กลอนอกหัก รักหวานซึ้ง

เพียงรำพึง

แย้ม ไกลวันเกิน


             
มีบางใครใกล้ชิด แค่"คิดถึง"
พร่ำรำพึงผูกมิตร แค่"คิดฝัน"
แท้เธอคือความหมาย"สายสัมพันธ์"
นิจนิรันดร์น้อยไป จะให้ลืม
บนบันทึกที่สร้างบางบรรทัด
ยังเน้นชัดความนัยให้ปลาบปลื้ม
ความอาวรณ์อ่อนไหวที่ให้ยืม
ยังด่ำดื่มเดียวดายเป็นสายใย
สายสัมพันธ์สั้นเหลือเมื่ออ้างถึง
แต่ตราตรึงตวัดพันจนหวั่นไหว
ถักอาทรซ่อนเร้นเป็นสายใจ
เกิดภายในใช้นาม"ความผูกพัน"
ไวโอลินสิ้นบทขอปลดสาย
อายุคล้ายปลายเครือมันเหลือสั้น
มิอาจล่วงคำลา"อย่าลืมกัน"
ความสำคัญคนไกล"ไม่มากพอ"
จบเพลงรักรอยเก่าเพียงเท่านี้
ธรณีกรรแสงสำแดงต่อ
ไร้คำร้องเหลือเพียง เสียงขลุ่ย-ซอ
ไร้คำขอใครจำไร้คำลา....................................แย้ม
หยาดน้ำตาจากจินต์ที่รินหยด
ยังราดรดดวงกมลคนโหยหา
ไวโอลินถึงบทหมดศรัทธา
คำอำลาจากใครจึงไม่มี.................................din  dinner
เก็บปากกาเขียนกลอนซ่อนตัวเอง
ส่งเสียงเพลงสุดท้ายคล้ายหน้าที่
คนเขียนกลอนซ่อนตนสายดนตรี
เขาไม่มีสัญญากลับมาเยือน..............................แย้ม ไกลวันเกิน.

สบตาหวาน

มวลภมร


ส่งตาหวาน ประสาน กับตาน้อง
สองเราจ้อง นั่งมอง สบตาหวาน
สายตาส่ง ตามอง จ้องตานาน
เพียงส่งต่อ ความหวาน ผ่านสายตา
ส่งเป็นคำ ครวญคร่ำ คล้ายคำรัก
ส่งใจภักดิ์ จากใจ ให้โหยหา
ส่งมาแทน ถ้อยคำ แทนสัญญา
ผ่านมาทาง สายตา ว่ารักเธอ
อยากหาคำ หมื่นแสน มาแทนใส่
หวังแทนความ ในใจ นำเสนอ
มาแทนคำ คำนั้น ฉันรักเธอ
หาไม่เจอ คำไหน บรรยายแทน
จบตรงที่ บทนี้ บทสุดท้าย
ไม่มากมาย แค่ใจ ที่เหนียวแน่น
จะกี่บท บรรยาย ไม่อาจแทน
เท่าเพียงแกน ใจพี่ "ที่รักเธอ"

ขมิ้นเมือง

แม่น้ำในฟ้า


สิบปีผ่านนานวันฉันยังอยู่
อย่างไม่รู้สิ่งใดจะใคร่หวัง
ย่ำเดินดินถิ่นหล้าล้ากำลัง
โซเซซังซัดเซพเนจร
 
มองดาวเดือนเกลื่อนฟ้านภามืด
ฟ้าดูชืดจืดไปเพราะใจหลอน
ค่ำคืนฝนหล่นพร่างกลางนคร
แอบเปียกปอนรินหยดรดน้ำตา
 
ข่มหัวใจให้หยุดสุดจะคิด
โชติอาทิตย์ ฤ จันทร์ ก็ฝันว่า
ฝันดีพาลผลาญเผาเร้าอุรา
เพราะฝันพา...หัวใจไปพบเธอ
 
 
ภาพตำตา...คาทรวงยังทวงจิต
คู่ตัวติด...ผิดคน...เป็นผลเพ้อ
รากหยั่งแค้นแสนลึกเมื่อนึกเจอ
มิอาจเบลอ...ภาพนั้นลงบั่นทอน
 
 
ค่ำนอนหนาวดาวเคียงเพียงลมกอด
ท่อนแขนสอดหัวดุนหนุนแทนหมอน
กล่อมจิตพักหลับไหลในบทกลอน
ขมิ้นเมืองเหลืองอ่อน..นอนหลับตา
 
ลมโชยแผ่วแว่วเสียงสำเนียงเอื้อน
“โอ้ดวงเดือน...ดวงดาวที่สาวว่า
เด่นดวงใดในรักประจักษ์พา
ขวัญชีวา...ยอดชู้จะชูชม”
 
 “
เฉิดโฉมงามนามเชื้อพี่ชายมาด
ชาตรีชาติ...เช่นพี่...ฤดีสม
ผิดเชิญควักชักมีดมากรีดคม
ให้สิ้นลม...ชมวาตพินาศใจ”
 
น้ำตาคลอรอหยดลงรดแก้ม
เพียงแตะแต้มฝุ่นล้างพอพร่างใส
สิบปีเลื่อนเคลื่อนกาลที่ผ่านไป
หมดหัวใจ...ไม่เห็นอยากเป็นคน
 
ถึงกระนั้นตัวฉันในวันนี้
แม้นฤดี...เปรอะเปื้อนเหมือนปี้ป่น
ก็แค่เจียมเขียมคิด...ในจิตตน
มิใช่คน...บ้าบอและขอทาน
 

ไม่มีวันฉันลืมเธอ

เบยองจุน


ความสัมพันธ์ นั้นเริ่มต้น ตอน ม.4
ตัวฉันมี กิจต้องเรียน เพียรศึกษา
ทุกเช้าเย็น เห็นฉันผ่าน หน้าร้านมา
ต่างสบตา อาทร ซ่อนความนัย
หลังจากกาล เวลาผ่าน ไม่นานนัก
เธอทายทัก ซักไซร้ คลายสงสัย
ด้วยคำถาม นามแทนชื่อ คืออะไร
ประสานใจ ใส่คำหวาน ผ่านข้อความ
คืนหนึ่งเพื่อน โทรเตือนฉัน พากันเที่ยว
เธอเดินเลี้ยว มาเจอพลัน ลั่นคำถาม
จะไปไหน ไปด้วยนะ จะขอตาม
รักงอกงาม ข้ามวันเดือน มิเลือนจาง
จวบถึงวัน ฉันจบ ครบหลักสูตร
เธอถอยกรูด ไปทหาร วันฟ้าสาง
ฉันเข้าเรียน มหา'ลัย ไกลเส้นทาง
เราเริ่มห่าง ต่างหมางเมิน เกินผูกพัน
ผ่านมาถึง ปัจจุบัน ฉันคนนี้
ยังคงมี ความจำ มีความฝัน
เธอยังคง เป็นคนดี ที่สำคัญ
มิมีวัน ที่ตัวฉัน นั้นลืมเธอ .....  

๏ รอยบรรพ์๚ะ๛

บินเดี่ยวหมื่นลี้


๏ เพรงบุพเพคงวาสน์เรื่องชาติภพ
แต่ยังสบทัณฑ์แถนอย่างแน่นเหนียว
อีกคำสาปบาปบรรพ์ยังฝั้นเกลียว
เข้าหน่วงเหนี่ยวมัดทรวงท่ามช่วงกาล
วงกรรมแห่งโทษายากฝ่าฝืน
วันจรดคืนหมายจักเข้าหักหาญ
กลับถูกขวากแทงทิ่มตอกลิ่มมาน
เกินทัดทานทอนแรงที่แปลงทัณฑ์
จำตกห้วงหุบเหวของเรียวบาป
ต้องคำสาปในโลกความโศกศัลย์
ตราบรอยวาสน์เกื้อหนุนจากบุญบรรพ์
เข้าคลายฝั้นเกลียววัฎที่มัดทรวง
ม่านพิรุณยังครองทั่วท้องป่า
ดั่งขึงคาม่านหม่นจรดบนสรวง
ร้างดาวเดือนแจ่มใสวิไลดวง
ทุกคาบช่วงเยียบเย็นมิเว้นวาย
**พุดซ้อนขาวผลิแย้มแต่งแต้มถิ่น
ส่งกลิ่นหอมรวยรินไม่สิ้นสาย
อีกไม่นานผ่านคล้อยก็พลอยคลาย
พร้อมกลีบรายโปรยร่วงซบทรวงดิน**
หวังเพรงกรรมที่ยุดเฉกพุดซ้อน
จักคลายคลอนย้ายยกและผกผิน
รอนโทษาฤทธิ์แรงแห่งพรหมินทร์
เลือนลบสิ้นมิก่อแตกหน่อทัณฑ์
มวลสุมาลย์ดาษดอยดูหงอยเหงา
ใต้เงื้อมเงาโปรยปรายสายวสันต์
คล้ายร่วมรับคำสาปของบาปบรรพ์
ที่ขวางคั่นวิถีสองชีวา
ความคิดถึงบ่าไหลจากใจพี่
ทบทวีล้นหลากมากนักหนา
แต่ทัณฑ์แถนแรงฤทธิ์..อนิจจา
เกินหักฝ่าวงล้อมต้องยอมทน
หากบุพเพปางบรรพ์ยังปั้นแต่ง
รอโทษแห่งพรหมินทร์นั้นสิ้นผล
นานเพียงไหนทุกช่วงแห่งดวงมน
ยังเปี่ยมล้นเสน่หา..และอาลัย๚ะ๛

ยามรัก

มวลภมร


ตื่นยามเช้า พี่เฝ้า คิดถึงน้อง
คอยประคอง น้องตื่น จากคืนหวาน
หวนนึกถึง คืนของเรา ที่ยาวนาน
เป็นคืนหวาน สดชื่น จนตื่นนอน
ยิ้มยามตื่น จากคืน ที่หวานนัก
มีคนรัก อยู่เรียง เคียงข้างหมอน
คอยแนบชิด บิดกาย ใกล้งามงอน
ยังอยากนอน ไม่ฟื้น ตื่นจากเตียง
ยังงัวเงีย คลอดเคลีย ไม่อยากห่าง
อยากอยู่ข้าง อยากใกล้ ได้ยินเสียง
ได้ยินแผ่ว แว่วแว่ว ในสำเนียง
จากคนเคียง ข้างฝัน อันสุขใจ
ยามรักกัน ช่างหวาน ไม่ผันอื่น
จะกี่คืน พ้นผ่าน ไม่หวั่นไหว
หากยังรัก มั่นคง อย่างเต็มใจ
ยังรับได้ รสหวาน ที่จารกัน
คำโบราณ เขาว่า ในยามรัก
น้ำต้มผัก ยังหวาน แม้กาลผัน
จะขอมี ยามรัก ไปทุกวัน
ไม่เปลี่ยนผัน ร่วมฝัน จนวันตาย..
มวลภมร

ฮัลโหลเทส

ยาแก้ปวด


วะวะเหวย..พี่น้องผองสหาย
อย่านั่งงงตาลายสลายฝัน
เปิดปรับปรุงบ้านใหม่ในเฉียบพลัน
พี่น้องฉันไปไหน..รายงายตัว
เม้นท์เก่าหายเม้นท์ใหม่ให้สุขสันต์
ละเลงกันเช่นเคยมาอย่าปวดหัว
ขึ้นบ้านใหม่มาฉลองอย่าหมองมัว
เข้ามามั่วกลอนเล่นเหมือนเช่นเคย
ลงผิดถูกช่างมันเอามันส์ก่อน
มาออดอ้อนพรรณาอย่าเมินเฉย
ลองเทคนิคแปลกใหม่ให้เสบย
งงจุงเบยหน่อยนิดอย่าคิดเกรง
บ่องตงเลยแต่งมั่วยังมาบ้า
ทดสอบหน้ากลอนเล่นเป็นเหมาะเหม็ง
มาหมู่เฮาโผล่หน้ามาครื้นเครง
มาบรรเลงกลอนกานท์ที่บ้านเรา...

กระต่ายหมายจันทร์

อัลมิตรา


...สายลมแผ่วพลิ้ว..ยังให้ใบไม้ไหวสั่นคลอน...
...ราตรีที่เงียบงันคล้ายถูกทักทายด้วยสายลมแห่งวสันตฤดู...
...พลันบังเกิดเสียงกิ่งไม้และใบไม้ลู่ไปตามสายลม...
...กระต่ายน้อยตัวหนึ่ง ชะเง้อชะแง้มองจันทร์...
...ไม่เพียงแต่กระต่ายน้อยเท่านั้น...
...ที่ยังมีความเพ้อฝันและเพรียกหา...
...มันคอยจ้องความตระการแห่งจันทรา...
...แล้วหวังใจว่า...จันทราจะปรานี...
...กระต่ายน้อย...มันไม่รู้เลยว่า...
...อีกหนึ่งมนุษย์ผู้น่าเวทนาอุรานี้...
...มิต่างกันกับเจ้ากระต่ายน้อยในพงพี...
...วิงวอนให้จันทราปรานีและเห็นใจ...
...จันทร์เจ้าเอย...
...โปรดมอบความรักความห่วงใยและอาทร...
...แม้นยามเหนื่อยอ่อนครั้งคราไหน...
...คราต้องทุกข์ระทมตรอมตรมใจ...
...จันทราอันสว่างกระจ่างใส...
...โปรดเถิด โปรดได้ปลอบขวัญ...
...กระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...
...กับมนุษย์ผู้ซึ่งโศกเศร้าร้าวรำพัน...
...รอคอยค่ำคืนอันตระการตามา..นิจนิรันดร์...
...โอ้ดวงจันทรานั้น  จักเห็นใจหรือไม่เอย ?
..๏ ครั้นรัตติกาลเยือน.......ศศิเคลื่อนนภาพราว
พลันให้หทัยหนาว............อุระร้าวมิเสื่อมคลาย
..๏ ครุ่นคิดคะนึงหา..........ฤ ยุพาสิกลับกลาย
เชยชิดสนิทชาย-.............นระอื่นและชื่นชม ๚
..๏ ครั้นแสงพระจันทร์ส่อง..สิริผ่องประภาสม
ฤๅน้องมโนรม.................ฤ สิชมเสมือนกัน
..๏ เพรียกเพ้อละเมอถึง....และคะนึงมิเว้นวัน
ข่มใจมิใฝ่ฝัน..................รตินั้นก็ลุก

คิดถึง......

โอ้ละหนอ


ความคิดถึงนี้ร้ายนักเกินหักห้าม
มันคุกคามหัวใจให้คิดถึง
เพราะคิดถึงรุมเร้าใจใฝ่คะนึง
เพราะคิดถึงจึงต้องร้องบอกมา
ร่ำร้องว่าคิดถึงและคิดถึง
ครุ่นคำนึงคะนึงครวญชวนหวนหา
ไม่ได้พบนวลน้องแก้วกานดา
ฝากแต่ความคิดถึงมาในราตรี
ค่ำคืนนี้จันทร์เหงาดูเศร้าหมอง
เสมือนใจพี่เรียกร้องถึงน้องพี่
อยู่ที่ไหนให้รู้ไว้นะคนดี
ว่าพี่นี้ยังคิดถึงคะนึงครวญ.

รอย-ยิ้ม-ที่-หาย-ไป

ลูกหว้า


และแล้วน้ำตาแห่งความอ่อนไหว
ก็ย่ำเท้าทิ้งตัวเป็นสายบนใบหน้า
ลบความเข้มแข็งสุดท้ายที่ฉันมีชั่วพริบตา
มันเป็นเกมส์แห่งความปวดปร่า ที่สั่นคลอนน้ำตา จนท่วมใจ
หมากตัวหนึ่ง .. . บนกระดานแห่งความอ้างว้าง
ร่ำไห้กับการถูกทิ้งขว้าง . .. อย่างหวั่นไหว
ช่วยตอบโจทย์ให้กระจ่างสักนิด   ความจริงแล้วฉันทำผิดเรื่องใด
จึงถูกพันธนาการความเหงาไว้ .. . เข่นฆ่ากัน
หรือว่าที่แท้  ~ ฉันเป็น “แค่” คน “ไม่เคยถูกรัก”
คนแสนดีอย่างเธอ จึงไม่อาจจมปลัก . .. เดินร่วมฝัน
ไม่มีสิทธิ์ .. เลือกเอาความรักทั้งชีวิตไปผูกพัน
ควรต้องยอมรับคำพิพากษาลงทัณฑ์ .. . ด้วยความเต็มใจ
ฉันยอมจำนนแล้วล่ะ . .. ที่รัก
ช่วยอยู่ปลอบโยนอีกสักพัก  ~ แล้วค่อยแยกย้ายได้ไหม?
แลกกับรอยยิ้มของคนตรงหน้าที่กำลังหมดไป
พร้อมกับการมาเยือนของความเสียใจ . .. ชั่วนิรันดร์

จะล้างใจที่เคยเหงาให้เงางาม เชื่อในความรักมั่น ..ฉันไม่ไป

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


ไม่ไปแล้ว ดวงใจ.. ไม่ไปแล้ว
หากดวงแก้วยังส่องไฟให้ความฝัน
หากแต่ว่าหางตาเห็น.. ห่วงเช่นกัน
รักอยู่ไหนใจอยู่นั่น..  ฉันไม่ไป
จางจากหายใจเจียนห่าง ..ไม่จางจืด
ยังอยู่ยืด ยังยืนหยัดไม่หวัดไหว
ยังอยู่ยั้งยังคงย้ำประจำใจ
รักยิ่งใหญ่ใจจึงย้ำ ประจำยาม
ขออยู่ที่ ที่มีรักให้พักอุ่น
ขอขอบคุณรักที่ให้ ไม่หวงห้าม
จะล้างใจที่เคยเหงาให้เงางาม
เชื่อในความรักมั่น ..ฉันไม่ไป

สุขี..เถอะที่รัก

คนกรุงศรี


เธอจึงคิด ทำตน เป็นคนใหม่
มิยอมให้ ใจนั้น มันสลาย
เราร่ำร้อง ฟูมฟก หัวอกวาย
เธอเพียงปราย ตาดู มิคู่ควร
เพียงแค่ปราย สายตา หน้ามิเหลียว
แม้สักเสี้ยว เศษใจ เก็บไปถ้วน
มิกังวล ว่าใคร ไหนรัญจวน
ดูเร่งด่วน ตัดใจ เปลี่ยนใหม่พลัน
พบใครที่ ดีกว่า ไม่ว่าแก้ว
คงหมดแล้ว ในจินต์ สิ้นไฟฝัน
เขาคนใหม่  ควรค่า มิว่ากัน
ให้สุขสันต์ บั้นปลาย ตามหมายปอง
วันใดกลีบ แก้วช้ำ จำหม่นหมอง
เหลียวมามอง ความหลัง เราทั้งสอง
จะรอซับ น้ำตา ที่บ่านอง
วันนี้ครอง สุขี...นะที่รัก

ช่วยมาทำให้ฉันเข้าใจ....

ลูกหว้า


ตื่นขึ้นมาก็พบความอ้างว้าง
มองไปทางไหนก็เหมือนเก่า
จะมีใครบ้างนะที่เป็นเหมือนเรา
ที่กำลังเฝ้ารอ...ใครสักคน
เดินออกมาก้าวแต่ละทีก็คิดหนัก
ที่พบเจอเส้นทางที่มันแยกจนสับสน
มองเส้นทางแต่ละทางที่ปะปน
เส้นทางไหนจะมีคนที่เฝ้ารอ
ก่อนนอนก็เฝ้าแต่จะไหว้ขออธิษฐาน
อยากให้ฟ้าช่วยส่งคนที่เฝ้ารอคอยมาได้ไหม
ก่อนที่จะจมอยู่กับความเหงาที่เดียวดาย
ช่วยมาทำให้เข้าใจ...และได้รักใครกับเขาเสียที

ดีกันนะ

คนกรุงศรี


วันกลีบแก้ว ร่วงกราว ขาวโคนต้น
เพราะสิ้นฝน ลมล่อง ต้องเหน็บหนาว
แก้วกอเก่า เฉาหม่น ทนอีกคราว
พบปวดร้าว ลมย้อน ก็ร้อนทรวง
เหมือนกับเรา ทุกข์ท้น คนเคยหวัง
มีความหลัง ฝังใจ ให้แสนห่วง
มิเคยคลาย พ่ายแพ้ ในแดดวง
แม้กาลล่วง นานเนา มิเบาลงทำให้ใจ ไกลห่าง ต่างกายใกล้
เหมือนป่าไพร ขวางกั้น พลันพลัดหลง
แต่ฤทัย ใจนั้น สุดมั่นคง
ยังซื่อตรง จงรัก และภักดี
จะเปลี่ยนแก้ว ของเรา กอเฉาแห้ง
โดยตัดแต่ง กิ่งใหม่ ให้คืนที่
แล้วพรวนดิน รดน้ำ ซ้ำอีกที
ความหวังมี แก้วงาม สมตามปอง
แต่สองมาน ราญร้าว ณ.คราวนี้
หาวิธี ปรับใหม่ ให้คลายหมอง
จะพรวนดิน รดน้ำ ตามทำนอง
มิถูกต้อง สมหวัง ดั่งตั้งใจ
จับมือกัน มั่นไว้ เปิดใจกว้าง
สองเราต่าง มองหา แววตาใส
ดวงตาเทียบ เปรียบว่า หน้าต่างใจ
มาเริ่มใหม่ อีกที ...ดีกันนะ

สับสน

พลายแก้ว เมืองกาญจน์


นั่งรับลม ชมดาว ที่พราวฟ้า
ปล่อยวิญญา ล่องไป ในความฝัน
แล้วเดือนเสี้ยว เลี้ยวลับ หนีกลับพลัน
ใจเรานั้น สับสน จนวุ่นวายพอจันทร์ลา ฟ้าเหงา ทิ้งเราหมอง
เหม่อตามอง จ้องไป ไร้จุดหมาย
ด้วยลมเย็น พลิ้วผ่าน สะท้านกาย
ความหลังพราย ผุดเห็น เช่นวันวาน
เคยเคียงพิมฯ คนสุพรรณ ในวันก่อน
เมื่อคิดย้อน ยังจำ คำไขขาน
แต่วันนี้ พี่เดี่ยว เปลี่ยวดวงมาน
ทุกเหตุการณ์ ก่อนเก่า เราอยากเลือน
มิอยากตรม จมทุกข์ จนสุขสิ้น
หวังชีวิน มีคู่ อยู่เป็นเพื่อน
แต่ว่ารัก หนหลัง ยังย้ำเตือน
ยึดเสมือน เป็นหลัก ที่พักใจฤๅเพราะสาว บ้านใต้ พาใจพรั่น
ยิ่งพบกัน บ่อยบ่อย พลอยอ่อนไหว
มีความสุข ลึกลึก นั่งนึกไป
หาเหตุใด ใคร่รู้ ดูความจริง
เป็นแรงใจ ให้กัน ในวันก่อน
วันนี้อ้อน งอนง้อ ขอสักสิ่ง
เพียงหนึ่งห้อง ของใจ ให้พักพิง
ยังเกรงกริ่ง มิกล้า จะพาที

ใกล้ตัว ใกล้ใจ

คนกรุงศรี


แม้กายใกล้ ใจยัง เหมือนห่างเหิน
เพราะเราเมิน มุ่งให้ สมใจหวัง
มิเคืองข้อง หมองหม่น จนชิงชัง
เพียงว่ายัง เง้างอน ซ่อนคำคมมาปรับคลื่น ของใจ ให้สัมผัส
หาช่องชัด ความถี่ ที่เหมาะสม
ทั้งภาพเสียง เพียงใคร่ ไว้ชื่นชม
ก็รื่นรมย์ ดั่งใจ ที่ใฝ่ปองถามใจตน หม่นเหงา เศร้าหรือสุข
เก็บซ่อนซุก สิ่งใด จึงได้หมอง
ค้นหาความ ตามจริง ทุกสิ่งมอง
กับกลั่นกรอง การใด สิ่งไหนควรถ้ามีใจ ให้กัน ณ.วันนี้
หรือจะมี มานมล จนไห้หวน
แม้ว้าเหว่ เอกา พารัญจวน
คิดทบทวน ถามใจ กระไรดีสายน้ำยัง หวังไว้ ไหลทวนกลับ
เพื่อมาซับ รับกมล ให้ล้นปรี่
มิต้องหม่น ทนช้ำ ย้ำอีกที
ลบแผลที่ เขาฟาด ราดน้ำเกลือลมหายใจ รวยริน ใกล้สิ้นสูญ
อยากเกื้อกูล ดวงแด แม้น้อยเหลือ
สายสัมพันธ์ นั้นใช้ มัดใบเรือ
รอลมเหนือ เพื่อล่อง... ท่องธารา

..๏ แด่คนไกล ณ ปลายฟ้า

อัลมิตรา


...ได้โปรดรับรู้นิยาม...ของความเป็นห่วง...
...ว่า...ความรู้สึกทั้งปวง...ที่ฉันมอบให้...
...ล่องลอยเคว้งคว้าง...เดินทางมาแสนไกล...
...แท้คือเยื่อใย..น้ำใจ..ไมตรี...
...หมายไขว่ใคร่คว้า...รักมาแนบอก...
...ใช่ว่าเพ้อพก...อยากทบทวนเรื่องนี้...
...แม้ร้างห่างไกล...ใช่สิ้นไมตรี...
...อยากให้คนดี...รับรู้เรื่องราว...
...ว่าแสนคิดถึง...ตราตรึงในจิต...
...แม้เสี้ยวแห่งชีวิต...เคยคิดเหน็บหนาว...
...มีร้อนรุ่มสุมใส่...บ้างในครั้งคราว...
...เจ็บปวดรวดร้าว...ทุกคราวที่คำนึง...
...อยากบอกให้รู้...ผู้อยู่ตรงนี้...
...ยังคงปรารถนาดี...มีความซาบซึ้ง...
...อดีตกาลผ่านแล้ว..ไม่แคล้วตราตรึง...
...มอบความคิดถึง...สุดซึ้งมากมาย...
...คิดย้อนกลับไป...ถึงผู้อยู่ไกลสุดปลายฟ้า...
...สืบเสาะค้นหา...ทิศทางอันหลากหลาย...
...สะท้อนความคิด...ดวงจิตไม่คิดกลับกลาย...
...ไม่เคยเสื่อมคลาย...เปลี่ยนไปจากเดิม...
...รู้ซึ้งตรึงตรา...เกินกว่าพร่ำบอก...
...แม้อาการภายนอก...มาดนิ่งไร้สิ่งเสริม...
...เสมือนเฉยชา...ดั่งว่าผิดแผกจากคนเดิม...
...แต่อ่อนโยนนั้นเริ่ม...ต่อเติมเพิ่มทรวง...
...เก็บงำความรัก...ไว้อย่างนิรันดร์...
...พร้อมกับความสำคัญ..."แสนรักแสนห่วง"...
...ฉันให้ไปแล้ว...หัวใจหมดทั้งดวง...
...ความรู้สึกทั้งปวง...ยังยืนยง...
...เยื่อใยสายรัก...ที่ถักเป็นสร้อย...
...ฉันเฝ้ารอคอย..เธอผู้ประสงค์...
...แม้ว่าอยู่ไกล..
หน้า / 50  
ทั้งหมด 839 กลอน