22 กุมภาพันธ์ 2546 23:23 น.

วาเลนไทน์...แห่งความทรงจำ

windsaint

เช้าวันนี้ผมหวังที่จะหนีบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยไอแห่งความรักที่มันบาดจิตใจผม ไปสู่อีกโลกหนึ่งแห่งความเงียบสงบที่จะช่วยรักษาแผลใจของผมได้
ผมหาสถานที่อยู่เป็นเวลานานจนจับจุดหมายได้ก็ตัดสินใจเก็บของใช้ที่จำเป็นหมายจะไปพักผ่อนสมองสัก 2-3 วัน 
ผมออกเดินทางไปแต่เช้า มุ่งหน้าไปยังเกาะช้างที่หมายสำหรับผมในครั้งนี้ เมื่อผมไปถึง ผมนั่งเรือเฟอรี่ข้ามฝั่งไปยังเกาะช้าง ผมเลือกที่นั่งท้ายเรือเพื่อที่จะได้มองเห็นบรรยากาศได้อย่างชัดเจน กระแสลมบางๆบอกกับผมว่าที่นี่จะเป็นที่ที่สามารถพักผ่อนสมองได้อย่างดี
หลังจากได้ที่พักแล้ว ผมก็ลงมานั่งพักยังริมหาด เพื่อที่จะลืมเรื่องราวเก่าๆ ที่เป็นสาเหตุให้ผมต้องมานั่งที่ตรงนี้ 
และสายตาของผมก็ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง สายลมทะเลต้องผมยาวสยายของให้เธอให้ปลิดปลิวตามลม ทำให้ผมอดที่จะจ้องเธอไม่ได้ จนกระทั่งเธอคงสังเกตและเดินเข้ามาทักผม
ขอนั่งด้วยคนได้มั๊ยคะ เธอถามผมด้วยเสียงอันนุ่มนวล
เอ่อ ได้สิครับ เชิญๆๆ ผมตอบคำถามของผู้ที่เข้ามาทักด้วยน้ำเสียงสุภาพ
เธอนั่งลงตามคำเชิญของผม และทอดสายตาออกไปสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ด้วยสายตาที่ครุ่นคิด
ทะเลสวยนะคะ 
ครับ ทะเลสวย สำหรับคนที่มีความรัก แต่ดูโหดร้ายสำหรับคนที่ถูกปฏิเสธความรัก

ขอโทษนะครับ ทำไมคุณถึงมาคนเดียว ในวันที่เหมาะจะมาเป็นคู่แบบนี้ล่ะครับ ผมถามขึ้นหลังจากที่เห็นเธอนิ่งเงียบไปนาน
ก็คงเหมือนคุณมั๊งคะ อกหักในวันที่คนอื่นมีความรัก เธอตอบด้วยสายตาเศร้าๆ
ถ้าคุณไม่รังเกียจเพื่อนใหม่คนนี้ล่ะก็ คุณจะลองเล่าให้ผมฟังได้มั๊ยครับ เผื่อว่ามันจะทำให้คุณสบายใจขึ้นมาบ้าง
ได้ค่ะ ไม่รังเกียจหรอก แต่คุณต้องเล่าเรื่องของคุณให้ฟังด้วยนะคะ
ได้ครับ ผมรับคำ

วันนั้นเธอเล่าเรื่องชีวิตของเธอให้ผมฟัง และผมก็เล่าเรื่องราวของผมให้เธอฟังด้วย เราสองคนพูดคุยกัน แลกเปลี่ยนทัศนคติ พูดคุยเรื่องของกันและกัน เล่าเรื่องที่ต่างคนต่างได้พบมาเหมือนกับว่าเราเป็นเพื่อนที่ห่างหายไปนานและได้กลับมาพบกันอีกครั้ง เราพูดคุยสนิทกันมากกว่าคนที่เพิ่งจะรู้จักกัน ผมเองรู้สึกว่าเธอเหมือนเพื่อนสนิทของผมที่ห่างหายไปนาน เราพูดคุยกันถึงเรื่องมากมาย เวลาดูช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ผมใช้เวลาเกือบทั้งวันพูดคุยกับเธอ เธอผู้ทำให้ผมลืมสาเหตุที่ผมมานั่งอยู่ที่นี่ ผมรู้สึกเพียงแต่ว่าเธอคือคนที่ผมรู้จักมานาน และผมรู้สึกว่าเธอคนนี้แหละคือคนที่ใช่สำหรับผม คนที่ผมตามหามานาน ระยะเวลา 2 วัน ผมพูดคุยกับเธอทุกวัน เราไปไหนมาไหนด้วยกัน ทานข้าว เที่ยวเล่น พักผ่อน ผมเชื่อว่าเธอคงรู้สึกเช่นเดียวกับผม
จนกระทั่งบ่ายวันอาทิตย์ ถึงเวลาที่เราต้องแยกจากกัน ผมต้องกลับไปสู่โลกแห่งความจริงของผม และเธอต้องกลับไปสู่โลกแห่งความจริงของเธอ คืนก่อนนี้ ผมนอนคิดอยู่ทั้งคืนว่าผมจะบอกความในใจของผมให้แก่เธอหรือไม่ และสุดท้าย ผมก็ตัดสินใจที่จะบอก ความลับในหัวใจที่ผมอยากจะพูดกับเธอมากที่สุด

ถึงเวลาที่เราต้องจากกันแล้วค่ะ ฉันต้องไป ไปสู่โลกของฉัน เช่นเดียวกันกับคุณที่จะไปสู่โลกของคุณ
ผมอยากจะรู้จักคุณให้มากกว่านี้ ผมมั่นใจ และผมเชื่อใจว่า คุณคือคนที่หัวใจของผมค้นหาอยู่
คุณมั่นใจได้อย่างไร เราเพิ่งจะรู้จักกันไม่เกิน 72 ชั่วโมงเอง
ผมเชื่อ ผมเชื่อว่าความรัก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับที่เวลาที่คนสองคนรู้จักกัน แต่มันคือสิ่งที่อยู่ในใจของเราต่างหาก คุณจะเชื่อหรือไม่ผมไม่รู้ แต่ผมเชื่อ ว่าเวลาไม่ใช่สิ่งที่จะมาบ่งบอกว่าเราจะรู้สึกกับใครแบบนี้ แต่มันคือความรู้สึกข้างในต่างหาก
ฉันเชื่อค่ะ ฉันเชื่อคุณ ไม่ได้เชื่อในสิ่งที่คุณพูด แต่ฉันเชื่อในความรู้สึกของฉัน
คุณจะว่าอะไรมั๊ย ถ้าผมจะติดต่อไปหาคุณ ถ้าเราจะยังติดต่อกันแบบนี้ แบบที่เรียกว่าคนรู้ใจต่อไป
ได้ค่ะ แต่ว่าตอนนี้ฉันต้องไปแล้ว เอาไว้เราค่อยเจอกัน ตามเบอร์ที่ฉันให้นะคะ ลาก่อนค่ะ แล้วเจอกัน
ครับลาก่อน แล้วผมจะติดต่อไป

นับจากวันนั้น ผมกับเธอก็กลายเป็นคนรู้ใจ และผมเชื่อว่าเธอคือคนที่ผมตามหา และต้องขอบคุณวันวาเลนไทน์ที่ทำให้ผมได้รู้จักกับเธอ เธอผู้มากับวันวาเลนไทน์				
22 กุมภาพันธ์ 2546 23:12 น.

คิดถึง...วันวาน

windsaint

คิดถึงเสียงออดเตือนให้เข้าแถวทุกเช้า
คิดถึงการเข้าแถวเคารพธงชาติ
คิดถึงเพลงชาติ คิดถึงเสียงสวดมนต์ คิดถึงเพลงโรงเรียนที่ร้องทุกวัน
คิดถึงครูที่คอยจ้ำจี้จ้ำไชให้เราทำงาน ให้เราตั้งใจเรียน
คิดถึงกระดานที่ใช้วาดการ์ตูนล้อเพื่อนในห้อง
คิดถึงสมุดจดรายงานที่มีรูปวาดการ์ตูน
คิดถึงเสียงกีตาร์กับเพลงบ้าๆของคนบ้าๆ
คิดถึงมุขฝืดๆของเพื่อนที่ต้องพยายามขำ
คิดถึงรอยลิขวิดกับรอยขีดเขียนบนโต๊ะเรียน
คิดถึงกระดาษขยำก้อนกลมๆที่เอาไว้ปาหัวเพื่อนเล่น
คิดถึงข้าวแกงเจ้าประจำที่เคยกินบ่อยๆ
คิดถึงคนที่คอยให้ลอกการบ้านตอนเช้าๆ
คิดถึงอาจารย์ที่คอยสั่งรายงานกองโต
คิดถึงฟุตบอล คิดถึงสนามบอล
คิดถึงอาจารย์ที่คอยมาเดินตรวจผม
คิดถึงเสียงเฮฮาเมื่ออาจารย์ไม่เข้าสอน
ฉันคิดถึงเหลือเกิน คิดถึงสิ่งเหล่านี้ ที่จะไม่มีวันย้อนกลับมา 
และจะหลงเหลือไว้แค่เพียงมิตรภาพกับความทรงจำที่จะไม่เลือนหายจากไป 
ไม่ว่าเมื่อวาน วันนี้ พรุ่งนี้ หรือตลอดไป

คิดถึงเสียงกระดิ่งแปดโมงเช้า
คิดถึงเรื่องคอยเล่าให้ขบขัน
คิดถึงเพลงชาติให้ร้องทุกทุกวัน
คิดถึงความผกผันเมื่อวันวาน
คิดถึงรอยลิขวิดรอยขีดเขียน
คิดถึงครูที่พร่ำเพียรให้การบ้าน
คิดถึงข้าวแกงเจ้าประจำในโรงอาหาร
คิดถึงกองรายงานที่ไม่เคยเบา
คิดถึงรูปการ์ตูนบนกระดาน
คิดถึงการลอกการบ้านตอนเช้าเช้า
คิดถึงเสียงกีตาร์คลอเบาเบา
คิดถึงเพื่อนเก่าเก่าไม่ว่าใคร
คิดถึงความผูกพันคำว่าเพื่อน
คิดถึงภาพที่ไม่เลือนลางไปไหน
คิดถึงเพื่อนที่กอดคอเคียงกันไป
จะเก็บไว้เป็นความทรงจำไม่มีวันจาง				
19 กุมภาพันธ์ 2546 00:42 น.

คืนอำลา

windsaint

ภาพของเพื่อนที่กอดคอกัน ภาพสไลด์แห่งชีวิตจริงผุดขึ้นมาในสมองของฉันเป็นสาย
ตั้งแต่ ม.1 วันเข้าค่ายปฐมนิเทศ เหตุการณ์ในรั้วกุหลาบ
จนถึงวันจากเหย้า วันสุดท้ายแห่งชีวิตนักเรียนสวนกุหลาบฯ
ภาพเหตุการณ์ช่วงสำคัญช่วงหนึ่งในชีวิต
6ปีที่มีค่าและไม่สามารถหาอะไรมาทดแทนได้
น้ำตาไหลลงมาอาบสองแก้ม ฉันได้พบกับทะเลน้ำตาครั้งที่สามในชีวิตของฉัน
และจะเป็นภาพที่ไม่มีวันลืมเลือน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตา หรือคำว่ามิตรภาพ
ทุกสิ่งยังถูกสลักไว้ในก้อนหินในหัวใจที่เรียกว่าความทรงจำ ซึ่งแม้ว่าจะผ่านกาลเวลาจนเลือนลางไปมากเท่าใด แต่รอยสลักนั้นจะยังคงอยู่เป็นรูปเป็นรอยเดิมตลอดไป
เวลานี้ถึงเวลาที่ฉันจะต้องจากไป ไปสู่หนทางใหม่ 

มีคนเคยบอกว่ากุหลาบเปลี่ยนกระถางไม่จางสี
และฉันเชื่อว่ากุหลาบช่อนี้ช่อที่ชื่อว่า สสร. จะไม่มีวันจางจากสีชมพู-ฟ้าไป
และยังคงเป็นสีนี้ สีชมพู-ฟ้าต่อไปอีกตราบนานเท่านาน 
และจะเป็นกุหลาบที่ไม่มีวันโรยราตลอดไป				
12 กุมภาพันธ์ 2546 20:40 น.

เสียงระฆังสุดท้าย

windsaint

แต่สำหรับวันนี้ วันอังคารที่ 11 ก.พ. 46 มันไม่ใช่เสียงสัญญาณสิ้นสุดการเรียนของฉัน 
แต่มันเป็นการสิ้นสุดการเรียนของชีวิต ม.6 
สิ้นสุดการเรียนของชีวิตมัธยม 
เสียงระฆังนี้เป็นเครื่องบอกและเตือนให้ฉันรู้ว่าต่อจากนี้ 
ฉันจะไม่มีโอกาสได้มานั่งเรียน ได้มาสัมผัสชีวิตนักเรียนเช่นนี้อีก 
ไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนบนอาคารหลังยาวนี้อีก 

เสมาและส.ก.บนหน้าอกขวาที่มีคนเคยบอกว่าส.ก.อยู่ในกำมือฉันและกำลังจะโบกอำลาไปและย้ายไปปักลงในหัวใจของฉันแทน 
ความหวังและปณิธานจากรุ่นสู่รุ่นถูกส่งต่อให้รุ่นต่อไป รุ่นแล้วรุ่นเล่า 
เปรียบเหมือนเทียนที่จุดประกายแสงสว่างแห่งความหวังให้กับเทียนอีกเล่มหนึ่ง 
เปลวไฟที่รุ่งโรจน์อยู่ภายในเทียนในขณะที่เทียนเล่มนี้กำลังจะมอดดับลงไป 
พร้อมกับเวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด 
แต่เทียนเล่มนี้ก็ยังหวังไว้ว่าจะได้จุดประกายแสงสว่างให้กับเทียนที่ยังเหลืออยู่ 
เวลาของฉันบัดนี้ได้หมดสิ้นลงไปแล้ว เปลวเทียนเล่มนี้กำลังจะมอดดับลงและพร้อมกลับไปหลอมเป็นเทียนเล่มใหม่ยังที่แห่งใหม่ 

ดั่งคำกล่าวว่าไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องจากไป 
แม้แต่น้ำตาก็ไม่สามารถหยุดยั้งสายธารแห่งเวลานี้ไม่ให้ไหลได้ 
ทุกสิ่งทุกอย่างจะยังคงต้องเคลื่อนที่ต่อไปอย่างไม่หยุดนิ่ง 
ถึงแม้การลาจากจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจากลา 
และไม่ว่าจะมีคำกล่าวอำลามากถ้อยร้อยความมากมายเพียงใด 
ก็ไม่สามารถหยุดโลกไม่ให้หมุนได้ 

ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายแห่งการเรียน
 ถึงแม้ว่าจะเป็นวันสุดท้ายที่ได้อยู่ร่วมกัน 
ถึงแม้ว่าจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ได้เรียน ณ ตึกหลังยาว 
แต่ก็ยังไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของชีวิตที่จะบอกว่ารักสวนกุหลาบฯ 
สถานที่ที่นับจากนี้ไปมันจะเป็นเพียงอดีต จะเหลือเพียงแต่ภาพเงาแห่งความทรงจำที่จะไม่มีวันเลือนหายไปจากใจ และเสียงระฆังสุดท้ายนี้ก็ยังจะดังก้องอยู่ในใจของฉันตลอดไป				
7 กุมภาพันธ์ 2546 22:53 น.

ต้นไม้ ปลายเขา

windsaint

ต้นไม้ต้นหนึ่งขึ้นต้นอยู่ที่ตรงปลายเขา อีกต้นหนึ่งขึ้นต้นที่ตรงยอดเขา
ต้นไม้ปลายเขาจะมองเห็นต้นไม้บนเขาได้อย่างเด่นชัดถนัดตา
มันมักจะแหงนหน้ามองต้นไม้บนเขาและคิดอยู่เสมอว่า ตัวเองนั้นโชคร้ายที่เกิดมาอยู่ปลายเขาไม่โดดเด่นเหมือนอย่างต้นไม้บนยอดเขา
วันหนึ่ง ต้นไม้ปลายเขาก็ปรึกษาต้นไม้ใหญ่อาวุโสที่ขึ้นอยู่ข้างๆว่า
ลุงต้นไม้ครับ ทำไมผมช่างโชคร้ายเกิดมาที่ปลายเขานี่ด้วย
ต้นไม้จึงถามกลับว่า ทำไมล่ะ ทำไมเจ้าถึงคิดว่าต้นไม้ที่เกิดปลายเขานี่โชคร้ายล่ะ
ก็ต้นไม้ที่ปลายเขานี่ไม่โดดเด่น ไม่ได้รับแสงอาทิตย์ ไม่ได้รับลมอย่างถนัดถนี่จึงไม่โดดเด่นไม่ดี ไม่มีราคาเท่าลำต้นก็ไม่สูงสง่าไม่เหมือนต้นที่อยู่บนยอดเขาโน่น มีค่าและมีราคาโดดเด่นและสวยงามนี่ครับ
ต้นไม้ใหญ่ตอบกลับมาว่า ใครว่าต้นไม้ปลายเขาจะโดดเด่นไม่ได้เล่า ต้นไม้ทุกต้นทุกสถานที่จะโดดเด่นได้เมื่อมันพยายาม เพราะว่าไม่ว่ายังไงก็ตาม ต้นไม้ทุกต้นบนโลกนี้ก็ยังต้องยืนต้น อยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกันทั้งหมด แต่ต้นใดจะพยายามเพื่อที่จะเติบโตและโดดเด่นต่างหาก ดูที่ยอดเขานั่นสิ ต้นไม้ทุกต้นที่เติบโตบนยอดเขา ยังไม่สามารถโดดเด่นและสูงสง่าได้เท่ากัน เนื่องจากถูกต้นที่สูงกว่าบดบังตัวมันเอง ไม่ว่าจะสูงเพียงใด หากยังมีต้นที่สูงกว่า ก็ไม่สามารถที่จะโดดเด่นออกมาได้ แต่เจ้าต่างหากที่มีโอกาสที่จะเติบโตและโดดเด่นกว่าต้นอื่นในปลายเขานี้ ด้วยความพยายามของตัวเจ้าเอง โดยไม่ต้องมีลมหรือแสงแดดบนยอดเขามาช่วย และทุกสิ่งจะเกิดขึ้นจากความพยายามของตัวเจ้าเอง 

หลังจากวันนั้น ต้นไม้ที่ปลายเขา ก็ไม่คิดที่จะไปอยู่บนยอดเขาอีก มันพยายามตั้งใจรับแสงรับลมอยู่ที่ปลายเขา เก็บเกี่ยวเอาแร่ธาตุ และเติบโตอยู่ที่ปลายเขาต่อไป

เช่นเดียวกันกับคน ไม่ว่าจะเกิดจากที่ใดก็ตาม ไม่ว่าจะเรียนจากที่ใดก็ตาม แต่หากมีความพยายามแล้วก็จะสามารถโดดเด่นและประสบความสำเร็จได้ โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการศึกษาจากสถาบันอันมีชื่อเสียง เด่นดังเสมอไป เพราะเราก็สามารถที่จะมีชื่อเสียงได้ด้วยความพยายามของตัวเราเอง

ขอขอบคุณ เสียงกระซิบ(wic_pu@hotmail.com)
สำหรับบทกลอนดีที่ให้ไอเดียเจ๋งๆสำหรับเรื่องนี้				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟwindsaint
Lovings  windsaint เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟwindsaint
Lovings  windsaint เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟwindsaint
Lovings  windsaint เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงwindsaint