อนัตตา ฉบับไอที

ถนปายี

มีอยู่วันหนึ่ง เพื่อนโทรมาปรึกษาเรื่องจะซื้อคอมใหม่ ด้วยความเข้าใจว่าผมเป็นนักศึกษาปริญญาโทด้านไอที น่าจะมีความรู้ด้านนี้ดี 
แต่พอผมตอบกลับไปว่าให้ไปถามคนอื่นเถอะ เพราะตัวผมน่ะแสนจะโง่เรื่องคอมเลย อย่าว่าแต่จะให้คำปรึกษาว่าจะซื้อคอมรุ่นไหน สเป็คไหนดี แม้แต่จะให้ฟอร์แมทลงวินโดวส์เองก็ยังทำไม่เป็นเลย เพื่อนผมคนนั้นถึงกับประนามสถาบันการศึกษาที่ผมเรียนอยู่ 
อย่าเลยครับ! โทษผมคนเดียวก็พอแล้วที่ความรู้ในห้องเรียนไม่ช่วยอะไรเลย อย่าไปลงที่ครูบาอาจารย์หรือสถาบันการศึกษาให้เป็นบาปติดตัวผมเลยครับ
พอเพื่อนผมหายหงุดหงิดที่อุตส่าห์เสียตังค์โทรมาหาแต่ไม่ได้เรื่องอะไร มันก็ว่าเอาสเป็คคล้ายๆผมก็ได้ เพราะเคยมาที่บ้านผมและลองใช้แล้วเห็นว่ามันก็ยังใช้งานได้ดี ผมก็ตอบกลับไปว่า......
.....ไอ้เทคโนโลยีสารสนเทศพวกนี้น่ะ ซื้อปุ๊บก็ตกรุ่นปั๊บแล้ว เหมือนมือถือนั่นแหละ มีรุ่นใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาตลอดจนเราไม่มีทางตามมันทันได้ หรือไม่งั้นก็ต้องบ้าซื้อเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 3-4 เดือน
เพื่อนคนเดิมเลยถามกลับมาอีกทีว่าผมซื้อคอมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อได้ยินคำถามนี้ผมได้แต่หุบปากเงียบ ชายตาเหลือบไปมองคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะในระยะเอื้อมถึงจากจุดที่ผมนั่งคุยโทรศัพท์อยู่
มีเสียงพูด "ฮัลโหลๆ" ดังมาจากปลายสายซ้ำๆกัน คงนึกว่าที่เงียบเป็นเพราะสายตัดไปแล้ว ผมจึงต้อง "อือม์" ตอบกลับไปด้วยเป็นคำติดปาก แล้วสายโทรศัพท์ก็เงียบเสียงลงอีกครั้ง 
เหมือนต่างฝ่ายต่างเล่นเกมส์ที่มีกติกาว่าใครออกปากพูดก่อนเป็นผู้แพ้ ทั้งผมและเพื่อนไม่มีใครยอมกล่าวอะไรออกมาอยู่เป็นนาน ที่ทำให้ผมยังมั่นใจได้ว่าคู่สนทนายังไม่ถึงกับสุดทนจนวางหูทิ้งไปแล้ว ก็เพราะผมยังได้ยินเสียงฟึดฟัดเมื่อปลายสายระบายลมหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด
ผมมองจอมอนิเตอร์ที่เปิดทิ้งเอาไว้ก่อนพูดกรอกหูโทรศัพท์ไปว่า "จะเอาชิ้นส่วนไหนล่ะ?" 
"หา?" เพื่อนผมตอบกลับมาเป็นคำถามแล้วก็เงียบไปอีกรอบ 
ผมรอคิดว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ แต่เมื่อมั่นใจว่าเกมส์ใครพูดก่อนเป็นคนแพ้กำลังจะเริ่มอีกยก ผมจึงชิงเป็นฝ่ายยอมแพ้เสียก่อนที่บทสนทนาด้วยความเงียบจะกินเวลายืดยาวออกไป 
"ที่ถามว่าซื้อเมื่อไหร่ หมายถึงชิ้นส่วนไหนล่ะ? ถ้าเป็นแรมก็ซื้อตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ฮาร์ดดิสเพิ่งมาใส่เพิ่มปลายปีก่อนแต่ตอนนี้ก็ใช้เกือบเต็มเนื้อที่แล้ว ล่าสุดก็ดีวีดีไร์ทเตอร์เมื่อต้นเดือนนี่เอง" 
ใครใช้คอมพิวเตอร์มาสักระยะหนึ่งต่างก็ต้องมีประสบการณ์เดียวกับผมทั้งนั้น อย่างที่ว่ามาแล้วว่าเรื่องไอทีมันมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาเร็วมาก ใช้ไปได้สักพักสเป็คคอมพิวเตอร์ของเราก็ชักจะช้าและอาจไม่รองรับโปรแกรมหรือฮาร์ดดิสตัวใหม่ๆซะแล้ว 
ระบบประมวลผลที่เคยภูมิใจนักหนาว่าเร็วที่สุดในท้องตลาดแล้วก็ค่อยๆกลายสภาพเป็นเต่าติดสเก็ตไปในระยะเวลาไม่ช้านาน แม้จะไม่มีปัญหาเรื่องไวรัส ไฟช็อต หรือคอมแฮงค์ไปดื้อๆตอนเราใช้งานอยู่ 
ในที่สุด....ไม่ช้าก็เร็วมันก็ถึงเวลาที่เราจะต้อง "อัพ" สมองกล อุปกรณ์ไอทีที่พาเราท่องโลกแห่งไซเบอร์ 
บางคนเปลี่ยนซีพียูและการ์ดจอ เพิ่มแรมหรือฮาร์ดดิส เพื่อรองรับโปรแกรมหรือเกมส์ตัวใหม่ๆ บางคนถอดเมส์ตัวเก่าทิ้งทั้งที่ยังใช้งานได้ดีอยู่เพียงเพราะแค่อยากลองใช้เมาส์แบบไร้สายรุ่นล่าสุด ขณะที่บางคนเปลี่ยนคีย์บอร์ดเพราะตัวหนังสือบนแป้นพิมพ์เลือนลางไปตามความหนักหนาสาหัสในการใช้งาน 
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ไอทีที่ถูกออกแบบมาให้ง่ายต่อการถอดเปลี่ยนอะไหล่ ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Plug & Play
เมื่อเพื่อถามผมขึ้นมาว่าผมซื้อคอมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ผมจึงได้แต่อึ้งและไม่สามารถมีคำตอบให้ได้ในทันที ตลอดสิบปีที่ผมมีคอมพิวเตอร์ไว้ใช้เล่นเกมส์ ท่องเนต พิมพ์รายงานต่างเครื่องพิมพ์ดีด และดูแผ่นหนังแทนทีวี ผมได้ทำการ "อัพ" ทั้งชุดเล็กและชุดใหญ่ไปไม่น้อยกว่า 5-6 ครั้งแล้ว 
มีเพียงมอนิเตอร์ขนาด 15 นิ้ว ซึ่งตัวโครงครั้งหนึ่งเคยเป็นสีขาวแต่ตอนนี้เหลืองซีดตามกาลเวลาเท่านั้นที่ยังเป็นเครื่องระลึกถึง "คอมตัวแรก" ของผมเมื่อครั้งกระโน้น
จะให้ผมตอบเพื่อนกลับไปได้ยังไงว่า...ผมซื้อคอมมาตั้งสิบปีแล้ว ทั้งที่ดีวีดีไรท์เตอร์ยังไม่หมดอายุประกัน แต่ผมก็พูดไม่ได้เช่นกันว่ามันเป็นคอมเครื่องใหม่ เพราะอะไหล่ส่วนใหญ่มีอายุเกินสองปีด้วยซ้ำ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงได้แต่นิ่งเงียบเมื่อเพื่อนถามคำถามง่ายๆ แต่ตอบได้ยากเย็นเหลือเกิน
ที่ว่าตอบยาก เป็นเพราะเพื่อนคนนั้นถามคำถามเชิงปรัชญาอันลึกซึ้งโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว แถมมันยังเป็นข้อถกเถียงที่โต้แย้งกันนับพันปีจนถึงทุกวันนี้ก็ยังหามติเอกฉันท์เป็นที่พอใจของทุกคนไม่ได้ เพื่อนของผมกำลังถามหาอัตลักษณ์หรือ "ตัวตน" ของคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ทั้งที่มันไม่มีอยู่จริง 
คอมพิวเตอร์นั้นมีอยู่จริง ใครก็เถียงไม่ได้ มิเช่นนั้นผมจะใช้อะไรพิมพ์ข้อความเหล่านี้ หรือใช้อะไรทำบล็อคที่นี่ล่ะ แต่สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงก็คือ "ตัวตน" ของคอมนั่นเอง
ลองพิจารณาดู....เราจะถือว่าอะไรคือคอมของผมเล่า? คีย์บอร์ดที่ผมใช้นิ้วจิ้มพิมพ์ตัวอักษรเหล่านี้? จอมอนิเตอร์ที่แสดงผลการทำงาน? ซีพียูซึ่งเปรียบเสมือนมันสมอง? สายบัสซึ่งทำหน้าที่ส่งกระแสไฟฟ้าไปเลี้ยงยังชิ้นส่วนน้อยใหญ่เช่นเดียวกับหัวใจ อะไรกันที่สามารถอ้างสิทธิ์ว่าคือ "คอมพิวเตอร์ของผม" ได้?
ไม่มีชิ้นส่วนไหนชิ้นส่วนเดียวที่สามารถ "เป็น" คอมพิวเตอร์ของผมหรือของใครๆได้ แต่เพราะมันประกอบและทำงานร่วมกันกับอุปกรณ์ชิ้นอื่นๆ นั่นแหละ "ความเป็น" คอมพิวเตอร์จึงเกิดขึ้น ต่อเมื่อเราแยกชิ้นส่วนออก ซีพียูรุ่นใหม่ล่าสุดก็เป็นได้แค่เศษเหล็กหรือที่จริงแย่กว่านั้นมันคือขยะอิเล็คทรอนิกส์ที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมด้วยซ้ำ และจอมอนิเตอร์โดดๆตัวเดียวเป็นได้อย่างมากก็แค่ตู้ปลาเท่านั้นเอง
ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์เหล่านี้จะยังคงเป็นคอมพิวเตอร์ได้ก็ต่อเมื่อมันประกอบและทำงานร่วมกันเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้โลกของเราจึง "ว่าง" จากตัวตน เพราะไม่ช้าก็เร็วองค์ประกอบต่างๆแม้แต่อวัยวะในร่างกายที่รวมกันเข้าเป็นตัวเรา ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงและแตกสลายไปพร้อมกับตัวตนที่มันสร้างขึ้น ไม่เว้นแม้แต่วิญญาณที่เราเชื่อว่าเที่ยงแท้
แม้แต่คอมพิวเตอร์ สิ่งประดิษฐ์ที่ทันสมัยที่สุดของมนุษย์ยุคใหม่ก็ยังยืนยันพระสัจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงประกาศไว้กว่าสองพันปีก่อนว่า.....สรรพสิ่งทั้งที่เป็นรูปธรรม-นามธรรม ทั้งที่เราสัมผัสได้ด้วยกายและเข้ามากระทบเราในใจ ทั้งที่หยาบเหมือนพื้นผิวกรวดหรือละเอียดนุ่มเช่นปุยนุ่น ต่างก็มีคุณสมบัติ 3 ประการทั้งสิ้น กล่าวคืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
สิ่งต่างๆที่เราเห็น เราสัมผัส เราจับจองเป็นเจ้าของนั้น...มีอยู่จริง แต่มันจะ "เป็นจริง" อย่างที่เราเห็นแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แล้วมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา(อนิจจัง)ถ้าเราเข้าไปยึดติดและพยายามฉุดรั้งให้มันคงเดิม ก็จะได้รับแต่แรงบีบคั้นเสียดแทงใจ(ทุกขัง)เพราะไม่มีอะไรเลยที่เป็นตัวเป็นตน(อนัตตา)อันแท้จริง
หลังจากที่พูดคุยกันด้วยเรื่องต่างๆให้พอหายคิดถึงกัน เพื่อนผมก็กระแทกหูวางโทรศัพท์ไปด้วยความขัดใจที่ผมไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้มากนัก ผมกลับมานั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ยังเล่นเปิดเนตค้างเอาไว้ แต่ด้วยสายตาที่ต่างออกไป.......... 

             ******************************************
อิมัสมิง สติ อิทัง โหติ
เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนี้ย่อมมี
อิมัสสุปาทา อิทัง อุปัปชัชติ
เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
อิมัสมิง อสติ อิทัง น โหติ
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี
อิมัสสะ นิโรธา อิทัง นิรุชัฌติ
เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป
                  พุทธพจน์				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน