กวีการเมือง

เวทย์

ห้วงยามเศร้าสร้อย รันทดท้ออาลัย หลายคนย่อมหวนถวิลหากวีซึ้งใจสักบทปลอบประโลมจิตใจคลายพลัดพราก รานร้าว เฉกเช่นเดียวกับบทกวีการเมืองที่ถักถ้อยร้อยรัดศรัทธา อารมณ์ ความรู้สึก การเคลื่อนไหวต้านคานอำนาจอยุติธรรมทางการเมืองของผู้คนหลากหลายเข้าด้วยกันอย่างแน่นแนบ ยิ่งวิกฤตจริยธรรมการเมืองฉ้อฉลคอร์รัปชันรานรุกคุกรุ่นดังปัจจุบันด้วยแล้ว ยิ่งทบทวีพวยพุ่งพลังตราตรึงงดงามของกวีการเมืองจนมิอาจปฏิเสธ
       
       ด้วยวัฒนธรรมการเมืองไทยในสายตารัฐยามปะทะพลังการเมืองภาคประชาชน มักจบด้วยการหยามหมิ่นถิ่นแคลนและโศกนาฏกรรมหาญหักประหัตประหาร แม้บางคราประชาชนพานพบชัยชนะช่วงท้าย แต่ล้วนแล้วรองรับด้วยซากปรักหักพังทางกายและจิตวิญญาณเพื่อนพ้องร่วมอุดมการณ์ กระนั้นประชาชนไม่น้อยก็ก้าวกล้าแตกหักกับอธรรม ด้วยศรัทธา เชื่อมั่นของตัวเองถูกสะท้อนตอกย้ำทิศทางเดียวกับความจริงแท้ที่ถ่ายทอดผ่านอักขระในบทกวีการเมือง
       
       * ผลึกคิดต้านต่อทรราช
       
       การสมานสามัคคี ประนีประนอมกับความเลวร้ายต่ำทราม หรือไม่นำพาปัญหาบ้านเมืองด้วยกลัวเกรงความขัดแย้งแตกแยกขจรขจายในสังคมและนำภยันอันตรายมาสู่ตัว ย่อมไม่ใช่วิสัย กวีการเมือง ผู้ตกผลึกคิดต้านต่อทรราชด้วยความพลิ้วไหวงดงามทรงพลังของตัวอักษร ด้วยพวกเขาต่างตระหนักดีว่าพันธกิจสำคัญของกวีที่แท้ มิอาจตัดขาดความเคลื่อนไหวในมุมโดดเดี่ยวเงียบเหงาและลุกโชนร้อนแรงของสังคม ดังอังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์) และกวีซีไรต์ปี 2529 ก้องประกาศว่า กวีผู้ร้อยเรียงอักขระสรรค์สร้างคุณธรรมในสังคมการเมืองจะต้องมีวิสุทธิ์ทัศนะ
       
       กวีบางคนมองไปถึงขอบฟ้า ขณะอีกคนอาจมองได้แค่หน้าบ้าน กวีควรมองปัญหาแบบพญาเหยี่ยว แบบ Birds Eye View เห็นปัญหาทั้งหมด เมื่อใดกวีมีวิสุทธิ์ทัศนะจะมองปัญหารอบด้าน มุมมองกว้างไกล ไม่อย่างนั้นจะเข้าทำนองเห็นพฤกษ์ไม่เห็นไพร ในสถานการณ์ปัจจุบันขณะรัฐบาลถูกขับไล่หนัก กวีควรสะท้อนสาเหตุแห่งปัญหาความไม่รู้จักพอของผู้นำ มนุษย์ควรรู้จักพอ เสมือนผลไม้ที่สุกก็หลุดร่วง ไม่มากไปกว่านั้น ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาล้วนแจ่มชัดแล้วว่าไม่มีผู้นำคนไหนอยู่ยั้งยืนยง ไม่ว่าจะมีอำนาจมหาศาลเพียงใดหากยังกดขี่ เอารัดเอาเปรียบประชาชน
       
       "การบ่มเพาะเกี่ยวกับทรรศนะของมนุษย์ กวี ศิลปินต้องอยู่กับโลกมนุษย์ อยู่กับจักรวาล ต้องติดตามความเป็นไปของวิถีโลก บทกวีการเมืองที่ดีต้องสอดคล้องสถานการณ์บ้านเมือง ต้องกู้ชาติ ต้องมีเจ้าตากในหัวใจ อย่ามัวรอเสวยสุข" ท่านอังคารเน้น ก่อนแนะว่า ความยากง่ายในการเขียนบทกวีการเมืองไม่ควรคำนึงถึง แม้จะลำบากยากแค้นแค่ไหนก็ต้องบากบั่น มุ่งมั่นรังสรรค์บทกวีงดงามมากมายด้วยคุณค่าต่อสังคมออกมา
       
       ยิ่งการเมืองปัจจุบันพันพัวภาคส่วนต่างๆ ในสังคมกว่าเก่ามาก กวีจะยิ่งต้องขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม ดังท่านอังคารที่แม้วัยจะก้าวสู่ทศวรรษที่ 8 แล้ว แต่ยังคงยึดหลัก 'สุ จิ ปุ ลิ' ตามติดสถานการณ์บ้านเมืองจากหนังสือพิมพ์หลายหัวทุกวัน วิเคราะห์ เปรียบเทียบกลวิธีคอร์รัปชันรูปแบบต่างๆ ที่นักการเมืองแต่ละยุคใช้ ก่อนกลั่นกรองร้อยเรียงเป็นบทกวีที่พุ่งเป้าโจมตีทรพีแผ่นดินไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้ง 14 ตุลา พฤษภาทมิฬ 35 และทรราชขายชาติ 49
       
       "กวีควรพึ่งพิงทั้งพรสวรรค์และพรแสวง เพราะถ้ากวีไม่ศึกษาเล่าเรียนอย่างต่อเนื่อง ก็ย่อมจะเขียนอะไรโง่ๆ บ้องตื้นออกไป เปรียบดังคางคกในกะลา เห็นท้องกะลาก็บอกว่าท้องฟ้า เห็นขอบกะลาก็นึกว่าขอบฟ้า"
       
       ทำนองเดียวกับ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีผู้คว้ารางวัลศิลปินแห่งชาติและซีไรต์เหมือนท่านอังคารเพียงต่างปีกัน และเรียงร้อยถ้อยกวี 'อาทิตย์ ถึง จันทร์' จากช่วงวันมหาวิปโยค สะท้อนความเป็นตัวตนของกวีการเมืองชัดเจนจับใจว่า กวีการเมืองนอกจากสื่อสารอารมณ์ความรู้สึกที่พ้นจากตัวเองและร้อยรัดอารมณ์ของสังคมในห้วงยามนั้นๆ แล้ว ควรกอปรด้วยมุมมองการสะท้อนปัญหา ชี้นำสังคม และทางออกของวิกฤตการณ์ ด้วยท่วงทำนองงดงามสละสลวยทางวรรณศิลป์
       
       "ก่อนจะเขียนบทกวีการเมือง ควรเข้าใจความรู้สึก อารมณ์ของสังคม เข้าใจการเมือง ซึมซับรับรู้เรื่องราวการเมือง เพื่อจะสัมผัสได้ถึงพลัง ความรู้สึกทางการเมืองและสังคมในขณะนั้น" เนาวรัตน์เผย พลางย้ำว่าบทกวีการเมืองที่ถึงพร้อมควรผสานการสะท้อนปัญหา สาเหตุอย่างเป็นจริง ควบคู่กับการชี้ทางออกด้วยกระบวนการศิลปะ
       
       คำเดียว วรรคเดียวอาจสะท้อนได้ทั้งหมด เช่น บทกวีอีสานของนายผี (อัศนี พลจันทร) ที่ว่า 'ในฟ้าบ่มีน้ำ ในดินซ้ำมีแต่ทราย น้ำตาที่ตกราย ก็รีบซาบ บ่ รอซึม' หรือ เปิบข้าวของจิตร ภูมิศักดิ์ 'เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจิณ เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน' บทกวีทั้ง 2 มิเพียงสะท้อนปรากฏการณ์ความเป็นจริงของสังคมในห้วงยามนั้น ทว่ายังเป็นแรงดลใจแห่งกวี และจุดประกายมุมมองผู้อ่านต่อความอยุติธรรมต่างๆ ที่รายรอบ กดทับ ที่สำคัญยังผลักดันประชาชนรวมตัวร่วมลุกขึ้นสู้เปลี่ยนแปลงสังคมด้วย
       
       กวีซีไรต์ปี 2523 ยังย้ำด้วยว่า จิตสำนึกทางการเมืองของกวีควรคุกรุ่นลุกโชนตลอดเวลา ต้องมองพ้นจากตัวเอง มองอนาคตของมนุษยชาติเป็นสำคัญ คงมั่นอุดมการณ์ ปรารถนาสังคมยุติธรรม ประชาชนอยู่ดีกินดี จิตสำนึกทางการเมืองที่อิงแอบแนบแน่นกับหลักธรรมจึงเป็นภาวะที่กวีการเมืองทุกคนควรใฝ่หา ครอบครองจิตสำนึกทางการเมืองในตัวกวีจะเป็นดัชนีชี้ขาดว่าพร้อมมากน้อยแค่ไหนกับภารกิจร่ายรำปากกาถ่ายทอด สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกร่วมของสังคม กระนั้นการเข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยตรงย่อมได้บทกวีหนักแน่น มีสีสัน ชีวิตชีวามากกว่า ด้วยลำพังจิตสำนึกอาจไม่สามารถพัฒนาเป็นองค์รวมของจิตสำนึกที่เป็นปัญญาได้
       
       "การเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองจะประทับแน่นในความรู้สึก ก่อนถูกกลั่นกรองเป็นบทกวีที่มีทั้งจิตนาการ ประสบการณ์ บรรยากาศ มุมมอง เป็นองค์รวมของปัญญาที่หนักแน่นกว่าความคิด จิตสำนึกที่ไม่ผ่านประสบการณ์จริงย่อมมีวันสั่นคลอน"
       
       จะว่าไปแล้ว กวีการเมืองหลายครั้งวิวัฒน์จากภาคปฏิบัติ คลุกคลีเคลื่อนไหวทางการเมืองของกวีโดยตรง ดังหนึ่งผลึกน้ำค้างพร่างพราวจากยุคสมัยเผด็จการต้านต่อทรราชจากห้วงพลังนักศึกษาเบ่งบาน 14 ตุลา 2516 จิระนันท์ พิตรปรีชา กวีซีไรต์จากกวีนิพนธ์ 'ใบไม้ที่หายไป' ในปี 2532 เล่าว่า วัตถุดิบ ความจัดเจน แหลมคมยามร้อยเรียงบทกวีการเมือง ส่วนหนึ่งคลี่คลายจากประสบการณ์ตรงขับไล่ทรราชในช่วงวัยนิสิต
       
       วัตถุดิบจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองจะถูกกลั่นกรอง สอดร้อยกับเหตุการณ์ ก่อนถักถ้อยออกมาเป็นบทกวีอันประจักษ์ชัดถึงจุดยืนของกวีต่อสถานการณ์บ้านเมืองในห้วงยามนั้น บางคราวบทกวีจะสำแดงเพียงเรื่องราวขัดแย้ง ขณะหลายคราก็ชี้นำสังคม พร้อมเสนอแนะทางออกจากกับดักความขัดแย้ง
       
       * อัปลักษณ์อัปรีย์อันตรึงตา
       
       คุณค่าทางวรรณศิลป์มิเพียงสะท้อนแค่ความงดงามของธรรมชาติและอลังการงานศิลปะของมนุษย์เท่านั้น ทว่ายังถ่ายทอดความอัปลักษณ์อัปรีย์ของรัฐบาล สังคม ผู้นำ ความไม่รู้จักพอ หลงลำพองของมนุษย์ได้อย่างสละสลวยรวยรุ่มพลัง บทกวีการเมืองจึงเผยความอัปรีย์ตรึงตาตรึงใจในจิตวิญญาณประชาชนรากหญ้าผู้หิวกระหายชิ้นเนื้อความยุติธรรม หลังถูกขโมย ทึ้งกัดโดยผู้มีอำนาจรัฐบางคน
       
       "ต้องผสานเนื้อหาและฉันทลักษณ์เป็นเอกภาพ เพราะหากเน้นแค่รูปแบบแต่ไม่สนใจเนื้อหา อาจเข้าถึงอารมณ์ผู้คนได้เพราะสละสลวย แต่ขาดน้ำหนักในการรับรู้ ขณะเดียวกันถ้ามุ่งเน้นแต่เนื้อหา ไม่มีความสวยงามทางฉันทลักษณ์ จะกลายเป็นแค่บทความ บทกวีการเมืองจึงควรผสานทั้งเนื้อหาและฉันทลักษณ์" เนาวรัตน์ถ่ายทอดคุณลักษณะกวีการเมืองอันพึงประสงค์ ก่อนชี้ว่าถ้าฝึกฝน ท่องจำฉันทลักษณ์จนเชี่ยวชาญ บทกวีจะตราตรึงงดงามด้วยเนื้อหาและท่วงทำนอง แม้เนื้อหาจะไม่ได้พรรณนาความสวยงามของธรรมชาติหรือมนุษย์เลยก็ตาม
       
       "กวีที่เชี่ยวชาญ เป็นนายของภาษาจะกำหนดลีลาของบทกวีที่เขียนให้มีจังหวะจะโคนสอดรับได้อย่างอัตโนมัติ มีเสียง มีน้ำหนัก มีการขับเคลื่อนพลิ้วไหว โดนใจ อย่างไรก็ตาม อย่ายึดติดรูปแบบเกินไป เพราะจะขาดคุณค่าของเนื้อหาได้ เพราะถ้าเน้นแค่รูปแบบ ผลในการซึมซับจะได้น้อยกว่า"
       
       เนาวรัตน์เน้นด้วยว่า ศิลปะการนำเสนอสำคัญมาก ก่อนกวีจะหลุดพ้นกรอบยึดทางฉันทลักษณ์ได้นั้น จะต้องผ่านกระบวนการฝึกพื้นฐานรูปแบบฉันทลักษณ์ เขียนกาพย์ โคลง กลอนให้ได้ก่อน ไม่ต่างอันใดกับจิตรกรที่คร่ำเคร่งฝึกเทคนิคร่างเส้นตรง วงกลม ก่อนจะก้าวสู่ประตูจิตรกรใหญ่
       
       หากบทกวีขาดหายความงามทางฉันทลักษณ์และเนื้อหาสารัตถะที่ปรารถนาจะถ่ายทอดแล้ว ความพร่าพรางทางศิลปะและหลงใหลในความรู้สึกส่วนตัวจะเด่นชัด ขับเน้นจนบทกวีนั้นขาดหายคุณค่า ความชัดเจน เรื่อยเอื่อย ไม่สื่อสารอะไรกับสังคม ผู้อ่านในท้ายสุด
       
       สอดคล้องกับมุมมองจิระนันท์ ที่ว่าการฝึกฝนฉันทลักษณ์จนเชี่ยวชาญ จะเรียงร้อยอักขระเพื่อเสกสรรค์บทกวีการเมืองอันทรงพลังและสวยงามได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องกังวลจะแต่งไม่ไพเราะ ไม่ถูกฉันทลักษณ์ สุดท้ายบทกวีที่กลั่นกรองออกมาจึงลื่นไหลทั้งท่วงทำนองวรรณศิลป์ หนักแน่นซาบซ่านความหมาย
       
       "กวีการเมืองถ่ายทอด สะท้อนอารมณ์การเมืองโดยไม่ต้องแฉข้อมูลมากมาย โดยเฉพาะหลังการไฮปาร์กจบลง กวีการเมืองจับต้องอารมณ์ของสังคมการเมืองในห้วงเวลานั้นๆ ได้มากกว่าสื่ออื่น เช่น ตื่นเถิดเสรีชน แม้จะกระชับ แต่เร้าใจ มีความหมายยิ่งใหญ่มากสำหรับสังคมที่ขาดหายประชาธิปไตยมานาน"
       
       ด้านท่านอังคารเน้นไปในทางเดียวกันว่า กวีการเมืองต้องมุ่งเนื้อหา เขียนให้ได้ความ สื่อสารกับผู้อ่านได้ แม้จะตีความได้หลายทางก็ยังดีกว่าเขียนไม่รู้เรื่อง ขณะเดียวกันก็ควรเรียนรู้ฉันทลักษณ์ อ่านกวีโบราณ พระอภัยมณี ขุนช้างขุนแผนบ้าง เช่นเดียวกับศิลปินที่จะต้องฝึกฝนเขียนกนก หากเขียนไม่เป็น ก็ไม่อาจเขียนลายไทยให้ลือเลื่องได้
       
       "บทกวีดี มีพลังจะต้องเขียนให้ถึงสัจจะ อุดมการณ์ ความงามที่เป็นสากล เขียนเพื่อมวลมนุษยชาติ เขียนเพื่ออารยธรรม" ท่านอังคารเผย ก่อนย้ำหนักแน่นว่าพัฒนาการด้านการเขียนบทกวีการเมืองจะก้าวหน้า ย่ำอยู่กับที่ หรือถอยหลังลงคลอง ล้วนเรียกร้องการลดอัตตาตัวตนในกวีอย่างมาก ด้วยต้องพิจารณาส่วนวิเศษของผู้อื่น และตรวจสอบข้อบกพร่องของตัวกวีเอง เพื่อจะยกระดับงานของตัวเองให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
       
       ขณะ วสันต์ สิทธิเขต กวีผู้แน่นแนบศิลปะและการเคลื่อนไหวภาคประชาชน มองว่าการประมวลความรู้ สถานการณ์บ้านเมือง ก่อนจะถักทออักขระออกมาเป็นบทกวีการเมืองนั้นสำคัญมาก แม้บางครั้งจะขาดหายซึ่งความงามทางวรรณศิลป์ แต่ถ้าถ่ายทอดเนื้อหาได้ชัดเจน ลุ่มลึก จริงแท้แล้ว กวีบทนั้นก็มีคุณค่าต่อสังคม
       
       "บทกวีคือเสียงของความคิดที่ออกมาเป็นถ้อยคำ มีชีวิต มองเห็นภาพ จินตนาการ ใช้อารมณ์ ความสะเทือนใจสะท้อนความรู้สึกของสังคม ผู้จะเขียนกวีการเมืองได้ อย่างน้อยต้องรักชีวิต รู้จักธรรมชาติ เข้าใจหลักชีวิตพอสมควร รู้การเมือง อ่านเกมการเมืองออก" วสันต์เน้น ก่อนเผยแก่นแกนความคิดในการต้านเผด็จการมายาวนานหลายทศวรรษว่า 'ศิลปะคืออาวุธ ใช้ขุดโค่นอำนาจร้าย ต้องพลีชีพทั้งใจกาย คือความหมายแห่งศิลปิน'
       
       บทกวีการเมืองที่จะคงความเป็นอมตะ จุดประกายความคิด ศรัทธาในเจนเนอเรชันต่อไปไม่เสื่อมถอย นอกจากต้องถึงพร้อมความงดงามทางฉันทลักษณ์แล้ว ความหมายที่สะท้อน ถ่ายทอดยังต้องสากล ไม่ขึ้นกาลเวลา ดังวสันต์มองว่าบทกวีที่สะท้อนโลกทัศน์อย่างลุ่มลึก ย่อมส่งผลสะเทือนเปลี่ยนแปลงชุมชนไม่ว่าจะอ่านเมื่อใด ยิ่งอ่านยามต้านต่อทรราชด้วยแล้ว ยิ่งฮึกเหิม กร้าวแกร่ง
       
       * ผลิชีพจรรากหญ้าประชาธิปไตย
       
       บนเวทีเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรก่อนคลี่คลายเป็นเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บทกวีการเมืองยามขับขานย่อมขับเคลื่อนผนึกผสานเอกภาพของประชาชนเรือนแสนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ด้วยทุกอักขระที่ถักถ้อยร้อยรัดเข้าด้วยกันนั้นล้วนเคียงข้างประชาชนผู้ทุกข์ยาก มุ่งคร่าอธรรม ขับไล่ทรราช ขจัดปัญหาแผ่นดินไทย ในห้วงวันเวลาที่การตรวจสอบถ่วงดุล (Check and Balance) ของสังคมง่อยเปลี้ยเสียศรัทธา
       
       แม้ความสลับซับซ้อนของปัญหาจะเปลี่ยนผ่านจากประชาธิปไตย-เผด็จการทหาร สู่การเมืองภาคประชาชน-เผด็จการทุนนิยมในปัจจุบัน แต่ท้ายสุดแล้ววังวนปัญหาเดิมๆ ไม่เคยเคลื่อนถอยจากความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับอำนาจรัฐผู้ยึดติดอวิชชาบนคราบน้ำตาและสายเลือดประชาชน บทกวีการเมืองจึงไม่เคยว่างเว้นบอกเล่าเรื่องราวรากหญ้าประชาชนเหยื่ออยุติธรรมทางการเมือง เพียงแต่ปรับเปลี่ยนเนื้อหาสอดคล้องกับห้วงสมัยที่เปลี่ยนแปร
       
