นิราศภูธร

กฤตศิลป์ ชินบุตร

ทินกรรอนรอนยามอรุณ
อุษาสางเบาบางเคล้าไออุ่น	
จึงฝ้าหมอกครุกรุ่นเต็มทิวเขา
หลังสายฝนกระหน่ำยามคืนค่ำ		
เสียงฝนพรำจางหายในตอนเช้า
ยินเสียงร้องผองนกในม่านเงา			
รุกความเศร้าไล่ความเหงาอันยาวนาน
เคยอยู่เมืองมีแสงสีวิไลเลิศ		
มาอยู่ป่าจึงเกิดความเกียจคร้าน
ด้วยภาระหน้าที่การงาน			
ทรมานอย่างไรต้องจำทน
แสงทองส่องฟ้าเพลานี้			
เหมือนดั่งชี้บัญชาจากห่าฝน
เสมือนนายสั่งสิ้นเสียงคำรน			
เป็นนายคนให้ด้นในเวลา
จึงฝ่าหมอกยามเช้าเข้าป่าไผ่		
เก็บหน่อไม้แทงยอดในดงหนา
ดงชื้นชื้นป่าทึบทึบน่าระอา			
บดบังตาจ้องหาแทบไม่มี
หยาดฝนเกาะพริ้งกิ่งใบไม้		
งามสดใสหาใช่ในยามนี้
ล้วนร่วงหล่นจนชื้นทั่วกายี			
แสงสุรีย์แผดเผาจึงเบาบาง
อากาศอุ่นยามเช้าก้าวมาถึง		
หน่อไม้จึงมากยิ่งกว่าฟ้าสาง
พรางเก็บพรางก้มก็ล้มพราง			
ถึงสุดทางธารน้ำอันฉ่ำเย็น 
ความหน่ายเหนื่อยเกาะกุมในอารมณ์	
ความระทมบังเกิดมาให้เห็น
ยิ่งริ้วรอยบาดแผลความลำเค็ญ			
ก่อเกิดเป็นการสังเวชในตัวตน
เบื้องหน้านั้นวารินเอื่อยรินไหล		
เหตุไฉนใยเราเฝ้าสับสน
ปล่อยชีวิตล่องลอยในสายชล			
เป็นทาสคนจนตัวไม่เป็นตัว
ทรุดนั่งลงตรงนั้นกะทันหัน		
สารพันภาพเก่าในเงาสลัว
เป็นม่านหมอกทะมึนมืดอันน่ากลัว		
อีกกี่ชั่วชีวิตจะบรรเทา
ปลาว่ายแหวกแทรกกายในสายน้ำ		
ผลุดและดำโต้คลื่นฝืนแรงเขา
สายน้ำหลากไหลเชี่ยวไม่เหลือเงา			
ไฉนเล่าพวกเจ้าจึงฝ่าไป
หรือเจ้าหวังพบเห็นแหล่งต้นน้ำ		
อันชุ่มฉ่ำล้ำค่าสวยสดใส
แม้นหนทางยากเย็นสักปานใด			
ด้วยหัวใจใกล้-ไกลจะไปยล
ปลายทางข้างหน้าไม่อาจรู้		
จะมีอยู่หรือไม่ใครจะสน
มัจฉายังว่ายฝืนสายชล				
และเราคนควรหรือจะอือออ
ทางหลายแพร่งแสดงอยู่ตรงหน้า		
ไปซ้าย-ขวาอย่างไรกันดีหนอ
ก้าว-ไม่ก้าวยังไงยังรั้งรอ				
วันนี้พอเห็นทางสว่างแล
สายลมพัดพาใบไม้ปลิว			
ลอยละลิ่วสู่น้ำอย่างผู้แพ้
ไร้แรงฝืนคลื่นลมอันผันแปร			
พ่ายให้แก่อำนาจมหึมา
		
คือความแตกต่างในสองสิ่ง	
ยอมหยุดนิ่งหรือค้านหัวชนฝา
หนึ่งชีวิตอุบัติเกิดขึ้นมา			
อยู่ที่ว่าจะเลือกทำ-หรือไม่ทำ
ความเหนื่อยเมื่อยล้าจางหายไป		
เหลือเปลวไฟนัยน์ตาอันค่าล้ำ
ชีวิตจากนี้แม้ระกำ				
ไม่กลืนกล้ำช้ำจินต์เพราะยินดี
	
ยามสายมาเยือนเหมือนเตือนสั่ง		
ว่าเรายังภาระอย่าหน่ายหนี
งานในไร่มากมายเรารู้ดี				
จึงรีบปรี่สู่ที่ที่จากมา
		
เก็บฟืนสุมไฟให้ไหม้น้ำ			
เดือดแล้วนำหน่อไม้ใส่ลงหนา
ควันโขมงอ้อยอิ่งสู่ท้องฟ้า			
ข้ามหลังคากระท่อมอันเดียวดาย
จับมีดด้ามยาวก้าวต่อก้าว			
แล้วจึงง้าวด้วยแรงอันเหลือหลาย
พงหญ้ารกดงนั้นพลันกระจุยกระจาย		
กระทั่งบ่ายจึงพ่ายสุริยา
กระท่อมน้อยรอคอยเหมือนทุกคราว	
รีบเปิบข้าวด่วนจี่มิได้ช้า
หน่อไม้หวานกับน้ำพริกแมงดา			
สุขอุราตามวิถีคนภูธร
กินอิ่มท้องอิ่มมุ่งริมธาร	 		
แคร่ไม้ไผ่จักรสานหลบแดดร้อน
เสียงน้ำไหลบรรเลงเป็นเพลงกลอน		
ทิ้งกายนอนนิทราอภิรมย์
เกิดพอใจในวิถีอันเรียบง่าย		
สุขสบายหายเศร้าที่สะสม
ไพรพฤกษ์โยกไหวล้อสายลม			
ก็น่าชมเกินกว่าจะบรรยาย
วิหคขับขานบทเพลงรัก			
ไพเราะนักยิ่งกว่าเพลงทั้งหลาย
จูบเย้ยจันทร์ยังพ่ายถล่มทลาย			
หากเดียวดายเปล่าดายจะอาวรณ์ 
ตะวันชิงพระลบหลบยอดเขา		
ก่อแสงเงาฉาบฟ้าไม่เหมือนก่อน
 สุริยันกลางวันอันรุ่มร้อน			
เมื่อจากจรคงอนุสรณ์ให้จดจำ
เป็นภาพวาดปลายพู่กันจิตกรเอก		
คล้ายมนต์เสกน่านฟ้าให้ค่าล้ำ
ดั่งวิมานเทวาดาษดาทองคำ			
ก่อนพลบค่ำดำมืดมาครอบครอง
หนึ่งวันผ่านพ้นอีกหนแล้ว		
เสียงเจือแจ้วแว่วเสนาะเริ่มขับร้อง
หลากเพลงหลากแนวหลากทำนอง		
ของเพื่อนผองแห่งไพรใต้ดวงดาว
แสงสว่างของตะเกียงกระพริบไหว	
เปล่งเปลวไฟเทียบชั้นจันทร์บนหาว
จันทร์เหมือนรู้ยิ่งเพิ่มแรงสกาว			
กลบดวงดาวขาวพร่างทั้งนภา
สรรพสิ่งมากมายในเอกภพ		
เหมือนสงบอยุดนิ่งบนฟากฟ้า
เพียงเสี้ยวหนึ่งของห้วงเวลา			
จึงรู้ว่าล้วนแล้วแต่เปลี่ยนไป
ตัวเราคือตัวเราในวันนี้			
ผ่านวินาทีก็อาจเป็นอื่นได้
วจนะพุทธองค์ยังคงใช้				
เกิด-ตั้ง-ดับเป็นเงื่อนไขนิรันดร์
		
สายลมโชยโอนอ่อนตอนสงัด		
เหมือนทางลัดไปสู่ห้วงความฝัน
ทุกชีวิตหลับใหลเหมือนเหมือนกัน			
รอตะวันวันใหม่จะโคจร
จากผืนดินว่างเปล่าไร้ค่า			
เพียงให้หญ้านกกาพำนักนอน
ไม่มีใครแผ้วถางเหมือนกาลก่อน			
ไร่จึงค่อนเป็นป่าอยู่ในที 
กาลนี้ลูกน้อยมาสานต่อ			
รอยมือพ่อผู้ล่วงไปเมืองผี
พลิกฟื้นผืนดินให้ขจี				
สมกับที่เป็นลูกคนภูธร
ภาระหน้าที่จึงลุล่วง			
งานทั้งปวงสมบูรณ์ดังคำสอน
วันนี้ถึงทีจะจากจร				
ถิ่นเคยนอนแรมเดือนกลางขุนเขา
ตอนมาอาวรณ์ไม่อยากพราก		
ตอนจะจากใจนี้ช่างเปลี่ยวเหงา
ยิ่งมองยิ่งโศกวิโยคเศร้า				
ลมแผ่วเบาเคล้าคลอไม่วาย
สัมภาระในเป้กระชับมั่น			
ลาไร่ฝันไปตอนก่อนจะสาย
มุ่งตามทางเมฆไม้เรียงราย			
อาทิตย์ฉายสาดส่องนำทาง
ลงห้วยขึ้นเขาแสนลำบาก			
ด้วยน้ำหลากมากล้นตลิ่งข้าง
น้ำเชี่ยวเลี้ยวลดเลือนราง				
กว่าจะผ่านช่างยากลำบากเทียว
จากครั้งนี้หาใช่นิรันดร์			
จะกลับมาไร่ฝันวันเก็บเกี่ยว
ถั่วลิลงปลูกไว้ขจีเขียว				
คงโดดเดี่ยวเดียวดายไม่นานเอยฯ								          23 พฤษภาคม 2551				
comments powered by Disqus
  • กฤตศิลป์ ชินบุตร

    28 มิถุนายน 2551 17:50 น. - comment id 866620

    ตั้งใจเขียน เพื่อแชความรุ้สึก ความคิดความอ่านที่มีต่อสังคม และความเป็นไปในโลกใบนี้
  • ไหมแก้วสีฟ้าคราม

    28 มิถุนายน 2551 19:31 น. - comment id 866657

    แด่ คุณกฤตศิลป์ ชินบุตร
          ชอบมากค่ะ
          อ่านแล้ว จินตนาการตามไปด้วย
          เพลิดเพลินดี
    29.gif36.gif36.gif36.gif
  • กฤตศิลป์ ชินบุตร

    28 มิถุนายน 2551 21:40 น. - comment id 866742

    กำลังใจจากคุณไหมแก้วสีฟ้าคราม ทำให้ผมมีแรงที่จะเขียนงานออกมาเรื่อยๆ ...ตัวอักษรช่างมีมนต์ตราตรึงใจแท้จริง ผมกราบขอบคุณบรรพชนที่สั่งสมความเพริศพรายไว้ให้เราได้เสพซึ้งสุนทรียะ
  • ครูพิม

    28 มิถุนายน 2551 22:00 น. - comment id 866762

    1.gif
    
    แวะมาให้กำลังใจ..คนปลูกถั้วค่ะ..
    
    อ่านซะเพลินเลยค่ะ..
    
    36.gif36.gif
  • Darkness_Hero

    29 มิถุนายน 2551 03:22 น. - comment id 866831

    กลอนยาวมากๆๆๆ แต่อ่านเพลินดีจัง ชอบๆๆๆ เล่นซะเห็นภาพตามเลย

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน