28 กุมภาพันธ์ 2549 09:20 น.

ร ะ ย ะ ห่ า ง ..

แสงไร้เงา

คงไม่มีมาตราวัดใด ๆ ที่จะใช้วัดระยะห่างของความรู้สึกได้ 
ระยะห่างในแต่ละความรู้สึก ในแต่ละคนก็คงจะไม่เท่ากัน... 
วันเวลาที่ผ่านมา ชั่วระยะเวลาหนึ่งของชีวิต ผู้คนมากมายผ่านเข้ามา .........
บางคนผ่านมาเพียงเพื่อจะผ่านไป ..เท่านั้นเอง ..


แต่กลับบางคนกลับไม่เป็นเช่นนั้น... 
จากคนแปลกหน้า กลายเป็นคนรู้จัก 
จากคนรู้จัก เป์นคนคุ้นเคย ล่วงเลย 
ไปถึงกลายเป็นคนรักกัน ....
ทำลายระยะห่างของความรู้สึกให้สั้นลง....อย่างรู้สึกได้  



แต่ในทางกลับกัน... 
ระยะห่างของบางคน อาจห่างไกลออกไปจนสุดหูสุดตา ....

บางคน..จากคนเคยรักกัน
จากคนที่เคยคุ้น ....กลายเป็น
เหลือเพียงแค่คนเคยรู้จัก ... 
จากคนรู้จัก กลายเป็นคนแปลกหน้าทางความรู้สึกไป ... 


บางทีกับคนบางคน ...
อยากให้มันเป็นมากกว่าคนรู้จัก 
ก็จะพยายามทำให้ระยะห่างมันสั้นลง 
แต่กับคนบางคน อยากเป็นน้อยกว่าที่เป็นอยู่ . ....... 
ก็จะพยายามทำให้ระยะห่าง..ยาวไกลออกไป... 

แต่กับบางคนกลับอยากจะรักษา ระยะห่าง ตรงกลาง ไว้ให้คงที่ 
ไม่ให้ห่างหาย จางหนี หรือ เข้ามาใกล้จนเรารู้สึกอึดอัด.... 



แต่บางที ..ขณะที่เราเดินเข้าหา บางคนกลับกำลังเดินหนี 

กับบางคนเรากำลังเดินหนี บางคนกลับเดินตาม... ....

ขณะที่...บางคนวิ่งตาม ล้มลุกคลุกคลาน...
เจ็บปวดกับระยะห่างของอีกคนที่ทิ้งไว้ตรงนั้น....
ขณะเดียวกันกับที่อีกคนก็วิ่งหนี ....
โดยไม่คิดจะหันกลับมามองความเจ็บปวดของอีกคน 


บางทีการทำลายระยะห่างของสองคนอานไม่ใช่เรืองยาก..
แต่ก็ไม่ได้ง่ายดายนักสำหรับอีกหลาย ๆ คน ...
บางคนพยายามมาเกือบทั้งชีวิต...


ขณะที่บางคนอยู่นิ่ง ๆ ไม่วิ่งหนี ไม่วิ่งตาม 
ปล่อยทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ของเวลา
ไม่เรียกร้องให้เกิดความคาดหวัง ไม่ปล่อยละเลยจนเหมือนชาเฉย 
ระยะห่างนั้นกลับขยับเข้ามาใกล้ราวกับปฏิหาริย์... 


..เคยรู้สึกไหมว่า...บางที ..รู้สึกห่างไกล...ทั้งที่ตัวอยู่ใกล้ๆ 
หรือรู้สึกใกล้ ๆ กัน.....ทั้ง ๆ ที่ตัวอยู่แสนไกลกัน  ...บ้างไหม.... ?

ระหว่างคนพยายามเดินหนี ..กับ ..
.. คนที่พยายามเดินตาม ...
และคนที่พยายามยังไงระยะห่างกลับเท่าเดิม 
...คนไหนเจ็บปวดไปกว่ากัน... 


ความรู้สึกระยะห่างระหว่างคน.... 				
26 กุมภาพันธ์ 2549 01:40 น.

ดับทุกข์

แสงไร้เงา

จงรู้จักธรรมะข้อที่ว่า " ทุกขตา " ซึ่งแปลว่า ความทุกข์
จงจำไว้ว่า ชีวิตคนเรานั้นล้วนแล้วแต่มีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น
ลักษณะของความทุกข์นั้นได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความตาย
ความเศร้าโศก ความอาลัย อาวรณ์ ความไมาสบายกาย 
ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ความที่ได้รับสิ่งที่ไม่น่าปราถนา
ความพลัดพรากจากคนรักหรือของรัก และความผิดหวัง 
เหล่านี้แหละคือ ความทุกข์ที่คนทุกชาติทุกภาษาในโลกนี้กำลังประสบอยู่...

จงรู้จักธรรมะข้อที่ว่า " อนัตตตา " แปลว่า ความไม่ใช่ตัวเราหรือจองเรา
หรือความปราศจากแก่นสารที่ยั่งยืนถาวร 
ข้อทีว่า สิ่งทั้งหลายไม่มีตัวตนแก่นสารที่ถาวรนั้น
หมายความว่า สิ่งเหล่านั้นมันจะมีอยู่ในโลกนี้
เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง จะนานหรือไม่นานก็แล้วแต่เหตุการณ์
ของมันเท่านั้นเอง มันไม่มีสิ่งใดจะคงอยู่ในโลกนี้ได้ตลอดไป 
ดังนี้น ตัวเองที่เป็นของยั่งยืนถาวรของมันจึงไม่มี ซึ้งเหล่านี้
มันหมายรามทั้งร่างกายและจิตใจของเราเอง

จงรู้จักธรรมะข้อที่ว่า " อนิจจตา " ซึ่งแปลว่าความไม่เที่ยง
สิ่งที่มีเหคุปัจจัย ปรุงแต่งท้งหลายในโลกนี้ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยงทั้งนั้น
ความเปลี่ยนแปลงจากดีไปเป็นเลว 
เปลี่ยนจากความสมหวังไปเป็นความผิดหวัง จงรู้จักธรรมะข้อที่ว่า ฯลฯ 
ก็ล้วนแต่เป็นเพราะความเป็นของไม่เที่ยงของมันนั่นเอง
ดังนั้นจงอย่าเป็นทุกข์เศร้าโศกไปกับเรื่องดีร้ายได้เสียที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
แต่จงรู้จักมันว่า มันเป็นอย่างนี้เอง มันไม่เพที่ยงแท้แน่นอนเลยสักสิ่งเดี่ยว 
ถ้าท่านรู้อย่างนี้ด้วยความสงบของสมาธิ จิตของท่านก็จะไม่เป็นทุกข์เลย...

เมื่อทุกสิ่งเป็นของไม่เที่ยง ชวนแต่จะทำให้เราเป็นกับมัน
และไม่ใช่สิ่งที่เป็นแก่นสารถาวรเช่นนั้นแล้ว เราจะมัวไป
หลงไหลอยากได้อยากเป็นอะไรในมันให้มากเรื่องไปโดยเปล่าประโยชน์อีกเล่า ?

"เป็นมนุษย์ผู้สูงสุด"

ทั้งกิ่งใบดอกก้านตระหง่านพริ้ว
จะปลิดปลิวบ้างเพราะลมสผมผสาน
ถึงไม่มีลมหมุนไต้ฝุ่นมาร
มาแผ้วพาลก็ยังร่วงจากบ่วงใบ

แต่อารมณ์ข้างในใจมนุษย์
ไม่รู้สุดสิ้นลงที่ตรงไหน
ทั้งลาภยศเงินตราหามาไว้
เพื่อจะได้ความสุขไม่ทุกข์ตรม

แต่หารู้ไม่ว่าบรรดาสุข
มันเป็นคู่กับทุกข์คลุกประสม
ทั้งสุขทุกข์ดีร้ายไหม้อารมณ์
ไม่เหมาะสมกับการเกิดกำเนิดมา

อันความเกิดเกิดเป็นเช่นมนุษย์
ไม่ควรยุตยี้อแย่งเที่ยวแข่งหา
อำนาจยศสรรเสริญหรือเงินตรา
จนแข่นฆ่ายิงกันสนันกรุง

แต่มนุษย์ควรเป็นเช่นต้นไม้
ที่เชิดใบดอกระย้าบนฟ้าสูง
ด้วยการสร้างบุญกุศลเป็นผลจูง
ให้จิตสูงเป็นมนุษย์สูงสุดเอย...

....จงยอมให้คนอื่นได้เปรียบท่าน
  .....โดยไม่ต้องโต้เถียงกับเขา
     .....แล้วท่านจะเป็นผู้ชนะอย่างถาวร

หมายความว่า
..ท่านจะชนะความทุกข์ใจได้อย่าวถาวร

แม้ว่า....
   ..จะมีคนมากกลั่นแกล้งท่าน
   ..หรือตั้งตัวเป็นศัตรูกับท่าน.....
                                        .......อยู่เสมอก็ตาม..



    """ ธรรมโอสถ...

อันหนทาง ชีวิต คิดดูเถิด
เมื่อเราเกิด แล้วต้องแก่ แน่ใช่ไหม
หนีไม่พ้น เจ็บไข้ กายและใจ
จะแก้ไข อย่างไร ให้ทุกข์คลาย

เป็นโรคกาย หมอยา รักษาโรค
ถูกโฉลก ถูกเหตุผล ดลโรคหาย
เป็นโรคใจ ภัยรุมเร้า เศร้าปางตาย
ทุกข์มลาย เมื่อรู้ไช้ "โอสถธรรม"

เติมธรรมะ ให้ชีวิต พิชิตโรค
ดับทุกข์โศก ดับตัณหา อย่าถลำ
ดับกิเลศ โลภ-โกรธ-หลง จงหมั่นจำ
ยึดพระธรรม พระศาสดา เป็นยาใจ..

          .-**^**-.   .-**^**-.   .-**^**-.   .-**^**-. 



เก็บมาจากหนังสือเล่มหนึ่งนะค่ะ
คุณลุงเอามาให้อ่าน แก่ให้ตั้งนานแล้ว เกือบปีได้
แต่ไม่เคยสนใจหรือหยิบขึ้นมาอ่านเลย
วันนี้ทำความสะอาดห้อง เห็นว่างอยู่ชั้นหนังสือ
ลองหยิบมาอ่านดู อ่านแล้วประดับใจบทความนี้
ก็เลยเก็บมาฝากเพื่อนๆ ได้อ่าน....
อ่านแล้วรู้สึกดีมาก ๆ ค่ะ
หัดนั่งสมาธิด้วย......

ถ้าดับได้อย่างว่าก็ดีนะ
จะไม่ได้มานั่งทุกข์ใจ.....				
25 กุมภาพันธ์ 2549 06:47 น.

คนขาดรัก … เชิญพักตรงนี้

แสงไร้เงา

มีงานวิจัยมากมายเปิดเผยว่าวัยรุ่นไทยสมัยนี้เป็นโรคขาดรักหรือเรียกง่าย ๆ ว่า อยู่คนเดียวไมได้ อยู่แล้วจะขาดใจ ถ้าไม่ติดเพื่อน แบบเฮไหนเฮนั่นล่ะก็ ก็ต้องติดแฟน ทิ้งเพื่อนมาขลุกอยู่กับแฟนทั้งวัน ถ้าไม่ติดแฟนล่ะก็ ต้องติดเม้าท์ ยิ่งเดี๋ยวนี้มีโปรโมชั่นเอาใจขาเม้าท์ซะขนาด คราวนี้เลยเม้าท์กันไม่ขาดปาก เลยทำให้เด็กไทยเป็นโรคขาดรัก


โรคร้ายของคนขาดรัก


คนที่เป็นโรคขาดรัก แม้จะไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่อาการนี้จะส่งผลระยะยาวถึงบุคลิกภาพของคนเราในอนาคตได้ อย่างเช่น

1.ขาดความเป็นตัวของตัวเอง 
เพราะชีวิตขึ้นอยู่กับคนอื่นมากเกินไป เราก็จะไม่รู้ว่าเราชอบอะไร หรือถนัดอะไร ก็ตลอดชีวิตที่ ผ่านมาเลือกตามเพื่อนทั้งนั้น เพื่อนไปไหนไปด้วย เพื่อชอบอะไรชอบด้วย ก้เลยไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ถนัดอะไร

2.ขาดความมั่นใจ 
ไม่มีความหนักแน่นคนขาดรักจะรู้สึกอบอุ่นมั่นใจ ถ้าได้อยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูง แต่จะกลายเป็นคนไม่มั่นใจ ไม่กล้าไปไหน ไม่กล้าทำอะไรคนเดียว บางคนไม่กล้ากินข้าวคนเดียว ไม่กล้าไปห้องน้ำคนเดียว ต้องชวนเพื่อนไปด้วย แล้วเขาจะแคร์เพื่อนมาก เรียกว่ายอมเป็นทาสเพื่อนทุกอย่าง เพราะกลัวเพื่อนไม่คบนั่นเอง

3. ไม่กล้าตัดสินใจ 
การเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจ ต่อไปในอนาคตก็จะไม่กล้าทำอะไร ไม่รู้ว่าอะไรดีไม่ดี อะไรเหมาะหรือไม่เหมาะกับตัวเอง เพราะไม่เคยตัดสินใจ ให้เพื่อนช่วยคิดตลอด เป็นคนที่มีลักษณะพึ่งพาสูง ในอนาคตสังคมจะรังเกียจ

4. ขาดความนับถือตัวเอง
การที่คนเราอยู่แบบไร้ตัวตน จะทำให้เรารู้สึกว่า เราเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ที่คอยตามคนอื่น จะตามใจตัวเองก็ไม่กล้า เพราะกลัวสังคมไม่ยอมรับ เลยต้องเออออไปกับเขาแล้วเราก็จะไม่นับถือตัวเอง ไม่ภูมิใจอะไรในตัวเองเลย

5.ไม่มีความสุข 
การที่ต้องตามใจคนอื่นเพื่อให้เขามาคบมารัก เพราะขาดรัก อยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ ไม่มีวันที่จะมีความสุข เพราะมัวหวาดระแวงว่าจะไปทำอะไรไม่ถูกใจใคร ทำให้ขาดสมาธิในการทำงานหรือการเรียน

6. เสียบุคลิกภาพ 
เข้าสังคมยาก อันนี้สำคัญ คนขาดรักจะไม่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เดินไปไหนทำอะไรเงอะๆ งะๆ และเข้ากับคนอื่นยากด้วย เพราะขาดความมั่นใจจากข้างในตัวเองทำให้เสียบุคลิกภาพ ส่งผลต่อชีวิตและอนาคตต่อไป

โรคขาดรักไม่ใช่โรคร้าย ที่จะทำให้เราเจ็บหรือตาย แต่เป็นโรคที่ทำลายศักยภาพของคน ดังนั้นเรามาเยียวยาอาการขาดรักกันเถอะ 

วิธีเยียวยาอาการขาดรัก


อาการขาดรักไม่ใช่โรคร้าย ไม่ต้องใช้ยารักษา แค่อาศัยเวลาในการปรับตัวปรับใจ เขาก็จะกลายมาเป็นคนแข็งแรงมั่นใจง่ายๆ เช่น

1.อยู่กับตัวเองให้มากขึ้น
อันนี้พูดง่ายแต่ความจริงแล้วทำยากที่สุด ถ้าเธอเคยอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงได้ยิ้มได้หัวเราะสนุกสนาน ไปไหนไปกันเป็นกลุ่มๆ แล้วอยู่ๆ จะให้อยู่คนเดียว สิ่งแรกที่ต้องเจอ ก็คือความเหงา ตรงนี้ต้องอดทนให้ผ่านมันไปให้ได้ แรก ๆ อาจทรมานหน่อย แล้วต่อไปจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง...การหาเวลาอยู่กับตัวเอง ต่อไปเวลาไม่มีใครเราจะมีความสุขได้

2.คุยโทรศัพท์ให้น้อยลง
อันนี้อาจทำยากหน่อยสำหรับคนที่ติดโทรศัพท์เป็นชีวิตจิตใจ ไม่ต้องเลิกอย่างเด็ดขาดหรอก แค่ลดๆ ลงหน่อย จากคุยวันละสามชั่วโมงก็เหลือสักสองชั่วโมง แล้วก็ลดลงไปเรื่อยๆ แล้วก็ลดการพบปะสังสรรค์ ช่วงเดือนแรกอาจจะรู้สึกทรมาน แต่พอนานๆ เข้าก็เริ่มรู้สึกว่า คนเราอยู่คนเดียวได้ และรู้สึกสงบมั่นใจมากขึ้น

3.อ่านหนังสือ เวลาอยู่คนเดียวควรหาหนังสือดีๆ ไว้เป็นเพื่อนสักเล่ม แล้วเธอ จะรู้ว่า การมีหนังสือดีๆ ไว้อ่าน ดีกว่าการมีเพื่อนหรือคบเพื่อนบางคนเสียอีก

4.ค้นหาตัวเองให้เจอถามหาความฝันว่าฉันอยากได้ อยากเป็นอะไร แล้วก็ให้เวลากับมัน เช่นอยากเป็นนักร้อง เธออาจจะไปเรียนร้องเพลง เพื่อที่จะได้เรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ ได้พบเพื่อนใหม่ที่คอเดียวกัน

5.รู้จักปฏิเสธสำหรับคนที่ขี้เกรงใจจนเกินไป ใครขออะไรก็ให้หมด ใครชวนไปไหนไปหมด ทั้งๆ ที่ไม่อยากทำไม่อยากไป ให้ค่อยๆ หัดปฏิบัติไปเรื่อยๆ เพื่อเรียกพลังและความมั่นคงของเธอกลับคืนมา

6. ยอมรับตัวเอง ยอมรับคนอื่นอันนี้คือการยอมรับและเข้าใจว่าคนเราล้วนต่างกัน จะให้ใครคิดเหมือนใครไม่ได้ ถ้าใครจะรักหรือคบ เราก็ให้เขารับในความเป็นตัวเราและถ้าเธออยากคบใครก็ต้องยอมรับในตัวเขา แล้วเธอจะไม่ต้องเหนื่อยใจในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง หรือไม่ต้องมานั่งผิดหวังฟูมฟาย ว่าทำไมหนอ คนนั้นถึงเป็นแบบนี้ คนนี้ถึงเป็นแบบนั้น 

เอาล่ะ โรคขาดรักไม่ใช่เรื่องเสียหายหรือน่าอาย ใครๆ เขาก็เป็นกัน ตอนนี้เธอมีอาการขาดรักอยู่หรือเปล่า ถ้ารู้ยังไม่สายรีบแก้ไขตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อต่อไปเราจะได้เป็นคนมีเสน่ห์ มีความมั่นใจ มีคุณค่า และมีความสำคัญมีความสุขสุดๆ ไปเล้ย... 				
12 กุมภาพันธ์ 2549 11:34 น.

ดอกไม้ และความหมายของความรัก

แสงไร้เงา

ดอกไม้ และความหมายของความรัก

ใกล้ถึงวันแห่งความรักกันอีกปีแล้ว เป็นเทศกาลที่สดใสไม่แพ้วันขึ้นปีใหม่เลยทีเดียว ใครตั้งใจว่าจะส่งอะไรให้กับคนที่รักบ้าง ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคงไม่พ้นดอกไม้ แม้ว่าในเทศกาลนี้ราคาของดอกไม้แต่ละชนิดจะพุ่งขึ้นสูงอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ใครหลายคนก็คิดว่าคุ้มค่าที่จะส่งดอกไม้ให้กัน เราลองมาดูความหมายของดอกไม้แต่ละชนิดกันเสียหน่อยเป็นไร เผื่อว่าใครจะมีไอเดียใหม่ๆ สำหรับวาเลนไทน์นี้

ดอกไม้ ที่นิยมให้ ดูมีคุณค่าและความหมายแตกต่างกันไป อยู่ที่ว่า ผู้ให้ อยากให้อะไรเป็นของขวัญในวันแห่งความรัก ไม่รู้ว่าคุณที่เตรียมดอกไม้ให้ รู้ความหมายของสิ่งที่จะให้กันหรือยัง ถ้ายัง ลองอ่านดูนะคะ

มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราอาจจะคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งที่สามารถใช้สื่อความหมายเฉพาะความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ดอกไม้แต่ละชนิดสามารถสื่อความรักได้หลายรูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย 				
12 กุมภาพันธ์ 2549 11:25 น.

ตำนานวาเลนไทน์ ...

แสงไร้เงา

14 กุมภาพันธ์, St. Valentine's Dayเทศกาลที่มวลมนุษย์เฉลิมฉลองวันแห่งความรัก และแสดงความรักแก่กัน เป็นวัฒนธรรมตะวันตกที่สืบทอดมานานนับพันปี ตั้งแต่ครั้งศตวรรษที่ 3 และได้แผ่ขยายไปทั่วทุกชนชาติ รวมทั้งประเทศไทยก็ได้ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมนี้อย่างยินดีปรีดา เพราะถือได้ว่า เป็นเทศกาลแห่งความรักที่ช่วยจรรโลงโลกไว้ให้เป็นสีชมพู วันนี้มาย้อนอดีตไปสมัยอาณาจักรโรมัน เมื่อครั้งกำเนิดวันวาเลนไทน์... 


วันวาเลนไทน์มีจุดกำเนิดราวศตวรรษที่ 3 จากประเพณี Lupercalia ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองบูชาเทพเจ้า Lubercus ของชาวโรมันนอกศาสนา หรือพวกนอกรีตในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ของทุกปี ในขณะเดียวกันวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ถือเป็นวันหยุดเพื่อเฉลิมฉลองบูชาเทพี Juno เทพีแห่งผู้หญิง และการแต่งงานของชาวโรมันเช่นกัน ในวันนี้เองก็ถือได้ว่าเป็นวัน Lupercalia's Eve ซึ่งชาวโรมันจะมีประเพณีการเลือกคู่หนุ่มสาว โดยจะเขียนชื่อหญิงสาวลงในกล่อง ชายหนุ่มจับชื่อใครได้ หนุ่มสาวคู่นั้นก็จะเป็นคู่เที่ยวกันตลอดเทศกาล ความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวที่เกิดจากประเพณีนี้ มักจะยืนยาวต่อไป และแต่งงานในที่สุด 


ต่อมาใยยุคที่ชาวคริสเตียนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น พวกนักบวชพยายามเปลี่ยนเทศกาลเก่าแก่ของพวกนอกรีตนี้ จากชื่อเทศกาล Lupercalia ให้เปลี่ยนชื่อเป็นวันวาเลนไทน์ หรือ St.Valentine's Day เพื่อเป็นการกำจัดประเพณีของพวกนอกรีตให้หมดไป 

                     "วาเลนไทน์" คำนี้มาจากไหน? 

ราวศตวรรษที่ 3 กรุงโรม อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ Claudius ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ชาวเมืองเกลียดชัง เขาต้องการสร้างกำลังกองทัพขนาดใหญ่เพื่อก่อสงคราม และหวังรวบรวมอาสาสมัครทั้งหลาย แต่เหล่าชายฉกรรจ์ไม่ต้องการก่อสงคราม พวกเขาไม่อยากจากภรรยาและครอบครัวสู่สนามรบ จึงไม่มีผู้ใดไปลงชื่อเข้ากองทัพ ก่อให้เกิดความโกรธแค้นแก่ Claudius เป็นอย่างมาก เขาจึงมีความคิดว่า การแต่งงานและครอบครัวคือสาเหตุที่ทำให้เกิดความผูกพันธ์ และไม่เข้าร่วมกองทัพ ด้วยเหตุนี้ Claudius จึงออกกฎกำจัดการแต่งงานทั้งหมด ห้ามประกอบพิธีแต่งงานใดทั้งสิ้น ทำให้ประชาชนเห็นว่าเป็นกฎที่โหดร้ายและผิดปกติวิสัยของมนุษย์มาก แน่นอนไม่มีใครสนับสนุนกฎนี้ 

วาเลนไทน์ เป็นนักบวชผู้หนึ่ง ที่ชื่นชอบการประกอบพิธีแต่งงานยิ่งนัก เพราะเห็นว่าเป็นพิธีกรรมที่น่ายินดี เป็นประเพณีทางศาสนาที่เกิดจากความรักที่ยิ่งใหญ่ของหนุ่มสาว ที่ตกลงปลงใจพร้อมใช้ชีวิตร่วมกัน การแต่งงานจึงเป็นสิ่งที่สวยงาม แต่เมื่อกษัตริย์ Claudius สั่งกำจัดพิธีแต่งงานทั้งหมดในอาณาจักร วาเลนไทน์จึงต้องแอบประกอบพิธีแต่งงานภายใต้แสงเทียนในห้องเล็กๆ ที่มีแต่คู่บ่าวสาว และวาเลนไทน์เท่านั้น ทุกคนต้องกล่าวคำประกอบพิธีอย่างแผ่วเบาที่สุด ส่วนหูก็ต้องคอยเงี่ยฟังเสียงฝีเท้าของทหาร เพราะถือว่าเป็นการกระทำความผิดที่ใหญ่หลวงนัก แต่ในที่สุดเขาก็ถูกจับได้ และมีโทษประหารชีวิต หนุ่มสาวชาวเมืองต่างพากันมาเยี่ยม โยนดอกไม้และข้อความต่างๆ ผ่านทางหน้าต่างห้องขัง เพื่อให้วาเลนไทน์รู้ว่าพวกเขายังคงเชื่อมั่นในความรักเสมอ 

หนึ่งในจำนวนหนุ่มสาวที่มาหาวาเลนไทน์นั้น เป็นลูกสาวของผู้คุม เธอจึงมีโอกาสเข้าไปพบในห้องขัง และคอยให้กำลังใจอยู่เคียงข้างวาเลนไทน์เสมอ จนกระทั่งถึงวันที่เขาต้องถูกประหารชีวิต วาเลนไทน์จึงทิ้งข้อความไว้แก่เธอ โดยลงท้ายว่า "Love from your Valentine" 

วาเลนไทน์เสียชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 269 A.D. เชื่อกันว่าจากประโยคทิ้งท้ายนั้น เป็นจุดกำเนิดวัฒธรรมที่เรียกว่าวันวาเลนไทน์ และในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ผู้คนก็ยังระลึกถึงวาเลนไทน์เสมอ และยกย่องให้เขาเป็นตัวแทนแห่งความรัก 

ต่อมาในปี 469 สันตะปาปา Gelasius จึงประกาศให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันระลึกเพื่อเป็นเกียรติให้แก่ St. Valentine และกลายมาเป็นวันหยุดเฉลิมฉลองวันแห่งความรัก หรือ St. Valentine's Day ในที่สุด 

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแสงไร้เงา
Lovings  แสงไร้เงา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแสงไร้เงา
Lovings  แสงไร้เงา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟแสงไร้เงา
Lovings  แสงไร้เงา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงแสงไร้เงา