       "บทกวีการเมืองเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย จากเคยบอกเล่าเรื่องราวขัดแย้งระหว่างประชาชนกับอำนาจรัฐที่มาจากทหาร ก็ปรับเปลี่ยนเป็นประชาชนกับเผด็จการทุนนิยม บทกวีในวันนี้จะต้องถ่ายทอดอันตรายจากการผูกขาด ซับซ้อนซ่อนเงื่อนของเศรษฐกิจการเมือง" เนาวรัตน์เผยเส้นทางพัฒนาการกวีการเมืองไทย ก่อนเน้นภารกิจกวีว่านอกจากเข้าใจความลักลั่นซับซ้อนของทุนนิยมแล้ว ยังต้องเพียรพยายามมากขึ้นในการถ่ายทอดข้อเท็จจริงวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่นับวันจะเชื่อมโยงทุกภาคส่วนในสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะมิติเศรษฐกิจ
       
       "กวีการเมืองย่อมสะท้อนพัฒนาการ ล้มลุกคลุกคลานประชาธิปไตยไทย กวีคือผลผลิตของสังคม เป็นอารมณ์ความรู้สึกร่วมของสังคม ผู้เขียนกวีการเมืองได้ดีจะต้องไม่ดัดจริต ต้องมีจิตสำนึกทางการเมืองเป็นอย่างน้อย" เนาวรัตน์เผย พลางย้ำว่าแม้กวีการเมืองจะทรงพลังในการขับเคลื่อนภาคประชาชน แต่ก็ไม่มีศักยภาพมากพอจะเปลี่ยนแปลงสังคมโดยลำพัง ต้องสอดประสานพลังภาคส่วนอื่นๆ อย่างเป็นกระบวนการ
       
       กวีการเมืองคือชีพจรสังคม จึงยุติธรรมที่ผู้คนจะเรียกร้องให้กวีออกมารับผิดชอบสังคม แม้ห้วงยามปกติไม่ใคร่เห็นความสำคัญของกวีเลยก็ตาม ด้วยบทกวีคือความรู้สึกของสังคม ประคับประคองความรู้สึกของผู้คน ประชาชนปรารถนาเสพบทกวีเพราะพวกเขาต้องการผู้ที่จะมาพูดแทนความรู้สึกตัวเอง ยิ่งโมงยามคอร์รัปชันรานรุกหนัก
       
       "บทกวีการเมืองจุดประกายจิตสำนึก ปลุกประชาชนตื่นจากหลับใหลยาวนานของเผด็จการทุนนิยม เผด็จการรัฐสภาได้ บทกวีการเมืองจะเป็นทัพหน้าและธงนำความรู้สึก เชิดชูความรู้สึกของสังคมราวกับแสงเทียนส่องทาง เป็นทั้งกำลังใจของประชาชนและอาวุธทิ่มแทงศัตรู" เนาวรัตน์มองสอดคล้องกับกวีซีไรต์ปี 2532 ที่ว่าบทกวีการเมืองในปัจจุบันควรสะท้อนความซับซ้อนของเผด็จการ คอร์รัปชัน แม้จะยากลำบากกว่าเดิมมากในการถ่ายทอดความฉ้อฉลเชิงวรรณศิลป์
       
       "กวีการเมืองเป็นพลังสมทบในการขับเคลื่อนการเมืองภาคประชาชน ต้องควบคู่กับการเคลื่อนไหวภาคส่วนอื่นๆ จึงจะมีพลังมากพอเปลี่ยนแปลงสังคม อย่างกรณีขายหุ้นของผู้นำ คงยากจะอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้ด้วยบทกวี เพราะลำพังตัวกวีเองก็ยากจะเข้าใจความซับซ้อนนี้ จึงต้องเป็นหน้าที่นักวิชาการที่จะอธิบายความไม่ชอบธรรมให้สาธารณชนเข้าใจโดยง่าย"
       
       ...ยามกวีการเมืองผลิดอกออกผลพราวพรั่งมักจะเป็นห้วงวันประชาธิปไตยล้มลุกคลุกคลาน เฟื่องฟูอยุติธรรม คอร์รัปชันเชิงนโยบาย ผลประโยชน์ทับซ้อน ราว 2 ด้านของเหรียญประชาธิปไตย หากวันใดการเมืองเข้มแข็ง โปร่งใสย่อมไม่มีใครกระหวัดถึงกวีการเมือง ทว่าเมื่อใดการเมืองไร้ธรรมาภิบาล จริยธรรมผู้นำ เมื่อนั้นกวีการเมืองจะผงาดเด่น
       
       3 กวีซีไรต์ 1 กวีศิลปินต่างมองปรากฏการณ์เคลื่อนไหวนี้คล้ายคลึงกัน ด้วยล้วนเชื่อมั่น ศรัทธาในพลังกวีการเมืองว่ามีศักยภาพมากพอจะคลี่คลายสถานการณ์เลวร้ายทางการเมือง พลิกผันสังคมสู่ความยุติธรรม เสริมสร้างพลังการเมืองภาคประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ยิ่งนำเสนอผ่านบทเพลง บทละคร อย่างสอดคล้อง พร้อมนำเสนอถูกจังหวะ เวลา ย่อมส่องประกายกวีบทนั้นจนตราตรึงจิตใจประชาชนยิ่งขึ้น
       
       ความสุขุมลุ่มลึก เยือกเย็นย่อมร้อยรัดกับห้วงการเดินทางของวันเวลา ภารกิจกวีการเมืองทั้งเก่า-ใหม่ล้วนแล้วหนีไม่พ้น ขจัดคราบเปื้อนเปรอะจากการกระทำเลื่อนเลอะเทอะของนักการเมืองผู้พิศสมัยกติกู-กติกา-เงินตรามากกว่าคุณธรรม จริยธรรม เหนืออื่นใดจะต้องรัดร้อยถ้อยถักอักขระให้ประชาชนเข้าใจว่าความขัดแย้งย่อมนำการเปลี่ยนแปลงที่ดีมาถึงได้ หากผู้ที่หาญหักด้วยนั้นคือทรราชผลาญชาติ ขายแผ่นดิน
       
       ******************************
       
       เรื่อง/ ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ				
comments powered by Disqus
  • เวทย์

    6 มีนาคม 2549 16:04 น. - comment id 13657

    เน้นให้อ่านเพื่อทำความเข้าใจวิธีเขียนบทกวี
  • กุ้งหนามแดง

    6 มีนาคม 2549 16:44 น. - comment id 13658

    แวะมาศึกษา ด้วยความขอบพระคุณค่ะ..
    
    :)
  • หยาดอรุณ

    6 มีนาคม 2549 19:53 น. - comment id 13660

    ขอบคุณค่ะ ...
    แล้วหนูจะลองเขียนบทกวีการเมืองดีดีสักบท : )
  • พระจันทร์เศร้าฯ

    6 มีนาคม 2549 21:00 น. - comment id 13661

    เวลาเขียนเรื่องการเมืองนะคะ
    จะเขียนจากความรู้สึกตอนที่ได้อยู่ในเหตุการณ์จริง
    เจ็บแค้น อัดอั้น ตรงนั้น รู้สึกไง ก็เขียนไป ไม่มีทฤษฏี 
    ถ้าไม่รู้สึก ก็ไม่เขียนค่ะ
    พี่ว่าไม๊ ติดกับทฤษฎีมากไป 
    อ่านม่ายยรู้เรื่อง เหมือนกวีซีไรท์บางคนไง อ่านม่ายรู้เรื่อง เอ หรือเราโง่
    มาหยอกคุณพี่เล่น แก้เซ็งค่ะ
  • เรไร

    6 มีนาคม 2549 22:28 น. - comment id 13662

    
    แล้วแต่ ต่างจิตต่างใจ
    บ้างก็เขียนเอามัน บ้างก็เขียน เชียร์ แบ่งพรรค แบ่งพวก
     บ้างก็เขียนอวดสำนวนโวหาร
    จิตสำนึก ครับผมว่ามันอยู่ที่จิตสำนึกมากกว่า
    ในการถ่ายทอดออกมา
  • :]

    7 มีนาคม 2549 15:57 น. - comment id 13669

    :]
  • มือ ไหม้พาย

    7 มีนาคม 2549 18:45 น. - comment id 13672

    ฟากบทกวี มาให้อ่านครับ
    เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ
    1.กวีศรีอยุธยา ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์
    
    \"อโห ใครหนอปล้นชาติไทย\"
    
    ๑  อโห ใครหนอปล้นชาติไทย
    ให้สิงคโปร์ใหญ่เหนือขวัญสยาม
    ตั้งฐานทัพมหันต์ปัญญาทราม	
    ณ สนามบินอุดรฯ เป็นราชธานี ฯ
    
    ๒  ซอกซากเอกราชมีเห็บหมา
    กิเลสตัณหาจะเป็นราชสีห์
    มาพักตัวตั้งฐานกาญจนบุรี	
    ข่มขี่เอกราชของชาติไทย ฯ
    
    ๓  หรือสิงคโปร์อยากเป็นจักรวรรดิ	
    จัดเมืองไทยเป็นชาติร่วมสมัย
    ถามเจ้าตากดูก่อนเป็นไร	
    พม่าใหม่ สิงคโปร์ ใครดีกว่ากัน ฯ
    
    ๔  ซุกหุ้นซุกหวยรวยบัดซบ		
    ไม่รู้จบอัปยศอดสูมหันต์
    เกิดเป็นมนุษย์เมากิเลสมัน		
    ตัณหานั้นจะอุดตันหัวใจ ฯ
    
    ๕  จะอยู่ค้ำฟ้าเหมือนไม้เสียบผี	
    เป็นซากมัมมี่ผีดิบหรือไฉน
    อยู่ยืนหมื่นปีอัปรีย์จัญไร	
    จะหลอกใครหลอกโคตรตนเอง ฯ
    
    ๖  ไม่รู้ค่าสยามดินน้ำลมไฟ		
    หลงอเมริกาเป็นใหญ่โขมงโฉงเฉง
    หรือจะรอสยามให้อลเวง	
    ตามเพลงยถากรรมนำไทยไป ฯ
    
    ๗  อย่างนี้ก้มเงยดูโลกมนุษย์	
    สุดอัปยศอดสูทุกสมัย
    จักรวาลนี้จะดูหน้าใคร	
    เพ่งไปก็เห็นแต่โคตรตนตาย ฯ
    
    ๘  คงจะอยู่คู่ดินน้ำฟ้า	
    คิดไปคิดมาก็น่าใจหาย
    สติปัญญามากเหมือนเม็ดทราย	
    บ่ เห็นได้แต่สักเม็ดเดียว ฯ
    
    ๙  จะเหลืออยู่แต่น้ำกับฟ้า	
    ชะเลภูผาป่าชัฏไพรเขียว
    กับวัดดอนวัดเดียวเจียว	
    หวาดเสียววิญญาณสะท้านเอย ฯ
    
    อังคาร กัลยาณพงศ์
    ตี ๑ ครึ่งล่วงเข้าเช้าวันพุธที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๙
  • มือ ไหม้พาย

    7 มีนาคม 2549 18:47 น. - comment id 13673

    2.กวีรัตนโกสินทร์ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
    
    หายนะ
    
    ชูนิ้วแห่งชัยชนะ
    แท้ หายนะกำลังเยือน
    ดอกไม้ที่ได้เหมือน
    ดอกไม้จันทน์บรรจงวาง
    
    สิ้นแล้วซึ่งคำถาม
    ถึงชอบธรรมอันอำพราง
    นายบ่อนเป็นใหญ่กลาง
    อยู่กลางบ่อนเป็นธรรมดา
    
    สิ้นบุญที่โปรดสัตว์
    ด้วยอาบัติสาหัสสา
    อาบัติแห่งศรัทธา
    ที่เซ้งโบสถ์ไปเป็นทุน
    
    สิ้นศรีก็สิ้นศักดิ์
    ทิ้งพวกพรรคล้วนแผลพรุน
    หมกบาปและเมาบุญ
    เบิกอบายมาบังตน
    
    เดือนมืดแล้วขึ้นสว่าง
    กระจ่างจ้าแจ่มตาคน
    จากสว่างมามืดมน
    โอ้ ใจหาย เสียดายเดือน
    
    ชูนิ้วแห่งชัยชนะ
    แท้ หายนะกำลังเยือน
    ดอกไม้ที่ได้เหมือน
    ดอกไม้จันทน์บรรจงวาง.
    
    เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
    ๔ มีนาคม ๒๕๔๙
  • มือ ไหม้พาย

    7 มีนาคม 2549 18:51 น. - comment id 13674

    3. กวีศรีตุลา วัฒน์ วรรยางกูร
    
    ท่านคือผู้ชนะ
    
    ชนะผู้อื่นหรือคือกร้าวแกร่ง
    เพราะมีแรงมีอำนาจฉกาจกว่า
    ชนะใจตนไซร้ไม่รอรา
    เหนือโลกหล้า ในเมื่อเหนือใจตน
    
    ประวัติศาสตร์มีไว้ให้เรียนเล่า
    ซ้ำรอยเก่ารอยใหม่ในหลายหน
    จำได้ไหมคราบน้ำตาและฝันร้ายของผู้คน
    รอยเลือดบนถนนและไพรพนา
    
    ประวัติศาสตร์มีไว้ให้เรียนเล่า
    เถิดอย่าซ้ำรอยเก่าไม่เข้าท่า
    นกสีเหลืองเสรีที่ลับลา
    ย้ำเตือนจากฟากฟ้าอดีตกาล
    
    สติตรอง สมองคิดมิตรภาพ
    สู่รื่นราบร้อยรักสมัครสมาน
    ธงชมพู ชูพร้อมย่อมเบิกบาน
    อีกช่วงผ่านประชาธิปไตยไทยรุ่งเรือง
    
    ชนะผู้อื่นหรือคือกร้าวแกร่ง
    โดยมีแรงเชี่ยวกรากมากปมเขื่อง
    ชนะใจตนสิมิเปล่าเปลือง
    หยุดทุกเรื่องเลวร้ายในแผ่นดิน
    
    วัฒน์ วรรลยางกูร
    4 มีนาคม 2549
    
    
    -------------------------------
    มาจาก www.prachatai.com
    ขอบคุณไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
  • ค คน

    7 มีนาคม 2549 23:06 น. - comment id 13676

    เลือกเบอร์ 2 41.gif
  • www.geocities.com/niphonny

    9 มีนาคม 2549 11:24 น. - comment id 13681

    ธรณีนี่นี้เป็นพยาน 
    ----------------------- 
    
    แผ่นดินนี้มิพอต่อตัณหา........อนิจจาความอยากและมักใหญ่ 
    ต้องล้างผลาญบ้านช่องพี่น้องใคร........ที่เกิดใต้ร่มพระบารมี 
    
    มหาสมุทรสุดลึกรู้สึกได้........แม้จะใส่น้ำฝนมิล้นหนี 
    คนมักมากหากได้ปฐพี........มิอาจที่เต็มต่อกระเพาะกลวง 
    
    ภายใต้ธงไตรรงค์ย่อมทรงศักดิ์........ย่อมมีสิทธิ์คิดรักพิทักษ์หวง 
    ต่างรักสุขเกลียดทุกข์ในยุคลวง........ยิ่งน่าห่วงประเทศเขตขวานทอง 
    
    เสียงสันติมิมีผลต่อคนคด........กี่กำสรดลำเค็ญยากเข็ญข้อง 
    มิไยดีเท่าเก้าอีที่ยึดครอง........จึงปกป้องบัลลังก์อย่างไม่อาย 
    
    จะกี่ศาสน์ชาติสัตว์มิชัดดอก........เข้าซ้ายออกทางขวาโลภมัวหมาย 
    สมบัติชาติประกาศออกเรียงราย........ปฏิรูปมากมายไม่เพียงพอ 
    
    ต่อไปคงปฏิรูปศาสนา........เอาวัดวามาขายลลายต่อ 
    เยาวชนไม่สร้างดั่งหัวตอ........นี่ละหนอผู้นำยุคทำกิน 
    
    ----------------------- 
    บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก 
    ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
  • www.geocities.com/niphonny

    9 มีนาคม 2549 11:25 น. - comment id 13682

    ข้าแผ่นดิน
    ---------------------
    
    สรรพสิ่งนิ่งเฉยมิเคยเห็น
    ล้วนเปลี่ยนเป็นแปรไปเงื่อนไขบ่า
    ด้วยมีเหตุเภทภัยส่งให้มา
    ผลนั่นหนาตามเหตุที่เจตน์จง
    
    ซื่อนั้นกินไม่หมดไม่อดอยาก
    ตะกระมากกินราบเขาสาปส่ง
    มีอำนาจใช้เป็นร่มเย็นพงศ์
    หากมัวหลงใช้ผิดย้อนปลิดชนม์
    
    แม้ยังอยู่ดูแล้วมิแคล้วคลาด
    เงาอุบาทว์แสดงทุกแห่งหน 
    หลบซอกผาลาไกลประเทศตน
    ก็ยังหม่นหมองจิตกรรมฤทธี
    
    เงินทั้งผองกองลงที่ตรรงหน้า
    ไร้คุณค่าสุดยื้อซื้อศักดิ์ศรี
    ถูกสาปส่งพงศ์พันธุ์ลั่นธานี  
    จะหลบหนีหนใดยังได้ยิน
    
    กลับอีกด้านสานต่อกอปรก่อเกียรติ
    มิบังเบียดกอบโกยมิโชยกลิ่น
    กี่สมัยอยู่ได้ไร้ราคิน
    ดุจบดินทร์ราษฎร์เชิดเทอดพระคุณ
    
    รับอาสามาเป็นข้าหลวงแล้ว
    หากผ่องแผ้วแนวประชาแห่มาหนุน
    ถ้าโสมมจมดินเมื่อสิ้นบุญ
    แหลกเป็นจุณเพราะกรรมที่ทำเอง
    
    --------------------
    บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก 
    ๖  มีนาคม  ๒๕๔๙
  • เหลืออด หมดศรัทธา

    5 มีนาคม 2552 14:43 น. - comment id 22563

    พวกคน  ไถ  ทำลายกฎหมายชน
    ยังจี้ปล้นเมืองไทยทำลายชาติ
    รู้บ้างไหมพวกคนไถ  ใจอุบาทว์
    ทรราชทำอะไรไร้ปัญญา
       ยุบสภา เลือกตั้งอย่างสง่า
    ยังดีกว่า หน้าด้านผลาญภาษี
    ไปกู้หนี้ยืมสิน ประชาชี
    เขาใช้หนี้ให้พวกมึงไม่เป็นธรรม
       ประชาชนมากมายไม่มีกิน
    ไม่ได้ยินเสียงร่ำไห้ เขาใช่ไหม
    สร้างรอยแค้นแทนศรัทธาหรืออย่างไร
    เชิญ...ตามใจ...ตามสบายก็แล้วกัน
     
    
    15.gif15.gif
  • อิสระ สันติ

    5 มีนาคม 2552 15:17 น. - comment id 22564

    กฎหมายใช้เที่ยงธรรม
    ย่อมนำสันติสู่ทุกหมู่ชน
    สงบสุขทุกแห่งหน
    ทุกข์กังวลไม่กล้ำกราย
       ความรักประชาธิปไตย
    เกิดจากใจใช่ซ้ายขวา
    สีสรรย่อมไร้ค่า
    ไร้ภาษามาอ้างอิง
        รักชาติ  ศาสนา พระมหากษัตรา
    สงบอย่างสง่า
    สร้างปัญหากันทำไม
    กฎหมายปีสี่ศูนย์ นั่นสมบูณย์นำมาใช้14.gif
  • โจโฉ

    4 สิงหาคม 2552 13:10 น. - comment id 23567

    บทกลอนไว้อาลัยการต่อสู้ทางการเมืองในปัจจุบัน
    การเมืองยากหลีกเลี่ยงรุ่นแรง
    ต่างฝ่ายก็มุ่งหวังแสดงอำนาจ
    ความคิด คิดความอ่านร้ายล้นราน
    ดื้อดึง ดักดาน เปลี่ยนยากอคติ
         กลุ่มการก่อเกิดกลุ่มดี
         สร้างวีรชน กลุ่มคน คนธรรมฯ
         สร้างบทเรียน  สร้างสงบสันติ
         แนวทางแก้ไขร่วมสร้างสังคม
    หาทางออก  ออกแบบดีดี
    หรือปล่อยกาลกวีเวลาลบเลื่อนอดีตยากเยียวยา
    อย่าให้หนทางเหมือน  14  ตุลา
    ที่นิสิต  นักศึกษาออกมาต่อสู้เพื่อการเมือง
          นิสิต  นักศึกษา  ออกมาสู้เพื่อสังคม
          ปัจจุบันเป็นแค่เรื่องเล่า เล่าเรื่องเช้านี้
          ที่ยากบทกวีบทเก่าจะหวนคืนเป็นเรื่องจริง
          เพราะแสง  สี เสียง  กลบเกลื่อนเสียสิ้น....สิ้นและสิ้น....ดับไป

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน