24 กันยายน 2547 16:23 น.

คิดให้ดีเสียก่อน จะอ้อนเรไร

เรไร



ชมอักษร อ้อนเรไร กลุ้มใจนัก
หาว่าหัก หนทาง ให้ร้างคู่
โถบังอร เพียงอยากอ้อน เว้าวอนดู
เพียงอยากรู้ ออดอ้อนชาย ได้อย่างไร

อย่ามาอ้อน เสียให้ยาก ลำบากนัก
ใจยังรัก หญิงกับหญิง แอบอิงไว้
เอ่ยวจี เว้าวอน อ้อนทำไม
หากไม่ใช่ หารักแท้ แม่หน้ามล

อกของฉัน ไม่ใหญ่ ไหล่ไม่กว้าง
มีที่ว่าง น้อยนิด หรือคิดสน
ถึงฐานะ ยากไร้  ใจไม่จน
ถ้าไม่บ่น อะไร ให้เข้ามา

จะคอยต่อ คำกลอน ที่อ้อนไว้
รักษาใจ ที่พลั้งพลาด หวาดผวา
แล้วพาให้ ชื่นชม สมอุรา
ดึงคุณค่า ที่ตราไว้ ในดวงมาลย์

ที่เคยทำ เกรี้ยวกราด ตวาดฉัน
เปลี่ยนเป็นหวั่น สะท้านใจ ให้สงสาร
ให้เฝ้าวอน งอนง้อ ทรมาน
เคยรำคาญ  ให้คิดถึง รำพึงไป

ชมอักษร คิดดี หรือที่อ้อน
กลัวจะนอน เพ้อพร่ำ น้ำตาไหล
ทุกราตรี จะไขว่คว้า หาเรไร
หรือถามใคร ถามหัวใจ ดูให้ดี


@@@@@@@@@@@@@@@@@


http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_61937.php

ตอบคุณชมอักษรที่อ้อนเรไร กับ คุณอัลมิตรา ที่ว่าจะเกทับ หรือจะหมอบ ก็ทำได้เท่านี้แหละครับ อิอิอิ

@@@@@@@@@@@@@@@@@
				
22 กันยายน 2547 02:50 น.

แม่หญิงเรือนไทย ไตรภาค

เรไร



ทำทะลึ่ง ตึงตัง ยังไม่ถึง
ห้อตะบึง รีบเร่ง เกรงจะช้า
มัวแต่ฟัง สาวเรือนน้อย  ร้อยอักขะรา
ขึ้นธารา ณ บัดนี้ ดีแน่เรา

เห็นศาลตั้ง สูงเด่น เป็นสง่า
มือวันทา กราบกราน ท่านผู้เฒ่า
ด้วยข้านี้ มีทุกข์ ช่วยบรรเทา
แลปัดเป่า ให้หาย มลายที

ขอบนบาน ด้วยกุศล มาดลจิต
ให้เขียนขีด อักษร สมรศรี
ใครแลอ่าน ซาบซึ้งรส บทกวี
สมประดี ถวิลหวัง ตั้งกมล

พลันนภา มืดมิด จิตสะท้าน
ที่บนบาน ศาลไว้ คงได้ผล
จึงบังเกิด กำเนิดควัน ในบันดล
ประหม่าล้น เบิกเนตร อาเพทใด

มหัศจรรย์ เมจิกครวญ นวลอนงค์
แม่โฉมยงค์ กามนิตสาว เจ้าหัวใจ
ด้วยแผลงศร ซ้อนรัก สลักใน
ถูกผู้ใด ต้องมีคู่ ชูชีวี

แต่ตัวข้า กลับสงสาร กามนิต
หรือลิขิต ขีดคง อนงค์นี้
ต้องโดดเดี่ยว ตราบสิ้นฟ้า มหานที
คันศรนี้ สถิตย์อยู่ เป็นคู่กาย

เห็นใต้ถุน เรือนไทย คนคับคั่ง
งามสะพรั่ง บ้างเล่นสี ดนตรีสาย
ทั้งฉิ่งฉับ ระนาดเอก วิเวกพราย
หมดเดียวดาย สิ้นอาดรู พูนสุขกัน

ทำอืดอาด เยื้องย่าง ไปข้างหน้า
สืบเท้ามา ไม่แชเชือน ถึงเรือนนั้น
ค่อยก้าวเดิน ขึ้นช้า ทีล่ะขั้น
ถึงสูงชัน ไม่หวั่น พรั่นทรวงใน

บนนอกชาน มีกระดาน ให้ขานชื่อ
ลงลายมือ ลายเซ็นตร์ เน้นเอาไว้
บ้างก็ลง สมุดเยี่ยม เปี่ยมจริงใจ
บ้างก็ไร้ สามัญ สำนึกคน

นึกจะพ่น บ่นไป ไม่เคยคิด
แค่ได้ขีด ความเห็น ให้เป็นผล
บทกวี เคยอ่านไหม หรือไม่ยล
ก็ยังทน สีข้างแลก เถือกแถกไป

อยากสร้างชื่อ ระบือเรื่อง เปรื่องคุจปราญช์
ความสามารถ มากล้น ทนไม่ไหว
จึงสำแดง ฤทธิ์เดช อาเพทภัย
ออกมาให้ คนครั่นคร้าม อารามกลัว

หลงระเริง บันเทิงใจ ในอักษร
เห็นงามงอน ซ่อนเศร้า เงาสลัว
จึงเพ่งมอง พินิจ ไม่คิดกลัว
นางอย่ามัว นิ่งเฉย เฉลยมา

อย่าเอื้อนเอ่ย นามฉัน  ฟ้าที่รู้
ฉันเพียงอยู่ มาเรียน เขียนภาษา
ด้วยอ่อนน้อย ด้อยในบท รจนา
หาวิชา ติดไว้ ไม่อายใคร

ไหว้ผู้ใหญ่ บ้านเรือนไทย ก็ไถ่ถาม
เจ้ามาตาม ลุ่มหลง อนงค์ไหน
หรือมาเรียน เขียนอักษร เป็นกลอนไทย
จงขานไข บอกเหตุ เจตจำนง

ข้าจึงได้ เอ่ยน้ำคำ พร่ำวาจา
เฉลยว่า พลัดหลงไป ในแดนคง
ด้วยตามหา  หัวใจ ใฝ่พะวง
ใช่ลุ่มหลง อนงด์ใด ให้เพ้อครวญ

ได้สดับ รับฟัง หวังกลับบ้าน
เพื่อพบพาน กระท่อมเก่า ที่ข้าหวน
ถึงไม่ได้ ใหญ่โต โก้เชิญชวน
ไม่มีนวล นางไหน ใครรอเลย

กลับหลังหัน หวั่นจิต คิดคะนึง
ใคร่ครวญถึง ผกางาม แม่ทรามเชย
แต่ละนาง ดูหัวใจ ช่างเฉยเมย
ไฉนเลย จะได้ชม ให้สมใจ

ด้วยรูปชั่ว ตัวดำ ปัญญาด้อย
แถมต่ำต้อย ปัญญา เขาว่าไว้
ไร้เสน่ห์ เล่ห์กล มาดลใจ
โฉมวิไล ไหนเล่า ที่เฝ้าพร่ำ

มาทำบ่น ก่นว่า บ้าบอบ้าง
ชายพันธ์ทาง วจี ที่เอ่ยย้ำ
เป็นขุนแผน แปลงกาย ในน้ำคำ
ให้เจ็บจำ ทำข้า หมดค่าชาย

คับแค้นใจ ในอดีต เคยคิดไหม
ดูหรือไม่ ใยเขาลี้ ให้หนีหาย
หญิงหรือไม่ ที่คุดคู้ อยู่ข้างกาย
เพราะปากร้าย กัลยา มาว่าเอา

สาปแช่ง วอดวาย ตายให้หมด
ทุรยศ คดโกง โยงให้เขา
แล้วมารัก ทำไม ให้ใจเศร้า
หรือเห็นเงา เทพบุตร ดุจเนื้อทอง

ฉันไม่ได้ นางไหน อย่าได้หวัง
ทำเหมือนดัง หมูหมา มีเจ้าของ
จึงประทับ จับมา ตีตราจอง
นึกไต่ตรอง เฝ้าคิด ปลิดชีวัน

ใครจะอยู่ เป็นคู่แท้ แม่คุณเอ๋ย
ปากทรามเชย ดั่งคมมีด กรีดความฝัน
ต้องจากจร ก่อนถูกปาด ให้หวาดพลัน
ละเลงกัน ให้เละ ซ้ำเตะไป

เอ๊ะนั่นใคร ชายชุดขาว ในราวป่า
องค์เทวา อารักษ์ พิทักษ์ไพร
ให้เร่งร้อน  สืบเท้า เข้ามาใกล้
เห็นแต่ไกล กลายเป็นชุด บุรุษพยาบาล

เสียงเอะอ่ะ นั่นหนา หาแทบตาย
มาหนีหาย มีเที่ยวท่อง ร้องขับขาน
มาเร็วมา  รีบจับ กลับโรงบาล
ไปสมาน รักษาที่ ศรีธัญญา


@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

ขอประนม ก้มกราบ บาทบาทา
หากแม้ว่า พาดพิง อิงผู้ใด
ขอสมา ลาโทษ  โปรดเห็นใจ
ขออภัย จากเรไร ด้วยใจจริง

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
				
20 กันยายน 2547 23:57 น.

ทวิภาค แม่หญิงเรือนไทย

เรไร



มาตั้งนาน เห็นเรือนไทย ไม่ไกลนัก
มัวแต่ทัก ทายกัน ฉันท์พี่น้อง
จะขึ้นไป กราบผู้ใหญ่ ดั่งใจปอง
กลับมาต้อง เดินหยุด สะดุดลง

กินนรี พนาไหน หรือใครนั่น
ให้ตัวสั่น ตกใจ ให้งวยงง
มาแต่ไหน ฤทัย ให้สัยสง
หรือนางคง หลงป่า พนาไพร

อรนุช สุดสวาท พิลาศนาม
ฉันมาตาม จินตนาการ ที่ฝันใฝ่
จึงพลัดหลง ลึกลง ในพงไพร
เจอบ้านใหญ่ เรือนไทย หวังได้อิง

จากกลิ่นไอ ความฝัน อันหอมกรุ่น
มาสิ้นสูญ เลือนลับ ดับทุกสิ่ง
ดวงหทัย วิบหาย วายประวิง
เมื่อความจริง ทั้งหมด ปรากฏกาย

นามกระเดื่อง คนเขาลือ ชื่อกี้กี้
นางนงค์นี้ หัวใจแหลก แตกสลาย
จึงลังเล จะรักใหม่ ยังไม่วาย
กลัวจะหาย เหมือนรักก่อน ที่ซ่อนมา

ให้พร่ำเพ้อ ตกจริต คิดวิตก
ใจเวียนวก ว่าผู้ชาย ร้ายหนักหนา
หลายอารมณ์  หลายรัก จะชักพา
บ้างก็ว่า บ้าบอ ขอไปที

ไปไม่ถึง เรือนไทย ที่หมายมั่น
ด้วยนางนั้น เกรี้ยวกราด คอยขัดขา
หวังให้ล้ม จมใน พสุธา
ปรารถนา ให้ดับดิ้น สิ้นชีวี

เดชะบุญ หนุนนำ ค้ำชีวิต
เซมาติด หยุดยัง ฝั่งนที
เห็นกอกก นางนิ่งนึก ตรึกฤดี
ทุกราตรี คนึงล้น ถึงคนไกล

จิตฝันใฝ่ ชายคนนั้น ที่ฝันหา 
แต่เขาลา ร้างล้าลด ทั้งหมดให้
จะอยู่ที่ แว่นแคว้น ณ แดนใด
หรืออยู่ไหน กลับมา หาฉันที

กระโดดน้ำ แหวกว่าย กลางสายชล
ชื่นกมล สราญรมย์ สมประดี
เห็นใบไม้ ในระหาน ธารวิถี
ในนที มีวังวน โถจนใจ

กระอักอ่วน ป่วนจิต คิดสงสัย
สาวใบไม้ ใจเจ้านั้น สั่นหวั่นไหว
กลัวหัวใจ เพียรมอบ ตอบผู้ใด
จะเจ็บไป เปล่าเลย ดังเคยมา



@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

ขอจบบท ทวิภาค ด้วยฝากไว้
ขออภัย หากล่วงล้ำ ให้ช้ำจิต
ขอเมตตา ปราณีมา ข้าสักนิด
หากว่าผิด พลั้งไป ให้กรุณา

หากวาจา จาบจ้วง ให้เคืองขุ่น
ขอน้อมบุญ อโหสิกรรม ฉันนั่นหนา
เพียงวจี เอ่ยคำ พร่ำพรรณา
ใช่ด่าว่า เหน็บแนม ให้แคลงใจ

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@				
20 กันยายน 2547 20:44 น.

แม่หญิงเรือนไทย

เรไร



วาสนา ข้าน้อย ต่ำต้อยนัก
อยากจะรัก ใครสักคน ก็จนเกล้า
จึงหวังเพียง กอดรูป และจูบเงา
ได้แต่เฝ้า รำพึง คะนึงครวญ

ยิ่งทิวา สายัญ พลันส่องแสง
แดดเริ่มแรง ใบไม้โรย ลมโชยหวน
ร้อนระยิบ พริบระยับ ดับรัญจวน
ใจยิ่งหวน หาร่มไม้  ไม่มีเลย

เหมือนตัวข้า หวังว่า จะหาคู่
แม่โฉมตรู ร่วมเรียง เอียงเขนย
แลไม่เห็น แม้เงา เจ้าทรามเชย
อยากจะเอ่ย เอื้อนคำ จำนรรจา

ออกเดินทาง ดังพระลอ ตามต่อไก่
ดำเนินไป  ดั้นด้น ยิ่งค้นหา
จนล่วงเลย หลงไป ในพนา
เหนื่อยกายล้า เมื่อยอ่อน ทอดถอนใจ

พลันแลเห็น เรือน หลังใหญ่ ไทยโพเอม
ช่างเกษม เปรมปรีดิ์ จะมีไหน
แล้วเยื้องย่าง วางบาท นิราศไป
ช่างสดใส สวยงาม อร่ามตา

มีนางหนึ่ง นั่งนิ่ง ไม่ติงไหว
ใคร่ถามไถ่ ด้วยสนเท่ห์ สิเนหา
นี่มนุษย์หรือ นางสวรรค์ กัลยา
อยากถามว่า ณ แห่งนี้ คือที่ใด

แม่เนื้อทอง เอื้อนเอ่ย เฉลยข้า
นี่แหละหนา บ้านอักษร  อ่อนไสว
ที่เรียงร้อย ถ้อยคำ ลำนำไทย
ประดับไว้ คู่ฟ้า สถาพร

ฟังคำน้อง เนื้อนวล รัญจวนจิต
ช่างเพริศพิศ พร่างแพร้ว แก้วสมร
วจีเจ้า เพราะพริ้ง จริงบังอร
นามกร นั้นหนา ว่ากระไร 

แม่โฉมยง เจรจา ถ้อยพาที
ว่าฉันนี้ ชื่อดอกหญ้า ใต้ฟ้าใส
มีหัวใจ รักเดียว ไม่เกี่ยวใคร
เป็นดวงใจ ไร้เงา ใครเขาแล

มานั่งฟัง เสียงขลุ่ยหลิบ ที่พริบพริ้ว
ใจละลิ่ว เลื่อนลอย คอยรักแท้
เสียงระนาด โหมสดับ จับดวงแด
โถน่ะแม่ ขลุ่ยครวญ  ช่างยวนใจ

เอ๊ะอะไร ไหวไหว เดินไปหา
พบงามตา ชื่อเรียง เสียงอะไร
ตัวฉันชื่อ ชมอักษร เรื่องกลอนไทย
สนิทใน ดอกหญ้าน้อง ต้องชะตา  

มีความรัก ต้องห้าม ตามความคิด
คือความผิด ที่พะวง หลงใฝ่หา
จึงต้องเจ็บ ปวดร้าว เศร้าวิญญา
ใยต้องมา ห้ามรัก ที่ปักทรวง

อนงค์นาง จึงเกลียดสุด บุรุษเพศ
ด้วยเป็นเหตุ ให้ใจหาย มลายล่วง
มีสตรี มาเกี่ยว เที่ยวเดินควง
คอยเป็นห่วง ไม่แยก แปลกป่าไป

ดูสาวงาม บ้านนี้ ช่างดีนัก
ช่างน่ารัก น่าชื่นชม อารมณ์ไหน
บางก็มี รักแน่น ที่แค้นใจ
จึงตราไว้ ในหลัก สลักจิต

ศรีสุดดา นารี นี้เศร้าสร้อย
ชะแง้คอย เหม่อหา อุราคิด
ร้าวระบม แต่หนหลัง ยามตามติด
แน่นสนิท แม่รดา ทั้งราตรี

นี่ก็หนึ่ง น้องนาง นั่งร้องไห้
ช่างกระไร ใครทำเจ้า เศร้าเช่นนี้
ชลนา ไหลหลั่ง กลางฤดี
สิปรางที่ เอ่อท้น ล้นน้ำตา

น้ำตาอาบ แก้มนุช ที่สุดสวย
ใครจะช่วย ซาบซับ กับเจ้าหนา
หรือมีใคร สักคน ค้นอุรา
เนตรดารา ช้ำทน เพราะคนทำ


@@@@@@@@@@@@@@

จบภาคแรก อย่าแปลกจิต คิดสงสัย
ว่าทำไม จึงเพียร เขียนนักหนา
เพราะเรือนไทย หลังนี้ ช่างตื่นตา
โอกาสหน้า ค่อยว่า กันอีกที 

@@@@@@@@@@@@@@@				
19 กันยายน 2547 13:35 น.

เรื่องเล่าจากท้องทุ่ง

เรไร



เดินดุ่ยดุ่ย ลุยคันนา มาสู่ทุ่ง
ด้วยใจมุ่ง หวังวาด ปรารถนา
จะกำเคียว เกี่ยวรวงทอง ในท้องนา
แล้วนำมา ใส่ครก กระดกตำ

เป็นเม็ดข้าว ขาวนวล ชวนให้นึ่ง
แล้วมาผึ่ง ให้แห้ง แป้งขยำ
เอาน้ำตาล หวานเด่น เป็นรสนำ
เราจะทำ สาโท ใส่โถใหญ่

ได้เวลา เดินเรียง สู่เถียงนา
ชวนเพื่อนมา หาปลา ปูนาไว้
ลงลอยคอ เก็บกระเฉด ดำเด็ดไป 
ชูไสว ยอดเรียว เขียวขจี

เลาะตลิ่ง กลั้นลม ลงงมหอย
เอาไปก้อย ลวกยำ ตามวืธี
ความสุขของ หนุ่มบ้านนา เท่าที่มี
แค่เพียงนี้ ก็สุขใจ ในชีวัน

พอถึงหน้า ฝนพรำ ก็ทำนา
ชวนกันมา ลงแรง อย่างแข็งขัน
ก้มดำกล้า หลังสู้แดด แผดตะวัน
ร่วมมือกัน สืบสาน งานในนา

เพียงเสี้ยวหนึ่ง ช่วงเวลา พาให้เห็น
ที่ลำเค็ญ แสนลำบาก ยากหนักหนา
คือเรื่องราว ได้พานพบ ประสบมา
ตามสัญญา ที่กล่าว เล่าให้ฟัง
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเรไร
Lovings  เรไร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเรไร
Lovings  เรไร เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเรไร
Lovings  เรไร เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเรไร