เพราะสมัยนั้นยังมีการส่งผู้พิพากษาจากศาลจังหวัดเชียงใหม่ไปนั่งพิจารณาคดีที่นั่น  โดยอาศัยสถานที่ของที่ว่าการอำเภอพร้าวทำเป็นห้องพิจารณา เรียกเป็นภาษาราชการว่า ศาลเคลื่อนที่ประจำอำเภอพร้าว
เราแวะกินข้าวมื้อเช้าที่บ้านโยมของพระก่อนที่จะไปศาล  ที่นั่นทำให้ผมยิ่งเครียดกับภารกิจที่ได้รับนั้นมากขึ้นเพราะมีชาวบ้านมาคอยต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แถมไอ้นพดันเสือกบอกกับคนพวกนั้นว่าผมเป็นทนายความฝีมือดีที่มันจุดธูปเชิญมาจากกรุงเทพฯ เสียอีก
ตอนรถแล่นออกจากบ้านนั้น  สายตาหลายคู่ที่แสดงการฝากความหวังทั้งหมดไว้กับผมทำให้ผมแอบอธิษฐานให้มีเครื่องบินสักลำบินมาตกใส่รถที่ผมนั่งอยู่นั้นเสีย  แต่คำอธิษฐานของผมไร้ผล
ขณะที่รถค่อยๆแล่นผ่านประตูรั้วของที่ว่าการอำเภอพร้าวเข้าไป  ไอ้นพชี้ให้ผมดูรถเบ๊นซ์ 300 ป้ายแดงซึ่งจอดอยู่พร้อมบอกผมว่าฝ่ายโจทก์มาถึงก่อนเราแล้ว  
แสงแห่งความหวังเจิดจ้าขึ้นมาในความคิดของผมทันที  ผมรีบบอกให้ไอ้นพชี้ตัวโจทก์ให้แล้วโอนภาระงานธุรการเกี่ยวกับการติดต่อกับศาลทั้งหมดให้มันก่อนที่จะเข้าไปยกมือไหว้ทักทายคู่ความฝ่ายตรงข้าม
 พ่อเลี้ยงครับ   ผมเอ่ยทักก่อนที่จะแนะนำตัว
 ผมขอรบกวนคุยกับพ่อเลี้ยงสักนิด   คือผมคิดดูแล้วว่าคนระดับพ่อเลี้ยงไม่น่าจะลงทุนขับรถมาจากน่านเพื่อฟ้องคดีนี้เลยนี่ครับ
 ผมต้องการพิสูจน์ว่าตุ๊ตนนี้บ่ดี พ่อเลี้ยงตอบเสียงเครียด
 ไม่ดียังไงบ้างครับ  ผมก็ไม่รู้จักหรือสนใจอะไรท่านมาก่อนหรอก  คดีนี้เพื่อนมันขอให้ผมมาช่วยผมก็มา  ยังไม่รู้เรื่องอะไรในคดีนี้มากด้วยซ้ำ
ได้ผลแฮะ  พ่อเลี้ยงระบายความอัดอั้นใจให้ผมฟังเสียยืดยาว  ซึ่งผมก็ฟังด้วยความเห็นอกเห็นใจ
 พ่อเลี้ยงคงไม่มีโอกาสทำอย่างที่ตั้งใจหรอกครับ  ผมติงหลังจากพ่อเลี้ยงเล่าความเป็นมาจบแล้ว
 ในศาลนี่เราไม่ได้มีโอกาสให้การนอกเรื่องนอกราวตามใจเรา  อย่างคดีนี้ประเด็นมีแค่ว่าเช็คนี่พระลงชื่อสั่งจ่ายแล้วก็มีคนเอาไปจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างที่ซื้อจากพ่อเลี้ยง  เรื่องอื่นๆที่พ่อเลี้ยงเล่าให้ผมฟังนี่มันนอกประเด็นนะครับ  ผมพักหายใจหายคอบ้าง   ผมเชื่อว่าพ่อเลี้ยงไม่ได้โกหกผม  แต่พ่อเลี้ยงก็น่าจะเชื่อผมบ้างว่าพ่อเลี้ยงไม่มีโอกาสเอาเรื่องนอกประเด็นมาพูดได้มากขนาดนั้นหรอก
ถึงตอนนี้พ่อเลี้ยงอึ้งไป
 คดีนี้พ่อเลี้ยงชนะแน่นอนครับ  แต่พ่อเลี้ยงจะไปยึดทรัพย์พระถึงในวัดเชียวหรือ  แล้วทรัพย์สินเหล่านั้นก็มาจากศรัทธาชาวบ้านทั้งนั้นด้วย  ตอนท้ายนี่ผมอาศัยความรู้ว่าชาวเหนือมีความเชื่อเคร่งครัดเรื่องไม่ควรเอาของวัดมาเป็นของตน
 ได้มาเท่าไหร่ผมก็จะเอาไปทำบุญทั้งหมด  พ่อเลี้ยงตอบไม่ทันขาดคำเจ้าหน้าที่ศาลก็เรียกให้รีบเข้าห้องพิจารณาเพราะผู้พิพากษากำลังจะขึ้นนั่งบนบัลลังก์
เมื่อเข้าไปในห้องพิจารณาซึ่งอยู่มุมสุดของอาคารชั้นล่าง  ผมมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นชาวบ้านยืนกันสลอน  ลองกะประมาณด้วยสายตาก็คงสักสองร้อยคนขึ้นไป   ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชาวบ้านเหล่านี้คอยเอาใจช่วยฝ่ายไหน 
ทันทีที่ศาลเริ่มดำเนินกระบวนพิจารณา  ผมรีบแถลงต่อศาลว่าผมได้คุยอะไรกับพ่อเลี้ยงมาบ้าง และเน้นว่าไม่อยากเห็นคดีนี้ลงเอยอย่างน่าอเน็จอนาถต่อความรู้สึกของชาวพุทธ  ปิดท้ายด้วยการเสนอขอให้โจทก์เอาเงินจำนวนนั้นทำบุญกับวัดที่จำเลยจำพรรษาโดยไม่ต้องไปทำบุญที่อื่น 
 โจทก์จะว่าอย่างไรล่ะ  ศาลว่าที่ทนายจำเลยเขาเสนอมานี่ก็ดีนะ  ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นคล้อยตามผมช่วยไกล่เกลี่ย
  ผมไปทำบุญที่อื่นดีกว่าครับ  เพราะถ้าทำที่นี่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเอาเงินผมไปทำอะไร  
 ทำไมจะต้องคิดมากขนาดนั้นล่ะ  ผู้พิพากษาติง   คนเราทำบุญมันสำคัญตรงได้ทำ  ทำแล้วก็อิ่มเอิบใจ  ไม่ต้องเก็บมาวิตกวิจารณ์อะไรหรอก
 ผมกลัวว่าเงินจำนวนนี้จะไม่เข้าวัดจริงน่ะสิ  พ่อเลี้ยงไม่วายอิดเอื้อน
 เรื่องนี้หมดห่วงได้เลยครับ ผมได้โอกาสพูดบ้าง   วัดทุกแห่งต้องอยู่ในการดูแลของกรมการศาสนา ต้องทำบัญชี  ถ้าพ่อเลี้ยงยินดีตามที่ผมเสนอแล้วทางวัดก็จะต้องออกใบอนุโมทนาบัตรให้เป็นหลักฐาน  แบบนี้พ่อเลี้ยงก็มั่นใจได้เลยว่าเงินต้องเข้าวัดแน่
ถึงตอนนี้พ่อเลี้ยงหันไปสบตาทนายความของตนในเชิงขอความคิดเห็น  ก่อนที่จะยอมถอนฟ้องคดีนั้น   แลกกับการที่มีผู้ที่ศรัทธานับถือพระออกเงินบริจาคเท่ากับทุนทรัพย์ของคดีแล้วให้วัดออกใบอนุโมทนาบัตรให้แก่พ่อเลี้ยงเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่ามีเงินเข้าบำรุงวัดตามจำนวนนั้นจริง
ผมเดินออกจากห้องพิจารณามาอย่างยิ้มย่อง  ในที่สุดคดีนี้ฝ่ายจำเลยก็ไม่ได้แพ้  ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ฝ่ายตรงข้ามสามารถกินเลือดกินเนื้อได้เลยถ้าตัวจำเลยโผล่หน้ามาให้เห็น   แต่ตอนนี้เขาถอนฟ้องไปแล้ว   และถ้าผมเดินออกไปถึงกลุ่มชาวบ้าน  พวกเขาคงจะรุมล้อมแสดงความชื่นชมยินดีกับผม   
ชาวบ้านกำลังสลายกลุ่มทยอยกันกลับ   แต่ไม่มีใครสักคนให้ความสนใจผม   ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มหรือการสบตาทักทาย
ผมรู้สึกเก้อกับสถานการณ์ตอนนั้น  งุนงงด้วยความแปลกใจจนกระทั่งได้ยินชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งผ่านพ้นไปตามความรู้สึกของพวกเขา และคนหนึ่งพูดว่า
 บารมีตุ๊แต๊ๆ    เปิ้นตึงยอมถอนฟ้อง 				
comments powered by Disqus
  • ทะเลใจ

    17 กันยายน 2548 15:27 น. - comment id 86735

    เฮ่อ  !   .....
    
    ขอถอนหายใจดัง ๆ ค่ะ  ...
    
    ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันกับความเชื่อ 
    
    ไม่ใช่ลบลู่นะคะ แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้
    
    เคยเชื่อสิ่งใดก็จะจดจำสิ่งที่เชื่อมาตลอด ...
    
    ลบยากมาก ๆ ค่ะ  ....

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน