โลกที่โตขึ้น เมื่อเราอยู่ใกล้ แต่เหมือนไกลคนละโลก!!!

เพลงกลางป่า

ผมเป็นคนหนึ่ง ที่หลงใหลในมนต์เสน่ห์ของคอมพิวเตอร์อยู่ไม่น้อยเลยนะ
มากแค่ไหน มากพอที่ผมเคยอดข้าวอดน้ำ เรียนสร้างเว็บไซท์ เขียนโปรแกรม
คอมพิวเตอร์ ฯลฯ แต่ใจความสำคัญของบทความนี้ไม่ได้อยู่ที่เรื่องของความก้าว
หน้าทางเทคโนโลยีหรอกครับ ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่า มันจะก้าวหน้า หรือ
ก้าว " ถอยหลัง " หรือว่า จะ " หยุดอยู่กับที่ " ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับ
   เรื่องมันก็มีอยู่ว่า มันเกิดจากตัวผมเอง เกิดจากชีวิตจริงๆ ของคนคนหนึ่ง ไม่
ได้เป็นการแต่งขึ้นเลยสักนิด พูดง่ายๆก็คือ ชีวิตจริง
เรื่องย่อก็คือ
    ทุกเย็นหลังจากกลับบ้าน ผมจะมาเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเข้าอินเตอร์เน็ต ท่อง
อินเตอร์เน็ต จนสามทุ่ม ผมก็ไปอาบน้ำ ถึงประมาณ สามทุ่มครึ่ง ผมก็มาทำการ
บ้าน อ่านหนังสือ กว่าจะนอนก็ประมาณเที่ยงคืน ผมตื่นตีห้ามาอ่านหนังสือต่อ 
และก็เตรียมตัวไปโรงเรียน ผมทำอย่างนี้แทบทุกวัน วันเสาร์ผมก็ไปเรียน
พิเศษ กลับมาตอนบ่ายๆ ผมก็เปิดคอมพิวเตอร์ฟังเพลงคลายเครียด ตอนเย็นๆ
ผมไม่เข้าใจบทเรียนอะไรผมก็จะมาเปิดหาใน กูเกิ้ล หาคำตอบดู ไม่ต้องซักถาม
อาจารย์ให้เสียเวลา
     พออ่านๆดูแล้ว หลายๆคนก็คงจะหมั่นใส้ผมไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ ว่าทำไม
ใช้ชีวิตอะไรที่ค่อนข้างจะใช้เวลาไม่เป็นประโยชน์อะไรเสียอย่างนี้เลย มันไม่
เป็นประโยชน์อย่างไรล่ะ ในเมื่อผมก็อ่านหนังสือ ทำการบ้าน เปิดหาอ่านข้อมูล
     มันไม่ใช่แค่นั้นหรอกครับ ผมเชื่อว่าหลายๆคนก็คงจะบอกได้แล้วว่าผมกำลัง
จะพิมพ์ว่าอะไร
     ทุกเย็นที่ผมกลับบ้านมา แม่ผมเรียกทานข้าวด้วยกันทุกครั้ง พ่อผมทำงาน
บางทีก็เลิกดึก  แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิดมากมาย
แค่ไม่ได้ไปกินข้าวกับแม่ แต่พอผมคิดได้ เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ผู้ชายก็
ผู้ชายเหอะ ผมก็น้ำตาร่วงเหมือนกัน
    - มันไม่ใช่แค่ผมหาข้อมูลในเน็ต แต่พอว่างๆผมจะแชทในห้องแชท 20 - 30
นาที ก่อนจะไปอาบน้ำ
    - มันไม่ใช่แค่ทำการบ้าน อ่านหนังสือ ผมจะคุยโทรศัพท์กับแฟน 10 - 15 นาที
    - มันเป็นการค้นหาการบ้านที่ดี แต่ผมพูดคุยกับอาจาย์น้อยลง ผมมีมนุษย
สัมพันธ์น้อยลง
     ตอนนี้แม่ของผมชราลงทุกวันแล้ว ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของแม่เริ่มปรากฎเด่น
ชัดขึ้นทุกวัน ผมไม่ได้แช่งแม่นะครับ แต่ใครจะรู้ว่าท่านจะอยู่กับเราไปได้นาน
แค่ไหน ตราบที่ลมหายใจยังอยู่ เราน่าจะทำสิ่งที่ดีกว่าท่านได้มากกว่านี้
     ผมมาเริ่มคิดได้ตอนที่ผมไปร้านอินเตอร์เน็ต บางคนนั่งเล่นเน็ต แชทกัน
ไม่น่าเชื่อ ผมก็แปลกใจว่า แต่ละคนที่เล่น โต๊ะอยู่ห่างกันไม่ถึงสองเมตร ทำไม
ไม่มานั่งคุยกันเองล่ะ ไม่เสียค่าเน็ตด้วย ไม่เปลืองค่าไฟด้วย ไม่ต้องพิมพ์ให้
เมื่อยมืออีกต่างหาก
    ผมย้อนคิดไปถึงแม่ เย็นเดียวกันที่ผมกลับไปที่บ้าน แม่มาในห้องผมแล้วพูด
ว่า ลูก มากินข้าวกับแม่มา แม่จะรอนะ
    ผมไม่ไป ไม่ใช่เพราะว่าผมดื้อนะ แต่ผมร้องไห้เสียใจว่า ขณะที่ผมกำลังคุย
แชทในเน็ตกับคนที่อยู่ห่างไกลกันหลายสิบ หลายร้อยกิโลเมตร โดยที่ผมไม่ได้
คุยกับคนที่รักผมมากกว่าชีวิตตัวเอง แต่อยู่ห่างจากผมเพียงห้องถัดไป
   ผมคุยค่าโทรศัพท์ นั่งหัวเราะกับแฟน โดยที่แม่ผมทานข้าว และดูทีวีอยู่คน
เดียว
    - จะเสียเวลาสักแค่ไหน ถ้าผมนั่งทานข้าวกับแม่ พูดคุยกับแม่ทุกวัน แล้วผม
เลิกแชทกับคนที่อยู่ไกลกันไม่รู้กี่กิโลเมตร
    - จะเสียเวลาแค่ไหนถ้าผมคุยกับแฟนเพียงอาทิตย์ละครั้ง แล้วนั่งดูทีวีกับแม่
    - จะเสียเวลาแค่ไหนกัน ถ้าผมนั่งลงข้างหน้าโต๊ะอาจารย์แล้วพูดว่า
อาจารย์ช่วยสอนตรงนี้หน่อยครับ ผมไม่เข้าใจ
    นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยของเทคโนโลยีที่ทำให้โลกใบนี้เปลี่ยนไปนะ เทคโนโลยี
น่ะ มันมีประโยชน์ แต่ว่าใครจะใช้มันอย่างไรก็แค่นั้นเอง ทุกอย่างบนโลกนี้
มีประโยชน์หมด เพียงแต่เราต้องรู้จักใช้ แม้กระทั่งขี้ที่ใครรังเกียจ ยังเอาไปทำ
ปุ๋ย ให้ต้นไม้เจริญงอกงามออกดอกออกผลให้คนกินได้เลย
    ผมยอมรับผิด และผมกล้าที่จะรับความจริง ผมกล้าที่จะประนามตัวเองว่าผม
เคยทำตัวเป็นวัยรุ่นไร้สาระแบบนี้มาก่อน
    ใครที่ยังเป็นแบบนี้อยู่ ลองเปลี่ยนพฤติกรรมนะครับ
 ข้อความที่อ่านมาทั้งหมดนี้มันไม่ซึ้งหรอก แต่จริงใจนะครับ ผมหวังว่าหลายๆคน
ที่เคยเป็นแบบผมก็คงจะคิดได้ ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นก็ขอชมเชย
 เอาไว้แค่นี้ก่อนนะ หายใจไม่ออก น้ำมูกเต็มแล้ว น้ำตาไหล...
ปล.( ปัจฉิมลิขิต ) แม่ครับ ผมขอโทษ ผมรักแม่นะ
ผมจะกอดแม่ และดูทีวีกับแม่ตลอดไปนะครับ  แม่...				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน